อย่างไรที่แปลว่า ไม่ยึดติด
นี่คือคำที่กำกวมในนักภาวนา ที่ว่า ไม่ยึดติด หมายความว่าอย่างไรกัน
ผมจะยกตัวอย่างทางโลกให้เข้าใจในเรื่องนี้
สมมุติว่า ท่านต้องการจะติดรูปภาพที่ฝาผนังบ้าน ท่านต้องมีรูปภาพ มีฝาผนังบ้าน มีตะปู มีฆ้อน เมื่อท่านหาที่ได้แล้ว ท่านก็ใช้ฆ้อนตอกตะปูเข้ากับผนังบ้านทันที เมื่อตะปูถูกตอกติดดีแล้วกับฝาผนัง ท่านก็แขวนภาพได้
อาการที่ภาพถูกแขวนที่ฝาผนัง โดยไม่ตกลงมาที่พื้น นี้คือ การที่รูปภาพมีการ.ยึดติด.กับผนังบ้านเรียบร้อยแล้ว
ในทางธรรมชาติของจิตใจ เมื่อมีแรงกระทบผ่านเข้ามาทางอายตนะแล้วผ่านมาที่มโนทวารที่แรงพอ เปลือกอวิชชาจะสั่นไหว จะปล่อยพลังงานดำมืดที่เรียกกันว่า โมหะออกมา เมื่อโมหะถูกปล่อยออกมา และ คนก็ไม่มีกำลังของสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นในจิตใจพอ อำนาจของโมหะจะแรงกว่ากำลังจิต ทำให้จิตถูกครอบงำจากโมหะนั้นกลายเป็นจิตที่ดำมืดที่ไร้แรงต้านทาน จิตที่ดำมืดจะถูกอำนาจของ.ตัณหา.ดึงให้ไปเกาะติดกับกิเลสที่เกิดขึ้นจากอวิชชาทันที นี่คือ การยึดติดในจิตใจ ซึ่งแปลง่าย ๆ ก็คือ จิตไปเกาะติดกับกิเลสด้วยอำนาจของตัณหา
ผลของจิตที่ไปเกาะติดกับกิเลสด้วยอำนาจของตัณหา คน ๆ นั้นจะสูญเสียความรู้สึกตัว สูญเสียการควบคุมอารมณ์ สูญเสียการควบคุมร่างกาย ทำให้เป็นคนขาดการยั้งคิดไปทันที ทำอะไรออกมาตามอำนาจของกิเลสที่เกาะติดกับจิตนั้น
ส่วนการไม่ยึดติดนั้นจะมีอาการดังนี้
เมื่อเปลือกอวิชชาสั่นไหวและปล่อยพลังงานออกมา แต่จิตที่มีกำลังแห่งสัมมาสมาธิทีตั้งมั่น อำนาจของพลังงานที่อวิชชาปล่อยมา จะไม่สามารถเข้าครอบงำจิตได้ เพราะกำลังแห่งสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น เมื่ออวิชชาครอบงำจิตไม่ได้ ตัณหาก็ไม่สามารถจะลากพาเอาจิตไปไหนได้ จิตจะตั้งมั่นเด่นสง่าอยู่อย่างนั้น โดยที่กิเลสทำอะไรจิตไม่ได้เลย และกิเลสก็จะสลายตัวลงไปตามธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ของเขาเอง และจิตที่มีสมาธิตั้งมั่น ก็จะเห็นการสลายตัวไปของกิเลส อันทำให้เกิดภาวนามยปัญญาที่เห็นกิเลสเป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา
ท่านจะเห็นว่า กิเลสนั้นจะเกิดขึ้นเพราะมีเหตุที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะที่แรงพอ นี่คือเหตุ ที่อย่างไรก็ต้องเกิด แต่ว่า ถ้าคน ๆ นั้นมีสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น จิตก็จะสามารถเอาชนะอำนาจของกิเลสได้เอง
