รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
21 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
การวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใด คือ การส่งจิตออกนอก

คำว่าส่งจิตออกนอก ผมก็ไม่ทราบว่าต้นศัพย์มาจากทีใด แต่คนโดยมากก็เข้าใจกันดีว่า หมายถึงอะไร และก็พยายามจะให้มีสติ เพื่อจะไม่ส่งจิตออกนอก

แต่นักปฏิบัติมักไม่ทราบว่า การที่ท่านพบเห็นสิ่งใด แล้วเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งนั้น นั่นก็คือ การส่งจิตออกนอก เช่นกัน

สมมุติว่า มีคนบอกว่า เขาเป็นพระอริยบุคคลแล้ว เมื่อท่านได้ยิน ก็พูดจากเยาะเย้ยถากถาง พร้อมกับแนะนำให้เขาไปพบจิตแพทย์โดยเร็ว นี่ก็คือ การส่งจิตออกนอกครับ

ในผู้ที่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ขบวนการเกิดอันเนื่องมาจากอวิชชาย่อมยังมีอยู่ เมื่อท่านพบเห็นสิ่งใด และเกิดการกระเทือนเข้าไปในจิตใจของท่าน ถ้าท่านเป็นนักปฏิบัติ ท่านสมควรสังเกตสภาวะจิตใจของท่านที่มันสั่นสะเทือน ไม่ใช่ไปวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งทีพบเห็นอันเป็นเรื่องนอกจิตใจไปแล้ว

สภาวะนี้เป็นสิ่งที่ยากเหมือนกัน เพราะเมื่ออวิชชาทำงาน มันจะมีโมหะเข้าครอบงำจิต ทำให้ไม่เห็นจิตที่สั่นสะเทือน แต่กลับถูกอวิชชานั้นหลอกให้ปล่อยคารมอันเชื่อดเฉือนจิตใจผู้ฟังออกมาแบบคนไร้สติเช่นนั้น

สำหรับท่านที่เป็นผู้รับฟังคารมณ์อันเชือดเฉือนจิตใจ ถ้าท่านหลงไปกับคารมณ์ที่ได้ยินนั้น ท่านก็ส่งจิตออกนอกเช่นกันครับ

เรียกได้ว่า งานนี้ มีแต่เสียทั้งคู่ สิ่งที่ได้คือ อวิชชาที่มันตัวใหญ่ขึ้น โตขึ้นในจิตใจของท่านเอง

ท่านจะเห็นว่า การรู้เพียงตำรา ไม่อาจสะกดอวิชชาให้อยู่หมัดได้เลย
เมื่อท่านพ่ายแพ้แก่มัน มันก็เป็นนายท่านทันที

ถ้าท่านไปพบครูบาอาจารย์บางท่าน ถ้าท่านได้ยินได้ฟังคำพูดที่กร้าวร้าวออกมา นี่เป็นข้อยกเว้นครับถ้าครูบาอาจารย์ท่านนั้น ท่านเดินทางถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว มันไม่มีผลอะไรกับครูบาอาจารย์ท่านนั้นเลย ท่านพูดไปแบบนั้นเอง แต่ท่านไม่มีอวิชชาแล้ว จึงไม่มีผลใด ๆ แก่ท่านอีก

เพียงเห็นอะไรแปลก ๆ นึกขึ้นมาได้ ก็เลยเล่าสู่กันเพื่อทราบครับ

-----------
หมายเหตุ ผมเขียน blog นี้เพื่อประโยชน์แก่ผู้คนทั่ว ๆ ไป ไม่หวังชื่อเสียง ไม่ได้เขียนเพื่อขอเงินทองจากใคร ไม่มีผลประโยชน์ทางโลกใด ๆ ที่เกิดแก่ตัวผมเลย นอกจากธรรมทานที่ผมให้ อันเป็นการทำทานตามหลักคำสอนในพุทธศาสนาที่ว่า การให้ธรรมทาน คือ การให้ทานขั้นสูงสุด

ถ้าท่านไม่ชอบใจในสิ่งที่ผมเขียน ก็อย่าเข้ามาอ่านเลยครับ การที่ผมต้องตามลบข้อเขียนของท่าน ทำให้ผมเสียเวลามากเกินจำเป็น

ดังนั้น ต่อนี้ไป ผมจะให้เขียน comment ได้เฉพาะสมาชิกของ pantip แต่ถ้าท่านใดไม่ได้เป็นสมาชิก ต้องการจะพูดคุยกับผม สามารถไปได้ที่ ห้องรับแขก ที่ยังคงเปิดกว้างสำหรับทุก ๆ ท่านครับ


Create Date : 21 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:31:32 น. 8 comments
Counter : 885 Pageviews.

 
ตามมาอ่านค่ะ


โดย: faisai วันที่: 21 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:57:14 น.  

