ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
Group Blog
 
All Blogs
 

ติของจึงเป็นคนซื้อของ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปซื้อผลไม้ในตลาด พ่อค้าผลไม้ที่สนิทกับผมกำลังพบกับลูกค้าที่จู้จี้คนหนึ่งอยู่พอดี
“ ผลไม้นี่ดูเน่าเน่า กิโลละ 50 เหรียญเลยหรือนี่ “ ลูกค้าหยิบผลไม้ขึ้นดูซ้ายทีขวาที
ลูกค้าถาม “ กิโลละ 40 เหรียญละกัน ไม่งั้นผมไม่ซื้อ “
พ่อค้ายังคงยิ้มและตอบว่า “ คุณครับ หากผมขายให้คุณ กิโลละ 40 เหรียญ แล้วผมจะตอบคนซื้อก่อนหน้านี้ได้อย่างไรกัน “
“ แต่ว่า ผลไม้ของคุณเน่าออกอย่างนี้ “
“ ไม่หรอก ถ้าสวยกว่านี้คงต้องขายกิโลละ 100 เหรียญแล้วล่ะ “ พ่อค้ายังคงยิ้มแล้วตอบ
ไม่ว่าท่าทีของลูกค้าจะเป็นอย่างไร พ่อค้ายังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า และยังคงยิ้มอย่างเป็นกันเองเหมือนครั้งแรก
ลูกค้าแม้จะติโน่นตินี่ สุดท้ายก็ยอมซื้อในราคากิโลละ 50 เหรียญ
รอจนลูกค้าคนดังกล่าวจากไปแล้ว พ่อค้ายิ้มและพูดกับผมว่า “ คนติของจึงจะเป็นคนซื้อของตัวจริง “
“ ติของจึงเป็นคนซื้อของ “ เป็นคำพื้นบ้านของไต้หวัน ความหมายก็คือ มีแต่คนที่รู้จักติสินค้าว่าไม่ดีเท่านั้นจึงเป็นคนมืออาชีพ ถ้าเรามั่นใจในคุณภาพของสินค้าตนเองแล้ว ก็ไม่ต้องไปกลัวว่าเขาจะติ คนเป็นมืออาชีพจะต้องรู้จักของอย่างแน่นอน
ผมมองดูหน้าพ่อค้ารู้สึกนับถือในใจขึ้นมาทันที เขาไม่สนใจว่าผู้อื่นจะติเตียนผลไม้ของเขาอย่างไร และยังไม่โกรธแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ได้รับการอบรมมาดี และเพราะมีความเชื่อมั่นในผลไม้ของตัวเองด้วย พวกเรายังไม่อาจเปรียบกับพ่อค้าได้เลย ปกติถ้ามีคนมาว่าเราคำสองคำ พวกเราก็จะอารมณ์เสียพูดไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะยิ้มแย้มกับเขา

*** เมื่อผู้อื่นวิจารณ์เรา โดยทั่วไปแยกได้เป็นสองอย่าง คือตักเตือนด้วยความปรารถนาดี หรือไม่ก็เป็นการโจมตีให้ร้าย ก่อนอื่นต้องมั่นใจในตนเอง ประการต่อมาอย่ารีบโต้ตอบ รับฟังดูว่าสิ่งที่ผู้อื่นพูดมานั้นมีเหตุผลหรือไม่

*****




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2553    
Last Update : 26 ตุลาคม 2553 7:34:40 น.
Counter : 393 Pageviews.  

