รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
29 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 

ไม่ยึดติด อะไรไม่ยึดติดจึงจะไม่ทุกข์

ผมเขียนเรื่องไม่ยึดติดไปก่อนหน้านี้ 2 วัน แต่อาจมีบางท่านอ่านแล้วอาจงุนงงและมีคำถามคาใจขึ้นมาว่า อะไรที่ไม่ยึดติดกับอะไรแล้วจึงไม่ทุกข์ บทนี้ ผมจะเขียนแบบจะจะชัด ๆ ฟันธงให้ท่านเห็นภาพ ไม่อ้อมค้อม

ก่อนอื่น ผมขอทำความเข้าใจกับคำว่า ทุกข์ ก่อน ภาษาไทยกับบาลี นี้ทำให้คนไทยสับสนกันมาก

ทุกข์ในบทนี้ ผมจะหมายถึง ทุกข์ ที่เป็นภาษาไทย คือ ความไม่สบายใจ ไม่สบายกายครับ
ไม่ใช่ทุกข์ที่เป็นไตรลักษณ์

เมื่อนิยามคำว่า .ทุกข์.ชัดเจน ก็เริ่มเรื่องได้เลยครับ

พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 1 ว่า อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ซึ่งถ้าแปลกันแบบชาวบ้านก็คือ การที่คนเราเข้าใจว่า ร่างกายนี้ จิตใจนี้ที่กำลังเป็นทุกข์อยู่่ ไม่สบายอยูุ่ นี้เป็นของเรา เป็นตัวเรา นี้คือทุกข์

ข้างบนคือคำแปลครับ

ผมแนะนำให้ท่านอ่านเรื่องนี้ก่อนอ่านต่อไปครับ มโน ตอนที่ 1 - รูป นาม คือ อะไร

ทีนี้ผมจะเล่าให้ฟังในแง่ของอุปาทานขันธ์ 5 ในแบบสภาพทางกายภาพ (physical)

ทุกข์เกิดขึ้นเพราะจิตลูกโป่ง(จิตทีมีอวิชชาครอบงำ)ได้พลัดหลงเข้าไปใน.มโนทวาร.แล้วถูกตัณหาจับดึงยึดติดไว้ในมโนทวารให้เกาะติดกับอาการที่กำลังแปรเปลี่ยนในมโนทวาร

ตัวจิตลูกโป่่งนี้แหละที่เป็นความเป็นตัวตนของท่าน เมื่อมันไปถูกดูดเข้าไปเกาะติดกับทุกข์ในมโนทวารเมื่อไร เช่น ไปเกาะติดกับทุกข์เวทนาทางกาย เวทนาทางใจ ท่านจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่า ฉันเป็นทุกข์แล้ว อาการที่จิตลูกโป่งไปเกาะติดนี้แหละครับ คือ การยึดติด
เมื่อจิตลููกโป่งไปยึดติดเพราะถูกแรงตัณหาดึงไว้ จิตลูกโป่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ทำให้ท่านเป็นทุกข์ไปนาน

เมื่อท่านทราบแล้วว่า ทุกข์เกิดเพราะจิตลููกโป่งไปเกาะติดกับทุกข์เวทนาทางกาย เวทนาทางใจในมโนทวาร ถ้าจะแ้ก้ทุกข์ ก็คือ ให้จิตลูกโป่งมันหลุดออกมาจากการเกาะตึดนั้นครับ ถ้าจิตลูกโป่งหลุดออกมาได้เมื่อไร ท่านจะรู้สึกได้ว่า ทุกข์ได้จบลงไปแล้ว

แล้วที่ีนี้จะให้จิตลูกโป่งมันหลุดออกมาจากมโนทวารได้อย่างไร

คำตอบก็คือ ท่านต้องฝึกฝนการเจริญสติสัมปชัญญะ ให้เกิดจิตตั้งมั่น
การที่จิตตั้งมั่นได้เมื่อไร จิตท่านจึงจะมีกำลังพอที่จะต่อสู้กับแรงดึงของตัณหา
ถ้ากำลังของจิตลูกโป่งมีแรงมากกว่่าแรงของตัณหา จิตลููกโป่งก็ชนะ และท่านจะไม่ทุกข์ครับ

ท่านอ่านมาถึงตอนนี้ ที่ผมฟันธงให้ คงเข้าใจเรืองการยึดติดที่ทำให้ทุกข์แล้ว

****
ผมจะนำเรื่องนี้มาโยงเข้าในเรื่องการฝึกฝนการเจริญสติสัมปชัญญะ

ผมได้เขียนไว้ข้างต้นแล้วว่า การฝึกฝนเพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในฐานของจิต ไม่พลัดหลงเข้าไปในมโนทวาร ดังนั้น การฝึกฝนของท่านก็เพื่อใ้ห้จิตตั้งมั่้น