 
ขอบพระคุณค่ะ


โดย: หนิง (มังคุดม่วง ) วันที่: 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:40:37 น.  

 
เพิ่งกลับมาจากลาวค่ะ นำบุญมาฝาก

ในขณะที่เรายังเป็นผู้ที่ฝึกฝนอยู่ เราก็ยังเป็นคนที่มีจิตส่งออกนอกอยู่เสมอใช่ไหมคะ เวลาเราฝึกเนี่ย ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง มันก็จะมีความคิดปรุงเข้ามาเสมอ ที่เก้าเป็นคือเมื่อรู้แล้วหันไปกำมือ แบเข้าแบออก หรือทุบเข่า ทุบแขนด้วยความเคยชิน เหมือนเวลาที่เราฝึกให้มีสติ

แต่ในเวลาที่มีการสนทนาทั่วๆไป เมื่อคนที่เราสนทนาด้วยพูดในสิ่งที่ถูก หรือไม่ถูกต้อง (ตามความคิดของเรา) แว่บแรกจิตมันก็จะไม่ชอบ (โดยเฉพาะสิ่งที่เขาพูดออกมาแล้วมันไม่ถูกต้อง) เก้าก็เกิดอาการไม่ชอบ พอรู้ตัวว่า จิตมันไม่ชอบ บางครั้งก็โอเค..ปล่อยความรู้สึกนั้นเลย แต่บางครั้งมันก็ปรุงต่อว่า เอ..จะบอกเขาดีไหมนะว่า อันนี้คิดไม่ถูก อย่างหลังนี่คือส่งออกนอกไปแล้วใช่ไหมคะ

ในเวลาที่เราปฏิบัติเนี่ยมันมีสองช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงที่เราอยู่กับตัวเอง ปฏิบัติไปด้วย กับช่วงที่เราใช้ชีวิตตามปกติอยู่ร่วมพูดคุยกับคนอื่น อย่างหลังเราจะต้องปฏิบัติอย่างไรคะ






โดย: kaoim วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:13:35 น.  

 
ในขณะที่เรายังเป็นผู้ที่ฝึกฝนอยู่ เราก็ยังเป็นคนที่มีจิตส่งออกนอกอยู่เสมอใช่ไหมคะ

>> ใช่ครับ

เวลาเราฝึกเนี่ย ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง มันก็จะมีความคิดปรุงเข้ามาเสมอ
>> คนที่ฝึกฝน ต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้วครับ
มันปรุง ก็รู้ว่ามันปรุง ก็จบครับ อย่าไปห้ามมัน
แต่ให้รู้มัน ให้เห็นมัน มันเป็นจิตที่กระเพื่อมครับ
ทีนี้ พอเราเห็นมันบ่อย ๆ อันก็เป็นปัญญาครับ
พอปัญญากล้ามากขึ้น การปรุงก็จะค่อย ๆ ลดลงไปทีละนิด ทีละหน่อย มึคนอุปมาไว้ดีครับ คือ มันจะเปลี่ยนแปลงแบบเหมือนด้ามมืดสึกหรอ เพราะคนจับมามาก ๆ จับมานาน ๆ บางที่คนฝึกก็ไม่รู้ตัวก็มีครับว่า การปรุงมันน้อยลงไปทีละนิด สังเกตยากเหมือนกัน แต่พอจะสังเกตได้อยู่

แต่ในเวลาที่มีการสนทนาทั่วๆไป เมื่อคนที่เราสนทนาด้วยพูดในสิ่งที่ถูก หรือไม่ถูกต้อง (ตามความคิดของเรา) แว่บแรกจิตมันก็จะไม่ชอบ (โดยเฉพาะสิ่งที่เขาพูดออกมาแล้วมันไม่ถูกต้อง) เก้าก็เกิดอาการไม่ชอบ พอรู้ตัวว่า จิตมันไม่ชอบ บางครั้งก็โอเค..ปล่อยความรู้สึกนั้นเลย แต่บางครั้งมันก็ปรุงต่อว่า
>> ถ้าเห็นมันปรุง ก็ OK แล้วครับ ให้ฝึกสติ เพื่อเห็นมันปรุงไปเรื่อย ๆ ครับ

เอ..จะบอกเขาดีไหมนะว่า อันนี้คิดไม่ถูก อย่างหลังนี่คือส่งออกนอกไปแล้วใช่ไหมคะ
>> ใช่ครับ นี่คือไม่ไปรู้ภายในจิตใจของเราเอง เป็นการส่งจิตออกนอกครับ คนไทยมันจะใจดีแบบนี้เอง เห็นอะไร ก็พยายามบอก พยายามช่วยคนอื่น บอกเขาให้ทราบ ให้รู้ แต่ว่ามันก็คือส่งจิตออกนอกครับ
อย่าได้ถามผมว่า ดีไหม ถ้าบอกเขา อันนี้ คุณต้องตัดสินใจเองครับ เพราะสถานการณ์ต่างๆ มันมีมากมาย ไม่สามารถจะบอกได้ว่า ดีไหม

