ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
Group Blog
 
All Blogs
 

ดวงอาทิตย์ขึ้นตามปกติ

ติงติงเป็นเด็กดี เขามักจะฟังคุณพ่อคุณแม่และคุณครูพูดอยู่เสมอว่า “ เป็นคนจะต้องมีเมตตาธรรม เมื่อเห็นผู้อื่นมีความยากลำบากควรจะให้ความช่วยเหลือ ” เขาจึงทำตามคำพูดของพ่อแม่และครูจริง ๆ มีอยู่วันหนึ่งเขาเห็นเพื่อนในชั้นเรียนทำความสะอาดในห้องเรียนตามลำพังอย่างไม่เต็มใจ จึงเป็นฝ่ายเสนอตัวว่าจะช่วย นักเรียนคนดังกล่าวเป็นเด็กเกเร เขาเห็นติงติงเสนอตัวเข้าช่วย จึงแอบหลบออกไป สุดท้ายติงติงจึงต้องอยู่ทำงานคนเดียวจนค่ำ
วันรุ่งขึ้น ติงติงเห็นคนคนหนึ่งทำกระเป๋าเงินหล่นอยู่บนพื้นถนน เขาเก็บขึ้นมาและวิ่งตามไป ใครจะคิดว่าคนคนนั้นมองดูติงติงด้วยสายตาที่ระแวงแล้วมองดูเงินในกระเป๋าจากนั้นก็เดินจากไป ทิ้งติงติงที่ยืนคอยคำว่า “ ขอบคุณ ” อยู่ตรงนั้น
ติงติงผิดหวังมาก กลับถึงบ้านจึงพูดกับพ่อของเขาว่า “ ผมจะไม่ทำดีอีกต่อไปแล้ว ”
“ ทำไมล่ะ ลูก ”
ติงติงเล่าเรื่องทั้งสองเรื่องให้พ่อฟัง และยังไม่ลืมเพิ่มเติมไปด้วยว่า “ พวกเขาแม้แต่คำว่า “ ขอบคุณ ” ยังไม่ยอมพูดกับผมสักคำ ช่างน่าเกลียดนัก ”
คุณพ่อหัวเราะ ลูบศรีษะติงติงและพูดว่า “ บอกพ่อหน่อยว่าทำไมลูกจึงช่วยผู่อื่น ”
“ เพราะว่าพวกท่านบอกว่าการช่วยเหลือผู้อื่นคือการทำความดี ”
“ ในเมื่อเป็นการทำความดี แล้วเหตุใดลูกไม่คิดที่จะทำแล้วเพียงเพราะผู้อื่นไม่กล่าวคำว่า “ขอบคุณ ” ล่ะ ”
ติงติงตอบไม่ได้
คุณพ่อพูดอีกว่า “ ติงติง ลูกรู้ไหมว่า ดวงอาทิตย์ส่องแสงมาให้เราทุกวัน ช่วยเราอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่พวกเราล่ะอะไรก็ไม่ได้ทำ ไม่ได้ตอบแทนมัน และก็ไม่ได้พูดคำว่า “ ขอบคุณ ” แต่ว่า ดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้โกรธเพียงเพราะว่าเราไม่ได้ตอบแทน มันยังคงขึ้นอยู่ทุกวันมิใช่หรือ ”
***การช่วยเหลือผู้อื่นคือการแสดงออกของธาตุแท้ที่มีเมตตาธรรมของคนคนหนึ่ง คนที่มีเมตตาธรรมก็จะได้รับความสุขจากสิ่งที่ทำ หากว่าคุณช่วยเหลือผู้อื่นเพียงเพราะต้องการให้ผู้อื่นตอบแทนคุณ คุณจะไม่มีวันได้รับความสุขจากการกระทำนั้นๆ เลย
*****




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2554    
Last Update : 10 มิถุนายน 2554 8:07:35 น.
Counter : 453 Pageviews.  