รักที่ทำให้เราเจ็บปวด

ในช่วงเวลาแห่งรัก ทุก ๆ วินาทีของชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่นี้ล้วนเป็นความหวานชื่นและสุขล้น
ต่อมา เด็กสาวค่อย ๆ เหินห่างเด็กหนุ่ม เด็กสาวแต่งงานแล้ว และยังได้ไปปารีส สถานที่ที่เธอฝันถึงบ่อย ๆ ตอนที่เด็กสาวและเด็กหนุ่มจะแยกจากกัน เด็กสาวบอกกับเด็กหนุ่มว่า “ พวกเราต้องเผชิญกับความจริง ฉันจำเป็นต้องยึดโอกาสทั้งหมดเอาไว้ให้มั่น คุณยากจนเกินไป ฉันคิดไม่ออกเลยว่าวันเวลาหลังจากเราแต่งงานกันแล้วจะอยู่กันอย่างไร.........”
หลังจากเด็กสาวไปฝรั่งเศสแล้ว เด็กหนุ่มขายหนังสือพิมพ์ เป็นลูกจ้างชั่วคราว ขายของริมทาง ........งานทุกอย่างเขาล้วนทำด้วยความขยันขันแข็ง หลายปีผ่านไป ในที่สุดเขามีบริษัทของตนเอง เขามีเงิน แต่ว่าในใจของเขายังไม่เคยลืมเด็กสาวเลย
มีวันหนึ่งฝนกำลังตก เด็กหนุ่มมองออกจากรถออดี้สีดำของเขา เห็นคนชราคู่หนึ่งกำลังเดินอยู่อย่างช้า ๆ เขาจำได้ว่านี่คือพ่อและแม่ของเด็กสาว ดังนั้นเขาตัดสินใจว่าจะพบหน้ากับพวกเขา ถามไถ่ถึงสภาพของเด็กสาว แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดก็เพื่อให้พวกเขาได้เห็นว่าตนไม่เพียงแต่มีรถยนต์เท่านั้น ยังมีบริษัทและบ้านพักหรู ให้พวกเขารับรู้ว่าเขาไม่ใช่ไอ้หนุ่มกระจอก เขาเป็นเจ้าของธุรกิจหนุ่ม เขาจะทำให้เด็กสาวต้องรู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจในตอนแรก เขาขับรถตามพวกเขาไปอย่างช้า ๆ มาถึงจุดหมายแล้ว เด็กหนุ่มตลึงไป นี่คือสุสานแห่งหนึ่ง เขามองเห็นรูปภาพบนป้ายหลุมศพของเด็กสาวกำลังยิ้มหวานให้เขา พ่อแม่ของเด็กสาวบอกกับเด็กหนุ่มว่า เด็กสาวป่วยเป็นมะเร็ง เธอไปสวรรค์แล้ว เธอหวังว่าเขาจะมีครอบครัวที่อบอุ่น เพราะฉะนั้นเธอจึงพูดเช่นนั้น เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มคุกเข่าลง คุกเข่าต่อหน้าหลุมศพของเด็กสาว น้ำตาอาบแก้ม เด็กหนุ่มหวนคิดถึงรอยยิ้มบนใบหน้าที่บริสุทธิ์ของเด็กสาว ในใจของเด็กหนุ่มคล้ายดั่งมีเลือดไหลลงทีละหยดทีละหยด
ขณะที่คนชราคู่นี้เดินออกจากสุสาน เห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ไม่ไกลนัก ประตูรถออดี้เปิดรอรับคนชราอยู่ ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากวิทยุในรถ “ ใจของฉัน ไม่คิดเสียใจ ยังไงยังไงก็เพื่อเธอ ................”

*** ความรักไม่ได้หวานเสมอไป บางครั้ง รักก็ทำให้คนต้องปวดใจ ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่นั่นก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง

*****





 

Create Date : 25 ตุลาคม 2553    
Last Update : 25 ตุลาคม 2553 7:50:31 น.
Counter : 417 Pageviews.  

