รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
14 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
สิ่งที่ยากลำบากในการอธิบายให้เข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรม

สิ่งทียากลำบากมากที่สุดในการอธิบายให้คนทั่ว ๆ เข้าใจในเรื่องการปฏิบัติธรรมคือการไม่รู้เท่าทันความคิด

ผมขอให้ท่านเข้าไปอ่านในพระไตรปิฏกฉบับเถรวาทดู ท่านจะพบว่า ในพระไตรปิฏกนั้นได้อธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกในเรื่องการหลุดออกจากกองทุกข์ พุทธพจน์ต่าง ๆ ในพระไตรปิฏกก็จะตรัสถึงการหลุดออกจากกองทุกข์ การปฏิบัติเพื่อการหลุดออกจากกองทุกข์

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงตรัสรู้ในธรรมระดับสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จไปโปรดปัจจวัคคีย์ พระองค์ได้ทรงตรัสแห่งแก่นธรรมในการหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง กล่าวโดยย่อจะมีว่า

1..ส่วนสุดทั้ง 2 ไม่ควรเสพย์ คือ การเพลิดเพลินในกามสุขและการทรมานตนให้ลำบาก ให้เดินทางสายกลาง ทางสายกลางก็คือมรรค8 ซึ่งผมจะไม่ขอกล่าวถึงในบทนี้ ท่านที่ไม่รู้จักมรรค 8 ขอให้ไปค้นหาใน Google ซึ่งมีคำอธิบายแบบตำราไว้มากมายอยู่แล้ว

2..พระองค์ได้ตรัสสอนโดยย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่เที่ยง เมื่อไม่เทียง จะยึดถือได้อย่างไรว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา

สิ่งที่ผมเขียนข้างต้น ผมเชื่อว่า เหล่าชาวพุทธย่อมได้ยิน ได้ฟังมามากแล้วอย่างโชกโชน

ผมกล่าวนำเรื่องพุทธพจน์เกี่ยวกับคำสอนเพื่อการพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้า ผมจะชี้ประเด็นต่อไป ขอให้ท่านทำใจให้เป็นกลางในการอ่าน เพราะผมจะเขียนในเรื่องที่ฝืนความรู้สึกของชาวพุทธไทยเป็นอย่างมาก ถ้าท่านไม่แน่ใจว่า ควรอ่านหรือไม่ ผมแนะนำให้ท่านหยุดอ่านเสียครับ ท่านอาจเสียความรู้สึกไปได้มากที่จะอ่านต่อไปนี้...

ในแก่นพุทธพจน์ที่ผมยกมาอ้างนั้น ขอให้ท่านดูครับว่า พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวเลยว่า การปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นั้นเมื่อปฏิบัติแล้วจะมีความสุข ปฏิบัติแล้วจะเป็นคนดีของใครสักคนหรือเป็นคนดีของสังคม
พระพุทธองค์ทรงพร่ำสอนอยู่เสมอว่า ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นไตรลักษณ์ จะมายึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเราได้อย่างไร นี่คือ แก่นคำสอนของพุทธองค์

ท่านอ่านถึงตรงนี้ ท่านมองจุดที่ผมได้ยกมาแสดง ท่านเข้าใจใหมครับ... ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ เพราะมันฝืนความรู้สึกของท่านนั่นเอง

ผมจะชี้ให้ท่านเห็นต่อไปครับ...

การที่คน ๆ หนึ่งรู้สึกว่าตนเองได้ปฏิบัติธรรมแล้วมีความสุข ปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าเป็นคนดี นั่้นไม่ใช่ความจริงครับ มันเพียงความคิดที่นักปฏิบัติธรรมท่านนั้นยังเข้าไม่ถึงเรื่องความคิด

มันไม่ใช่คำสอนของพุทธองค์ครับท่าน...

