อย่าใช้จิต
มีพุทธพจน์ 2 เรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ อ่านดูก็ง่าย ๆ แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป จะบอกท่านได้ว่า ท่านเข้าใจการปฏิบัติได้ตรงอยู่หรือไม่ หมายเหตุ พุทธพจน์ เขียนจากความทรงจำ ดังนั้นจะไม่ตรงกับพุทธพจน์ทุกตัวอักษร ************ ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น **ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น เธอจักเห็นธรรมตามความเป็นจริง** ***จิตมีธรรมชาติที่ประภัสสร แต่ที่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา*** ************ จากพุทธพจน์ 2 เรื่องที่นำมาเสนอข้างต้น ผมจะแยกแยะให้ท่านเห็นภาพตามลำดับไป 1..ธรรมชาติของจิตนั้นประภัสสร ซึ่งหมายว่า ดีอยู่แล้ว สดใสอยู่แล้ว เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ที่เศร้าหมองเพราะมีสิ่งเข้ามาที่เรียกว่า อุปกิเลส ถ้าจะเปรียบทางโลกให้เข้าใจ ให้เห็นภาพ ขอให้นึกถึง ดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ที่เปล่งแสงสว่างสดใส นี่คือธรรมชาติของเขา แต่ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ บางครั้งเห็นดวงอาทิตย์สดใสบ้าง บางครั้งก็เห็นดวงอาทิตย์มัวซัวบ้าง บ้างครั้งก็ไม่เห็นเลยในตอนกลาววัน นี่เพราะสภาพท้องฟ้าที่มีเมฆ หมอก มาบดบังดวงอาทิตย์ ถ้าเราจะให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงสดใส เราต้องจัดการเรื่องเมฆ หมอก ไม่ใช่ไปจัดการดวงอาทิตย์ 2..ในการทำงานของจิตใจนั้น ถ้าท่านอยู่ในสภาพที่ปรกติ คือ **มีความรู้สึกตัวอยู่ เฉยๆ สบาย ๆ ไม่เครียด ไม่ต้องมีความอยากจะรู้อะไร ไม่ต้องคิดอะไรในสมอง** นี่คือสภาพที่เป็นปรกติของจิตใจของท่าน ที่ผมเน้นย้ำมาตลอด มันจะสดใส ราบเรียบ เปรียบดังดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสดใสทันที แปลว่า ในขณะนั้นที่ท่านเป็นอย่างนี้ จิตใจท่านดีอยู่แล้วตามธรรมชาติของเขา เพียงแต่ท่านยังไม่เข้าใจ ยังมองไม่ออกเท่านั้นเอง ! 3..แต่ถ้าท่านมีความเครียด / มีความอยากที่จะรู้สภาวะธรรม / มีการใช้ความคิดในสมองขึ้นมา จิตใจที่ราบเรียบสดใสในข้อ 2 จะไม่ราบเรียบทันที มีความขุ่นมัวขึ้นทันที มีการกระเพื่อมของพลังงานไปมา ถ้าท่านปฏิบัติจนเห็นจิตตัวเองได้แล้ว ท่านจะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นพลังงานที่ปรากฏตัวขึ้นในจิตใจของท่าน และถ้าท่านสังเกตตนเอง ตาที่เคยเห้นภาพแบบ panorama ที่เป็นอยู่ในขณะที่จิตใจปรกติที่ไม่ีมีอะไรนั้นจะหดแคบลงทันที เมื่อถึงตอนนี้ จะมีสิ่งที่เป็นไปได้อยู่ 2 เหตุการณ์ คือ 3.1 ถ้ากำลังสัมมาสมาธิของท่านตั้งมั่นอยู่ จิตท่านจะเห็นพลังงานเหล่านี้ทีมันกระเพื่อมอยู่ และเห็นพลังงานนี้มันแปรเปลี่ยนไปมาเป็นไตรลักษณ์ นี่คือ ปัญญาที่เกิดขึ้นแก่ท่าน ว่า พลังงานเหล่านี้ มันไม่ใช่ท่าน มันไม่ใช่ของท่าน ท่านยังรู้สึกว่า จิตใจยังดีอยู่ สบาย ๆ ได้ดีอยู่ 3.2 ถ้ากำลังสัมมาสมาธิของท่านไม่ตั้งมั่น แรงดึงยึดเกาะของตัณหาจะทำให้จิตลูกโป่งไปเกาะติดกับพลังงานเหล่านี้ และท่านจะไม่เห็นพลังงานเหล่านี้ และ ท่านจะรู้สึกว่าหนัก รู้สึกว่าเครียดขึ้นมาทันที ขอให้ท่านเปรียบกับพุทธพจน์ทั้ง 2 ข้างบน ท่านจะเห็นว่า นี่คือสิ่งที่เป็นจริงตามพุทธพจน์ 4..