การตกเป็นทาสของความคิด
ช่วงนี้หนูเจอมรสุมมากมายค่ะ ช่วงที่หนูพยายามทำสมาธิดูจิตใจเนี่ย หนูเกิดอาการ เบื่อไปเฉยๆ ซึ่งหนูรุ้สึกว่า หนูดันผูกไอ่การทำสมาธิ กับเรื่องบุญและความร่ำรวย หนูไม่ถูกหวยเลยค่ะ แต่เลขที่ออกมันวนเวียนอยู่กะทะเบียนบ้านหนู แล้วหนูก็เกิดอาการเบื่อ เลิกไปซะงั้น ปรากฎว่า เหตุการณ์ที่ทำท่าว่าจะดีขึ้น คื่อ หนูไปเจอหนังสือที่ให้อุทิศบุญอะไรแบบนั้น พอหนูนั่งสมาธิ เสร็จหนูก็อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ให้เทวดารักษาตัวพ่อแม่ และคนในครอบครัว ก็รู้สึกว่า ดีชึ้น แต่หลังจากที่เริ่มเบื่อและหยุด ทุกอย่างกำลังพังทลาย มันเป็นเพราะเวรกรรมเหรอ เฮ้อก็คงไม่ใช่ แต่ทำไมชีวิตหนูมันชั่งน่างสมเพช ตอนนี้อยากลาออกจากงาน อยากไปจากบ้าน อยากไปที่ไหนๆสักแห่ง เบื่อ เซ็งมาก ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง ไม่รู้จะปรึกษาใคร ทำไมมันเป็นแบบนี้ จนเริ่มสงสัยว่าปัญหาเรามันใหญ่มากเหรอ แต่ก็รุ้สึกว่า ทำไม ทำไม รู้สึกสมเพชตัวเอง เรียนมาเยอะซะเปล่า *********************** นี่เป็นอาการของการตกเป็นทาสของความคิดครับ ความเป็นมนุษย์และยังต้องดำรงค์ชีวิตอยู่จะเต็มไปด้วยทุกข์ ทั้งทุกข์ของตนเองและทุกข์ของคนที่อยู่รอบข้าง ยิ่งถ้าเราไปพบเห็น และเข้าไปแบกทุกข์นั้นไว้ด้วย มันก็จะกลายเป็นทุกข์ที่เพิ่มขึ้น พระพุทธองค์ท่านสอนว่า การมีชีวิตอยู่ที่จะไม่ทุกข์หรือทุกข์น้อยทีสุดก็คือ การทำชีวิตให้ดีที่สุดในปัจจุบัน สิ่งที่ผ่านมาแล้วมันแก้ไม่ได้แล้ว อย่าไปนึกถึงมันอีก สิ่งทียังมาไม่ถึงก็ทำอะไรไม่ได้อีก ถ้ามามัวแต่วิตกในปัจจุบัน จะทำให้การทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันไม่ดีพอแล้วจะส่งผลเสียไปถึงอนาคตได้ เมื่อท่านตกอยู่สภาวะเช่นนี้ ทีชาวบ้านเรียกกันว่า จิตตก ท่านจะอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ ความไม่สมหวัง อยากจะหนีไปให้พ้น ๆ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมาจากความคิดที่มันวนเวียนอยู่ในหัวสมอง ขอให้ท่านพิจารณาดู ถ้าสมองของท่านไม่มีเรื่องพวกนี้อยู่ในหัว ความรู้สึกเหล่านีจะมีอยู่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่เป็นจริงที่คนทั่ว ๆ มักมองข้ามไป สำหรับคนทั่ว ๆ ไป การตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากหัวสมอง ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ๆ เพราะยิ่งคิดจะหยุดมัน มันจะยิ่งรุกหนักขี้นไปอีก มันเป็นซะอย่างนี้ มันไม่ใช่เวรกรรม แต่เป็นธรรมชาติของจิตใจ ถ้ามีการไปนึกถึง