ความเครียด ตอนที่ 2 - ความเครียดเกิดได้อย่างไร จะแก้ใขอย่างไร
. อธิบายจากภาพ 1..เมื่อท่านมีปัญหาในหน้าที่การงาน หรือ ปัญหาชีวิต จะมีขบวนการทางจิตใจเกิดขึ้นภายใน มโนทวาร ก็คือ ความวิตกกังวลในปัญหาน้้น ๆ (ภาษาพระ เรียกว่า จิตปรุงแต่ง หรือ จิตตสังขาร ) ผลแห่งการวิตกกังวลนี้จะเป็นตัวสร้างพลังงานอย่างหนึ่งขึ้นมา ที่คนเรียกกันว่า.ความเครียด.ให้เกิดขึ้นภายใน มโนทวาร ถ้าท่านปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิได้ดีพอที่เห็นสิ่งต่างๆ ใน.มโนทวารได้ ท่านจะเห็นว่า พลังงานความเครียดนี้จะเป็นลักษณะคล้าย ๆ หมอกในมโนทวาร เมื่อเกิดหมอกใน.มโนทวาร .มโนทวารก็จะไม่สดใส หรือ ที่คนเรียกกันว่า จิตใจเศร้าหมอง 2..เมื่อเกิดพลังงานความเครียดขึ้นใน.มโนทวาร ด้วยอำนาจแห่งตัณหา ที่เป็นแรงดึง แรงยึดเหนื่ยว มันจะทำให้จิตลูกโป่ง(คือ จิตที่มีอวิชชาครอบงำอยู่) เข้ามายึดติดเข้ากับพลังงานความเครียดนี้ เมื่อจิตลูกโป่งถูกแรงตัณหาทำให้ยึดติดได้แล้ว ผลที่ตามมาก็คือ ท่านจะรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ทันที ที่คนเรียกว่า อาการที่เกิดจากความเครียด เช่น ปวดหัว หน้าตาหมองคล้ำ ความดันโลหิตพุ่งสูง เป็นต้น จะสลัดอย่างไรก็ไม่ออก เพราะตัณหามันจะเหมือนกาวตราช้างที่ทรงพลังในการสร้างแรงยึดเกาะตัวจิตลูกโป่งเข้ากับพลังงานความเครียดนั้นเอง 3..ในการสลายความเครียดนั้น ท่านต้องจัดการให้ จิตลูกโป่ง เป็นอิสระหลุดจากพลังงานความเครียดให้ได้ก่อน วิธีการก็คือ ขอให้ท่านไปรับรู้อาการทาง.กาย.แทน และต้องเป็นอาการทางกายที่มีพลังแรงๆ ด้วย เพื่อให้จิตลูกโป่งนั้นไปรับรู้อาการทาง.กาย.นั้นได้ อาการทางกาย ที่แรง ๆ ก็จะมีการกระทบสัมผัสที่แรง ๆ (เท่ากับการรู้ดิน) หรือ การสั่นไหวที่แรง ๆ (เท่ากับการรู้ลม) เช่นการไปเล่นกีฬา การออกกำลังกาย ให้เหงื่อออก การทำงานบ้านทีต้องใช้แรงให้รู้สึกถึงได้ ทำให้เหนื่อยๆได้ เช่น ขัดถูล้างพื้นบ้าน พรวนดินปลูกต้นไม้ เป็นต้น เมื่อมีการกระทบสัมผัสที่แรง ๆ (ผมเน้นย้ำว่า ต้องแรง ๆ ถ้าไม่แรงจะไม่ได้ผลหรือได้ผลช้ากว่ามาก ) จิตลูกโป่งจะหลุดจากพลังงานความเครียดได้ชั่วคราว เพราะจิตลูกโป่งจะไปรับรู้การกระทบสัมผัสที่แรง ๆ ได้ แต่ทว่า.. พลังงานความเครียดมันยังไม่สลายตัวไปง่าย ๆ ดังนั้น ท่านยังจะเครียดอยู่ในช่วงเวลาแรกเริ่มในขณะที่มีการกระทบสัมผัสที่แรง ๆ แต่เมื่อจิตลูกโป่งไปรับรู้การกระทบสัมผัสที่แรง ๆ อยู่บ่อย ๆ จิตลูกโป่งก็จะค่อย ๆ คลายตัวออกและหลุดออกจากการยึดติดที่พลังงานความเครียด ถ้าจิตลูกโป่งหลุดออกจากการยึดติดจากพลังงานความเครียดเมื่อไร ความเครียดนี้มันจะสลายตัวไปเอง และ ท่านก็จะหยุดอาการเครียดได้ ท่านสามารถใช้วิธีนี้ได้ แต่ถ้าท่านเป็นมือใหม่ในการปฏิบัติธรรม ท่านต้องใช้เวลาพอสมควรนี้การสลายการยึดติดของพลังงานความเครียดกับจิตลูกโป่งนี้ ท่านอาจใช้เวลา 1 วันบ้าง 3 วัน บ้าง 5 วันบ้าง หรือ มากกว่า แต่นี่เป็นสิ่งที่ดี ถึงแม้ใช้เวลานานในครั้งแรก ท่านจะได้ฝึกสติัปัฏฐานไปในตัว และความชำนาญนี้จะส่งผลให้ท่านมีความชำนาญในการสลายความเครียดได้เร็วขึ้นในครั้งต่อไป ถ้ามีความเครียดเกิดขึ้นอีกในอนาคต 4..