ปัญหาที่เกิดขึ้นกับมือใหม่ในการปฏิบัติคือการไม่สามารถตีความหมายพุทธพจน์ออกมาเป็นแนวการปฏิบัติได้อย่างตรงทาง 4.1 เมื่อจิตใจท่านดีอยู่แล้ว ถึงแม้เป็นมือใหม่ก็เถอะ ท่านไม่ต้องไปทำอะไรอีกให้จิตมันสงบ เพราะว่า จิตสงบอยู่แล้ว จิตมันดีอยู่แล้ว จิตไม่มีอะไรมารบกวนอยู่แล้ว แต่ถ้าท่านไปทำอะไรซิ กลับเป็นการไปใช้จิต ไปยุ่งกับจิต ไปทำให้จิตมันกระเพื่อม แทนที่จะสงบกลับไม่สงบทันที อาการนี้ก็คล้ายกับการกวนน้ำใสให้ขุ่น เมื่อจิตท่านดีแล้ว ท่านสมควรฝึกสัมมาสมาธิ โดยการรักษาสภาพจิตที่ดีนี้ไว้ และให้จิตไปรับรู้อาการทางกาย (ดิน ลม ไฟ) ที่เป็นการรู้ได้อาการเหล่านี้เอง เช่น การเดินจงกรม การรู้สึกถึงลมหายใจ การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันของท่าน หรือกล่าวอีกเป็นภาษาพระก็คือ การมีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ นั่นเอง เมื่อท่านฝึกอย่างนี้ จะทำให้จิตของท่านตั้งมั่นได้ ซึ่งการฝึกแบบนี้ ผมได้อธิบายไว้หลายที่ใน blog นี้แล้ว ท่านที่ติดตามอ่านมาคงทราบวิธีฝึกแล้ว ผมจะไม่เขียนซ้ำอีกในบทนี้ 4.2 แต่ถ้าจิตใจของท่านยังไม่ดี มันมีอะไรกระเพื่อมอยู่ภายใน จิตท่านขุ่นมัว ไม่ยอมสดใสสักที ถ้าท่านเป็นอย่างนี้ซิ ท่าน.จำเป็น.ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้.จิตท่านกลับมาสงบ สดใส.โดยเร็วที่สุด ซึ่งเทคนิคแบบนี้ ก็มีหลายวิธีด้วยกัน สุดแต่ใครจะถนัดอย่างไหน ก็ยกมาใช้ได้เลย แต่ถ้าจิตกลับมาสดใสใหม่แล้ว ก็สมควรหยุดได้แล้ว ไม่ต้องทำอีก แต่ท่านควรกลับไปฝึกข้อ 4.1 เสมอ ๆ เพื่อให้จิตตั้งมั่นให้ได้อย่างมั่นคง ซึ่งถ้าจิตท่านตั้งมั่นได้อย่างมั่นคงแล้ว มันจะเกิดเหตุการณ์ตามข้อ 3.1 ขึ้นมา และถ้ายิ่งตั้งมั่นมากเท่าใด เหตุการณ์ข้อ 4.2 จะยิ่งเกิดได้ยากแก่ท่านขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่เกิดขึ้นอีกเลย การทำจิตให้สงบตั้งมั่นนั้น ที่นิยมกันมาก ๆ ก็จะมีการใช้คำบริกรรม และ การรับรู้ลงไปที่กายเพียงอย่างเดียว *** กล่าวโดยสรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ ในการปฏิบัติ A.ถ้าจิตดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรให้จิตมันสงบก่อน แต่ให้ฝึกสัมมาสมาธิได้ทันที B.ถ้าจิตยังไม่ดี ไม่สดใส มีอะไรค้างคาภายใน ให้ทำให้จิตสงบ จิตให้สดใสให้ได้ก่อน เมื่อสงบแล้วก็หยุดทำ แล้วมาฝึกสัมมาสมาธิต่อได้ทันที
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553
14 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:11:50 น.
Counter : 1057 Pageviews.
โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2553 8:21:21 น.
โดย: cakecode 22 พฤศจิกายน 2553 9:45:04 น.
โดย: virut IP: 172.22.1.146, 203.185.129.38 22 พฤศจิกายน 2553 9:51:13 น.
โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2553 12:32:10 น.
โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2553 12:37:38 น.
โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2553 12:41:44 น.
โดย: virut IP: 172.22.1.146, 203.185.135.196 22 พฤศจิกายน 2553 13:31:03 น.
โดย: cakecode 22 พฤศจิกายน 2553 16:41:37 น.
โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2553 18:49:31 น.
โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2553 18:53:15 น.
โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2553 18:55:33 น.
โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2553 19:01:12 น.
โดย: cakecode 23 พฤศจิกายน 2553 9:24:30 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:28:33 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
ท่านที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม กรุณาเข้าไปลงชื่อได้ในหน้ากิจกรรม