รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
19 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 
มือใหม่เริ่มต้น ดูกายหรือดูจิต ดี ?

มีคำถามว่า ถ้าเป็นมือใหม่เริ่มต้นควรเริ่มจากแบบไหนดี มีคนบอกว่าแบบดูจิตดีเพราะง่ายและลัดสั้น จะเริ่มจากดูจิตดีไหม ขอคำแนะนำด้วย

***********************

คำถามที่เข้ามาในลักษณะนี้ เป็นคำถามยอดฮิตติดอันดับอันหนึ่ง ผมจำได้ว่าเคยตอบใน blog ไปแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เลยเขียนใหม่จะง่ายกว่าการไปค้นหาของเก่า

การตอบของผม ผมจะไม่ตอบตามพิมพ์นิยม ที่คนมักตอบว่า แล้วแต่จริตของผู้ภาวนา แต่ผมจะตอบจากประสบการณ์ที่ผมพบในการปฏิบัติ อันเป็นความจริงชนิดที่ผู้ที่ผ่านการภาวนามาพอสมควรจะเห็นได้แบบนี้ทั้งหมดว่า เส้นทางการเดินทางของการภาวนาจะต้องเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน

ผมจะให้ข้อมูลแก่ท่าน แล้วท่านตอบได้ตัวเองครับ

1..ถ้าท่านเป็นมือใหม่ป้ายแดง แน่นอนว่า กำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ของท่านจะอ่อนปวกเปียก ไม่มีกำลังที่จะต่อต้านกับแรงของตัณหาได้เลย ซึ่งผู้ที่อยู่ในสภาพแบบนี้ พอกิเลสเกิด ก็จะถูกน๊อคทันที ท่าน.ไม่มีทาง.เลยที่จะ.เห็น.อาการแต่ละอย่างของขันธ์ 5 ได้เลย

ซึ่งหมายความว่า

อาการทางกายเกิดขึ้น จิตท่านก็ไปจับยึดว่า อาการนี้เป็นของกรู เป็นตัวกรู
อาการทางจิตเกิดขึ้น จิตท่านก็ไปจับยึดว่า อาการนี้เป็นของกรู เป็นตัวกรู
เป็นไปไม่ได้เลย ทีท่านจะ.เห็น. 1.กาย 2.เวทนา 3.จิต+จิตปรุงแต่ง 4.ธรรม เป็นไตรลักษณ์
เมื่อท่านไม่เห็น กาย/เวทนา/จิต+จิตปรุงแต่ง ท่านจะ.ไม่มีทาง.เลยที่จะดูกายและดูจิตให้เห็นได้ว่า ขันธ์เหล่านั้น มันไม่ใช่ของกรู ไม่เป็นตัวกรู

ท่านอ่านอย่างนี้ อย่าพี่งท้อถอย เพราะยังมีทางอยู่

2..การเริ่มต้นนั้น ท่านมือใหม่ป้ายแดงจะต้องเริ่มจากการพัฒนากำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิเสียก่อนครับ ให้สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มีกำลังมากขึ้น พอมีกำลังมากขึ้น จะเกิดอาการแยกตัวออกของจิตรู้และสิ่งที่ถูกรู้ขึ้น พอเกิดการแยกตัวออกของจิตรู้ได้แล้ว ทีนี้ท่านจะเริ่มเห็นอาการของขันธ์ 5 ได้บางอย่างแล้ว

แต่ท่านยังไม่สามารถเห็นจิตได้ครับ เพราะขันธ์ 5 นั้นไม่ใช่ตัวจิตนะครับ มันคนละตัวกัน

ในการฝึกให้จิตรู้แยกตัวออกมา มีหลายวิธี หลายสำนัก ที่คนมักเรียกกันว่า การทำสมถะ
ที่นิยมกันมาก ๆ ในตอนนี้ ก็มี การบริกรรมพุทโธ/พองยุบ การเดินจงกรม การเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน อาณาปานสติ และ อื่น ๆ อีก สุดแล้วแต่ว่าสำนักไหนจะคิดดัดแปลงอะไรออกมาสอนกัน