เวลาก็คือทรัพย์สมบัติ

ภายในร้านหนังสือของ เบนจามิน แฟรงคลิน ชายคนหนึ่งถามว่า “ หนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไหร่ครับ ”
“ 1 ดอลลาร์ “ พนักงานร้านตอบ
“ ต้อง 1 ดอลลาร์ เลยหรือ “ คนคนนั้นเดินกลับไปกลับมาหลายรอบถามอย่างตกใจ “ คุณจะลดราคาลงหน่อยได้ไหมครับ “
“ ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้อง 1 ดอลลาร์นั่นแหละ “ นี่เป็นคำตอบที่เขาได้รับ
คนผู้นี้ดูเหมือนต้องการซื้อหนังสือเล่มนี้มาก จ้องหนังสือเล่มนี้อยู่อีกพักหนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า “ คุณแฟรงคลินอยู่ไหมครับ “
“ อยู่ครับ “ พนักงานตอบ “ เขากำลังยุ่งอยู่กับงานพิมพ์ครับ “
“ เออ ผมอยากพบเขาหน่อย “ ชายคนนี้ยืนยัน แฟรงคลินเจ้าของร้านจึงถูกเชิญออกมาที่หน้าร้าน คนแปลกหน้าผู้นี้ถามอีกครั้งหนึ่งว่า “ คุณแฟรงคลินครับ ขออนุญาติถามหน่อยว่าหนังสือเล่มนี้ราคาต่ำสุดได้เท่าไหร่ “
“ 1.25 ดอลลาร์ “ แฟรงคลินตอบน้ำเสียงเด็ดขาด
“ 1.25 ดอลลาร์ ทำไมเป็นเช่นนี้ล่ะ เมื่อสักครู่นี้พนักงานของคุณเพิ่งจะบอกว่าราคา 1 ดอลลาร์เท่านั้น”
“ ไม่ผิดครับ ” แฟรงคลินตอบ “ แต่ว่าคุณทำให้ผมเสียเวลา ค่าเสียหายนี้มันมากกว่า 1 ดอลลาร์ เสียอีก “
ชายคนนี้รู้สึกประหลาดใจมาก แต่เพื่อยุติบทเจรจาที่เขาเป็นคนเริ่มต้นลงโดยเร็ว เขาถามอีกครั้งหนึ่งว่า “ โอเค งั้นคุณช่วยบอกราคาที่ต่ำสุดของหนังสือเล่มนี้กับผมได้แล้วหรือยัง “
“ 1.5 ดอลลาร์ “ แฟรงคลินตอบ “ 1.5 ดอลลาร์ “
“ โอ้ พระเจ้า เมื่อตระกี้นี้คุณบอกเองไม่ใช่หรือว่าแค่ 1.25 ดอลลาร์ “
“ ใช่ครับ “ แฟรงคลินตอบอย่างสงบเยือกเย็น “ แต่ว่าถึงตอนนี้ เรื่องนี้มันทำให้งานผมล่าช้าและเสียหายไปมากกว่า 1.5 ดอลลาร์ “
ชายคนนี้นิ่งเงียบแล้ววางเงินไว้บนเคาท์เตอร์ หยิบหนังสือเล่มดังกล่าวแล้วออกจากร้านไป เขาได้บทเรียนที่มีประโยชน์มากจากตัวของแฟรงคลินเจ้าของร้านหนังสือคนนี้ สำหรับคนในบางระดับชั้นแล้ว เวลาก็คือทรัพย์สมบัติ เวลาก็คือราคาที่มีค่า

*** คนที่ไม่รู้จักถนอมรักเวลาของตน ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะทำให้คนอื่นเสียเวลาไปด้วย ไม่ตรงต่อเวลา มาประชุมสาย ไม่รู้จักปฎิเสธงานเลี้ยงสมาคมที่ไม่จำเป็น เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็น “ ผลงาน “ ของคนประเภทนี้ทั้งสิ้น

*****













 

Create Date : 23 ตุลาคม 2553    
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 7:14:55 น.
Counter : 385 Pageviews.  

