เปรียบเทียบ คนไม่ปฏิบัติ และ คนปฏิบัติ -มุมมือใหม่
ผมจะเปรียบเทียบ คนที่ไม่ปฏิบัติสติปัฏฐาน และ คนที่่ปฏิบัติสติปัฏฐานให้ท่านเห็นภาพ เพื่อที่ท่านจะได้.... (ผมจะบอกตอนท้ายของบทความนี้)
1...คนที่ไม่ปฏิบัติสติปัฏฐาน
1.1 ไม่รู้สึกตัว อยู่เสมอ ๆ โดยมากจะหลงคิดอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังหลงคิด 1.2 เมื่อมองสิ่งใด จิตเขาจะไหลออกไปทางตา ทำให้สูญเสียความรู้สึกตัวไป เขาก็จะรู้สึกว่า เขาเป็นคนมอง 1.3 เมื่อได้ยินสิ่งใด จิตเขาจะไหลออกไปทางหู ทำให้เขาสูญเสียความรู้สึกตัวไป เขาก็จะรู้สึกว่า เขาเป็นคนได้ยิน 1.4 เมื่อเขามีอารมณ์ดีใจ เสียใจ โกรธ เขาจะสูญเสียความรู้สึกตัวไป จิตเขาจะจมแช่กับอารมณ์เเหล่านั้น เขาก็จะรู้สึกว่า เขาดีใจ เขาเสียใจ เขาโกรธ เขาจะมีอาการอย่างนั้นอยู่ยาวนาน หยุดก็ไม่ได้ ทั้งที่อยากจะหยุดมัน 1.5 เมื่อร่างกายเขาเจ็บป่วย เขาก็จะรู้สึกว่า เขาเป็นผู้เจ็บป่วยนั้นเอง
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะจิตลูกโป่ง(จิตที่มีอวิชชา) เข้าไปยึดติดกับอาการต่าง ๆ ในข้างต้นเพราะแรงยึดของตัณหา
********************
2..คนที่เขาปฏิบัติสติปัฏฐาน
2.1 รู้สึกตัว อยู่เสมอ ๆ เมื่อมีความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้น ก็จะไม่หลงเข้าไปในความคิด แล้วความคิดที่ผุดขึ้นนั้นจะดับลงไปเป็นไตรลักษณ์ให้เขาเห็นได้ 2.2 เมื่อมองสิ่งใด จิตเขายังอยู่ที่ฐาน ไม่ไหลออกไปทางตา เขาก็จะรู้สึกว่า มันเป็นสภาวะอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทางประสาทตา 2.3 เมื่อได้ยินสิ่งใด จิตเขายังอยู่ที่ฐาน ไม่ไหลออกไปทางหู เขาก็จะรู้สึกว่า มันเป็นสภาวะอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทางประสาทหู 2.4 เมื่อเขามีอารมณ์ดีใจ เสียใจ โกรธ เขาก็จะรู้สึกว่า ดีใจ เสียใจ โกรธ เป็นสภาวะอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ของ ๆ เขา 2.5 เมื่อร่างกายเขาเจ็บป่วย เขาก็จะรู้สึกว่า ความเจ็บป่วยเป็นสภาวะอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเขา
ที่เป็นอย่างนี้ เพราะ จิตลูกโป่ง (จิตที่มีอวิชชา) มีกำลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น จนกระทั้งแรงยึดดึงของตัณหาไม่อาจดึง จิตลูกโป่ง เข้าไปติดกับอาการต่าง ๆ เหล่านั้นได้
******** ทีนี้ ผมขอให้ท่านสังเกตความแตกต่าง ระหว่างข้อ 1.1 1.2 1.3 และ 2.1 2.2 2.3 ท่านเห็นความแตกต่างไหมครับ
ความแตกต่างก็คือ A..ความรู้สึกตัว B..จิตไม่ไหลออกจากฐาน
ข้อ A และ B ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าผลจากข้อ B จะทำให้เกิดข้อ A ได้ แต่ ข้อ A อย่างเดียว อาจทำให้เกิดข้อ B ไม่ได้เสมอไป
ข้อสังเกตสำหรับท่านมือใหม่ ถ้าข้อ B เกิดอยู่ จิตใจท่านจะดี จะสบาย ๆ ซึ่งถ้าท่านรู้สึกตัว และ จิตใจท่านดี จิตใจสบาย ๆ อยู่ นี่ก็คือ ใช้ได้แล้วครับ