ส่วนสำนักไหน สอนถูก/สอนผิด ผมขอไม่ตอบครับ เดียวมีเรื่องกัน ท่านต้องเสี่ยงวัดดวงกันเอง
เพราะทุกสำนัก ต่างก็บอกว่า ของตนถูกทั้งสิ้น ของตนถอดมาจากพระไตรปิฏก ไม่ผิดแน่ ๆ

ข้อ 2 นี้สำคัญมากครับ ถ้าท่านได้อาจารย์ดี สอนดี ท่านเข้าใจ ท่านลงมือฝึกไป จิตรู้ของท่านจะแยกตัวออกในเวลาไม่ถึงปี แต่ถ้าจิตรู้ของท่านไม่แยกตัวออกมาภายใน 1 ปี ท่านสมควรทบทวนตัวท่าน วิธีปฏิบัติของท่าน สำนักเรียนของท่าน สิ่งที่ท่านเรียนได้แล้วว่าท่านเข้าใจอะไรผิดไปจากที่อาจารย์เขาสอนหรือเปล่า สำนักอาจสอนไม่ผิด แต่ท่านอาจเข้าใจอะไรผิดไปเองก็ได้ ทำให้ไม่ได้ผลคือการแยกตัวออกมาของจิตรู้

3..ทีนี้ สมมุติว่า ท่านฝึกมาดี จิตรู้แยกตัวออกมาได้แล้ว ท่านจะเริ่มเห็นอาการต่าง ๆ ของขันธ์ 5 ได้แล้ว ท่านจะวนเวียนกับการเห็นอาการของขันธ์ 5 อยู่นานเป็นปี เพราะอาการของขันธ์ 5 มีทั้งละเอียด ทั้งหยาบ ท่านจะเข้าใจได้ในอาการต่าง ๆ ของขันธ์ 5 ได้ว่า ขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์

แต่ท่านก็ยังไม่เห็น.ตัวจิต.อยู่ดีครับ

เมื่อท่านเห็นอาการต่าง ๆ ของขันธ์ 5 ไปมาก ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในจิตใจท่าน ท่านจะเกิดสิ่งหนึ่งที่เรียกกันว่า .ญาณ. พอท่านเกิด.ญาณ.แล้ว ที่นี้ท่านจะเห็นจิตที่มัน.นิ่งสงบ.ได้แล้ว ท่านจะเห็นได้ด้วยตนเองว่า .จิตนิ่ง.มันเป็นอย่างนี้เอง และ จิต ไม่ใช่ ขันธ์ 5 เป็นอย่างนี้เอง

ใหม่ ๆ ท่านจะเห็นจิตที่นิ่งสงบได้ไม่ดีนัก คือเห็นได้ไม่บ่อย บางครั้งก็หายไป มองไม่เห็น แต่ท่านยังเห็นขันธ์ 5 ได้อยู่ ท่านต้องฝึกต่อไปเรื่อย ๆ ท่านจึงจะมีความชำนาญในการเห็นจิตที่นิ่งสงบได้มากขึ้น ได้นานขึ้น และจนกระทั้ง เห็นได้ตลอดไม่คาดเลย ซึ่งท่านต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก และ พากเพียรอย่างถูกวิธีด้วย จึงจะเป็นแบบนี้ได้

4.. ผมเขียนมา 3 ข้อให้ท่านเห็น ท่านคงประมวลผลได้เองนะครับว่า ท่านจะเริ่มอย่างไรดี

*****
เรื่องท้ายบท

ในพระไตรปิฏก มีสิ่งหนึ่งที่อาจดูเหมือนว่าขัดแย้งกันเอง กล่าวคือ บางที่ในพระไตรปิฏก มีการกล่าวว่า พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญอาณาปานสติและบอกว่าพระองค์อยู่โดยมากด้วยอาณาปานสติ
แต่ก็มีอีกพระสูตรหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระสารีบุตร และ พระองค์ทรงตอบว่า พระองค์อยู่โดยมากด้วยสุญญตา

