นักปฏิบัติอย่าคิดมากกับคำว่า .ตัณหา. แล้วท่านจะยิ่งทุกข์
ในอริยสัจจ์ข้อที่ 2 มีกล่าวไว้ว่า เหตุที่เกิดทุกข์คือ สมุทัย อันได้แก่ .ตัณหา. ซึ่งภาษาชาวบ้านก็เรียกกันว่า .ความอยาก. นั้นเอง
ท่านนักปฏิบัติที่รัก ถ้าท่านมามัวแต่คิด .หยุมหยิม. กับคำว่า .ตัณหา. แล้ว ท่านจะยิ่งทุกข์หนักไปมากกว่าเก่า เพราะท่านจะตีความมั่วซั่วไปแบบคนที่ไม่เข้าใจว่า การต้องการกินอาหาร ก็คือ เกิดจากตัณหา การต้องการนอน ก็คือ ตัณหา เมื่อเจ็บป่วย ต้องการไปหาหมอ ก็คือ ตัณหา การต้องการไปปฏิบัติธรรม ก็เป็นตัณหา และอื่นๆ อีกมาก นี่ท่านคิดไปเอง ตีความหมายไปเองตามความคิดของท่าน ทั้งนั้นครับ
ถ้าท่านนักปฏิบัติที่ต้องการพ้นทุกข์ จะตีความเรื่อง .ตัณหา . ท่านต้องตีความให้ครบทั้ง 4 องค์ธรรม ใน .อริยสัจจ์ 4. จึงจะสมควร
ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 1 คำว่า ทุกข์ ให้รู้ นั้น หมายความว่า เมื่อ จิตเกิดการไหวตัว เพราะมีการกระทบสัมผัสผ่านทางอายตนะทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เสียแล้ว ให้รู้ ถึงอาการจิตที่ไหวตัวนั้น
ถ้าท่านยังไม่สามารถที่จะรับรู้อาการของจิตที่ไหวตัวดังที่ผมเขียนนี้ ท่านต้องลงมือฝึกสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เสียก่อน ฝึกให้มาก ๆ แล้ว ท่านจะรู้อาการของจิตที่ไหวตัวนี้ได้
ท่านอาจสงสัยว่า ทำไมจิตจึงไหวตัว นี่ไม่ใช่ตัณหาหรือ เรื่องนี้ ผมก็จะตอบตามความเข้าใจของผมว่า ไม่ใช่ ที่จิตไหวตัว เพราะจิตมี อวิชชา ครับ ไม่ใช่ไหวตัวเพราะตัณหา
ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 2 คำว่า สมุทัย คือ ตัณหา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นั้น หมายความว่า เมื่อจิตเกิดไหวตัวแล้ว จิตอย่าเข้าไป .ยึดติด . การไหวตัวนั้นครับ นี่คือ ตัณหา จริง ๆ ครับ ถ้า จิตเข้าไปยึดติด การไหวตัว นั้น จะทำให้เกิดความเข้าใจในความเป็นตัวตนว่า จิตที่ไหวตัวนั้นเป็นเรา ขึ้นมา เราคือผู้ที่กำลังเป็นทุกข์นั้นอยู่ ทำให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นในข้อ 1 ของอริยสัจจ์นั้น คงอยู่ ไม่เสื่อมสลายไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ครับ
แต่ถ้า จิตไม่ยึดติดการไหวตัว นี่คือ การละตัณหา คือ การไม่ยึดติด เมื่อจิตไม่จับยึด การไหวตัวนั้นจะเสื่อมสลายไปเองอันเป็นธรรมชาติแห่งไตรลักษณ์ เมื่อการไหวตัวเสื่อมสลายไปเองตามธรรมชาติ จิตจะเห็นการเสื่อมสลายไปเองแห่งการไหวตัวนั้น ๆ นี่คือปัญญาให้แก่จิตได้รับรู้ ว่า อาการทุกข์ หรือ อาการไหวตัวแห่งจิตนั้น มันไม่ใช่เรา มันไม่มีตัวตน มันเกิดแล้วมันก็เสื่อมสลายไปเอง
ขอให้อ่านข้อ 1 และ 2 อีกสัก 2 ถึง 3 เที่ยวนะครับ เพื่อความเข้าใจของท่านเอง
ในอริยสัจจ์ข้อที่ 3 คำว่า นิโรธ ทำให้แจ้ง หมายความว่า เมื่อเกิดทุกข์ ในข้อ 1 แล้ว และไม่ยึดติดด้วยตัณหาในทุกข์ คือในข้อ 2 แล้ว จะเกิดข้อ 3 ขึ้นเอง อันเป็น นิโรธ คือ ความเป็นปรกติ ที่ไม่ทุกข์ครับ
ในอริยสัจจ์ข้อที่ 4 คำว่า มรรค คือวิธีปฏิบัติแห่งการดับทุกข์ ก็คือ การฝึกฝนให้ จิตมีความตั้งมั่น เพื่อให้เห็นทุกข์ได้ในข้อ 1 และ จิตตั้งมั่น ไม่ให้เข้าไปจับยึดทุกข์ในข้อ 2 เพือให้เกิด ความไม่ทุกข์ ในข้อ 3 ครับ
ส่วนวิธีการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงมรรค กล่าวโดยย่อก็คือ การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อันเป็นการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธินั้นเอง
------------ ผมหวังว่า บทความนี้ คงทำให้ท่านที่กำลังงุนงงกับคำว่า ตัณหา และตีความผิด ๆ ได้เข้าใจ เพื่อการปฏิบัติในการพ้นทุกข์ได้จริงต่อไปครับ
ถ้าท่านเข้าใจ ตัณหา และเห็น ทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เข้าใจในมรรค ท่านก็จะเข้าใจหลักแห่งพุทธศาสนา อันเป็นหลักที่เข้าถึงการดับทุกข์ทางใจอย่างแท้จริง
นี่คือ การปฏิบัติบูชา ที่ถวายแด่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
Create Date : 20 ธันวาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:29:54 น. |
Counter : 902 Pageviews. |
|
|
|
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog
ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com
หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน