ไม่รู้สึกทุกข์ อย่างนี้ภาวนาถูกหรือเปล่า
ถ้าท่านเป็นผู้่หนึ่งที่ลงมือภาวนา แล้วรู้สึกว่า ภาวนาแล้วไม่ทุกข์ ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ภาวนามาถูกหรือเปล่า ผมขอให้ดูภาพ เพื่อประกอบคำอธิบาย A..มาดูขบวนการเกิดทุกข์กันก่อน เมื่อคนเรามีการรับรู้ผ่านทางระบบประสาท กล่าวคือ ตาเห็นภาพ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส กายได้รับสัมผัส จิตใจมีการนึกคิด ถ้าสิ่งที่รับรู้เข้ามาดังกล่าว มีความ...รุนแรง...พอเพียง จะมีขบวนการจิตปรุงแต่งเกิดขึ้น อันเนื่องจาก.อวิชชา.ที่ปกคลุมจิตใจอยู่ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่า ท่านไม่ชอบหน้าคน ๆ หนึ่ง พอคน ๆ นี้เดินมาให้ท่านเห็นหน้า ท่านจะหนีก็หนีไม่ได้ ต้องอยูุ่ที่นั้น คน ๆ นี้เดินตรงเข้ามาหาท่านทันที เพื่อจะพูดคุยเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง การรับรู้นี้แรงพอ ที่จะทำให้เกิดขบวนการของจิตปรุงแต่งอันเนื่องจาก.อวิชชา. ท่านจะเกิดอาการไม่พอใจทันทีขึ้นภายในจิตใจของท่าน (ดูภาพที่เป็น วงกลมสีน้ำเงินอ่อน) ส่วนที่เป็น.จิตลูกโป่ง.(ภาพวงรีสีฟ้า-คือจิตที่ถูกอวิชชาปกคลุม) จะถูก.ตัณหา.ดึงให้เข้าไปเกาะติดกับจิตปรุงแต่ง ที่เป็นวงกลมสีน้ำเงินอ่อน เมื่อ จิตลูกโป่ง เข้าไปเกาะติดกับ จิตปรุงแต่งแล้ว ท่านจะเกิดทุกข์ใจขึ้นมาทันที และท่านจะเข้าใจว่า ท่านเป็นทุกข์แล้ว ทุกข์นี้เป็นตัวท่าน ทุกข์นี้เป็นของท่าน นี่คือ สภาพที่ท่านพบทุกข์อย่างแท้จริง จิตใจจึงเป็นทุกข์ B..มาดูขบวนการที่ทุกข์ไม่เกิด จากเหตุการณ์คล้าย ๆ กับข้อ A ทีนี้ คนที่ท่านเห็นเป็นคนแปลกหน้าที่ท่านไม่รู้จักมาก่อน คนแปลกหน้าคนนี้ เดินเข้ามาหาท่าน พร้อมกับถามเส้นทางเพราะเขากำลังหลงทาง การที่ท่านเห็นคนแปลกหน้าคนนี้ เป็นการรับรู้ที่ไม่เกิดความ..รุนแรง..พอที่จะกระตุ้นให้เกิดจิตปรุงแต่งอันเนื่องด้วย.อวิชชา. เมื่อไม่เกิด.จิตปรุงแต่ง.แบบนี้ขึ้น ท่านก็จะรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่คือ สภาพที่ท่านยังไม่ได้พบทุกข์อย่างแท้จริง จิตใจจึงไม่มีทุกข์ C..มาดูขบวนการดับทุกข์ที่ได้ปัญญา ในนักภาวนาที่เข้าใจวิธีการปฏิบัติสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง นักภาวนาจะต้องมีการฝึกฝนการเจริญสัมมาสติสัมมาสมาธิจนกระทั้งเกิด.จิตตั้งมั่น. จากเหตุการณ์ในข้อ A. เมื่อนักภาวนาเห็นคนที่ไม่ชอบใจ และเกิดจิตปรุงแต่งขึ้นมาดังที่ได้อธิบายไปแล้วในข้อ A. แต่เนื่องด้วย นักภาวนานี้ฝึกฝนสัมมาสมาธิ จนเกิด.จิตตั้งมั่น. เมื่อเกิดจิตตั้งมั่น จิตลููกโป่ง จะสามารถชนะแรงดึงของตัณหาได้ ทำให้จิตลููกโป่งนั้น.ไม่.เข้ามาแนบชิดติดกับจิตปรุงแต่งที่เกิดขึ้นนั้น จิตลูกโป่ง ยังคงเป็นอิสระตั้งมั่นอยู่ในฐานอยู่ เมื่อจิตลูกโป่งยังคงเป็นอิสระจากจิตปรุงแต่ง นักภาวนาก็จะไม่เกิดทุกข์ขึ้นมา ในขณะเดียวกัน จิตปรุงแต่ง ก็จะดับลงเป็นไตรลักษณ์ตามกลไกธรรมชาติที่เป็นไปเอง นักภาวนาจะเห็น จิตปรุงแต่งดับไปต่อหน้าต่อตา และเกิดปัญญาตามมาว่า จิตปรุงแต่งนี้ไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับลงไป มันไม่ใช่ตัวเขา มันไม่ใช่ของ ๆ เขา นี่คือ ขบวนการดับทุกข์ และเกิด.ปัญญา.ที่เกิดขึ้นกับนักภาวนาที่มีสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น D..มาดูขบวนการดับทุกข์ที่ไม่เกิดปัญญา จากภาพสี่เหลี่ยมสีบานเย็น เป็นการจงใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้ทุกข์เกิดขึ้น หรือภาษานักภาวนาเรียกกันว่า การแทรกแซงจิต หรือบ้างก็เรียกว่า การกดข่มจิต ที่นิยมกันมาก ๆ คือ การใช้คำบริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ดังเหตุการณ์ในข้อ A.. เมื่อท่านเกิดไม่ชอบหน้าคน ๆ นี้และจิตใจเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา แต่คน ๆ นี้เป็นหัวหน้างานของท่าน ท่านจำเป็นที่ต้องรักษาจิตใจไว้ไม่ให้มีการแสดงอะไรออกมา มิฉะนั้นอาจถูกไล่ออกจากงานได้ ท่านก็ลงมือบริกรรม เช่น นึกคำว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ การที่ท่านนึกคำบริกรรมนี้ จิตลูกโป่งจะไปยึดคำบริกรรมและจะไปกดข่มจิตปรุงแต่งที่กำลังเดือดปุด ๆ ให้สงบลงได้ เมื่อจิตใจสงบลง ทุกข์ก็ลดลงไป อีกตัวอย่างหนึ่งคล้าย ๆกัน ถ้าท่านปวดฟัน ท่านก็นึกคำบริกรรมทันที ความปวดฟันก็จะลดลงไป เพราะจิตลูกโป่งไปยึดคำบริกรรมแทนที่จะไปยึดทุกขเวทนาทางกายอย่างเต็มร้อยเปอร์เซนต์ ในนักภาวนาบางคน ที่ยังไม่เข้าใจในการภาวนาดีพอ มีการกระทำบางอย่างอยู่เสมอโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว เช่น บางคนไปเพ่งความว่าง บางคนไปเพ่งลมหายใจเพราะนึกว่านี่คืออาณาปานสติ การกระทำอย่างนี้ เป็นการกดข่มจิตให้เข้าไปจับยึดในสิ่งที่กระทำอยู่ ทำให้จิตใจเกิดการนิ่ง ๆ ทำให้ทุกข์ไม่เกิดขึ้น นักภาวนาจะรู้สึกดี เพราะเห็นว่า ทำอย่างนี้ ไม่มีทุกข์เกิดขึ้นเลย แต่การกระทำดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดปัญญาเพราะเมื่อไม่เกิดทุกข์ นักภาวนาจะไม่รู้จักทุกข์ ว่า ทุกข์นั้นเป็นไตรลักษณ์ ทุกข์นั้นไม่ใช่เรา ทุกข์นั้นไม่ใช่ของเขา (ดังที่ได้เขียนไว้ในข้อ C ที่ดับทุกข์ที่ได้ปัญญา ) ********************** ท่านเห็นขบวนการที่เกิดและไม่เกิดทุกข์ และ เห็นขบวนการดับทุกข์ที่เกิดปัญญาและไม่เกิดปัญญาแล้ว ในพุทธศาสนา การดับทุกข์จะเป็นขบวนการที่ยอมให้ทุกข์นั้นเกิดขึ้นได้ แต่ ในการดับทุกข์นั้นให้ใช้สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น จึงจะเกิดปัญญา ดังนั้น การปฏิบัติแบบข้อ C จึงเป็นการดับทุกข์ที่ถูกต้องตามอริยสัจจ์ 4 แต่ถ้าไม่ปล่อยให้ทุกข์เกิดขึ้นโดยการพยายามทำการกดข่มไว้ อย่างนี้ไม่ใช่ทางแห่งอริยมรรค แต่เนื่องจากเราอยู่ในโลก ยังต้องเกี่ยวข้องกับบุคคล บางครั้ง การกดข่มจิตใจเพื่อให้จิตใจดีอยู่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในทางโลก มิฉะนั้น อาจเกิดอาการ .น๊อตหลุด. แล้วหน้าที่การงานทางโลกจะเสียหายได้ นักภาวนาสมควรมีปัญญาแยกแยะว่า เมื่อไรควรใช้การกดข่ม เมื่อไร ไม่ใช้การกดข่ม แต่นักภาวนาที่เจนจัดการภาวนาที่สัมมาสมาธิตั้งมั่นเป็นอย่างดีแล้ว จะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2553
8 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:12:54 น.
Counter : 1229 Pageviews.
โดย: นมสิการ 5 พฤศจิกายน 2553 6:52:35 น.
โดย: ลุง 'บุรีราช' IP: 125.27.174.60 5 พฤศจิกายน 2553 7:50:10 น.
โดย: นมสิการ 5 พฤศจิกายน 2553 8:46:14 น.
โดย: virut IP: 172.16.21.4, 58.137.96.2 5 พฤศจิกายน 2553 9:03:45 น.
โดย: นมสิการ 5 พฤศจิกายน 2553 13:34:06 น.
โดย: ทำไม่เป็น IP: 58.9.45.8 5 พฤศจิกายน 2553 20:31:13 น.
โดย: นมสิการ 6 พฤศจิกายน 2553 0:35:30 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:30:42 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
คิดถึงคำสอนที่ให้สลัดความคิดทิ้งไปและกลับมาอยู่กับกาย รีบทำตามนั้น มาอยู่กับกายเดินไปๆด้วยความรู้สึกตัว ไม่นานเลยจิตใจก็กลับมาปกติเหมือนเดิมค่ะ อาการหนักๆในจิตก็หายไปด้วย ขบวนการดับทุกข์ที่นำมาใช้นี้ถูกมั้ย
**************
มีคำถามเข้ามา เป็นคำถามที่ดีที่นักภาวนามือใหม่ สมควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ผมมีความเห็นดังนี้ครับ
..เมื่อนักภาวนากำลังมีสัมมาสติที่ดีอยู่ กล่าวคือ มีความรู้สึกตัวและจิตใจที่ดีอยู่ นี่คือสภาพที่นักภาวนาจะพร้อมในการรับรู้สภาวะธรรมแล้ว เมื่อมีอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาในจิตใจ จิตใจมีการสั่นไหวกระเพื่อมด้วยเหตุที่เกิดนั้น ถ้านักภาวนารับรู้ได้ทันทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่รับรู้ได้เร็ว ขั้นตอนการดับทุกข์จะมีอยู่ 2 อย่างคือ
1..ถ้านักภาวนามีกำลังสัมมาสมาธิที่มั่นคง นักภาวนาจะเห็นการสั่นไหวของจิตใจได้ และ เมื่อนักภาวนาเห็นการสั่นไหวนี้ จิตใจที่สั่นไหวจะสลายตัวลงเป็นไตรลักษณ์อย่างรวดเร็วโดยที่นักภาวนายังไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย มันก็สลายไปเองเสียแล้ว นี่คือภาวนามยปัญญาที่เห็นอาการสั่นไหวในจิตใจว่า ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา อันเกิดจากที่นักภาวนามีกำลังสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นแล้ว
2..ถ้านักภาวนามีกำลังสัมมาสมาธิพอสมควร แต่ยังไม่มั่นคงมากนัก ซึ่งอาการนี้เป็นกับนักภาวนามือใหม่ที่อยู่ในช่วงของการฝึกฝนอยู่ เมื่อนักภาวนารับรู้อาการสั่นไหวในจิตใจได้อย่างรวดเร็ว แต่อาการสั่นไหวนั้นมันไม่ดับลงไปทันทีเป็นไตรลักษณ์ การที่นักภาวนารีบกลับมารู้สึกที่กาย แล้วอาการสั่นไหวนั้นก็หายไป การปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าเป็นมือใหม่ เป็นสิ่งที่สมควรทำ เพราะถ้าปล่อยทิ้งอาการสั่นไหวนี้ไว้ อาการสั่นไหวนี้อาจจะขยายตัวใหญ๋ขึ้นแล้วเข้าครอบงำจิตใจต่อไป ทำให้เกิดการขุ่นมัวไปยาวนานขึ้น เมื่อนักภาวนามือใหม่นั้น หมั่นฝึกฝนต่อไปเรื่อย ๆ อีก กำลังสัมมาสมาธิของเขาจะค่อย ๆ ตั้งมั่นมากขึ้น แล้วเมื่อตั้งมั่น เหตุการณ์ในแบบข้อ 1 จะเกิดขึ้นได้เอง
อนึ่ง มีคำสอนบางอย่างในการภาวนาที่ว่า ถ้าไปทำแบบที่เขียนไว้ในข้อ 2 นี้เป็นการแทรกแซงการทำงานของจิต คำกล่าวนี้ถูกต้องครับว่าเป็นการแทรกแซงการทำงานของจิต แต่นักภาวนาสมควรรู้กำลังตนเองว่า ไปได้แค่ไหน ถ้าจิตใจมันไม่หยุดเองอย่างข้อ 1 นี่แสดงว่ากำลังของนักภาวนายังไม่พอ ก็ต้องเข้าไปแทรกแซงก่อน คล้าย ๆ กับการหนีตั้งหลักก่อน เพราะถ้าไม่หนี กิเลสก็กินเข้าไปยึดครองที่จิตใจได้ และความทุกข์ก็จะตามมาทันที
อย่าลืมนะครับ ภาวนาแล้วใจต้องดี ...