ท่านอาจจะเริ่มงง อาจจะรู้สึกร้อน อาจจะรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้วในสิ่งที่ผมเขียน
อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ก็เพราะท่านไม่เข้าใจในความคิดของท่านเองครับ ไม่ใช่อื่นไกล
เมื่อท่านไม่เข้าใจในความคิด ท่านจะหลงเข้าใจว่า ความคิดนี่เป็นจริง เมื่อเข้าใจว่าเป็นจริง
ท่านก็จะยึดถือมันทันที

ไหนท่านบอกว่า ท่านเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าไงละ ว่า ชันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยึดไม่ได้ แล้วท่านทำไมถึงไปยึดถือในคำสอนของใครสักคนที่ว่า ปฏิบัติแล้วเป็นคนดี ปฏิบัติแล้วมีความสุขละ เพราะอาการนี้คือ สังขารขันธ์ อันเป็นหนึ่งในขันธ์ 5

ท่านบอกว่า ท่านเคารพและเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านเข้าใจในไตรลักษณ์ แต่แท้จริงแล้ว ท่านยังห่างไกลความเข้าใจในคำสอนของพุทธองค์อยู่มาก ท่านจึงหลงเข้าไปยึดในความคิดของตนเองจนได้

ในการพ้นทุกข์ตามคำสอนของพุทธองค์นั้น ชาวพุทธไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 เพราะมันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง การปฏิบัติธรรมเพื่อการเข้าถึงจุดคำสอนนี้ได้นั้น นักปฏิบัติต้องสามารถเห็น.ความคิด.ได้ก่อน แล้วนักปฏิบัติที่เห็นความคิดได้แล้วนั้น จึงจะเข้าใจในแก่นคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องการดับทุกข์ได้

การหลงยินดีในคำป้อยอของคนใกล้ตัวที่ว่า ท่านเป็นคนดี ท่านมีความสุข ล้วนเป็นมายาทางความคิดที่ท่านกำลังหลงเข้าไปแล้ว ท่านกำลังหลงทางในการปฏิบัติอย่างไม่รู้ตัวเลย เมื่อท่านไม่รู้ ท่านก็จะหลงยึดไปกับสังสารวัฏนี้ไปอีกนานแสนนาน แล้ว ความจริงแห่งไตรลักษณ์จะปรากฏให้ท่านเห็นเองทีว่า ท่านเป็นคนดี ท่านมีความสุขจริงหรือ เพราะในสิ่งที่ท่านกำลังหลงว่า กำลังปฏิบัติธรรมอยู่นั้น มันไม่จริงเสียแล้วจะมาปรากฏให้ท่านเห็นเอง

ไม่มีใครสามารถปกปิดความจริงของธรรมชาติได้ครับ เพราะมันคือความจริง มันเป็นของจริงนั่นเอง


เรื่องที่เขียนนี้ เป็นข้อละเอียดอ่อนในการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ที่ยากจะอธิบายให้คนที่กำลังปฏิบัติธรรมให้เข้าใจได้

คนที่เข้าใจได้นั้่น ก็มีจำนวนน้อยนิดมาก เมื่อมีน้อย เสียง vote จึงย่อมแพ้เสียงส่วนใหญ่ของคนที่ไม่เข้าใจว่า ไม่จริ๊ง ไม่จริง

คนเข้าใจจึงหุบปากเงียบดีกว่า พูดมากไปก็จะมีแต่คนเกลียดชัง
ถ้าไม่พูดเลย คนก็หลงทางผิดอยู่นั่นแหละ โดยคิดว่า ตนเองกำลังเดินอยู่ในทางแห่งมรรค

ผมไม่แคร์ ถ้าท่านที่อ่านเรื่องนี้จะเกลียดผม เพราะผมก็รู้ว่า ท่านยังไม่เข้าใจความคิดของท่านเอง ท่านจึงหลงเกลียดในสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้น