ย้อนรอยตำนานบ๊ะจั่ง

ทุกวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฎิทินจีน ชาวจีนจะถือเป็นเทศกาลสำคัญอีกวันหนึ่งที่เรียกกันว่า ตวนหวู่เจี๋ย ซึ่งก็คือเทศกาลขนมบ๊ะจั่งที่ชาวไทยเรารู้จักกัน พอถึงวันนี้ลูกหลานเชื้อสายจีนในไทยก็จะพากันมัดขนมบ๊ะจั่งเพื่อนำมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษและเจ้าที่เจ้าทางในบ้าน แต่เท่าที่ทราบระยะหลังนี้คนที่รู้วิธีมัดบ๊ะจั่งยิ่งมาก็ยิ่งน้อยลงไป กอรปกับอาจเพราะไม่มีเวลา เนื่องจากคนสมัยนี้ต้องออกไปทำงานตามบริษัท วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไปมาก การมัดบ๊ะจั่งต้องใช้เวลาและขั้นตอนมาก เริ่มจากหาใบไผ่มาแช่น้ำไว้อย่างน้อยสองวัน จากนั้นนำมาต้มน้ำทิ้งอีกอย่างน้อยสองครั้ง เพื่อให้สะอาดและง่ายต่อการห่อ แช่ข้าวเหนียว หมักหมู เตรียมไข่เค็ม กุ้งแห้ง ถั่วลิสง กวนเผือก ยังมีเม็ดแปะก้วย เม็ดเก่าลัด เห็ดหอมเจียว แล้วแต่ชอบหรือตามกำลังทรัพย์
หลังจากนำข้าวเหนียวลงผัดน้ำมันพร้อมกับกุ้งแห้ง ใส่กระเทียม พริกไท ผักชีและเกลือจนได้รสที่ต้องการแล้ว จึงนำมาห่อด้วยใบไผ่ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านั้น วิธีห่อนั้นไม่ง่ายเลย จากนั้นนำไปต้มจนสุกได้ที่ นำขึ้นเสริฟบนโต๊ะอาหาร ขั้นตอนสุดท้ายนี้ง่ายที่สุดคือรับประทาน
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ นอกจากการแสดงความเคารพบรรพชนและเจ้าที่เจ้าทางที่เป็นประเพณีอันดีงาม รวมถึงความอร่อยจากบ๊ะจั่งแล้วนั้น ความหมายที่แท้จริงของเทศกาลบ๊ะจั่งหรือตวนหวู่เจี๋ยนั้น ลูกหลานจีนชาวไทยรุ่นหลังน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันมีความหมายทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งเพียงใด เป็นมรดกวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณที่สืบทอดมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสองพันสองร้อยกว่าปี และควรค่าแก่การเผยแพร่ต่อไป