หนี้ของครูชนบท

เพื่อนของผมเป็นครูชนบท เขายากจน เรียบง่าย ในสายตาของผู้คนทั่วๆ ไปแล้ว อาจเรียกได้ว่าเป็นคนไม่เอาไหน แต่ว่า เขากลับได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนรอบข้าง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมพลิกดูสมุดบัญชีเล่มเก่าของเขาดูโดยไม่ตั้งใจ ในสมุดบัญชีเล่มเก่าของเขาบันทึกถึงการเป็นหนี้ของเขาถึง 40 กว่ารายการ สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือ หนี้กว่า 40 รายการนี้ แต่ละรายการจำนวนมากบ้างน้อยบ้าง ล้วนแต่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาทั้งสิ้น แต่ละรายการ ใช้เวลายาวบ้างสั้นบ้าง เขาก็ชำระสะสางจนเรียบร้อยทุกราย.........
ในวันที่ 2 เดือนมีนาคม ปี 1990 ขอกู้จากสหกรณ์หมู่บ้านเพื่อมาซื้อควายไถนา 200 เหรียญ
สาเหตุของเรื่อง นักเรียนชื่อ หลี่ปิ่งเซิงหกล้ม กระดูดขาซ้ายหัก หลังจากนำส่งโรงพยาบาลหมู่บ้าน ที่บ้านของเขาไม่มีเงินเพื่อจ่ายค่าพักรักษาตัว และในมือผมก็ขาดเงิน แต่ในฐานะครูประจำชั้น ผมไม่อาจนิ่งดูดาย จึงไปหาพี่เหรินฮว๋าที่ทำงานในสหกรณ์เพื่อขอความช่วยหลือ “ กู้เงินเพื่อซื้อควายไถนา ” เป็นความคิดของพี่เหรินฮว๋าที่ช่วยหาวิธีให้ วิธีนี้ดอกเบี้ยต่ำสักหน่อย เขาช่วยเหลือผมอย่างจริงใจ
หมายเหตุ ผมหัก 20 เหรียญจากเงินเดือน 96 เหรียญของผมมาใช้หนี้ เงินจำนวนนี้ผมชดใช้เรียบร้อยแล้วเมื่อ ปี 1991 ผมยังซื้อเหล้า “ เอ้อกวอโถว “ ขวดหนึ่งให้พี่เหรินฮว๋าเป็นของขวัญแสดงความขอบคุณ
วันที่ 7 เดือน เมษายน ปี 1990 ยืมเงินกองกลางของโรงเรียน 80 เหรียญ
สาเหตุของเรื่อง ได้ข่าวว่าราคาหน่อไม้นอกหมู่บ้านขายได้ราคาดี ผมตัดสินใจพาเด็กนักเรียนไปขุดหน่อไม้ หวังจะสะสมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในชั้นเรียน เวลาสองวัน พวกเราขุดหน่อไม้ได้ 4 กระสอบใหญ่ คำนวณว่าจะสามารถขายได้เงินสามถึงสี่ร้อยเหรียญ ผมแบกคนเดียวไม่ไหว และไม่อยากทำให้นักเรียนเสียการเรียน จึงว่าจ้างรถสามล้อ จ่ายค่ารถไป 60 เหรียญ ที่เหลือ 20 เหรียญใช้เป็นค่าอาหารระหว่างทางและค่ารถขากลับ มาถึงในเมือง หน่อไม้ถูกริบไปหมด ไม่ได้เงินเลยสักเหรียญ ยังต้องควักกระเป๋าตัวเองอีก 80 เหรียญ ผมบอกกับที่โรงเรียนว่าเงินจำนวนนี้ผมจะรับผิดชอบจ่ายให้เอง
หมายเหตุ หนี้จำนวนนี้ผมหักจากเงินเดือนของผมในเดือนห้า และเดือนหกจนครบเรียบร้อย
