ลักษณะอาการของการรู้ที่เป็นไปตามธรรมชาติ
ในการฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐานนั้น นักภาวนาสมควรจะฝึกฝนทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ อย่าได้มีการดัดแปลงเสริมแต่งใด ๆ ลงไปในจิตใจ เพราะนั้นคือการผิดธรรมชาติ แล้วการภาวนาจะไม่ได้ผลดี
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นี่คือ สภาวะจริงของคนของสัตว์ แต่มีสภาวะที่เกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัยที่มันแปรเปลี่ยนไป มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวตน
จิตรู้ เป็น สิ่งทีมหัศจรรย์ที่สุดในบรรดาสภาวะทั้งหมด ถ้าท่านปฏิบัติได้ถึงที่ ท่านจะพบกับ จิตรู้ หลังจากที่ได้ทำลายเปลือกหุ้มที่เป็นลูกโป่งแล้ว นักภาวนาจะพบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด คือ การไม่มีอะไรเลย แต่มีการรูับรู้สภาวะธรรมได้ ในตำราในพุทธศาสนาได้บอกว่า คนประกอบด้วย ธาตุ6 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ
ผมเข้าใจเอาเองว่า จิตรู้ ที่ทำลายลูกโป่งแตกแล้วนี่แหละ คือ วิญญาณธาตุ มันว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย มันเป็นสุญญาตา แต่มีความสามารถพิเศษที่จะ .รับรู้. ได้
เมื่อ จิตรู้ มันว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเลย ดังนั้น มันจึงไม่มี มวลสาร ไม่มีน้ำหนัก เมื่อ ไม่มีน้ำหนัก ก็แปลว่า มันจะ .เบา.
นี่คือสภาพธรรมชาติแห่งการรับรู้ว่า ในขณะที่กำลังรับรู้ที่เป็นธรรมชาติได้อยู่ นักภาวนาจะรู้สึกว่า ตัวเบา จิตเบา
ขอให้ดูภาพข้างบนด้านซ้ายมือ ภาพนี้เป็นภาพเก่า ทีผมเคยใช้มาก่อน แต่ก็ใช้ได้ดีสำหรับเรื่องนี้
ในการรับรู้สภาวะของ.จิตรู้. นั้น มันจะรับรู้ได้แบบทั่ว ๆ ที่ไม่สามารถเจาะจงได้ มันจะรับรู้แบบสมดุลย์ กล่าวแบบง่าย ๆ ให้เข้าใจกัน ก็คือ ตาก็มองเห็น หูก็ได้ยิน จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นก็ได้รส กายก็รู้สัมผัส เมื่อมีสภาวะแห่งจิตใจเกิดขึ้น ก็รู้ได้
ในการรับรู้แบบสมดุลย์แบบนี้ จิตรู้ จะรับรู้อะไรก็ได้ แล้วแต่เขาจะไปรับรู้เอง นักภาวนาไม่ต้องไปฝืน ไม่ต้องไปบังคับว่า ต้องรับรู้อย่างนั้นอย่างนี่นะ เช่น นักภาวนาที่ไม่เข้าใจการทำงานการรับรู้ของจิตที่ใช้อาณาปานสติ ก็มักจะเข้าใจว่า ต้องรู้ลมหายใจอย่างเดียว นี่คือการเข้าใจผิดเสียแล้ว ถ้ารู้แบบนี้ รู้อย่างเดียว เป็นการรู้ที่ไม่สมดุลย์แล้ว
ในการรู้ที่สมดุลย์ จิตรู้ จะรู้แบบผ่าน ๆ พอรู้แล้วจะไม่จับยึดสิ่งที่ถูกรู้ มันจะรู้อย่างโน้นที อย่างนี้ทีอย่างรวดเร็ว จนเหมือนกับว่า รู้ได้พร้อม ๆ กันครั้งละหลาย ๆ อย่าง การรู้แบบนี้จะเป็นลักษณะที่รู้ได้เบา ๆ รู้ไม่แนบแน่นในสิ่งที่ถูกรู้ บางอาจารย์จะเรียกอาการแบบนี้ รู้แล้วปล่อย หรือ บางท่านก็เรียกว่า รู้แล้วทิ้ง
***นี่คือ สภาพการรู้ที่เป็นธรรมชาติของจิตรู้ รู้ที่เป็นอิสระ รู้แล้วไม่ยึดติดในสิ่งทีไปรู้เข้า***
ถ้าไม่เป็นธรรมชาติละ คือ การรู้ที่มีการจงใจ แทรกแซง เช่น การพยายามที่จะรู้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ต้องการรู้ให้ชัด เห็นให้ชัด ได้ยินได้ชัด นี่คือความรู้สึกในทางโลก ที่คนทั้งหมดคุ้นเคยกับสภาพแบบนี้ แล้วนำมาใช้ด้วยในการปฏิบัติธรรม แต่มันไม่เป็นธรรมชาติครับ
