รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
7 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 

มโน ตอนที่ 2 - มโน มีลักษณะอย่างไร

มโน เป็นความว่างเปล่า ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจได้จะเหมือนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
ไม่มีขอบเขตว่ามีขนาดเท่าใด ไม่อาจเห็นได้ด้วยสัมมาสติ ( แต่รับรู้ได้ถึงความไม่มีอะไรของ.มโน. ด้วยสติ ซึ่งได้เขียนไว้ในเรื่องนี้ที่ข้อ 3 )

ใน มโน มี รูปและนาม เกิดขึ้นและแปรปรวนอยู่ในนั้น
ที่นักภาวนาลงมือภาวนาที่รับรู้ความรู้สึกที่เป็นรูปและนามใน มโนทวาร
เมื่อความรู้สึกนั้นหยุดลงไป นักภาวนาจะพบกับอาการว่างที่ไม่มีอะไร

ในการเคลื่อนมือของหลวงพ่อเทียน ท่านสอนให้ เคลื่อน-หยุด เคลื่อน-หยุด
จังหวะ.หยุด.นี้แหละคือไม้เด็ดของหลวงพ่อเทียน ที่ไม่มีใครสอนแบบนี้

ไม้เด็ดอย่างไร มาดูกัน

1..เมื่อนักภาวนา เคลื่อน-หยุด ไม่ใช่เคลื่อนติดต่อกันโดยไม่หยุด นักภาวนาจะฝึกให้มีความรู้สึกตัวได้ดีกว่า เผลอน้อยลงกว่าการเคลื่อนแบบไม่หยุด นี่เป็นการฝึกให้รู้สึกตัวที่ต่อเนื่องที่ดีมาก

2..เมื่อ หยุด แล้วจะเคลื่อนอีกครั้ง นักภาวนามือใหม่ มักจะพบกับอาการ 2 อย่างในขณะที่กำลังจะเคลื่อน คือ
2.1 อาจจะรู้สึกเผลอแว๊บหนึ่งขึ้นมาสั้น ๆ ที่รับรู้ได้
2.2 อาจจะรู้สึกว่า จิตลูกโป่ง วิ่งแว๊บไปจับอาการที่กำลังจะเคลื่อนที่มือทันที

2 อาการที่ว่านี้ คือ อาการที่ จิตลูกโป่ง ยังไม่ตั้งมั่นพอ แต่ทว่า..การรู้สึกได้ถึงอาการนี้
เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับนักปฏิบัติมือใหม่ เพราะนั้นคือ การฝึกพัฒนาแห่งสัมมาสติได้เป็นอย่างดี

3..ในขณะที่กำลังเคลื่อน จะมี.รูป. เกิดขึ้นในมโนทวาร แต่พอหยุดเคลื่อน รูป ที่เกิดนั้นจะหายไป เมื่อ.รูป.หายไปในมโนทวาร สิ่งที่เหลืออยู่ คือ ความว่าง นั้นคือ มโน ที่นักภาวนามือใหม่จะรู้สึกได้ว่า มันเคยมี.รูป. แล้วทีนี้ มันไม่มี.รููป.อีกแล้ว
การรู้สึกได้ถึงความไม่มีอะไรของ.มโน.. เป็นสิ่งแรก ๆ ของนักภาวนามือใหม่ที่สัมผัส .มโน.ได้

มโน จะเห็นได้อย่างไร...
ตามที่ได้เขียนไว้ข้างต้นแล้ว มโน ไม่อาจเห็นได้ด้วยสติ แต่จะเห็นได้ด้วย ญาณ อันเป็นสิ่งหนึ่งที่มีกำลังเหนือสติขึ้นไป

ญาณ เกิดได้อย่างไร ผมไม่ทราบครับ แต่ผมรู้ว่า ถ้ากำลังสัมมาสมาธิมีไม่ถึง ญาณ เกิดไม่ได้ครับ นี่คือ สิ่งที่พระสายวัดป่าออกมาโต้แย้งกับสำนักดูจิตอันเลื่องชื่อแห่งชายทะเลตะวันออก
ว่า การปฏิบัติแบบดูจิตที่พูดกัน ไม่สามารถเห็นจิตได้จริง นั่นเป็นเพียงการดูเงาของจิตที่่ไม่ใช่จิต
เพราะว่า การเห็นจิต หรือ มโน นี้เห็นด้วย ญาณ ซึ่งมันไม่ใช่ระดับธรรมดาที่ใคร ๆ ก็เห็นกันได้ครับ