วันที่ 14 เดือน กันยายน ปี 1990 ยืมเงินจากเพื่อนร่วมงาน 900 เหรียญ
สาเหตุของเรื่อง ผู้บังคับบัญชาเรียกร้องให้สะสางค่าเล่าเรียนที่ติดค้างของนักเรียน ตั้งแต่ผมจบการศึกษาและบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนแห่งนี้ นักเรียนที่ผมค้ำประกันค่าเล่าเรียนให้และยังไม่ได้จ่ายค่าเรียนรวมทั้งสิ้น 885 เหรียญ
หมายเหตุ เงินจำนวนนี้ผมจ่ายจนเรียบร้อยหมดในเดือนมกราคม ปี 1994 ในจำนวนนี้ มีผู้ปกครองของเด็กยากจนยืนยันที่จะคืนให้ผม 108 เหรียญ
วันที่ 20 เดือนพฤศจิกายน ปี 1990 กู้เงินธนาคารในอำเภอ 400 เหรียญ
สาเหตุของเรื่อง กำแพงโรงเรียนพังลงมา โรงเรียนไม่มีเงินก่อกำแพงใหม่ ครูใหญ่ไปขอเงินจากหมู่บ้านก็ไม่ได้รับการอนุมัติ และเพราะเหตุนี้นักเรียนหญิงคนหนึ่งในโรงเรียนเกือบจะถูกคนเลวข่มขืน เรื่องนี้น่ากลัวมาก ต่อให้ผมต้องควักระเป๋าตัวเอง ยังดีกว่าปล่อยให้พวกเดนมนุษย์มาข่มเหงรังแก
หมายเหตุ เงินจำนวนนี้หลังจากผมแต่งงานในเดือนมิถุนายน ปี 1992 พ่อตาเป็นผู้จ่ายแทนผม ทำงานมาหลายปียังเก็บเงินได้ไม่กี่ร้อยเหรียญ พูดไปช่างขายหน้าจริง ๆ
ความจริง ขณะนั้นเขาคิดผิดไป เพราะว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดคำหนึ่ง แต่พอดีผมอยู่ในเหตุการณ์จึงได้รู้มา.........ตอนใช้คืนหนี้ครั้งนั้น พ่อตาของเขาพูดกับพนักงานหน้าเคาท์เตอร์ธนาคารด้วยความภูมิใจว่า ลูกเขยผมเป็นครู เขาเป็นหนี้ธนาคาร แต่เขาก็เป็นธนาคาร เพราะว่า คนจำนวนมากก็เป็นหนี้เขา แต่ที่แตกต่างกับธนาคารก็คือ ตอนที่เขาให้ผู้อื่นยืมนั้นเขาไม่เคยคิดว่าจะได้คืนหรือไม่
*** ผู้เขียนยกตัวอย่างหนี้เหล่านี้ ล้วนเกิดขึ้นในปี 1990 รวมยอดเงินเป็นจำนวน 1580 เหรียญ ขณะนั้นเงินเดือนของครูผู้นี้คือเดือนละ 96 เหรียญ ในปีเดียวหนี้หลายรายการนี้ก็มากกว่ารายได้ทั้งปีของเขา ผมเชื่อในตัวเลขและการกระทำของเขา เพราะผมก็เติบโตในหมู่บ้าน ผมพบครูลักษณะเดียวกันนี้หลายคน พ่อผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ณ. ที่นี้ ผมได้แต่อวยพรอย่างจริงใจ ขอให้นักเรียนของเรา โรงเรียนของเราไม่ต้องให้คุณครูเหล่านี้ต้องเป็นหนี้แทนพวกเขาอีกต่อไป ขอให้ชาวนามีรายได้พอที่จะส่งลูกหลานของเขาไปโรงเรียน ขอให้การคลังของประเทศช่วยให้งบด้านการศึกษามากกว่านี้สักหน่อย

