รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
17 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
การจัดการกับเรื่องความโกรธ

ในปุถุชนทั่ว ๆ ไป เมื่อมีการกระทบกระทั้งกันจนเกิดความโกรธ คนก็จะมักโกรธและเป็นทุกข์เพราะความโกรธนั้น และก็ยากที่จะหยุดความโกรธนี้ได้ ทำให้เป็นทุกข์อยู่กับโกรธไปพอสมควร

ในทัศนะของผม การจัดการกับความโกรธมี 2 แนวทางด้วยกัน

แนวทางที่ 1 เป็นการจัดการกับความโกรธด้วยสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นแนวทางที่ตรงหลักการทางด้านธรรมปฏิบัติในพุทธศาสนา เพราะว่า ถ้าสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ดีเสียแล้ว การจัดการกับความโกรธ มักจะได้ผลค่อนข้างสูง ยิ่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิดีเท่าใด ผลที่ได้ยิ่งดีเท่านั้น

วิธีการก็คือ ต้องฝึกฝนสัมมาสติ ให้มีสัมมาสมาธิเกิดขึ้น เกิดการแยกตัวออกของจิตกับจิตปรุงแต่ง ( ความโกรธ คือ จิตปรุงแต่ง ) เมื่อจิตแยกตัวออกมาได้จากจิตปรุงแต่ง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น จิตจะเห็นความโกรธนี้ แล้วความโกรธนี้จะสลายตัวลงไปเองอย่างรวดเร็ว นี่คือ ผลที่ได้อย่างหนึ่ง แต่ผลที่ได้นี้ ยังทำให้จิตเห็นไตรลักษณ์ของจิตปรุงแต่ง อันเป็นปัญญาในพุทธศาสนาอีกด้วย

จะเห็นว่า การจัดการความโกรธด้วยวิธีนี้จะได้แบบ 2 In 1 ( คือความโกรธสลายไปและเกิดปัญญา)

แนวทางที่ 2 เป็นการจัดการกับความโกรธด้วยการคิดในสิ่งที่ดีกับสิ่งที่ทำให้เราโกรธ วิธีนี้จะไม่แน่นอนเหมือนวิธีแรก เพราะถ้าโกรธขึ้นมาแล้ว มักจะใช้วิธีนี้ไม่ค่อยได้ผล แต่ถ้าความโกรธลดลงไปบ้าง ก็พอจะใช้วิธีนี้ได้ การคิดสิ่งที่ดีนี้ ก็แล้วแต่เหตุการณ์ที่เกิดขี้น เช่น มีคนขับรถเร็วมาก ๆ มาปาดหน้ารถของเรา พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คนก็มักจะโกรธก่อนและโกรธไปแล้ว แต่การหยุดโกรธแบบวิธีที่ 2 เช่น คิดในแง่ดีว่า คนขับรถนี้กำลังป่วยมาก ต้องการรีบไปโรงพยาบาลจึงต้องขับรถอย่างนั้น เราควรให้อภัยเขา

******

ผมมักเห็นในอินเตอร์เนท ที่มีผู้แนะนำว่า การจัดการกับความโกรธนั้นให้มองว่าความโกรธเป็นภัยร้าย เป็นสิ่งไม่ดี แล้วจะจัดการกับความโกรธได้ ผมกลับมองในมุมกลับกับวิธีการนี้

คนที่จัดการกับความโกรธไม่ได้นั้น จิตของคน ๆ นั้นจะเข้ายึดกับความโกรธไปแล้ว และ การยึดติดแบบนี้ คน ๆ นั้นจะเข้าใจว่า ความโกรธนั้นเป็นเรา เป็นของเรา เราเป็นคนโกรธ

ถ้าไปคิดว่า ความโกรธไม่ดี เป็นภัยร้าย ก็จะส่งผลให้คนที่คิดแบบนั้น มีอคติกับตนเองว่า ตนเองเป็นคนที่ไม่ดี คนที่แย่มาก จะทำให้คน ๆ นั้นมีปัญหาทางด้านจิตใจขึ้นมาและจะเป็นจิตส่วนลึกที่คอยย้ำเตือนอยู่เสมอว่า ฉันไม่ดี ฉันไม่ดี อะไรทำนองนี้ไป

แต่การจัดการความโกรธตามวิธีที่ 2 ในเรื่องข้างต้น เป็นการฝึกการให้อภัยต่อผู้อื่น ถ้าฝึกแบบนี้ จิตใจจะอ่อนโยนมากกว่าและไม่มีผลต่อจิตใจของตนเอง

ถึงอย่างไรก็ตาม การเป็นคนพุทธก็ควรจะเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องอริยสัจจ์ 4 อันมี มรรค 8 เป็นการปฏิบัติจึงจะล่วงทุกข์ได้ตามแนวทางที่ตรงที่สุดในพระพุทธศาสนา


************

เรื่องท้ายบท

การปฏิบัติธรรมนั้น การจัดการกับความโกรธจะเป็นสิ่งแรกที่นักภาวนาจะจัดการได้ด้วยการมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นได้ในระดับหนึ่ง ที่เป็นอย่างแรกนี้ เพราะความโกรธนี้เห็นได้ง่ายครับ มันจะมาแรงและใหญ่ จึงเห็นง่าย เมื่อเห็นได้ง่าย ก็จัดการกะมันได้ง่าย

การจัดการความโกรธสำหรับนักภาวนานี้ คือ แนวทางที่ 1 ในเรื่อง ซึ่งหมายความว่า ความโกรธนั้นเกิดได้ แต่จิตไม่เข้าไปยึดกับอาการโกรธนั้น นักภาวนาอย่าได้เข้าใจว่า เมื่อปฏิบัติแล้ว ความโกรธเกิดไม่ได้เลย แต่ควรเข้าใจว่า เมื่อปฏิบัติได้ผลแล้ว ความโกรธเกิดได้ แต่จิตไม่เข้ายึดความโกรธอีกเลยต่างหาก และ ความโกรธควรสลายตัวเป็นไตรลักษณ์ได้รวดเร็วเป็นปัญญาให้แก่จิตครับ




Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:07:27 น. 10 comments
Counter : 1070 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะ


โดย: i'm not superman วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:58:50 น.  

