ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 306
"สิบสาม"โจทย์โดย คุณปริ๊นซ์..จันทราน็อคเทิร์น
*******************************************
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ จากโจทย์ตะพาบคราวนี้ 13 ของคุณปริ๊นซ์ จันทราน็อคเทอร์น ก็ตรงกับวันสำคัญพอดีเป็นวันที่ดีด้วยนะคะ คือวันอาสาฬหบูชา วันพระใหญ่ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ฉะนั้น จขบ.จึงอยากเอาภาพการทำอาหารไปทำบุญในวันพระใหญ่มาให้เพื่อนๆได้อ่านกันค่ะ
สำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน คงทราบกันดีว่า ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี 2565 วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันพุธที่ 13 กรกฎาคม (ขึ้น 15 คํ่า เดือน 8) แต่หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาเกี่ยวกับวันอาสาฬหบูชาเท่าใดนัก ดังนั้น วันนี้เรามี ประวัติวันอาสาฬหบูชา มาฝากกันค่ะ
ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สา-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8
วันอาสาฬหบูชา คือ วันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จนพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี
ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ
สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ
1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ
การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค
การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่
1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน
2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือบุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่
1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด
2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ
3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา
4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห่งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น
กิจกรรมวันอาสาฬหบูชา
พิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้...
ขอบคุณข้อมูลจาก - ธรรมะไทย และ Kapook.com
จขบ.มักจะไปทำบุญที่วัดป่าสำราญนิวาส เป็นประจำ เพราะพระท่านฉันมื้อเดียว การลงสวดจึงไม่ต้องรีบเช้ามากนักเพราะพระจะฉันประมาณ 9.00 นค่ะ เราจึงได้มีเวลาเตรียมเข้าของไปวัดได้สะดวก
ก่อนไปวัด 1 วันเราก็เตรียมทำขนมไว้ไปวัด ทำกับช้าว เตรียมของถวายพระกัน
พอดีเพื่อนให้ลำไยมาเยอะมาก
เพื่อนให้ลำไยมาเยอะเลยค่ะ
ก็เลยเอามาแกะลองทำข้าวเหนียวเปียกลำไยไปวัดค่ะ
แกะเอาเม็ดออกเตรียมทำขนมข้าวเหนียวเปียก
ข้าวเหนียวจขบ.ใช้วิธีซื้อข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วในตลาดมาครึ่งกิโลค่ะ
ตั้งน้ำพอประมาณไม่มาก ตั้งไฟให้เดือด นำข้าวเหนียวมายีใส่ลงไป
คนให้ทั่วๆตามด้วยเนื้อลำไย น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น
ครึ่งช้อชา คนให้เข้ากันให้ข้าวเหนียวเดือดเมล็ดข้าวสุกบานนำแป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะละลายน้ำ ให้เข้ากันเทใส่ลงไปคนให้เข้ากันข้าวเหนียวก็จะเริ่มเหนียวได้ที่ ใส่น้ำกระทิ ลงไปจขบ.ใช้ กระทิกล่อง 250 มิล. ใส่ลงไปครึ่งกล่องคนให้เข้ากันชิมรสให้กลมกล่อม ไม่หวานมาก เพราะเนื้อลำไยหวานอยู่แล้ว ปิดไฟ
เตรียมน้ำกระทิราดหน้าข้าวหนียว
เกลือป่น นิดหน่อยไม่ถึงครึ่งช้อนชา น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวเจ้า ครึ่งช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันตั้งไฟอ่อนๆคนพอร้อนไม่เดือดมากกระทิจะข้นและเปลี่ยนสีไม่สวย ยกลง
ตักข้าวเหนียวใส่ชามราดด้วยน้ำกระทิ จะได้ข้าวเหนียวเปียกลำไยอร่อยๆทานแล้วเคี้ยวโดนลำไยอร่อยๆค่ะ
เสร็จแล้วก็นำข้าวเหนียวเปียกวางทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำใส่ตู้เย็นไว้เพื่อนำไปวัด
จากนั้นก็จัดการแกงเผ็ดฟักทองใส่ไก่ อีกหนึ่งหม้อ
มีไข่พะโล้ ขนมเทียน ขนุน แล้วนำไปถวายพระตอนเช้าวันนี้ค่ะ
พระสวดเสร็จแล้ว ศรัทธาญาติโยมก็กลับกันค่ะ เสร็จภาระกิจงานบุญอีกงานค่ะ ส่วนพรุ่งนี้คงได้ไปถวายเทียนกันอีกครั้งค่ะ
จากกันด้วยภาพนี้นะคะ สำหรับตะพาบ "13" ค่ะ เอาบุญมาฝากเพื่อนๆทุกท่านค่ะขอได้รับบุญด้วยกันนะคะขอขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาเยือนและให้กำลังใจค่ะ
ขอขอบคุณบีจีสวยๆจากบล็อกแกงค์
ขอขอบคุณขอมูลดีๆจาก ธรรมะไทย และ Kapook.com
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Kapook.com
ขอขอบคุณเพลงประกอบจากยูทูบ