*****




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2553    
Last Update : 22 ตุลาคม 2553 13:51:45 น.
Counter : 347 Pageviews.  

ข้าวเปลือก 5 เมล็ด

วันหนึ่ง มีพ่อค้าเศรษฐีเฒ่าคนหนึ่งต้องการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมมาสืบทอดภารกิจของเขา จึงเรียกลูกชายทั้งสามมาหาเป็นการเฉพาะ ชายแก่กำชับลูกชายทั้งสามว่า “ พ่อจะให้เมล็ดข้าวเปลือกแก่พวกเจ้าคนละ 5 เมล็ด พวกเจ้าจะต้องรักษามันไว้ให้ดี วันใดที่พ่อจะขอจากพวกเจ้าพวกเจ้าจะต้องคืนให้พ่อ “ ลูกชายทั้งสามรับคำพร้อมกัน จากนั้นต่างก็นำเมล็ดข้าวเปลือกกลับไป
สามปีผ่านไป วันหนึ่ง ชายแก่รู้ตัวว่าคงจะอยู่ในโลกได้อีกไม่นานนักแล้ว จึงเรียกลูกชายทั้งสามมาพร้อมหน้า ถามพวกเขาว่าเก็บรักษาเมล็ดข้าวเปลือก 5 เมล็ดนั้นกันอย่างไร
ถามลูกชายคนโตก่อน ลูกชายคนโตไม่ใยดีกับเมล็ดข้าวเปลือก 5 เมล็ดนี้ตั้งแต่แรกแล้วจึงทำหายไป ตอนนี้เขาจึงรีบกลับไปที่ฉางของตัวเองหยิบเมล็ดข้าวเปลือกมา 5 เมล็ดวางต่อหน้าพ่อ ชายแก่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ข้าวเปลือก 5 เมล็ดที่ตนให้ไว้ เมื่อถามความกระจ่างชัดแล้ว เขาโกรธมากจึงด่าว่าลูกชายคนโตเสียยกใหญ่
จากนั้นก็ถามลูกชายคนรอง ลูกชายคนรองคาดการณ์ตั้งแต่แรกแล้วว่าพ่อจะต้องมีนัยอะไรแน่ ฉะนั้นเมื่อได้รับเมล็ดข้าวเปลือกแล้วนำกลับไปห่อด้วยผ้าหลายชั้นแล้วเก็บรักษาไว้ในกล่องอย่างดี ดังนั้นลูกชายคนรองไม่รีบไม่ร้อนกลับบ้านไปนำกล่องมา หยิบเอาเมล็ดข้าวเปลือก 5 เมล็ดนั้นมาให้พ่อ พ่อเห็นเช่นนั้นแสดงท่าทีพอใจ
สุดท้ายมาถึงลูกชายคนเล็ก ลูกชายคนเล็กพูดว่า “ พ่อ ผมไม่สามารถเอาเมล็ดข้าวเปลือก 5 เมล็ดนั้นมาคืนพ่อได้ ผมกลับไปแล้วหาที่นามาแปลงหนึ่ง รอจนถึงฤดูไถหว่านก็นำมันไปลงปลูก จากนั้นดูแลมันอย่างดี เวลานั้นต้นข้าวเติบโตเขียวขจีใครเห็นใครก็ชื่นชม เมื่อมันแก่แล้วผมก็เก็บไว้ในขวด ปีที่สอง ที่สามก็ทำเช่นนี้ เพราะฉะนั้นพ่อจะให้ผมเอามาให้หมด เกรงว่าจะต้องใช้เกวียนไปลากเอามา ชายแก่ได้ฟังแล้วดีใจอย่างยิ่ง ตัดสินใจเลือกลูกชายคนเล็กเป็นผู้สืบทอดภารกิจ
*** ลูกชายคนโตในนิทานเรื่องนี้เป็นลูกล้างผลาญ เจ้ารองก็เป็นแค่ผู้ที่อนุรักษ์เท่านั้น มีแต่เจ้าตัวเล็กเท่านั้นที่สามารถสืบทอดและบุกเบิก เพราะเขาเข้าใจในการใช้ทรัพยากรปัจจุบัน อาศัยความขยันหมั่นเพียรต่อยอดพัฒนาจนได้รับประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

*****




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2553    
Last Update : 21 ตุลาคม 2553 7:59:10 น.
Counter : 493 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  

syrubbocaboro
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add syrubbocaboro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.