ขอให้ท่านสังเกตตัวเองดู หรือ ดูจากรูปภาพข้างบน ท่านจะเห็นได้ว่า ปัญหาต่าง ๆ กับพลังงานความเครียด ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน มันเป็น 2 สิ่งที่ความเครียดเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาต่าง ๆ การเกิดความเครียด ทำให้ความสามารถในการแก้ปัญหาลดลง นี่คือข้อเสียหายที่เกิดขึ้น ถ้าท่านสามารถแก้ใขปัญหาต่าง ๆ ด้วยการพุ่งตรงไปทีปัญหา แต่อย่าให้มีความเครียดมาเจือปน ท่านจะแก้ใขปัญหาได้ดีกว่า เพราะสมองจะแจ่มใสกว่า ถ้าท่านได้แก้ใขปัญหาอย่างดีที่สุดแล้ว อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด จะสำเร็จหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผลย่อมดีกว่าการแก้ใขปัญหาด้วยจิตใจที่มีความเครียดเข้าเจือปนอย่างแน่นอน 5..ในการปฏิบัตธรรมในระดับสูง ที่นักภาวนามีพลังจิตพอทีเห็นสภาวะธรรมใน.มโนทวารได้ พอมีพลังงานความเครียดเกิดขึ้น นักภาวนาจะเห็นมันและก็จะจัดการสลายมันไปโดยเร็ว แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ยังไม่สามารถเห็นพลังงานความเครียดนี้ได้ พอความเครียดเกิดขึ้่น ก็จะไม่รู้ตัว ทำให้จิตลูกโป่งถูกตัณหาเข้ามายึดติดกับพลังงานความเครียดทันที แต่ก็ยังดีที่ยังสามมารถแก้ใขได้ดังที่เขียนไว้ในข้อ 3 แต่ถ้านักภาวนาสลายมันได้ทันทีที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าอย่างแน่นอน การเห็นพลังงานความเครียด ก็จะตรงกับ อริยสัจจ์ ข้อที่ 1 ที่ว่า ทุกข์ ให้รู้ นั่นเอง แต่ถ้าไม่รู้ ทุกข์ เมื่อเกิดตัณหาขึ้นแล้ว ผลก็คือ ท่านจะรับทุกข์นั้นไปเต็ม ๆ เพราะทุกข์เกิดแล้ว และจิตลูกโป่งไปยึดติดกับทุกข์นั้นแล้ว นี่คือ ผลแห่งการภาวนา ที่มุ่งตรงเข้าไปรับรู้สภาวะธรรมใน.มโนทวาร ถ้านักภาวนารับรู้ได้ทันที ก็คือ การหยุดลงของทุกข์ แต่ถ้าภาวนาไม่สามารถรับรู้ได้ ก็รับทุกข์นั้นไปเต็ม ๆ เพราะผลของตัณหา ศาสตร์และศิลป์ของการภาวนา มันอยู่ที่ตรงนี้เองครับท่าน ที่รู้ทุกข์ใน มโนทวาร ได้หรือยัง **** เรื่องท้ายบท ผมเคยดูภาพยนต์หลายเรื่อง ที่มีฉากทีผู้หญิงกำลังงอแง พูดอย่างไรก็ไม่ฟัง ต่อเมื่อโดนตบหน้าอย่างแรง ผู้หญิงที่กำลังงอแง ก็หยุดงอแงลง การตบหน้าอย่างแรง ก็เป็นการกระทบสัมผัสที่แรงมาก เช่นกัน แต่ผมหวังว่า คงไม่มีใครอยากโดนตบหน้าเพื่อแก้อาการแครียดนะครับ
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2553
9 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:13:14 น.
Counter : 1311 Pageviews.
โดย: cakecode 2 พฤศจิกายน 2553 12:01:38 น.
โดย: Littleyogi IP: 117.47.102.148 2 พฤศจิกายน 2553 14:17:11 น.
โดย: virut IP: 172.16.21.4, 58.137.96.2 2 พฤศจิกายน 2553 18:58:33 น.
โดย: นมสิการ 2 พฤศจิกายน 2553 22:48:33 น.
โดย: pintip IP: 110.49.205.106 3 พฤศจิกายน 2553 12:34:56 น.
โดย: virut IP: 172.16.21.4, 110.164.50.2 3 พฤศจิกายน 2553 14:55:51 น.
โดย: นมสิการ 3 พฤศจิกายน 2553 16:48:25 น.
โดย: เบญญาภา IP: 75.79.135.218 7 พฤศจิกายน 2553 3:35:14 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:31:20 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****