รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
จิตรู้แต่ไม่รู้เรื่อง ถ้ารู้เรื่องคือตัวสัญญาขันธ์

บทความนี้เป็นบทความต่อเนื่องจากบทความเรื่อง
กุญแจภาวนา ถ้าเข้าใจ ก็จะไปได้ดี
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=12-2009&date=02&group=5&gblog=32

ในการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เพื่อการพัฒนาจิตรู้ให้มีกำลัง มีความตั้งมั่นนั้น นักปฏิบัติมือใหม่ที่เคยชินอยู่กับสภาพปรกติของการไม่ได้ภาวนามักมีความเข้าใจว่า การรู้ในขณะฝึกฝนการภาวนานั้น จะต้องรู้เรื่องรู้ราว เช่น มีคำสอนในตำราว่า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจออกสั้น หรือ คำสอนที่ว่า เมื่อเท้ากระทบพื่น ก็ให้รู้สึกว่า กระทบแข็ง หรือ คำสอนที่ว่า เมื่อลมมากระทบกาย ก็ให้รู้สึกเย็น เป็นต้น

การทีไปรู้อย่างตัวอย่างข้างต้นนั้น เป็นการรู้เพราะสัญญาขันธ์ ( อันเป็น 1 ในขันธ์ 5 ) เพราะเมื่อคนที่เจริญเติบโตขึ้นมา มีการเรียนภาษา ทำให้มีการสอนกัน เรื่องภาษา ทำให้รู้จักคำต่าง ๆ เช่น สั่น ยาว แข็ง เย็น และอื่น ๆ อีกเป็นอันมาก เมื่อเรียนรู้มา ก็จะจำไว้ในสัญญาขันธ์ ทำให้เข้าใจเรืองราวที่เกิดขึ้นว่า เป็นสั้น เป็นยาว เป็นแข็ง เป็นเย็น และ อื่น ๆ

แต่ในการพัฒนากำลังสัมมาสติ นั้น เป็นการพัฒนา จิต ไม่ใช่พัฒนาสัญญาขันธ์ เมื่อจิตรับรู้ แล้ว จิตจะไม่เข้าใจว่า สิ่งที่รับรู้เรียกกันว่าอะไร เพียงรับรู้ได้อย่างเดียว ซึ่งสภาพตอนนี้ จะเหมือนการรับรู้ของเด็กทารก ที่เขารับรู้ได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่เขาไม่รู้จักชื่อว่าสิ่งที่รับรู้เข้ามาเรียกว่าอะไร เช่น ถ้าท่านเอาน้ำแข็งไปถูที่มือเด็กทารก เด็กทารกก็จะรู้สึกได้ถึงขณะที่น้ำแข็งกระทบมือ แต่เด็กทารกจะไม่รู้ว่า ความรู้สึกนี้มีชื่อว่าเย็น อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าท่านเป็นมือใหม่ ผมขอให้ท่านสังเกตดูตัวเองในการฝึกฝน เมื่อท่านอยู่ในสภาพของการรู้สึกตัว และทำโน่นทำนี่ไปตามกิจวัตรประจำวันของท่าน เช่นในขณะที่ท่านกำลังล้างมืออยู่ ท่านจะรู้สึกได้ถึงน้ำที่มากระทบกับมือ รู้สึกถึงความเย็นของน้ำ รู้สึกถึงการสัมผัสในขณะที่กำลังถูฝามือ แต่ท่านจะไม่สนใจเลยว่า สิ่งที่ท่านรู้สึกถึงเรียกว่าอะไร เพียงแต่รู้สึกได้เท่านั้น นี่คือการรู้สึกที่เป็นธรรมชาติที่แท้จริง แต่ถ้าท่านต้องไปคอยรู้สึกแล้วต้องไปรู้อีกว่า ตอนนี้เย็น ตอนนี้สัมผัสแข็ง หรือ อื่น ๆ ท่านจะไม่เป็นธรรมชาติเลย ท่านจะล้างมืออย่างอึดอัด ไม่สบาย

ในการฝึกฝนเพื่อพัฒนากำลังสัมมาสติ ท่านสมควรฝึกฝนที่เป็นธรรมชาติ ดังนั้น เพียงแค่รู้สึกถึงที่รับรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจในชื่อของมันว่า ชื่ออะไรเลย

สำหรับท่านที่เป็นมือใหม่ในการภาวนา ถ้าท่านรู้สีกได้แล้วแต่ไปรู้ชื่อสิ่งทีรู้สึกถึงได้ ก็ไม่ผิดอะไร เพราะขบวนการของขันธ์ 5 มันเร็วมาก จึงทำให้เป็นแบบนั้น ขอให้ท่านสบายใจได้ว่าปฏิบัติไม่ผิด
แต่ถ้าท่านจงใจเพื่อให้ไปรู้ชื่อ นี่ซิ ท่านปฏิบัติเกินเลยไปแล้วครับ

