มโน ตอนที่ 2 - มโน มีลักษณะอย่างไร
มโน เป็นความว่างเปล่า ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจได้จะเหมือนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ไม่มีขอบเขตว่ามีขนาดเท่าใด ไม่อาจเห็นได้ด้วยสัมมาสติ ( แต่รับรู้ได้ถึงความไม่มีอะไรของ.มโน. ด้วยสติ ซึ่งได้เขียนไว้ในเรื่องนี้ที่ข้อ 3 ) ใน มโน มี รูปและนาม เกิดขึ้นและแปรปรวนอยู่ในนั้น ที่นักภาวนาลงมือภาวนาที่รับรู้ความรู้สึกที่เป็นรูปและนามใน มโนทวาร เมื่อความรู้สึกนั้นหยุดลงไป นักภาวนาจะพบกับอาการว่างที่ไม่มีอะไร ในการเคลื่อนมือของหลวงพ่อเทียน ท่านสอนให้ เคลื่อน-หยุด เคลื่อน-หยุด จังหวะ.หยุด.นี้แหละคือไม้เด็ดของหลวงพ่อเทียน ที่ไม่มีใครสอนแบบนี้ ไม้เด็ดอย่างไร มาดูกัน 1..เมื่อนักภาวนา เคลื่อน-หยุด ไม่ใช่เคลื่อนติดต่อกันโดยไม่หยุด นักภาวนาจะฝึกให้มีความรู้สึกตัวได้ดีกว่า เผลอน้อยลงกว่าการเคลื่อนแบบไม่หยุด นี่เป็นการฝึกให้รู้สึกตัวที่ต่อเนื่องที่ดีมาก 2..เมื่อ หยุด แล้วจะเคลื่อนอีกครั้ง นักภาวนามือใหม่ มักจะพบกับอาการ 2 อย่างในขณะที่กำลังจะเคลื่อน คือ 2.1 อาจจะรู้สึกเผลอแว๊บหนึ่งขึ้นมาสั้น ๆ ที่รับรู้ได้ 2.2 อาจจะรู้สึกว่า จิตลูกโป่ง วิ่งแว๊บไปจับอาการที่กำลังจะเคลื่อนที่มือทันที 2 อาการที่ว่านี้ คือ อาการที่ จิตลูกโป่ง ยังไม่ตั้งมั่นพอ แต่ทว่า..การรู้สึกได้ถึงอาการนี้ เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับนักปฏิบัติมือใหม่ เพราะนั้นคือ การฝึกพัฒนาแห่งสัมมาสติได้เป็นอย่างดี 3..ในขณะที่กำลังเคลื่อน จะมี.รูป. เกิดขึ้นในมโนทวาร แต่พอหยุดเคลื่อน รูป ที่เกิดนั้นจะหายไป เมื่อ.รูป.หายไปในมโนทวาร สิ่งที่เหลืออยู่ คือ ความว่าง นั้นคือ มโน ที่นักภาวนามือใหม่จะรู้สึกได้ว่า มันเคยมี.รูป. แล้วทีนี้ มันไม่มี.รููป.อีกแล้ว การรู้สึกได้ถึงความไม่มีอะไรของ.มโน.. เป็นสิ่งแรก ๆ ของนักภาวนามือใหม่ที่สัมผัส .มโน.ได้ มโน จะเห็นได้อย่างไร... ตามที่ได้เขียนไว้ข้างต้นแล้ว มโน ไม่อาจเห็นได้ด้วยสติ แต่จะเห็นได้ด้วย ญาณ อันเป็นสิ่งหนึ่งที่มีกำลังเหนือสติขึ้นไป ญาณ เกิดได้อย่างไร ผมไม่ทราบครับ แต่ผมรู้ว่า ถ้ากำลังสัมมาสมาธิมีไม่ถึง ญาณ เกิดไม่ได้ครับ นี่คือ สิ่งที่พระสายวัดป่าออกมาโต้แย้งกับสำนักดูจิตอันเลื่องชื่อแห่งชายทะเลตะวันออก ว่า การปฏิบัติแบบดูจิตที่พูดกัน ไม่สามารถเห็นจิตได้จริง นั่นเป็นเพียงการดูเงาของจิตที่่ไม่ใช่จิต เพราะว่า การเห็นจิต หรือ มโน นี้เห็นด้วย ญาณ ซึ่งมันไม่ใช่ระดับธรรมดาที่ใคร ๆ ก็เห็นกันได้ครับ เมื่อผมเห็น มโน ครั้งแรก ผมไม่ทราบว่า นี่คือ มโน ผมกำลังเดินอยู่ที่บ้านเพื่อทำธุระอะไรสักอย่างหนึ่ง (แต่ไม่ใช่เป็นการฝึกเดินจงกรมในรููปแบบ และการเห็นครั้งนี้ ระยะเวลาห่างจากที่ผมเห็นจิตแยกตัวออกมาเป็น รูป นาม แล้ว ประมาณ 3 เดือน ) อาการที่พบคือ มีลักษณะคล้าย ๆ กับอะไรสักอย่างหนึ่งมันหลุดออกไปจากใบหน้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วสิ่งที่หลุดออกนี้ มันวิ่งหายไปภายในร่างกายแถวลำตัว แล้วผมก็เห็น มโน อันเป็นความว่างเปล่าได้ มโน ปรากฏให้ผมเห็นอยู่ ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วผมก็ไม่เห็นมันอีก