เมื่อท่านเป็นมือใหม่ ที่ยังไม่กระจ่างเรื่องสติปัฏฐาน เวลาท่านปฏิบัติฝึกฝนไม่ว่าในรูปแบบหรือในชีวิตประจำวัน ท่านมือใหม่ส่วนมาก มักจะสับสน เพราะว่า สิ่งที่ตนเองฝึกนั้นดูเหมือนไม่เห็นได้อะไรที่เป็นประโยชน์ ไม่สามารถจะเชื่อมั่นได้ว่า สามารถนำไปดับทุกข์ได้จริง เนื่องด้วย ผมมักบอกเสมอ ๆ ว่า เวลาฝึกนั้นมีข้อปฏิบัติกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดังนี้
***รู้สึกตัว เฉย ๆ สบาย ๆ อย่าเครียด อย่าอยากรู้อะไร แต่ให้รู้เอง ตามองสบาย ๆ ไม่จ้องสิ่งใด ตาจะเห็นภาพเป็นแบบ panorama ***
ท่านจะสงสัยว่า มันจะทำให้เกิดการดับทุกข์ได้อย่างไร ถ้าปฏิบัติตามข้างต้น
เมื่อท่านปฏิบัติอย่างที่ผมกล่าวไว้ในเครื่องหมายดอกจันทร์ หน้า 3 ดอก หลัง 3 ดอก ท่านก็กำลังเข้าสู่ข้อ 2.1 2.2 2.3 แล้ว ซึ่งหมายความว่า จิตท่าน เข้าสู่สภาวะแห่งข้อ A และ B แล้วเช่นกัน เมื่อท่านฝึกอย่างนี้ไปมาก ๆ บ่อย ๆ ท่านจะเกิดความคุ้นชินขึ้นกับสภาพแบบนี้ ยิ่งฝึกมาก ยิ่งคุ้นชิน เมื่อคุ้นชิน จิตก็จะตั้งมั่นอยู่ที่ฐานเพราะความคุ้นชินเป็นนิสัยนี้เองโดยอัตโนมัติ ยิ่งคุ้นชินมาก ยิ่งตั้งมั่นมาก แต่ว่าในขณะที่ท่านฝึกอยู่ ท่านจะไม่รู้ตัวเลยว่า มันตั้งมั่นหรือไม่ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ข้อ 2.4 2.5 ขึ้นมาเมื่อไร ท่านจึงจะรู้ตัวเองว่า ตั้งมั่นหรือยัง
ในวันกิจกรรม ผมให้ท่านหนึ่ง พับผ้าและคลี่ผ้าออก 2 รอบ ผมเห็นเขาทำท่าแปลกใจเมื่อผมบอกเขาว่า การปฏิบัติก็เป็นแค่นี้แหละคือปฏิบัติแล้ว เพราะในขณะที่เขากำลังพับผ้า คลี่ผ้า จิตใจของเขากำลังเป็นข้อ A และ B อยู่แล้วนั่้นเอง
ในกิจวัตรประจำวันอื่น ๆ เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้า ใส่เสื้อผ้า รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ ถ่ายหนัก ถ่ายเบา ทำอาหาร ถูบ้าน และ อื่น ๆ ถ้า จิตใจเป็นแบบ A และ B อยู่ ก็เท่ากับได้ปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่แล้ว
ผมยกเรื่องนี้ให้ท่านเห็น เพื่อให้ท่านเข้าใจยิ่งขึ้นว่า ลักษณะของการปฏิบัติสติปัฏฐานนั้นคืออย่างไร ทำไมถึงได้ผล และ การรู้ว่าได้ผลรู้อย่างไร
ถ้าท่านเห็นภาพรวมวิธีปฏิบัติ ผลที่ได้ และการวัดผล ท่านจะมั่นใจได้มากขึ้นว่าท่านปฏิบัติตรงทางหรือยัง เมื่อท่านมั่นใจ ความลังเลสงสัยจะได้หมดไปจากสมอง และท่านจะปฏิบัติได้ผลดี
ท่านอย่าได้หวังผลไกลไปถึงการเป็นโสดาบัน เมื่อท่านปฏิบัติได้ผลคือไม่ยึดในทุกข์เพราะจิตตั้งมั่นแล้วมันมีประโยชน์ที่ตรงกับคำสอนในพุทธศาสนาทีว่าเป็นคำสอนเพื่อการดับทุกข์และพ้นทุกข์ ท่านจะเป็นโสดาบันหรือไม่ มันก็เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น การไม่ทุกข์ นี่แหละประเสริฐสุดแล้ว
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2553 |
|
10 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:12:02 น. |
Counter : 986 Pageviews. |
|
|
|