เมื่อผมเห็น มโน ครั้งแรก ผมไม่ทราบว่า นี่คือ มโน ผมกำลังเดินอยู่ที่บ้านเพื่อทำธุระอะไรสักอย่างหนึ่ง (แต่ไม่ใช่เป็นการฝึกเดินจงกรมในรููปแบบ และการเห็นครั้งนี้ ระยะเวลาห่างจากที่ผมเห็นจิตแยกตัวออกมาเป็น รูป นาม แล้ว ประมาณ 3 เดือน ) อาการที่พบคือ มีลักษณะคล้าย ๆ กับอะไรสักอย่างหนึ่งมันหลุดออกไปจากใบหน้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วสิ่งที่หลุดออกนี้ มันวิ่งหายไปภายในร่างกายแถวลำตัว แล้วผมก็เห็น มโน อันเป็นความว่างเปล่าได้ มโน ปรากฏให้ผมเห็นอยู่ ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วผมก็ไม่เห็นมันอีก และช่วง 2 อาทิตย์นี้ เป็น เวลาที่มหัศจรรย์มาก คือ กิเลสใด ๆ ไม่เข้ามาในจิตใจได้เลย จิตใจปลอดโปร่งสบายเป็นที่สุุด
ทำให้ผมคิดเองไปว่า ผมได้สำเร็จอรหันต์แล้ว แต่เมื่ออาการนี้หายไป ผมก็รู้ว่า ผมยังต้องเดิน
ทางอยู่อีก

เมื่อผมพบและรู้จัก มโน ได้แล้ว ผมพบว่า มโน จะปรากฏตัวและหายเป็นระยะๆ ไป จู่ ๆ มันก็มาให้เห็น อาจอยู่สัก 1 ชั่วโมง หรือ 1-2 วันก็ได้แล้วหายไป พอหายไป แล้วมันก็มาเอง เป็นอย่างนี้สลับไปสลับมาอยู่ตลอด ในระยะนี้ ผมจะเห็น จิตลูกโป่ง ที่เป็นดวงอีกด้วย ซึ่ง
เมื่อเกิดอาการนี้ขึ้น จะมี 3 สิ่งที่ปรากฏให้ผมเห็น คือ 1.รููป ในมโน ทีมันแปรเปลี่ยน วูบวาบไปมา 2..มโน ที่เป็นความว่าง 3.จิตลูกโป่ง ที่ไปเห็น รูป และ มโน

เมื่อผมฝึกฝนต่อไปอีก และเห็น มโน ได้บ่อยขึ้น ผมก็พบสิ่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอย่างแนบเนียนมากคล้ายแผ่นพลาสติกใสที่บางเฉียบที่ยากจะเห็นได้ ซึ่งผมมารู้ภายหลังว่านั่นคือ รังของอวิชชา

หลังจากผมเห็นอะไรหลุดออกจากแถวใบหน้าในครั้งแรก อีก 3 ปีต่อมา ในขณะที่ผมกำลังดูทีวีอยู่ ผมก็พบกับเหตุการณ์หลุดแบบนี้อีกครั้งหนึ่ง และหลังจากนั้นอีก 1 เดือน ผมก็เข้าใจเรื่องรังอวิชชา ขณะที่กำลังถ่ายของหนักในห้องน้ำ

ผมเล่าเรื่องของผมให้ท่านฟัง เพื่อให้ท่านเห็นภาพว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าไม่เจาะเข้าไปใน มโน จะไม่เห็นธรรมที่แท้จริงเลย และ การเข้าไปเห็นใน มโน ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนสัมมาสติสัมมาสมาธิอย่างถูกต้องถูกทางจนตั้งมั่นและเกิดญาณอีกด้วย

นี่คือ ความสำคัญแห่งสัมมาสมาธิ ที่นักภาวนาสมควรเชื่อพระพุทธองค์ที่ทรงสอนว่า
ภิกษุทั้งหลาย ! จงเจริญสมาธิเถิด เมื่อสมาธิตั้งมั่น เธอจักเห็นธรรมตามความเป็นจริง

ลำพังเพียงอ่าน เพียงฟัง ก็คล้ายกับฟังนิทาน จบแล้วก็จบกัน ไม่อาจเข้าใจธรรมได้เลย




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2553
17 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:12:41 น.
Counter : 1529 Pageviews.

 

 

โดย: MaFiaVza 7 พฤศจิกายน 2553 20:09:42 น.  

 

_/l\\_

 

โดย: Littleyogi IP: 117.47.98.189 7 พฤศจิกายน 2553 22:05:59 น.  

 

เมื่อศึกษาปริยัสถ์ ก็ต้องปฎิบัติ จึงจะได้ปฎิเวทซึ่งก็คือปัญญา

 

โดย: cakecode 8 พฤศจิกายน 2553 14:10:55 น.  