ในเวลาที่เราปฏิบัติเนี่ยมันมีสองช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงที่เราอยู่กับตัวเอง ปฏิบัติไปด้วย กับช่วงที่เราใช้ชีวิตตามปกติอยู่ร่วมพูดคุยกับคนอื่น อย่างหลังเราจะต้องปฏิบัติอย่างไรคะ
>> คนฝึกใหม่ๆ พูดคุยจะหลุดจากสติครับ
เมื่อเราอยู่ในสังคมแบบนี้ จะหลุดก็ต้องหลุดครับ
คงห้ามไม่ได้ แต่เราก็ต้องหัดไว้ในรุปแบบบ่อย ๆ เพื่อให้มันเคยชินครับ ทีนีพอเคยขินมาก ๆ ถึงแม้จะพูดคุย ก็ไม่หลุดครับ แต่ก็ต้องฝึกต่อไปให้ชำนาญ ระดัยนี้ยากเหมือนกัน แต่ถ้าฝึกไปเรื่อย ๆ ก็พอได้ครับ

ผมเคยฝึกอย่างนี้ครับ เวลาผมเดืนจงกรม หรือ เคลื่อนมือ ผมก็พัง CD ไปด้วย ใหม่ ๆ ผมฟัง CD รู้เรื่อง แต่ผมไม่รู้การเคลื่อนไหว แต่ถ้าผมรู้การเคลื่อนไหว ผมจะฟัง CD ไมรู้เรื่อง แต่พอผมจับหลักได้ ว่า เวลาฟัง CD อย่าให้จิตไปยึดกับเสียงใน CD ผมจะฟังได้ เข้าใจในเรื่องราว แต่เสียงมันจะลอย ๆ ไม่รู้อยู่ทิศทางมาจากทิศไหน ผมฟังไป เดินจงกรมไป ก็เลยเข้าใจวิธีฝึกแบบนี้ พอผมฝึกฟังก่อนแล้วยังมีสติดีอยู่ ฟังก็รู้เรื่อง การเคลื่อนไหวก็ยังรู้ได้ ต่อมาก็มาฝึกพูดด้วยให้รู้ตัวด้วย มันก็ได้เหมือนกันครับ แต่ใช้เวลาพอสมควรในการฝึก
ผมมาพบเองว่า ถ้าจิตรู้ มันโดดเด่นอยู่เสมอ เราจะฟังก็ได้ พูดก็ได้ ยังรู้ตัวอยู่เสมอ ๆ ครับ ดังนั้นในระยะแรกนี้ ผมแนะนำว่า ให้ฝึกปรกติไปก่อนก็ได้ ให้จิตรู้ เขามีพลังมากขึ้นจนโดดเด่น แล้วทีนี้ มันก็จะได้เองครับ

เช่นเคยครับ นี่คือความเห็นส่วนตัว กรุณาอ่านด้วยการพิจารณา













โดย: นมสิการ วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:36:04 น.  

 
ขอบคุณค่ะ เก้าใช้เวลาทำขนมก็เปิด CD ธรรมะไปด้วยในบางครั้ง บางทีก็เปิดทีวี จะรู้ว่า บางครั้งได้ยินเสียงแต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย บางทีก็รู้เรื่องเพราะตั้งใจฟัง และบางทีก็รู้เรื่องทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจฟังเลย

จะหาเวลาทำในรูปแบบให้มากขึ้นค่ะ


โดย: kaoim วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:7:07:11 น.  

 
เมื่อก่อนจิตส่งออกนอกจะเห็นได้แบบหยาบๆ เช่นเผลอฟุ้งคิดไปเป็นเรื่องเป็นราว แต่มันรู้ได้ง่าย เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าจิตมันแอบไปคิดแบบเนียนๆจนสังเกตุยาก บางครั้งคิดอยู่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ มันไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นความคิด แต่มันเป็นความรู้สึกของจิตที่มันไหลออกไป แต่ไม่ค่อยจะรู้ว่าไปคิดเรื่องอะไร แต่รู้สึกว่ามันคิดอยู่ ไหลไปเรื่อยๆจนหาช่องว่างระหว่างความรู้สึกตัวกับความคิดยากแล้ว


โดย: viroot วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:25:41 น.  

 
คุณ Viroot ครับ อ่านเรื่องนี้ครับ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=27-11-2009&group=5&gblog=31


โดย: นมสิการ วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:47:52 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:18:46:43 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.