ทำไมพระสูตรขัดแย้งกันหรืออย่างไร ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสไม่เหมือนกัน

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

ในคนที่เขาปฏิบัติได้ดีจนเกิดญาณแล้ว เขาจะเห็นจิตที่สงบนิ่งได้ดังเขียนในข้อ 3 ข้างต้น
เมื่อเขาฝึกได้ดีมาก ๆ เขาจะเห็นจิตที่สงบนิ่งได้ตลอดเวลา เมื่อเกิดสภาพแบบนี้ เขาจะพบกับสภาพของสุญญตาครับ เมื่อเขาอยู่ในสภาพของสุญญตา เขาไม่ได้พบแต่สุญญตาเท่านั้น แต่เขายังรับรู้ลมหายใจพร้อมกันไปด้วยอันเป็นอาณาปานสติครับ ซึ่งหมายความว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสไม่ขัดแย้งกัน เพราะทั้งสุญญาตาและอาณาปานสตินั้นเกิดพร้อมกันและเห็นได้พร้อมกันสำหรับผู้ที่ภาวนาได้ถึงแล้ว (ซึงหมายความว่า ผู้ที่ฝึกมาดีแล้ว เขาจะเห็นได้ทั้งกายและทั้งจิตได้พร้อม ๆ กันไปเลย)

แต่สำหรับคนที่ฝีกอาณาปานสติอยู่แต่ยังไม่มีญาณเห็นสภาวะของสุญญตา เขาจะพบแต่อาณาปานสติเท่านั้น

คงมองภาพออกนะครับ



Create Date : 19 มีนาคม 2554
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:06:26 น. 15 comments
Counter : 1239 Pageviews.

 
ขอบคุณมากนะคะ สำหรับคำแนะนำดีดี จะแวะมาอ่านบ่อยๆ นะคะ


โดย: peepin (tangkaw ) วันที่: 19 มีนาคม 2554 เวลา:20:38:23 น.  

 


โดย: wbj วันที่: 19 มีนาคม 2554 เวลา:20:49:21 น.  

 
เข้าใจได้มากขึ้นค่ะ
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ที่เขียนได้ละเอียดเข้าใจง่าย

สาธุค่ะ


โดย: หัดเดิน IP: 113.53.46.88 วันที่: 20 มีนาคม 2554 เวลา:9:52:59 น.  

 
สวัสดีครับ
มีข้อสงสัยเล็กน้อยครับ

คือวันนี้ผมเห็นเม็ดๆอะไรเต็มไปหมดเลยครับ คล้ายๆเม็ดสาคู ลักษณะเป็นวงกลมเล็กๆ มีจุดตรงกลาง บางเม็ดก็เกาะติดๆกันคล้ายเป็นเส้น เป็นขด บางเม็ดก็กระจายๆกัน บางเม็ดระยิบ ระยับ วิ่งไปวิ่งมากระจัดกระจาย

เม็ดๆเหล่านี้เกิดขึ้นเหมือนเป็น layer หรือชั้นบางๆ อยู่ตรงหน้า โดยที่ผมยังสามารถรับรู้ภาพจากสายตาได้ปกติ เห็นอยู่ และดูอยู่ตั้งนานครับ ร่วมๆ 2 ชม. ไม่ได้เกิดตอนนั่งสาธินะครับ ตอนกลางวันนี่แหละครับ

มันเป็นสภาวะทางจิตหรือทางธรรมอะไรไหมครับ
หรือเป็นเพียงแค่อุปาทานของตัวผมเองเท่านั้นครับ

ขอบคุณครับ


โดย: วิทย์ IP: 125.24.142.117 วันที่: 20 มีนาคม 2554 เวลา:15:26:50 น.  