การปฏิบัติธรรมในขั้นการพ้นทุกข์ได้จริงนั้น คือ การเห็น การรู้ การเข้าใจ ในความคิดของตนเองว่า มันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันยึดไม่ได้ เมื่อนักภาวนาตามความคิดของตนเองทันแล้วนั่นแหละ เขาจะกลายเป็นคนใบ้ ที่ไม่อยากจะอ้าปากพูดอะไร เพราะสิ่งที่เขาจะพูดนั่น คนส่วนใหญ่ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี สู้นิ่งเงียบดีกว่าเป็นไหน ๆ ครับท่าน

การเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งการดับทุกข์ได้นั้น นักภาวนาสมควรปฏิบัติตามคำสอนในมรรค 8
กำลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่มีพลังในการปิดกั้นอำนาจของตัณหาที่โถมใส่.จิตรู้. นั้นแหละ จะทำให้ .จิตรู้.ของนักภาวนาแยกตัวออกในสิ่งที่ถูกรู้ ซีงก็คือ อาการต่างๆ ในขันธ์ 5
การแยกตัวออกของจิตรู้จากขันธ์ 5 จะทำให้นักภาวนาเห็นความจริงของขันธ์ 5 ได้ตามคำสอนเหมือนดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนปัจจวัคคีย์

การเห็นความจริง รู้เท่าทันในขันธ์ 5 โดยเฉพาะสังขารขันธ์ 5 อย่างหมดเปลือก ย่อม
เป็นเหตุแห่งการหลุดออกจากกองทุกข์ทั้งปวงได้อย่างแท้

ความจริงแห่งการไร้ตัว ไร้ตน ความเป็นอนัตตาก็จะปรากฏให้นักภาวนาได้เห็นด้วยการสร้างเหตุที่ตรงตามพุทธพจน์ดังกล่าว

การเห็นความคิด การเข้าใจในความคิด การไม่เข้าไปในความคิด การควบคุมความคิดได้
นี่คือผลอันมาจากศาสตร์ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

**********
สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เกิดเพราะมีเหตุให้เกิด ดับเพราะเหตุดับไป

************



Create Date : 14 มกราคม 2554
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:09:22 น. 15 comments
Counter : 1018 Pageviews.

 
จริงตามนั้นครับ เมื่อบุคคลใดปฏิบัติจนแยกได้ว่า "ความคิดไม่ใช่เรา" ก็จะไม่กล้าที่จะบอกอะไรมาก เพราะกลัวว่าสิ่งที่พูดที่บอก เป็นความคิดที่เกิดจาก การเรียนรู้ที่สะสมมาตั้งแต่เกิด(สมมุติโลก) ไม่ใช่ ความคิด ที่่อุบัติขึ้นจากเหตุที่แท้จริง กลัวสิ่งที่บอก เจือปนการแอบแฝงของกิเลสตนออกไป ซึ่งแยกแยะออกจากกันยากมาก ว่า
"มันเป็น อุบัติคิด หรือ ความคิดจากกิเลสตน"


โดย: ตามพันธสัญญา IP: 119.46.43.78 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:9:33:38 น.  

 


โดย: shadee829 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:11:39:00 น.  

 
อนุโมทนาท่าน มนสิการ ครับ สาธุ


โดย: shadee829 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:11:40:08 น.  

 
มาสนับสนุนสิ่งที่ คุณ นมสิการกล่าวครับ ^^


โดย: ดุลยภาพ IP: 110.77.146.54 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:12:13:17 น.  

 
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ

ยิ่งปฏิบัติยิ่งเห็นทุกข์ รู้ทุกข์ เบื่อทุกข์ และปล่อยวางทุกข์ได้ด้วยความเข้าใจเหตุแห่งทุกข์นั้น

ตอนแรกคิดว่าปฏิบัติแล้วจะทุกข์น้อยลง สุขมากขึ้น
หรือปฏิบัติแล้วเป็นคนดีขึ้น.. ก็เสียเวลาไปนานเหมือนกันกว่าจะเข้าใจ

พี่ออกมาบอกอย่างนี้ดีแล้วค่ะ คนอ่านร้อยคนอย่างน้อยก็ต้องมีหลายคนที่เข้าใจ

โมทนาค่ะ


โดย: chaosy วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:13:21:08 น.  