ตำนานของบ๊ะจั่งนั้น มีความเป็นมาว่า กวีเอกชื่อ ชวีเหวียน เป็นขุนนางระดับสูงรองจากอุปราชของเมืองฉู่ในสมัยจั้นกว๋อตอนปลาย เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ รักชาติและจงรักภักดีต่อพระเจ้าฉู่ฮ๋วายหวัง เขาเสนอแนวคิดที่จะสามัคคีปรองดองกับเมืองฉีเพื่อผนึกกำลังร่วมกันต่อต้านการรุกรานของเมืองฉิน แต่ขัดกับกลุ่มผลประโยชน์ของขุนนางอีกฝ่ายจึงถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้ง ยุยงให้พระเจ้าฉู่ฮ๋วายหวังเนรเทศเขาออกจากเมืองหลวง เขาเสียใจและผิดหวังกับอนาคตของบ้านเมือง ได้ประพันธ์บทกวีชื่อ หลีเซา และฮ๋วายซา (ซึ่งต่อมาถือเป็นผลงานกวีนิพนธ์ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์วรรณกรรมของจีน ) ก่อนเสียชีวิต เขาได้เดินทางมาที่แม่น้ำมี่หลวอเจียง พบกับชาวประมงคนหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำ ชาวประมงรู้ว่าเขาเป็นขุนนางรักชาติที่ถูกกลั่นแกล้งจนอยู่ในสภาพเช่นนั้น ชาวประมงบอกกับเขาว่า ทำไมท่านไม่ลองทำเป็นเลอะเลือน ไม่ต้องไปรับรู้เรื่องราวเสียก็หมดเรื่อง ไม่ต้องจริงจังกับมันจนต้องตกตระกรำลำบากเพียงนี้ เขาตอบว่า หากให้เราทำเช่นนั้นก็สู้ให้เรากระโดดน้ำตายแล้วให้ปลากินเข้าไปในท้องมิดีกว่าหรือ สุดท้าย เมื่อเขาได้ข่าวพระเจ้าฉู่ฮ๋วายหวังถูกเมืองฉินจับไปและเสียเมืองไปในที่สุด เขาจึงตัดสินใจอุ้มก้อนหินมัดกับตัวเดินลงแม่น้ำมี่หลวอเจียงและจบชีวิตที่นั่น
ชาวบ้านเมื่อล่วงรู้ข่าวของเขา ต่างพากันพายเรือเพื่อค้นหาศพ แต่ค้นอยู่สามวันก็ไม่พบ ชาวบ้านจึงพากันนำข้าวหนียวมามัดด้วยใบไผ่ทิ้งลงในแม่น้ำให้ปลากิน เพื่อไม่ให้ปลาไปกินศพของเขา (ที่ต้องใช้ใบไผ่มัดเข้าใจว่าเพื่อไม่ให้ข้าวละลายกระจายหายไปกับน้ำเร็วเกินไป) ต่อมาจึงสืบทอดเป็นประเพณีมัดบ๊ะจั่ง แข่งเรือมังกร ดื่มเหล้าสงหวง เพื่อรำลึกถึงชวีเหวียน เชิดชูกวีผู้รักชาติยิ่งชีพผู้นี้
ในวันที่มีความหมายและคุณค่าเช่นนี้ มิเพียงชาวจีนในประเทศจีนเท่านั้นที่จักเชิดชูระลึกถึง พวกเราชาวไทยลูกหลานจีนก็ควรจะรู้และเข้าใจความหมายที่แท้จริงของวันเทศกาลบ๊ะจั่งด้วย ตระหนักในคุณค่าทางจิตวิญญาณของวันนี้ ศึกษาและส่งเสริมจิตใจรักชาติที่ยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้
คนไทยก็ควรภูมิใจที่บ้านเราก็มีบุคคลเฉกเช่นชวีเหวียนเหมือนกัน เขาผู้นั้นก็คือ สืบ นาคะเสถียร เขาก็แลกชีวิตของตนเองเพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนไทยได้ตื่นขึ้นมาตระหนักถึงสถานการณ์ของป่าไม้ สัตว์ป่าที่ถูกพวกนายทุนผู้ละโมภทำลายจนยากแก่การแก้ไข เยียวยา ขอให้ชีวิตของบุคคลเหล่านี้อย่าได้เสียสละอย่างสูญเปล่า
*****