ไม่ใช่ว่า การฝึกฝนนี้เพื่อการรู้ลมหายใจ หรือ รู้กระทบเวลาเดินจงกรม หรือ รู้การเคลื่อนไหวของมือ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

**ท่านสมควรจับหลักการฝึกให้แม่่น ๆ ว่า การฝึกสติสัมปชัญญะนั้น ฝึกเพื่อให้จิตตั้งมั่น แล้วจิตจะไปรู้อะไรก็ได้ ไม่สำคัญเลย ขอเพียงฝึกให้จิตมันตั้งมั่นจนชำนาญเท่านั้น**

การฝึกให้จิตตั้งมั่น ก็ง่ายแสนง่าย เพียงท่านรู้สึกตัวที่สบาย ๆ เฉย ๆ ผ่อนคลาย แล้วให้จิตเขารู้เองอะไรก็ได้ ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตอยู่แล้วที่จะรู้ได้เอง ผู้ฝึก.ไม่ต้อง.ไปใส่ใจเลยว่า นี่รู้ลมนะ นี่รู้กระทบนี้ นี่รู้ไหวนะ
เพียงฝึกอย่างนี้ที่เป็นธรรมชาติของท่านเสมอ ๆ เท่านั้น ฝึกมาก ๆ บ่อย ๆแล้วจิตเขาจะมีกำลังเพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละหน่่อยเอง และท่านก็ไม่ต้องไปใส่ใจกังวลเลยว่า ฉันเป็นโสดาบันแล้วหรือยัง ท่านเป็นอะไร มันไม่สำคัญเลยครับ ถ้าท่านไม่ทุกข์ซะอย่าง ท่านเป็นอะไรก็ได้ จริงไหมครับ

**************
เรื่องท้ายบท
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น เธอจักเห็นธรรมตามความเป็นจริง <--- นี่คือผลอีกอย่างของจิตตั้งมั่น ที่ไม่ทุกข์แล้วยังเห็นธรรมตามความเป็นจริงอีกด้วย

ถ้าท่านปฏิบัติตรงทางพุทธวจนะ ท่านจะไม่ทุกข์และเห็นธรรมตามความเป็นจริงอย่างแน่นอน




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2553
4 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:11:13 น.
Counter : 1218 Pageviews.

 

สาธุ ค่ะ เดี๋ยวนี้ดิฉันลองฝึกเวลาขับรถ เปิดเพลงเบาๆไปด้วย โอ้โฮ จิตนั้นตื่นรู้รับอารมณ์หลายๆอย่าง โดยไม่ต้องปรุงแต่งเลย ตาที่มองถนน หูที่ได้ยินเพลง มือที่สัมผัสพวงมาลัย เท้าที่เหยียบคันเร่ง หรือเบรค เป็นความรู้สึกตัวแบบมีสัมปชัญญะ ตามธรรมชาติ ไม่เครียด สบายๆ เวลาใครขับปาด หรือแซง จิตรู้อารมณ์วูบๆแบบว่าเออคงมีธุระด่วนมั้ง
แล้วหยุดคิดปรุงแต่ง ขับต่อไปเรื่อยๆ ที่วูบๆเป็นความรู้สึกตกใจกลัวเกิดอุบัติเหตุ

 

โดย: cakecode 30 พฤศจิกายน 2553 9:24:29 น.  

 

ลืมบอกไป ดิฉันไม่ได้กำหนดรู้ลมหายใจในเวลาขับรถนะคะ ดิฉันสังเกตอาการเคลื่อนไหวของกายและใจ ด้วยความรู้สึกตัวขณะที่กำลังทำอะไรอยู่ เท่านั้น ดิฉันฝึกการใช้ชีวิตประจำวันในบางช่วงเพื่อให้เกิดกำลังสติ กำลังสมาธิ
เดี๋ยวนี้ไม่ทำเพราะความอยาก คิดว่าเมื่ออินทรีย์ของเราถึงพร้อมเมื่อไหร่ เราคงได้เห็นการเกิดดับรูปนามตามความเป็นจริงเอง

 

โดย: cakecode 30 พฤศจิกายน 2553 9:36:09 น.  

 

สาธุครับ

 

โดย: นมสิการ 30 พฤศจิกายน 2553 9:41:57 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:27:42 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.