 
อาการที่เล่ามานั้น ยากจะสรุปว่าเป็นอะไร ซึ่งสิ่งที่เป็นได้มีหลายอย่าง ดังนี้

1..อาจเป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นมา คล้าย ๆ กับนิมิต
2..อาจเกิดจากการทำงานของประสาทตา (ทางการแพทย์)
3..อาจเป็นอะไรที่คุณเห็นจริง ๆ ก็ได้
4..อื่น ๆ

แต่สิ่งเหล่านี้ สักแต่เป็นสิ่งรู้เท่านั้น ในการปฏิบัติ เมื่อรู้แล้วก็แล้วกัน ไม่ต้องไปสนใจอะไร หรือ ไปค้นหาว่า สิ่งนั้น ๆ คืออะไร

จากประสบการณ์ที่ผมเคยพบ ผมพบอะไรแปลก ๆ หลายอย่างในการปฏิบัติ แต่สิ่งเหล่านี้

อย่าได้ใส่ใจครับ มันไม่ได้วิเศษอะไรเลย ในการปฏิบัตินั้น เราต้องการสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เพื่อตัดอำนาจของตัณหาลง


โดย: นมสิการ วันที่: 20 มีนาคม 2554 เวลา:17:19:08 น.  

 
รับทราบครับผม

ตอนนี้ที่ปฏิบัติอยู่ ก็มีนั่งสมาธิก่อนนอน
พอได้มาเจอเว็บนี้ เลยเพิ่มการปฏิบัติเข้าไปอีกนิดหน่อย
โดยเวลากลางวัน ก็พยายามมีสติรู้สึกตัวเสมอๆ เพราะเผลอบ่อยครับ ยิ่งตอนหงุดหงิด แล้วต้องรับโทรศัพท์ลูกค้านี่ ถ้ารู้ตัวทันนะ จะลูบท้องให้รู้สึกตัวชัดๆ ก่อนรับโทรศัพท์เลยครับ ช่วยได้เยอะทีเดียว

ส่วนที่สงสัยนั้น จริงๆผมก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยครับ
เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นเอง ว่ามีใครเคยเป็นบ้างไหม หรือเผื่อจะไปตรงกับสภาวะทางธรรมอะไรเข้า จะได้เข้าใจมากขึ้น เช่น ผมเคยนั่งสมาธิมา แล้วตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ก็มีคำอธิบายให้พอเข้าใจได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้นน่ะครับ จริงๆก็มีอะไรแปลกๆอีกหลายอย่างน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพียงแต่อาการแบบนี้ เกิดกะผมเป็นครั้งแรก แล้วนานด้วยครับ เท่านั้นเอง หรืออาจจะต้องไปพบแพทย์ทางสายตาแล้วก็ได้ครับ หุหุ

จะพยายามฝึกต่อไปครับ
ขอบคุณมากๆครับ


โดย: วิทย์ IP: 125.24.142.117 วันที่: 20 มีนาคม 2554 เวลา:18:01:28 น.  

 
มือไหม่ควรจะเริ่มต้นจากสถานที่สงบๆ ในการปฏิบัติก่อนจะดีไหมครับ ถ้าฝึกในชีวิติประจำวันเลยซึ่งมีความสับสนวุ่นวายก็ยากที่จะ
ปฎิบัติได้ดี อันนี้อาจารย์เห็นด้วยไหมครับ


โดย: เนื้อนาบุญ IP: 125.26.92.18 วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:15:15:15 น.  

 
ก็น่าจะเป็นที่สงบก่อนครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:15:41:43 น.  