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 8 มิถุนายน 2554 7:10:27 น.
Counter : 494 Pageviews.  

เถ้าแก่อ้วนที่กล้ารับผิด

ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนมีร้านสะดวกซื้ออยู่ร้านหนึ่ง ขนาดของร้านเล็กกว่าร้านค้าที่อยู่สองข้างหน้าประตูโรงเรียน ระยะทางก็ไกลกว่ากัน อีกทั้งต้องข้ามถนนอีกสายหนึ่งไป แต่ว่า นักเรียนต่างก็ชอบที่จะไปซื้อของที่ร้านนี้
เถ้าแก่เจ้าของร้านเป็นชายวัยประมาณห้าสิบเศษๆ ที่มีอัธยาศัยใจคออ่อนโยน เขาจะยิ้มๆ อยู่ตลอดเวลา ดูท่าทางมีความสุขมาก คู่ชีวิตของเขาก็ช่วยเขาขายของอยู่ในร้านด้วยกัน สองสามีภรรยารักกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ดูแลร้านค้าแห่งนี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดี
มีอยู่วันหนึ่ง เด็กนักเรียนหญิงสองคนจูงมือกันเข้ามาในร้าน พวกเธอดูเหมือนว่าเพิ่งจะออกจากชั่วโมงพละศึกษา เพราะตั้งแต่เดินเข้าร้านมาถึงขณะนี้ พวกเธอยังคงพูดคุยกันถึงครูพละของพวกเธอ
“ แน่นอนทีเดียว เพราะเขาเป็นครูที่รูปหล่อที่สุดของโรงเรียนเราเลยล่ะ ”
“ ก็นั่นนะสิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ฉันคงไม่ยอมตากแดดร้อนจ้าขนาดนั้นเพื่อทำกิจกรรมในสนามหรอก ”
ชายเจ้าของร้านกำลังห่อของขวัญให้กับนักเรียนอีกคน เมื่อได้ยินบทสนทนาของเด็กสาวทั้งสองคนก็อดที่จะยิ้ม ๆ ไม่ได้
รอจนเขาจัดการห่อของขวัญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ยินเสียงเด็กนักเรียนหญิงคนเดิมถามด้วยความประหลาดใจว่า “ เถ้าแก่ ทำไมไม่มีขนมกรอบไข่เค็มแล้ว ”
“ โอ้ ต้องขอโทษที เมื่อเที่ยงนี้เพิ่งจะขายหมดเกลี้ยง ” เถ้าแก่อ้วนพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนตำหนิตนเอง
“ โอ ช่างบังเอิญเสียจริง หนูชอบกินขนมชนิดนี้มาก ” เด็กนักเรียนหญิงดูท่าทางผิดหวังมาก
“ ทั้งนี้ต้องโทษฉันเอง ความจริงจะให้พวกเขาส่งของมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ฉันบอกวันที่ผิดไป ฉะนั้น พรุ่งนี้ของจึงจะมาถึง ดูสิ ความจำของฉันยิ่งมาก็ยิ่งแย่ลง ” เถ้าแก่อ้วนพูดพลางตบศรีษะตัวเองอย่างรู้สึกเสียใจ
“ ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้หนูค่อยมาซื้อใหม่ก็ได้ค่ะ ” เด็กนักเรียนหญิงพูดอย่างใจกว้าง
“ ที่นี่มีขนมปังช็อคโกแล็ดชนิดใหม่เพิ่งมาถึง หนูดูสิว่าชอบไหม ” เถ้าแก่อ้วนแนะนำขนมปังชนิดใหม่
“ อืม ดูก็ไม่เลวเลยนะ เอาห่อหนึ่งค่ะ ” จากนั้น เด็กนักเรียนหญิงคู่นี้ก็มองดูซ้ายที ขวาที หยิบของมาหลายชิ้น ขณะนี้มีคนอีกหลายคนเดินเข้าร้านมา เถ้าแก่อ้วนดูวุ่นกับการขายของอย่างมีความสุข
ในที่สุด นักเรียนหญิงคู่นี้เลือกของของพวกเธอเสร็จแล้ว พวกเธอพูดคุยกันพลางเดินออกจากร้านไป ลืมไปเสียสนิทว่าจะต้องชำระเงินค่าของ
สองคนเดินมาที่ถนน ยังคงพูดถึงครูพละหนุ่มที่น่าหลงใหล แต่ขณะที่เดินใกล้ถึงหน้าประตูโรงเรียน ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนเรียกจากข้างหลัง “ หนู หนู โปรดรอสักครู่ ”
ทั้งคู่หันหลังมา ประหลาดใจที่เห็นเถ้าแก่อ้วนกระหืดกระหอบมุ่งหน้ามาทางพวกเธอ “ ต้องขอโทษด้วย ฉันดูเหมือน ดูเหมือนว่าจะลืมเก็บเงินค่าขนมจากพวกหนู ”
ทั้งคู่ต่างมองหน้ากัน และแล้วก็เข้าใจขึ้นมาได้ในทันที “ จริงสิ พวกเราไม่น่าที่จะลืมจ่ายเงินเลย แย่มากจริง ๆ เถ้าแก่ ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ ” พวกเธอพูดพลางควักเงินออกจากกระเป๋าพลาง รู้สึกเขินอายมาก
“ ฉันต่างหากต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ความจริงฉันควรจะเตือนพวกหนู แต่คนเยอะจึงลืมบอก เลยต้องรับกรรมเอง ” เถ้าแก่อ้วนพูดพลางหัวเราะ
นักเรียนหญิงทั้งสองก็หัวเราะเช่นกัน
หลังจากกล่าวอำลากับเถ้าแก่อ้วนแล้ว พวกเธอไม่พูดถึงครูพละอีกต่อไป แต่พูดว่า “ เถ้าแก่คนนี้ใจกว้างจริง ๆ แถมยังใจดีอ่อนโยนมาก มิน่าเล่านักเรียนทั้งหลายจึงชอบมาซื้อของที่ร้านของเขา
***รู้จักยอมรับผิด หาใช่ความอ่อนแอแต่อย่างใด แต่เป็นการใจกว้างให้อภัย เป็นท่วงทำนองอย่างหนึ่ง เป็นเมตตาธรรมอย่างหนึ่ง
*****