และช่วง 2 อาทิตย์นี้ เป็น เวลาที่มหัศจรรย์มาก คือ กิเลสใด ๆ ไม่เข้ามาในจิตใจได้เลย จิตใจปลอดโปร่งสบายเป็นที่สุุด ทำให้ผมคิดเองไปว่า ผมได้สำเร็จอรหันต์แล้ว แต่เมื่ออาการนี้หายไป ผมก็รู้ว่า ผมยังต้องเดิน ทางอยู่อีก เมื่อผมพบและรู้จัก มโน ได้แล้ว ผมพบว่า มโน จะปรากฏตัวและหายเป็นระยะๆ ไป จู่ ๆ มันก็มาให้เห็น อาจอยู่สัก 1 ชั่วโมง หรือ 1-2 วันก็ได้แล้วหายไป พอหายไป แล้วมันก็มาเอง เป็นอย่างนี้สลับไปสลับมาอยู่ตลอด ในระยะนี้ ผมจะเห็น จิตลูกโป่ง ที่เป็นดวงอีกด้วย ซึ่ง เมื่อเกิดอาการนี้ขึ้น จะมี 3 สิ่งที่ปรากฏให้ผมเห็น คือ 1.รููป ในมโน ทีมันแปรเปลี่ยน วูบวาบไปมา 2..มโน ที่เป็นความว่าง 3.จิตลูกโป่ง ที่ไปเห็น รูป และ มโน เมื่อผมฝึกฝนต่อไปอีก และเห็น มโน ได้บ่อยขึ้น ผมก็พบสิ่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอย่างแนบเนียนมากคล้ายแผ่นพลาสติกใสที่บางเฉียบที่ยากจะเห็นได้ ซึ่งผมมารู้ภายหลังว่านั่นคือ รังของอวิชชา หลังจากผมเห็นอะไรหลุดออกจากแถวใบหน้าในครั้งแรก อีก 3 ปีต่อมา ในขณะที่ผมกำลังดูทีวีอยู่ ผมก็พบกับเหตุการณ์หลุดแบบนี้อีกครั้งหนึ่ง และหลังจากนั้นอีก 1 เดือน ผมก็เข้าใจเรื่องรังอวิชชา ขณะที่กำลังถ่ายของหนักในห้องน้ำ ผมเล่าเรื่องของผมให้ท่านฟัง เพื่อให้ท่านเห็นภาพว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าไม่เจาะเข้าไปใน มโน จะไม่เห็นธรรมที่แท้จริงเลย และ การเข้าไปเห็นใน มโน ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนสัมมาสติสัมมาสมาธิอย่างถูกต้องถูกทางจนตั้งมั่นและเกิดญาณอีกด้วย นี่คือ ความสำคัญแห่งสัมมาสมาธิ ที่นักภาวนาสมควรเชื่อพระพุทธองค์ที่ทรงสอนว่า ภิกษุทั้งหลาย ! จงเจริญสมาธิเถิด เมื่อสมาธิตั้งมั่น เธอจักเห็นธรรมตามความเป็นจริง ลำพังเพียงอ่าน เพียงฟัง ก็คล้ายกับฟังนิทาน จบแล้วก็จบกัน ไม่อาจเข้าใจธรรมได้เลย
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2553
17 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:12:41 น.
Counter : 1529 Pageviews.
โดย: MaFiaVza 7 พฤศจิกายน 2553 20:09:42 น.
โดย: Littleyogi IP: 117.47.98.189 7 พฤศจิกายน 2553 22:05:59 น.
โดย: cakecode 8 พฤศจิกายน 2553 14:10:55 น.
โดย: ลุง 'บุรีราช' IP: 180.180.156.123 9 พฤศจิกายน 2553 11:04:25 น.
โดย: virut IP: 172.22.0.112, 203.185.129.38 9 พฤศจิกายน 2553 13:24:53 น.
โดย: นมสิการ 9 พฤศจิกายน 2553 15:07:09 น.
โดย: นมสิการ 9 พฤศจิกายน 2553 15:31:53 น.
โดย: cakecode 10 พฤศจิกายน 2553 11:30:51 น.
โดย: นมสิการ 10 พฤศจิกายน 2553 12:22:25 น.
โดย: นมสิการ 10 พฤศจิกายน 2553 15:23:56 น.
โดย: นมสิการ 10 พฤศจิกายน 2553 15:42:00 น.
โดย: ทำไม่เป็น IP: 61.90.107.92 10 พฤศจิกายน 2553 17:21:25 น.
โดย: นมสิการ 10 พฤศจิกายน 2553 17:30:26 น.
โดย: virut IP: 183.89.11.156 10 พฤศจิกายน 2553 22:41:28 น.
โดย: นมสิการ 11 พฤศจิกายน 2553 6:14:21 น.
โดย: ตั้งไข่ IP: 125.27.94.244 11 พฤศจิกายน 2553 13:05:51 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:30:15 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****