******************* ท่านนักภาวนาสมควรทำความเข้าใจกับคำศัพท์ในการภาวนาให้ท่องแท้ มิฉะนั้น ท่านจะหลงผิดไปว่า ทำไมภาวนาแล้วไม่เห็นความก้าวหน้า กิเลสยังโผล่มาให้เห็นบ่อย ๆ ถ้าท่านทราบความจริงว่า กิเลส มันต้องโผล่เพราะมีเหตุ แต่ถ้าท่านภาวนาได้ดี มีสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น กิเลสโผล่ก็ช่างมัน มันทำอะไรจิตที่มีกำลังสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นไม่ได้เลย เดียวกิเลสมันก็สลายไปเอง และท่านก็จะได้ภาวนามยปัญญาตามมาอีกด้วย
แต่ถ้าท่านภาวนาแล้วกิเลสไม่ยอมโผล่มานิซิ อย่างนี้ท่านจะไม่ได้ภาวนามยปัญญาว่า กิเลสนั้นไม่ใช่ท่าน ไม่ใช่ของ ๆ ท่าน
แต่ถ้าท่านยังไม่มีกำลังจิตพอที่จะสู้กับกิเลส ก็ห่าง ๆ มันไว้ละดีทีสุดครับ พอมีกำลังแล้ว ก็ลองประหมัดกับมันสักตั้งเพื่อพิสูจน์ผลการฝึกของท่าน
******************** เรื่องท้ายบท
1...มีอีกเรื่องหนึ่ง ที่นักภาวนาสมควรเข้าใจเพิ่มก็คือ เมื่อท่านมีกำลังสัมมาสมาธิแล้วสิ่งที่ท่านจะได้มาก็คือทางเลือกปฏิบัติครับ ท่านจะทำหรือไม่ท่านเลือกได้ แต่ถ้าไม่มีกำลังสัมมาสมาธิ ท่านไม่มีสิทธิเลือก ท่านต้องทำเพราะกิเลสมันบงการท่านไปแล้ว
ยกตัวอย่าง สมมุติว่าท่านเป็นหัวหน้าคน ลูกน้องทำงานไม่ได้เรื่อง ทำงานให้ท่านเสียหาย ถ้าท่านแพ้ต่อกิเลส ท่านจะพูดกับลูกน้องอย่างคนเสียสติทันทีเพราะถูกอำนาจของกิเลสครอบงำ แต่ถ้าท่านมีสัมมาสมาธิ กิเลสทำอะไรท่านไม่ได้ ท่านจะมีสิทธิเลือกได้ว่า ท่านจะพูดอย่างไรดีกับลูกน้อง ท่านได้รับสิทธินี้ทันที โดยไม่ต้องไปขอคุณไตรภพเลย
2...ผมไปอ่านในกระทู้ มีการพูดถึงการไม่มีตัวตนของนักภาวนา และมีคำถามว่า ถ้าไม่มีตัวตนแล้ว นักภาวนากล้าจะเผาเงินแสนของตนหรือไม่
การไม่มีตัวตนนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้นที่ว่าเมื่อไม่มีตัวตนแล้วจะเอาเงินแสนไปทำอะไรกัน นี่คือการขาดปัญญาครับ การไม่มีตัวตนนั้น ย่อมมีปัญญาอยู่เสมอที่เข้าใจในเรื่องโลกและเรื่องธรรม ไม่ใช่ว่ารู้ธรรมแต่กลายป็นคนซื่อเบื่อในทางโลกไปถึงกับเผาเงินของตัวเองเล่นแล้วบอกว่า ฉันไม่มีตัวตนแล้ว
ความไม่มีตัวตนนั้น มาจากสภาพของจิตไร้อวิชชาห่อหุ้ม จิตจะเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงแล้วนักภาวนาจะเห็นจะเข้าใจได้ว่า ความเป็นตัวตนนั้นมันมาจากอวิชชาที่หุ้มห่อจิตไว้ อันเป็นปัญญาทางธรรมที่เพิ่มขึ้นมาจากทางโลก เมื่อทางโลกเข้าใจอยู่แล้วว่าควรทำอย่างไร ปัญญาทางโลกก็ไม่สูญไปเพราะการรู้แจ้งแห่งความไม่มีตัวตนของนักภาวนา
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2553 |
|
15 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:11:25 น. |
Counter : 1177 Pageviews. |
|
|
|