 

Create Date : 06 มิถุนายน 2554    
Last Update : 6 มิถุนายน 2554 7:45:43 น.
Counter : 423 Pageviews.  

การศึกษาขั้นสูง

***ความขยันหมั่นเพียร เรียบๆ ง่าย ๆ เป็นคุณธรรมที่ดีงามขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และการประหยัดมัธยัสถ์คือวิธีการสะสมความมั่งคั่งขั้นพื้นฐาน
เหว่ย หลังจากสอบตกในชั้นมัธยมปลายแล้ว เขาจึงติดตามพี่ชายมาทำงานที่เมืองเซินเจิ้น เซินเจิ้นสวยงามมาก เขาชมจนลายตา พี่ชายถามว่าไม่เลวใช่ไหม เหว่ยตอบว่า ไม่เลวเลย พี่ชายพูดอีกว่า ดีน่ะดีอยู่ แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่บ้านของเรา คนเขาดูถูกเรา เหว่ยบอกว่า แต่ตัวเราเองอย่าดูถูกตัวเองก็ใช้ได้แล้ว
เหว่ยกับพี่ชายไปทำงานเย็บปะเต๊นท์ผ้าใบให้กับโกดังแห่งหนึ่งแถวท่าเรือ คืนวันหนึ่ง เกิดพายุฝนขึ้นทันใด เหว่ยลุกขึ้นจากเตียง วิ่งฝ่าสายฝนออกไป พี่ชายห้ามอย่างไรก็ไม่ได้ผล ด่าเขาว่าไอ้เซ่อ
มันเป็นโกดังกลางแจ้ง เหว่ยตรวจดูกองสินค้าทีละกอง ๆ จัดการคลุมผ้าใบให้แน่นหนายิ่งขึ้น ขณะนั้นเจ้านายขับรถเข้ามาพอดี เห็นเหว่ยเปียกปอนไปทั้งตัว เจ้านายเห็นสินค้าไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย บอกว่าจะขึ้นเงินเดือนให้กับเหว่ยเดี๋ยวนั้นเลย เหว่ยบอกว่าไม่ต้องหรอกครับ ผมเพียงแต่จะดูว่าผ้าใบที่ผมเย็บนั้นแข็งแรงแน่นหนาดีหรือไม่
เจ้านายเห็นว่าเขาช่างซื่อสัตย์เหลือเกิน จึงคิดที่จะให้เขาไปเป็นผู้จัดการของเขาในอีกบริษัทหนึ่ง เหว่ยบอกว่า ผมไม่ไหวหรอกครับ ให้คนที่มีระดับวัฒนธรรมการศึกษาสูงไปทำเถอะ เจ้านายบอกว่า ผมบอกว่าคุณทำได้คุณก็ต้องทำได้ คุณเหนือชั้นกว่าคนที่มีระดับวัฒนธรรมการศึกษาสูงก็คือคุณมีพลังของความซื่อ ด้วยประการฉะนี้เหว่ยจึงรับตำแหน่งผู้จัดการ
บริษัทเพิ่งเปิดใหม่ ต้องการรับสมัครพนักงานหนุ่มสาวที่มีการศึกษาสูงเพื่อทำงานธุรการ พี่ชายทราบข่าวรีบมาหา บอกว่าช่วยจัดการให้ฉันได้เป็นพนักงานในตำแหน่งที่ดี ๆ หน่อย เหว่ยบอกว่า พี่ทำไม่ได้ พี่ชายว่า เฝ้าประตูก็ยังไม่ได้หรือ เหว่ยว่า ไม่ได้ เพราะพี่ไม่สามารถทำงานให้เหมือนกับเป็นงานของตนเอง พี่ชายโกรธจนหน้าแดงก่ำ ด่าว่าเขาไม่มีจิตสำนึก เหว่ยบอกว่าการเห็นงานบริษัทเป็นเหมือนงานของตัวเองนั่นแหละจึงจะเรียกว่ามีจิตสำนึกต่างหาก