 
เรียนอาจารย์นมสิการคะ
ปกติเจริญสติในรูปแบบ เกือบทุกวัน วันละ 1 ชม. และรู้กายบ้าง ความคิดบ้าง เท่าที่พอทำได้ในชีวิตประจำวันขณะทำการงาน ปฏิบัติมา ประมาณ 3 เดือนแล้วคะ

แต่วันนี้ต่างจากทุกวันคะ พอเสร็จงาน รู้สึกสบายๆไม่มีอะไรในหัวเลย(ไม่ได้คิดอะไรเลย)เดินรับลมไป แค่รู้สึกถึงสัมผัสที่ขาและแขนทั้งสองที่เคลื่อนไหวสักพักเดียว ก็รู้สึกอุ่นๆสบายๆขึ้นมาจากบริเวณท้ายทอย..ขึ้นมาทางกระหม่อม แล้วคล้ายว่ามีบางสิ่งในคล้ายหัวเป็นก้อนๆเล็กบ้างใหญ่บ้างลอยออกไป แล้วก็รู้สึกถึงความโปร่งเบาสบาย..เบาหัวเลยคะ แล้วรู้สึกว่ามีความสุข ใจมันยิ้มออกมา..
ประคองได้ 2-3 นาทีก็หายไปคะ

เรียนถามอาจารย์คะว่า สภาวะที่เล่ามานี้ควรที่จะปฏิบัติเน้นทางกาย หรือความคิด หรืออาจารย์มีข้อแนะนำใดเพิ่มเติมมั๊ยคะ

อนุโมทนาคะที่อาจารย์เคยแนะนำ กฏ 3 ข้อ 1ให้รู้สึกตัว 2 สบายๆ 3 อย่าอยากรู้อะไร เดี๋ยวจิตจะรู้เอง


โดย: ์Nim IP: 115.87.49.18 วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:20:35:29 น.  

 
ที่เล่ามานั้น ก็ดีแล้วครับ การปฏิบัตินั้น ในกฏ 3 ข้อ ไม่ได้เน้นที่กาย หรือ เน้นที่ความคิด แต่เป็นการเน้นที่ความรู้สึกตัวที่ผ่อนคลายครับ

เมื่อรู้สึกตัวที่ผ่อนคลาย ผลก็คือ มันจะออกมาในอย่างที่คุณพบ แต่สิ่งหนึ่งที่มันซ่อนไว้ที่คุณไม่กล่าวถึงก็คือ การทีสติตั้งมั่น สติที่ตั้งมั่นนั้น มันจะคานอำนาจของตัณหาครับ ซึ่งมันจะปรากฏตอนที่คุณพบกับอาการที่เป็นทุกข์ในชีวิต ส่วนอาการเบาสบายนั้นเป็นอาการที่เป็นของแถมให้กับชีวิต

แต่ในการฝึกฝนนั้น เมื่ออยู่ในอาการของกฏ 3 ข้อ ผู้ฝึกฝนจะรับรู้.กาย.เป็นส่วนใหญ่ เพราะกายเกิดตลอดเวลาอยู่แล้ว และ หยาย รู้ได้ง่ายกว่า

ส่วนความคิดก็จะรูุ้ได้เช่นกัน แต่ความคิดจะเกิดไม่ตลอดเวลาเหมือนกาย และ การรู้ความคิด คนบางคนก็อาจยังรู้ไม่ได้ ถ้ากำลังสติยังอ่อนอยู่ แต่กายจะหยาย จะรู้ได้มากกว่า รู้ได้ดีกว่า ดังนั้น ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า ให้รู้ที่.กาย. ก็พอได้อยู่ แต่ในความเป็นจริง เราไม่ได้เน้นที่.กาย. แต่เน้นที่ให้มี.สติ. แล้วเมื่อมีสติ ก็จะรู้กายได้ รู้ความคิดได้


โดย: นมสิการ วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:23:43:23 น.  

 
ให้อ่านเรื่องนี้เพิ่มด้วยครับ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=22-03-2011&group=13&gblog=82


โดย: นมสิการ วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:6:52:06 น.  