หรือ พยายามที่จะกระทำอะไรกับจิตใจ มันจะยิ่งย้ำเยือนมาถี่มากขึ้น อีกประการหนึ่ง เมื่อจิตตก ขอให้หยุดการฝึกฝนเรื่องการดูจิต เพราะการดูจิตในสภาวะจิตตก มีแต่ข้อเสียด้วยกำลังจิตนั้นอ่อนปวกเปียก ไร้กำลังในการสู้รบเสียแล้ว แต่สิ่งที่ควรกระทำก็คือ การไม่นึกถึงสภาวะของจิตใจ แต่ให้มาหมกหมุ่นกับสภาวะของร่างกายแทน ให้จิตรับรู้สภาวะของร่างกายไปมาก ๆ แล้วจิตจะปล่อยสภาวะของจิตใจที่มันเป็นทุกข์ไปเอง ผมเคยอยู่ในสภาวะจิตตกเช่นกันในอดีต ทั้ง ๆ ที่ผมฝึกมานานแล้ว และเห็นความคิด เห็นอารมณ์จิตได้แล้ว แต่อาการจิตตกนี้มันหนักมาก ผมแก้ไม่ได้ ผมเลยไปปรึกษาหลวงพ่อที่ผมเรียนธรรมด้วย ท่านสอนว่า เมื่อจิตตก ห้ามดูจิต แต่ให้ดูกายแทน ผมเลยกลับมาเดินจงกรม ดูแต่กายที่มันเคลื่อนไหวไปมา เดินอยู่ 7 วัน จิตตก ก็หลุดจากการวิตกกังวลได้สำเร็จ ผมก็เลยได้ประสบการณ์มาว่า ถ้าจิตตก ห้ามดูจิต แต่ให้ดูกายแทน ให้จิตไปมุ่งรู้ที่กาย แล้วจะแก้อาการจิตตกได้ ข้อแนะนำตอนนี้ก็คือ อย่าไปคิดจะหยุดมัน แต่ให้ไปฝึกการรู้ที่กายแทน ฝึกรู้กายให้มาก อย่าไปดูจิตเด็ดขาด ผมเชื่อว่าภายใน 5 -7 วัน อาการจิตตกน่าจะหยุดลงได้เองครับ การรู้กาย ผมมีเขียนไว้ในเรื่อง ตัวอย่างการฝึกเพื่อการรู้กาย//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2009&date=30&group=1&gblog=20 ในเรื่องเหตุผลว่าทำไมการรู้กายจึงแก้จิตตกได้ เพราะเมื่อจิตไปรับรับรู้อะไรมาก ๆ เข้า จิตจะไปจดจำไปยึดในสิ่งเหล่านั้นไว้ เมื่อจิตตก ถ้ายิ่งไปดูจิต จิตมันจะยิ่งจำอาการทุกข์ในจิตนั้นไว้ ทำให้เกิดการยึดติดไม่ยอมปล่อย ทีนี้ทุกข์ก็จะยิ่งหนักขึ้น การแก้ก็คือ ให้จิตไปยึดสิ่งอื่นแทนจิตที่กำลังตกนั้น และสิ่งทีไปยึดทีดีสุด ก็คือให้จิตไปยึดกายแทนครับ นี่คือการแก้ทุกข์ที่ใช้เหตุผลประกอบ ไม่ใช่มั่วซั่วส่งเดช แนะนำอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลนี้ กินให้อ้วน//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=08-2009&date=25&group=1&gblog=79 **** ขออวยพรให้ท่านหายจากจิตตกโดยเร็ววันครับ
Create Date : 03 ธันวาคม 2552
3 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:31:01 น.
Counter : 950 Pageviews.
โดย: viroot 8 ธันวาคม 2552 12:20:21 น.
โดย: นมสิการ 8 ธันวาคม 2552 16:17:30 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 18:44:33 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
ผมก็เคยจิตตก จนเก็บมานอนฝันร้ายแน่ะครับ
แต่จากอ่านบทความไม่นึกว่าจะต้องเดินจงกรมตั้ง 7 วัน