ที่บริษัทมีนักศึกษาปริญญาตรีเข้ามาทำงานหลายคน กิจการเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว นักศึกษาเหล่านี้ไม่รู้ว่าไปได้ข่าวพื้นเพของเหว่ยจากไหน รู้สึกไม่ยอมรับในตัวเขา เหว่ยล่วงรู้แต่ก็ไม่โกรธ พูดว่า ในเมื่อพวกเราต้องร่วมงานกัน ก็ควรจะทำงานให้ดี ตำแหน่งผู้จัดการของผมใครๆ ก็นั่งได้ แต่ค่าที่แท้จริงของมันไม่ใช่ที่ตำแหน่งนี้แต่อย่างใด นักศึกษาหลายคนต่างมองหน้ากันไม่ได้ปริปากอีก
บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งได้ข่าวว่าบริษัทของเหว่ยมีแนวโน้มที่จะพัฒนาได้ดี จึงคิดที่จะร่วมทุนในโครงการหนึ่ง ผู้ช่วยของเหว่ยบอกว่า นี่อาจจะเป็นปลาตัวใหญ่เลยทีเดียว เหว่ยบอกว่า ถูกต้องเลย
นักธุรกิจข้ามชาติมาแล้ว เป็นชาวจีนนอกสัญชาติ เขาพาเลขาและล่ามมาด้วย เหว่ยถามด้วยภาษาอังกฤษ “ คุณครับ พูดภาษาจีนแมนดารินได้ไหมครับ ” นักธุรกิจข้ามชาติตะลึง ตอบว่า “ พูดได้ ” เหว่ยจึงบอกว่า “พวกเราพูดคุยกันด้วยแมนดารินนะครับ” นักธุรกิจข้ามชาติตอบ
“ โอเค ”
การเจรจาเสร็จสิ้น เหว่ยเชิญนักธุรกิจข้ามชาติรับประทานอาหารค่ำ มื้ออาหารค่ำเรียบง่ายมาก แต่มีสีสรรเป็นพิเศษ อาหารทุกจานรับประทานจนเกลี้ยง เหลือเพียงเสี่ยวล้งเปาสองใบ เหว่ยพูดกับพนักงาน
เสริฟว่า “ ช่วยนำซาลาเปาสองใบนี้ใส่ถุงให้หน่อย ผมจะนำกลับบ้าน” น้ำเสียงของเขาเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ผู้ช่วยของเขากลับรู้สึกเครียดขึ้นมา คอยมองดูสีหน้านักธุรกิจข้ามชาติ นักธุรกิจข้ามชาติยืนขึ้น จับมือเหว่ย
แน่นว่า “ โอเค พรุ่งนี้เราเซ็นต์สัญญากันได้เลย ”
การเจรจาสำเร็จด้วยดี เจ้านายจัดงานเลี้ยงรับรองนักธุรกิจข้ามชาติ เหว่ยและผู้ช่วยของเขาไปร่วมงาน ระหว่างงานนักธุรกิจถามเหว่ยเบาๆ ว่า “คุณจบการศึกษาอะไรมาบ้าง ทำไมจึงทำงานได้ดีเพียงนี้ “ เหว่ยว่า
“ บ้านของผมยากจน พ่อแม่ไม่รู้หนังสือ แต่พวกเขาอบรมผมมาเริ่มต้นจากเมล็ดข้าวหนึ่งเม็ด เส้นด้ายหนึ่งเส้น ต่อมา คุณแม่ของผมเสีย คุณพ่อส่งผมเรียนด้วยความเหนื่อยยาก ท่านบอกว่า ฉันไม่ได้หวังให้เธอสูงเด่นกว่าคนทั้งหลาย เพียงสามารถทำงานของตนเองให้ดีก็พอ........” เจ้านายเขาน้ำตาคลอเบ้า เขายกแก้วเหล้าขึ้น พูดกับเหว่ยว่า ผมขอคารวะท่านผู้เฒ่าหนึ่งจอก เขามอบการศึกษาอบรมที่ดีที่สุดในชีวิตแก่คุณ “
*****