 
ขออนุญาตคุณนมสิการตอบคุณวิทย์นะครับ
ตอบตามที่ทราบ หากผิดไปต้องขออภัยครับ

หากเป็นความเชื่อจากการนั่งสมาธิ หลายคนเชื่อว่า
นี่เป็นพลังงานที่ดีอันเป็นผลมาจากจิตที่เป็นสมาธิครับ

แต่หากเป็นด้านวิทยาศาสตร์ อาจเป็นผลมาจากวุ้นในตาเสื่อม
ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายครับ

ถามว่าหากเป็นอาการวุ้นในตาเสื่อมน่าจะเห็นมานานแล้วนะ
ตอบว่าอาจจะไม่ได้เห็นกันตลอดครับ บางคนไม่เจอนานจนนึกว่าหายไปแล้ว

แต่ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรผมชอบคำตอบของคุณนมสิการมากครับ

รู้แล้วก็แล้วกัน


โดย: ขอบฟ้าบูรพา วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:16:17:28 น.  

 
มีความรู้อะไรก็มาแบ่งปันกันครับ ขอบคุณครับ

การให้ธรรมทานเป็นกุศลอันยิ่ง


โดย: นมสิการ วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:18:39:53 น.  

 
เรียนอ.นมสิการ

อนุโมทนาสาธุ และขอบพระคุณคะ อ.นมสิการ มากคะ ที่เมตตาอธิบายได้ชัดเจนและกระจ่างมากคะ ที่ผ่านตนเองาก็ฝึกรู้กายเป็นส่วนใหญ่คะ เวลาเดินแกว่งมือ จรู้สึกะวูบวาบเห็นได้ชัดเจนมากคะ

อ่านที่คุณขอบฟ้าบูรพาเสริมเรื่องอาการทางตาที่คุณวิทย์เป็นนั้น
ตนเองก็มีอาการนี้เหมือนกัน อ่านคำตอบแรกที่บอกว่า
"เป็นพลังงานที่ดีอันเป็นผลมาจากจิตที่เป็นสมาธิ" ซึ่งน่าสนใจมากคะ

ขออนุญาตอ.นมสิการ เล่านิดนึงคะ..
คืนก่อนวันที่จะมีอาการทางตา ตนเองมีอาการนอนไม่หลับและปวดเมื่อย แบบไม่มีสาเหตุ พอเช้าออกไปทำงาน เจอแสงสว่างๆ ก็เห็นเส้นใยๆลอยไปมาอยู่ข้างหน้า ก็คิดสงสัยว่าหรือเพราะเราเจริญสติได้ดี
แล้วเคยมีอาการแสงแว๊บๆคล้ายแสงแฟลชที่ตาขณะใช้คอม
เป็นก่อนเกิดใยแมงมุมเป็นเดือนๆแล้ว..
ก็กังวลคะจึงไปหาหมอ หมอบอกว่า เป็นวุ้นในตาเสื่อม แต่จอตาปกติดี
(หมอบอกว่าคนที่จอตาเสื่อมก็จะมีอาการเห็นแสงแฟลชเช่นกัน)
หมอบอกไม่น่ากังวลหมอให้ยาบำรุงสายตาและให้ตัดแว่นกันแสง
ทุกวันนี้ก็ชินแล้วคะ (แสงแว๊บหายไปแล้ว)

แต่ สามสี่วันมานี้จะมีแสงมาปรากฏแถวตาแต่ไม่ใช่แสงแว๊บๆแบบเมื่อก่อนคะ เป็นแสงที่มาคลอ ๆ แถวขอบตาล่างประมาณ 2 วิแล้วหายไป แสงปรากฏตอนมีสมาธิขณะทำงานและไม่ได้จ้องจอคอม
แต่ตัวเองก็แค่รู้สึกตามกฏ3ข้อไปเรื่อยๆคะ
แต่ก็แอบสงสัยว่าเป็นแสงแห่งจิตที่ อ.นมสิการเคยกล่าวถึงรึเปล่านะ
แต่ก็คิดว่าตนเองยังมีสติไม่ได้ตั้งมั่นมากขนาดนั้นก็ไม่น่าใช่
สงสัยแล้วก็วางไปคะ ไม่ได้ติดใจอะไรมาก..


โดย: Nim IP: 124.122.16.60 วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:21:37:31 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:15:19:42 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.