แต่ถ้าท่านเป็นมือเก่าที่พัฒนากำลังสัมมาสติมาแล้วค่อนข้างดี ท่านจะมีเพียงความรู้สึกที่รับรู้ได้ แต่ไม่เกินเลยไปถึงชื่อในสิ่งที่รู้สึกนั้น ๆ เลย

ในขบวนการที่เกิดจิตตสังขารก็เช่นกัน เมื่อท่านโกรธขึ้นมา ท่านจะรู้สึกได้ถึงพลังอย่างหนึ่งที่โผล่ขึ้นมา ที่เรา ๆ ท่าน ๆ เรียกกันว่า นี่คือโกรธแล้วนะ แต่จริง ๆ จิตรู้ เพียงแค่พลังงานอะไรสักอย่างโผล่มาแล้วเท่านั้น การรู้ว่า นี่คือโกรธ นี่เป็นส่วนของสัญญาขันธ์แล้วครับ
เช่นกันครับ ถ้าท่านกำลังฝึกอยู่ พอมีพลังงานโกรธโผล่มา จิตรู้ จะรู้พลังงานนั้นที่โผล่มา และ สัญญาขันธ์ก็จะทำให้ท่านรู้ว่า นี่ชื่อโกรธถ้าท่านรู้ชื่อด้วย ก็ปฏิบัติไม่ผิดครับ เพราะขบวนการมันเร็วมากนั้นเอง

ในการปฏิบัติธรรม ท่านจะพบเองว่า มันมีสภาวะธรรมทางกาย และทางจิตที่เกิดขึ้นมามากมาย ที่เรา ๆ ท่าน ๆ ไม่รู้จักชื่อว่ามันเรียกว่าอะไร ท่านสัมผัสมันได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปใส่ใจเลยว่า มันจะชื่อว่าอะไร เพราะไม่จำเป็นที่ต้องไปให้ชื่อมันเลย

ขอให้ท่านสังเกตว่า ในการปฏิบัติธรรม เมื่อมีอาการทางจิตเกิดขึ้นในขั้นแรก ท่านรู้สึกถึงได้ แล้วต่อมาจะรู้ชื่อในอาการทางจิตนั้นเป็นขั้นที่ 2 (ผมหมายถึงกรณีที่ท่านรู้ชื่ออาการทางจิตนั้น ๆ ครับ )
ซึ่งผมกำลังจะบอกท่านว่า ขั้นที่ 2 นี่ไม่จำเป็นต้องไปรู้มันก็ได้ แต่ถ้ารู้เอง ก็ไม่เป็นไรครับ

สำหรับท่านที่ปฏิบัติมานาน มีกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ค่อนข้างดีแล้ว ท่านจะพบเองว่า ท่านจะมีเพียงความรู้สึกที่สัมผัสได้ แต่ไม่มีชื่อโผล่ออกมาให้เลย ทั้ง ๆ ที่ชื่อความรู้สึกอย่างนั้นท่านก็รู้จักมันด้วยครับ ท่านไม่ต้องไปแปลกใจที่เป็นเช่นนั้น เพราะมันเป็นธรรมชาติของจิตที่มีกำลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิแล้วนั้นเอง ในบางอาจารย์ จะเรียกสภาพการรู้เช่นนั้นว่า รู้แต่ไม่รู้อะไร เพราะมีแต่จิตที่ไปรับรู้ความรู้สึก แต่ไม่สัญญาขันธ์ไม่เข้ามาร่วมขบวนการด้วย จึงรู้ด้วยจิต แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่จิตไปรับรู้ชื่อว่าอะไร เมื่อท่านอยู่ในสภาวะแบบนี้ ท่านจะพบว่า สรรพสิ่งเป็นอนัตตา สภาวะธรรมเกิดเพราะเหตุ ตัวตนของท่านจะไม่มีเลย ตาท่านยังเห็นได้อยู่ หูยังได้ยินอยู่ กายก็รู้สึกได้อยู่

บทความนี้ แรก ๆ ผมก็ไม่อยากเขียนไว้ เพราะมันจะไปขัดกับคำสอนในตำราถึงขั้นขัดในพระไตรปิฏกเลยทีเดียว เช่นในหมวดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่มีการกล่าวถึงการรู้ที่ลงไปถึงชื่อในอาการของจิต แต่ที่ผมตัดสินใจเขียนขึ้น ก็เพื่อว่า คงเป็นประโยชน์ต่อการภาวนาสำหรับบางท่านที่อาจเกิดสงสัยว่า ทำไมไม่เหมือนในตำรา