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2554    
Last Update : 3 มิถุนายน 2554 8:26:21 น.
Counter : 790 Pageviews.  

จำไว้,เธออ่านภาษาลาตินไม่ออก

ความอวดดีทำให้คนเราลืมตนได้ง่าย ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมาย การรักษาความถ่อมตนและควบคุมตนเป็นท่าทีที่รับผิดชอบต่อตนเอง
แจ๊ค เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่สาม ฉลาด รักการเรียน และรักความก้าวหน้า วันนี้ เขาได้รับรางวัลการอ่านดีเด่นของห้องอีกครั้ง ในใจหวานชื่นราวกับได้ดื่มน้ำผึ้ง กลับถึงบ้าน เขาเอาต้นฉบับที่อ่านส่งให้กับสาวใช้ พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ แอนนี่ เธออ่านท่อนหนึ่งให้ฉันฟังเป็นไง ”
หญิงสาวผู้ใสซื่อรับต้นฉบับมา ดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่า “ แจ๊ค ฉันไม่รู้หนังสือพวกนี้ ”
แจ๊คยิ่งรู้สึกได้ใจ เขาพุ่งไปที่ห้องรับแขกอย่างเร็ว ได้ใจจนลืมตัวตะโกนบอกผู้เป็นพ่อว่า “ พ่อ พ่อ แอนนี่ไม่รู้จักหนังสือ แต่ผมอายุเพียงเท่านี้ก็ได้รางวัลอ่านหนังสือดีเด่น อะไรจะเก่งปานนี้ โอ้ ดูสิ แอนนี่หยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งก็อ่านไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าในใจของเธอจะรู้สึกอย่างไร ”
ผู้เป็นพ่อมองดูแจ๊ค ไม่พูดอะไร ในใจคิดว่า “ หากว่าแจ๊คยังคงเย่อหยิ่งทนงตนเช่นนี้อีกต่อไป จะต้องทำให้ตัวเองหลงทิศผิดทางไปแน่ ฉันควรจะหาวิธีนำพาให้เขาไปในทิศทางที่ถูก ”
ดังนั้น ผู้เป็นพ่อเดินมาที่ชั้นวางหนังสือ หยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง ยื่นให้กับแจ๊ค พูดว่า “ หนูลองดูหนังสือเล่มนี้ก็จะเข้าใจได้ว่าในใจของแอนนี่จะรู้สึกอย่างไร ” หนังสือเล่มนั้นเขียนด้วยภาษาลาติน แจ๊คอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว
แจ๊คไม่ลืมบทเรียนครั้งนั้นตลอดไป ไม่ว่าเวลาใดขอเพียงคิดที่จะโอ้อวดตัวเองต่อหน้าผู้อื่น เขาก็จะรีบเตือนสติตนเองว่า “ จำไว้ เธออ่านภาษาลาตินไม่ออก ”
***คิดที่จะได้รับผลสำเร็จอย่างถาวร ก็จะต้องรักษาคุณธรรมที่ดีงามของการถ่อมตน เตือนสติตนเองตลอดเวลาว่า หนทางแห่งความสำเร็จนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ความเย่อหยิ่งพึงพอใจในตนเองจนลืมตัวนั้นรังแต่ทำให้ตัวเองกลายเป็นคนไร้ปัญญา
*****




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2554    
Last Update : 1 มิถุนายน 2554 8:23:31 น.
Counter : 558 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  

syrubbocaboro
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add syrubbocaboro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.