 

_/l\\\\_

 

โดย: ลุง 'บุรีราช' IP: 180.180.156.123 9 พฤศจิกายน 2553 11:04:25 น.  

 

บางครั้งผมก็เกิดอาการเพ่งเองเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเลย อันนี้เกิดจ่กอะไรครับ แล้วจะทำอย่างไรดี

 

โดย: virut IP: 172.22.0.112, 203.185.129.38 9 พฤศจิกายน 2553 13:24:53 น.  

 

คุณ virut อ่่านเรื่องนี้ครับ
จะหลุดจากการเพ่งได้อย่างไร

 

โดย: นมสิการ 9 พฤศจิกายน 2553 15:07:09 น.  

 

อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราฝึกอยู่ก่อนหน้าอาจจะเครียดขึ้นมา
ทำให้เพ่งขึ้นมาได้

ให้ปรับตัวใหม่ โดยการหยุดฝึกสัก 10 นาที ไปทำอะไรก็ได้
ให้คลายเครียด พอกลับมาฝึกใหม่ ให้อยู่ในท่าเตรียมก่อน
กล่าวคือ เพียงนั่งเฉย ๆ สบาย ๆ ผ่อนคลาย จะสังเกต
สายตาจะเป็น panorama นั่งสัก 5นาที แล้วค่อยฝึก
จะเดินจงกรม จะเคลื่อนมือ จะนั่งกอดอกสังเกตการกระเพื่อมลมหายใจ
อย่างที่แนะนำไปก็ได้

การสังเกตลมหายใจโดยการนั่งกอดอก นี่ดีอย่างหนึ่ง เพราะไม่มีการกระทำ
อะไร เพียงนั่งเฉย ๆ สบาย ๆ เท่านั้น

แต่ถ้าเราเดินจงกรม เคลื่อนมือ พวกนี้มือใหม่บางคน ควบคุมตัวเองไม่ได้
กลายเป็นความอยากในจิตใจไป พอฝึกก็จะเป็นการเพ่งไป

ถ้านั่งสบาย ๆ ไม่เครียด สายตาเป็น panaorama เมื่อไร
จะไม่เพ่งเลย

คุณลองนั่งสังเกตลมกระเพื่อมดูก่อน ว่าถูกจริตไหม
ถ้าฝึกแล้ว พอได้ ในระยะแรก คุณอาจใช้อย่างนี้ไปก่อน
แทนการเดิน แทนการเคลื่อนมือ พอกำลังจิตมากขึ้น
ค่อยมาฝึก เดิน เคลื่อนมือ เพิ่มเติมภายหลังก็ได้ครับ

 

โดย: นมสิการ 9 พฤศจิกายน 2553 15:31:53 น.  

 

ได้รับแผ่นdvdแล้วค่ะขอบคุณมากค่ะ อยากถามว่าทำไมบางครั้งในขณะที่เราเจริญสติอยู่ สายตาที่มองเห็นภาพบางทีมันเบลอ บางทีก็ชัด หรือนั่งกอดอกแบบรับรู้การเคลื่อนไหวของลมหายใจ บางทีจะรู้สึกถึงลมที่แล่นไปตามท้องหรืออวัยวะภายใน แต่ไม่ใช่ลมหายใจ หรือบางทีก็รู้สึกอาการตุ้บๆที่ท้องเหมือนอาการเต้นของหัวใจ แต่มันเต้นที่ท้อง

 

โดย: cakecode 10 พฤศจิกายน 2553 11:30:51 น.  

 

1..ภาพเบลอ ภาพชัด ถูกทั้งคู่ เป็นอย่างไรก็ได้ สลับไปมาก็ได้ แต่ขอให้เป็นไปเอง อย่าไปบังคับมันเด็ดขาดว่าต้องการชัดหรือต้องการเบลอ แต่สำคัญที่ผมขอเน้นคือ ตอนเริ่มนั้น ตาเพียงลืมตาขึ้น สบาย ๆ อย่างเพ่งสิ่งใด ภาพจะเห็นเป็นภาพกว้าง ๆ แบบ panorama

2..เมื่อรู้ไหวจากลม แล้วบางทีไปรับรู้อย่างอื่นด้วยดังที่เล่ามา ขอให้จิตเขารู้เอง เป็นของเขาเอง อย่าไปบังคับจิตว่าต้องรู้ลมอย่างเดียว จำได้ไหมครับ ผมเคยว่า รู้อะไรก็ได้ที่มันแปรเปลี่ยน แต่ที่สำคัญคือให้จิตเขารู้เอง ถ้าเป็นอย่างนี้ถูกต้องครับ

ที่เขียนเล่ามา ถูกต้องดีแล้ว ปฏิบัติต่อไป แล้วจิตจะตั้งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ เอง

 

โดย: นมสิการ 10 พฤศจิกายน 2553 12:22:25 น.  