ผมไม่ขอให้ท่านเชื่อผมในเรื่องนี้ ถ้าท่านถนัดจะเชื่อตำราว่าให้ลงลึกไปถึงชื่อในสิ่งที่รู้ด้วย ก็ตามสบายเลยครับท่าน

ผมจะไม่เปิดให้ comment ครับ เพราะเรื่องมันจะยาว และอาจบานปลาย
ผมเพียงฝากไว้ให้ท่านพิจารณาเอาเองด้วยปัญญา

เขียนมากก็ไม่ใช่ว่าดีเลยครับ หนักใจเหมือนกัน


Create Date : 04 ธันวาคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:31:16 น. 2 comments
Counter : 994 Pageviews.

 
ขยายความเพิ่มเติมในเรื่องนี้

สมมุติว่าท่านเห็นสุนัข ขบวนการจะเริ่มต้นที่เกิดการเห็นขึ้นก่อน พอมีการเห็นแล้ว ก็จะเกิดขบวนการแปลการเห็นนั้น ๆ ว่าเป็นอะไร โดยมีการเชื่อมต่อไปยังสัญญาขันธ์ ถ้าสิ่งที่เห็นอยู่ มีการเห็นมาก่อนละมีการตั้งชื่อมาก่อน ท่านก็จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นนี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า .สุนัข.

แต่ถ้าเป็นเด็กทารก ที่ยังไม่รู้จักการเรียกสัตว์ตัวนี้ว่า .สุนัข. เด็กทารกจะเห็นเหมือนท่านทุกอย่าง เพียงแต่ไม่อาจเข้าใจได้ว่่า สิ่งที่เห็นนี้ เขาเรียกมันว่า .สุนัข.

ขบวนการนี้เข้าใจยากลำบากพอสมควร เพราะมันป็นความเคยชินในตนทั่ว ๆ ไปแล้ว เมื่อมีการเห็นสิ่งใด ได้ยินสิ่งใด ก็มีการแปลในสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยินทันทีอย่างรวดเร็ว และเกิดการเชื่อว่า สิ่งที่เห็นนี้ สิ่งที่ได้ยินนี่เป็นอย่างที่เห็น เป็นอย่างที่ได้ยินทันที

สมมุิติว่า มีคนมายืนด่าท่านที่หน้าบ้าน พูดด้วยถ้วยตำหยาบคาย ที่ชาวบ้านฟังก็รู้ว่า นี่คือคำด่าที่หลายคาย เมื่อท่านได้ยินเสียง สัญญาก็จะนำสิ่งทีได้ยินแต่ละคำมาตีความหมาย แล้วท่านก็เข้าใจได้ว่า เจ้านี่มันด่าฉันนี่ แล้วท่านก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปทันที

ในขบวนการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ ท่านจะเห็นขบวนการของ สัญญาขันธ์ และ สังขารขันธ์ ล้วนเป็นมายา เป็นไตรลักษณ์ เกิดแล้วดับไป ถ้าจิตไม่ไปยึดมันไว้ เมื่อท่านได้ยินเสียงและเข้าใจความเป็นมายาของสัญญาขันธ์ ของสังขารขันธ์ ท่านจะเข้าใจและจะไม่เกิดอาการน๊อตหลุดเมื่อได้ยินคำด่าันั้น ๆ นี่คือผลแห่งการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ การไม่ยึดมั่นในสัญญาขันธ์ การไม่ยึดมั่นในสังขารขันธ์ เพราะจิตไปรู้เท่าทันความเป็นมายาแล้วนั่นเอง

อนึ่ง การไปนั่งสมาธิให้จิตนิ่ง ไม่มีทางที่จะทำให้จิตเห็นความเป็นมายาของสัญญาขันธ์ ความเป็นมายาของสังขารขันธ์ได้เลย
ถ้าท่านเข้าใจให้ตรงในการปฏิบัติธรรม ท่านก็จะเข้าถึงธรรม
ถ้าท่านเข้าใจแบบฤาษีที่นั่งสมาธิให้จิตนิ่ง ท่านจะไม่มีทางเข้าถึงธรรมได้เลย เจ้าชายสิทธัตถะได้พบมาก่อนแล้วจากดาบสทั้ง 2 ที่ไปเรียนวิชาด้วย จึงหลีกลี้ไปเพื่อแสวงหาทางแห่งอริยมรรคด้วยตนเอง จนค้นพบทางและได้ประกาศสอนออกมาให้แก่ชาวโลก อันเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่แก่ชาวพุทธทั้งปวง



โดย: นมสิการ วันที่: 5 ธันวาคม 2552 เวลา:5:27:27 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:18:44:14 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.