 
ขอบพระคุณคะ

จากการฝึกรู้ความรู้สึกที่กายตามที่ อ.นมสิการให้คำแนะนำมาระยะหนึ่ง

ศุกร์ที่แล้วนี้เอง ขณะคุยโทรศัพท์ แล้วรู้สึกว่าเริ่มจะในใจเริ่มขุ่นๆ
ทันใดนั้นก็รู้สึกมีแรงสั่นๆ คล้ายแรงปั่นพุ่งขึ้นมาในหัว(บริเวณกลางๆ)ซึ่งเกิดขึ้นเร็วมากประมาณแค่เสี้ยววินาที แล้วหายไป ก็รู้สึกงงๆ ว่าอะไร แต่ก็มีคำตอบตามมาว่ามันคือความโกรธที่ก่อตัวขึ้นมาแล้วหายไป เรียนถามอาจารย์ว่าตรงนี้คือจิตรู้หรือสัมมาสติหรือไม่คะ
แต่หลังจากนั้น เวลาก็มีความไม่พอใจที่เข้ามา ก็ไม่มีอาการแบบดังกล่าวข้างต้นอีก บางทีอาการไม่พอใจ เสียใจ เศร้า ก็เหมือนยังรู้ไม่ทันความรู้สึกนั้น


โดย: Nim IP: 203.157.72.218, 203.157.72.218 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:14:39 น.  

 
ตอบคุณ Nim

ที่เล่ามาตอนคุยโทรศัพท์ แล้วรู้สึกแบบนั้น และก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร นั่นแหละครับ จิตรู้ เขาทำงานแล้วจึงเป็นแบบนั้นได้

แต่ต่อมามันไม่เป็นอย่างนั้นอีก ก็ไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะว่า กำลังสัมมาสติของคุณยังไม่อยู่ตัวพอ มันจึงไม่เกิดแบบนั้นอีก

ขอให้ฝึกฝนต่อไป แล้วกำลังสัมมาสติมากขึ้น ก็จะเห็นแบบน้ันได้อีก แต่ขอว่า อย่าได้ตั้งใจว่าจะให้เป็นแบบนั้น ขอให้ฝึกตามธรรมชาติแล้วมันจะเป็นของเขาเอง เพราะต้องมาจากธรรมชาติครับ

อาการของจิตมันจะเป็นแบบนี้เองครับ มันจะขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่แน่นอน แต่พอฝึกไปเรื่อย ๆ มันจะเริ่มแน่นอนมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะกำลังของสัมมาสติ สัมมาสมาธิมีมากขึ้น

ยินดีด้วยครับ คุณก็เห็นอาการแล้วว่า การรู้ของจิตนั้น มันซื่อจริง ๆ รู้แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และการเกิดดับของไตรลักษณ์ มันเป็นอย่างไร มันเกิดเร็วมาก ที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ นอกจากพบเองเท่านั้นครับ

ขอให้หมั่นฝึกต่อไปนะครับ อย่าได้หยุดฝึก กำลังไปได้ดีแล้ว ถ้าหยุดก็จะน่าเสียดายมาก


โดย: นมสิการ วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:18:48:12 น.  

 
สาธุ


โดย: คนไม่ธรรมดา IP: 223.205.1.157 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:20:51:19 น.  

 
อนุโมทนาสาธุ คะอาจารย์

อ่านคำตอบจากอาจารย์แล้ว มีกำลังใจและทำให้แน่ใจว่ามาถูกทางแล้ว จะเพียรตั้งใจฝึกต่อไป ตามที่อ.แนะนำคะ เพราะสิ่งที่อาจารย์ได้แนะนำใoปฏิบัตินั้นไม่ยากเลยและทำได้ตลอดเวลาที่นึกได้

ไม่ทราบว่าอ.จะมีการจัดอบรมการเจริญสติอีกหรือไม่คะ หากมีโอกาสอยากจะไปและขอบพระคุณอาจารย์ด้วยคะ


โดย: Nim IP: 110.169.162.164 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:21:35:25 น.  

 
เรื่องอบรม ช่วงระยะนี้ ผมมีภาระกิจที่ต้องกระทำ ผมไม่สดวกครับ ถ้ามีการจัดอีก ผมจะประกาศให้ทราบในห้องกิจกรรม


โดย: นมสิการ วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:29:52 น.  

 
อนุโมทน และขอบพระคุณคะ


โดย: ์Nim IP: 124.122.11.176 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:10:12:18 น.  

 
อนุโมทนา ครับ


โดย: ทำไม่เป็น IP: 58.9.99.18 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:43:04 น.  

 
อนุโมทนาสาธุครับ


โดย: shadee829 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:2:52:56 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:15:21:22 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.