 

อธิบายเพิ่มเติม
ข้อ 1.. เมื่อภาพเบลอ จิตเป็นกลางเข้าไปรับรู้ในมโนทวาร แต่เมื่อภาพชัด จิตเข้าไปรับรู้ที่จักขุประสาท (ประสาททางตา)

เมื่อยิ่งฝึกมากขึ้น เกิดภาพจะเบลอบ่อยมากกว่าภาพชัด <<< นี่จากประสบการณ์ของผมเอง

ข้อ 2..การที่จิตไปรู้อย่างโน้นที อย่างนี้ที หรือรับรู้ได้พร้อมกันคราวละหลาย ๆ อย่าง นี่แสดงว่า จิตตั้งมั่นไม่ไหลไปจับยึดกับสิ่งที่ถูกรู้ การรับรู้ลักษณะอย่างนี้เป็น สัมมาสมาธิ ที่เราต้องการฝึกฝนนั้นเอง

แต่ถ้าเป็นสมาธิแบบฤาษี จิตเข้าไปจับยึดกับสิ่งหนี่งแล้วไม่ยอมปล่อยออก
กลายเป็นสมาธิแบบปลาท่องโก๋ นี่เป็นสมาธิที่ไม่ใช่สมาธิเพื่อการเห็นธรรม

นักภาวนาชาวไทย มักเข้าใจผิดว่า สมาธิแบบรู้สิ่งเดียวนี้คือสมาธิที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดไป ทำให้ภาวนาอย่างไร ก็ไม่เข้าถึงธรรมได้เลย

 

โดย: นมสิการ 10 พฤศจิกายน 2553 15:23:56 น.  

 

สัมมาสมาธิ แปลว่า สมาธิที่มีจิตตั้งมั่น ไม่่ไหลออกจากฐานไปจับยึดสิ่งที่จิตไปรู้เข้า

สมาธิแบบฤาษี สมาธิปลาท่องโก๋ คือ สมาธิที่จิตไปจับยึดสิ่งที่ถูกรู้
การยึดติดแบบนี้ เพราะตัณหา

ในอริยสัจจ์ข้อ 2 สมุทัย คือ ตัณหา พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละเสีย
สมาธิแบบฤาษี อุดมสมบูรณ์ด้วยตัณหา เป็นการเดินสวนทางกับอริยสัจจ์ในข้อ 2 นี้

 

โดย: นมสิการ 10 พฤศจิกายน 2553 15:42:00 น.  

 

ได้รับแผ่นdvdเเล้ว ขอบคุณครับ ตอนที่เรียนกับคุณนมสิการ ผมมองคุณนมสิการตลอดการสอนนั้น หน้าคุณนมสิการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คือเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆแต่ไม่เหมีอนเดิมผมก็เอะ สัญญาไม่เที่ยงมั้ง(ไม่กล้าถามตอนนั้น) อย่างนี้คืออะไรครับ ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำต่างๆ

 

โดย: ทำไม่เป็น IP: 61.90.107.92 10 พฤศจิกายน 2553 17:21:25 น.  

 

คงเป็นการคิด เวลาพูด เวลาฟังคนพูด ก็ต้องคิด

 

โดย: นมสิการ 10 พฤศจิกายน 2553 17:30:26 น.  

 

ยังไม่ได้รับแผ่น DVD เลยครับ

 

โดย: virut IP: 183.89.11.156 10 พฤศจิกายน 2553 22:41:28 น.  

 

คุณ virut ของคุณส่งออกเมื่อวัน 9 พย.ครับ

วันที่ 9 มีส่งออกไปทั้งหมด 8 ท่านอันเป็นชุดสุดท้าย

ทุกท่านที่ได้ร่วมบริจาคทำแผ่น DVD นี้ส่งให้โดยการลงทะเบียนทุกท่าน ซึ่งให้มั่นใจว่า ท่านจะได้รับอย่างแน่นอนครับ

 

โดย: นมสิการ 11 พฤศจิกายน 2553 6:14:21 น.  

 

ได้รับแผ่น DVD เรียบร้อยแล้วค่ะ...ขอบพระคุณค่ะ

 

โดย: ตั้งไข่ IP: 125.27.94.244 11 พฤศจิกายน 2553 13:05:51 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:30:15 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.