 

Thanks: Ro ฝากรูป

ยินดีด้วยนะคะ ช่วงนี้อากาศหนาวแล้ว ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ


โดย: แม่ออมบุญ วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:16:05:25 น.  

 

Thanks: Ro ฝากรูป

ช่วงนี้อากาศหนาวแล้ว ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ


โดย: แม่ออมบุญ วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:16:06:52 น.  

 
สิ่งที่คุณ นมสิการ นำมาโพสและบอกกล่าวเล่ามานั้น คนจำนวนมากยังเข้าใจว่าปฏิบัติเพื่อให้ละทุกข์เกิดสุข.....ถ้ากล่าวเช่นนั้นก็อาจจะไม่ผิดตามความเข้าใจของแต่ละท่าน.....แต่ที่ปฏิบัติกันนั้นเพื่อให้เกิดสิ่งที่มุ่งหวังในที่สุดของการปฏิบััตินั่นเอง.....เพียงแต่ใครต้องการเพียงแค่ไหนเท่านั้น.....ขออนุโมทนา สาธุ กับบทความที่นำมาลงให้อ่าน เพื่อให้เป็นที่เกิดความคิดที่ชัดแจ้งยิ่งขึ้น


โดย: นักอ่านริมขอบ..... IP: 124.122.148.116 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:20:26:36 น.  

 
คนส่วนมากจะไม่ปฏิบัติ จนถึงขั้นที่
เปลี่ยนทัศนคติของตนเอง

จนความเชื่อทั้งหลายทลายไป

เป็นความยากมากถึงยากที่สุด
เป็นเส้นผมบังภูเขา

แต่การจะเอาเส้นผมนั้นออกไป
ต้องปฏิบัติจนถึงขั้นที่

สามารถเลิกเชื่อว่า
เอามือตัวเองที่ถือเส้นผมนั้นไว้
กำลังบังที่ ตาตัวเองนั้นออก

ซึ่งโลกทั้งใบบอกว่า

การเอามือออกจากที่ถือนั้น
มันผิดกฏ

เป็นความละเอียดอ่อนมาก
สำหรับ ธรรมระดับปุถุชน


โดย: billy IP: 10.227.20.214, 119.46.176.222 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:20:55:09 น.  

 
ที่อาจารย์กล่าวมา คือผลแห่งการ ปฎิบัติและฝึกฝนใช่ไหมครับ หากผมได้ฝึกตามที่อาจารย์ได้กล่าวเน้นย้ำ 3 ข้อ ผมจะได้รู้เอง คือรู้ ที่มาจากข้างในเอง เกิดขึ้นเอง เข้าใจเองโดยอัตโนมัติ โดยมิต้องอ่านไตรปิฎก อย่างนั้นใช่ไหมครับ ผมต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกไหมครับ

บทความนี้ หักมุมความคิดผมเลย อาจเป็นที่ผมคาดหวังผลผิดทาง อาจเป็นด้วยอ่านประวัติการฝึกฝน ผลอันอัศจรรย์มามากไปหน่อย


โดย: Littleyogi IP: 112.142.165.215 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:22:11:13 น.  

 
ตอบ คุณ littleyogi

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=15-01-2011&group=13&gblog=48


โดย: นมสิการ วันที่: 15 มกราคม 2554 เวลา:5:22:22 น.  

 


โดย: นมสิการ วันที่: 15 มกราคม 2554 เวลา:6:11:13 น.  

 
Thank you very much for your article. I feel, finally, peacefully inside since the saveral days of confusion.


โดย: Shadowfax IP: 92.154.200.202 วันที่: 25 มกราคม 2554 เวลา:1:43:28 น.  

 
ในดีมีเลว ในเลวมีดี พุทธองค์ทรงอยู่เหนือความดีและความเลว


โดย: แม่ลูกอ่อน IP: 180.183.242.135 วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:14:52:43 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:15:24:31 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.