บางอาจารย์ที่เขาสอนกรรมฐาน ผมเคยได้พบมาเช่นกัน เขามักจะพูดกับคนที่มาเรียนมา .ต้องรู้.บ้าง .รู้ให้ชัด.บ้าง แล้วก็นำคำบาลีมาอ้างบ่อย ๆ ถ้าผมจำไม่ผิด จะเป็นคำว่า ปะชานาติ (ถ้าคำนี้ผิดไป ก็ขออภัยด้วย) ทำให้นักภาวนาตึความไปตามความคุ้นเคยทางโลกว่า ต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ต้องรู้ให้ชัด ถ้าไม่ชัด นี่คือผิด
ซึ่งจริง ๆ แล้ว การรู้ที่เป็นธรรมชาติไม่ไช่แบบนั้นเลย การรู้ที่เป็นธรรมชาตินั้น จะเป็นการรู้ที่รู้เบา ๆ เหมือนไม่ชัด จะรู้อะไรก็ได้ บังคับไม่ได้ด้วย และก็อย่าไปบังคับ ต้องให้จิตเขารู้เอง อย่าไปตั้งเป้าหมายว่า ต้องรู้ลมหายใจนะ ต้องรู้เท้ากระทบพื้นนะ ต้องรู้มือที่กำลังเคลื่อนนะ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ และการรู้นี้ .ต้องรู้. ก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน ในความเป็นธรรมชาตินััน การรู้ จะขึ้นกับความเป็นอิสระของจิตใจและกำลังแห่งสติสัมปชัญญะ ถ้าท่านยังไม่เป็นพระอรหันต์ ท่านจะพบว่า ท่านจะรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง(หรือจะเรียกว่า เผลอไป ก็ได้) ธรรมชาติของท่านจะเห็นแบบนี้ ยิ่งในการฝีกฝนในชีวิตประจำวันด้วยแล้ว การไม่รู้เพราะเผลอมีมากกว่า การรู้ เสียอีก แต่ถ้าท่านชำนาญขึ้น จิตมีพลังสติสัมปชัญญะมากขึ้น ท่านจะรู้ มากกว่า เผลอ
ที่ผมเขียนว่า " ..ถ้าท่านชำนาญขึ้น จิตมีพลังสติสัมปชัญญะมากขึ้น ท่านจะรู้ มากกว่า เผลอ... ) นี้ ผมหมายความว่า ท่านต้องชำนาญขึ้นจากการฝึกฝนที่ให้รู้แบบเป็นธรรมชาติเองทีละนิด ผมไม่ได้บอกท่านว่า .ไม่ให้เผลอ. แล้วท่านก็ไปนั่งทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เผลอ ถ้าทำอย่างนี้ ก็ไม่เป็นธรรมชาติครับ
ในการฝึกฝน ท่านสมควรหมั่นฝึกฝนให้เป็นธรรมชาติอยู่เสมอ ใหม่ ๆ จะเผลอมาก รู้น้อย พอการฝึกฝนที่เป็นธรรมชาตินี้ส่งผล ท่านจะรู้มาก เผลอน้อย และ ท่านจะคงการเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป เพราะนี่คือธรรมชาติแท้ของท่านแล้ว ที่ท่านฝึกมา
แต่ถ้าท่านไปทำอะไรไม่ให้เผลอ ท่านสร้างมันขึ้นมาที่ไม่เป็นธรรมชาติ พอท่านหยุดสร้าง ท่านก็จะเผลอมากเช่นเดิมอีก แล้วท่านก็จะล้มเหลวกับการภาวนาได้
การรู้ที่เป็นธรรมชาตินั้น เวลาท่านฝึกฝน ท่านสมควรเข้าใจว่า ท่านกำลังทำเล่น ๆ ไม่จริง ๆ นี่ไม่ใช่การฝึกทหารครับ และท่านสมควรทำแบบผ่อนคลาย อย่าได้เครียดกับการฝึกฝน อย่าตั้งเป้าหมายในจิตใจของท่านว่า ต้องให้ได้เวลาเท่านั้นเท่านี้ ถ้าทำไม่ถึงเวลาเป้ามหายจะไม่เลิก อะไรทำนองนี้ มันจะเครียดแล้วท่านจะฝึกไม่ได้ดีครับ
สรุปให้สั้น ๆ สำหรับการฝึกฝน 1..ให้รู้สึกตัว แล้ว ให้รู้เอง รู้อะไรก็ได้ ไม่รู้ก็ยังได้เลย 2..ให้สบาย ๆ เหมือนฝึกเล่น ๆ อย่าเครียด 3..เวลารู้ จะรู้ที่เบา ๆ เหมือนไม่ชัด และไม่สามารถบังคับการรู้ได้
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2553 |
|
13 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:12:14 น. |
Counter : 2344 Pageviews. |
|
|
|
เมื่อเป็นคนฝึกฝนใหม่ การกระทำอะไรที่ใช้เวลานานยาว ความเป็นธรรมชาติจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น กิจกรรมสั้น ในชีิวิตประจำวันที่เกิดขึ้น เช่น ขณะนั่งอยู่ ก็ลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้น การลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินไปดื่มน้ำ ช่วงเวลาสั้น ๆ นี่แหละ เป็นธรรมชาติมาก ถ้าท่านสังเกตมันอยุ่เงียบ ๆ ท่านจะเข้าใจในความเป็นธรรมชาติของการรู้ได้เลยว่า มันหน้าตาอย่างนี้นะ