ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
Group Blog
 
All Blogs
 

หมาป่ากับยายแก่

ป่าตัวหนึ่งออกไปหากิน เดินหาเหยื่ออยู่ครึ่งค่อนวันไม่ได้อะไรเลย บังเอิญเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งได้ยินเสียงเด็กร้องไห้กระจองอแง จากนั้นได้ยินเสียงแว่วมาของยายแก่ว่า
“ อย่าร้องไห้นะ ขืนยังไม่เชื่อฟัง เดี๋ยวจะโยนเจ้าออกไปข้างนอกให้หมาป่ากินเสียเลย ”
หมาป่าได้ยินดังนั้น รู้สึกดีใจมาก จึงนั่งรออยู่หลังบ้านไม่ห่างออกไปมากนัก รอกระทั่งอาทิตย์ตกดินแล้วยังไม่เห็นยายแก่โยนเด็กออกมา
ท้องฟ้ามืดลง หมาป่าอดรนทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว อ้อมมาที่หน้าประตูคิดจะฉวยโอกาสมุดเข้าไปในบ้าน กลับได้ยินยายแก่พูดว่า
“ นอนเร็วเข้า ไม่ต้องกลัว หากหมาป่ามา พวกเราก็จับมันฆ่าเสียแล้วเอามาต้มกินกัน ”
หมาป่าได้ยินแล้วตกใจกลัวรีบวิ่งหนีกลับเข้าป่าไป เพื่อนถามมันว่าได้อะไรมาบ้าง มันตอบว่า “ อย่าเอ่ยถึงดีกว่า ยายแก่ไม่รักษาคำพูด ทำให้ฉันต้องอดไปทั้งวัน ต่อมาโชคยังดีที่ฉันวิ่งได้เร็ว ”
***คนอื่นพูดจาส่งเดช คุณก็นึกว่าเป็นเรื่องจริง ช่างไม่รู้เลยว่าในหลาย ๆ ครั้งเขาก็พูด ๆ ไปอย่างนั้นเอง ตัวคุณเองถึงกับตกใจจนเสียกระบวนท่า ทำให้ชีวิต การงานต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยเพียงคำพูดของผุ้อื่น
*****




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2554    
Last Update : 29 สิงหาคม 2554 8:25:36 น.
Counter : 540 Pageviews.  

ลาโง่

เนื่องจากลาเป็นสัตว์ไม่ฉลาดจึงถูกเรียกว่าลาโง่ “ฉันจะต้องเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตัวเอง ” ลาคิด “ ได้ยินว่าการแต่งกายเป็นวิธีสร้างภาพลักษณ์ที่ง่ายและสะดวกที่สุด ฉันจะตัดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาสวมใส่ดีกว่า ” และแล้วมันจึงตัดชุดที่แต่งแต้มไปด้วยทองมาสวมใส่
เจ้าลาน้อยใส่เสื้อผ้าทองคำวับวาวระยิบระยับเดินไปมาอวดโฉมในตลาด แต่ผู้คนเห็นเข้าต่างบอกว่า “ ดูซิ เจ้าลาโง่มาแล้ว เจ้าลาโง่มาแล้ว มันยังสวมใส่เสื้อผ้าทองคำที่ทั้งหนักอึ้งทั้งหมิ่นเหม่ต่อการถูกปล้น ช่างโง่เขลาเสียจริง ๆ ” เจ้าลาจำต้องเดินคอตกกลับบ้าน
อาศัยการตกแต่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธาตุแท้ของตนเองได้เลย
*** เผชิญหน้าแล้วยอมรับต่อข้อด้อยของตนเอง แต่ไม่จำต้องไปเลียนแบบใคร การเลียนแบบบางครั้งรังแต่จะทำให้ตัวเองยิ่งดูแย่หรือเป็นตัวตลกไป ทำให้ตัวเองยิ่งดูโง่ไปกว่าเดิม
*****




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2554    
Last Update : 26 สิงหาคม 2554 8:10:08 น.
Counter : 730 Pageviews.  

ความอภิรมย์ของการร้องไห้

มีใครบ้างที่ถือว่าการร่ำไห้เป็นเรื่องน่าอภิรมย์
การร่ำไห้น่าจะเป็นเรื่องของการระบายอารมณ์ความรู้สึกของความเจ็บปวด เศร้าเสียใจ หรือถูกปรักปรำ แต่สำหรับฉันแล้ว ไม่เพียงแต่เท่านี้ มันยังเป็นความอภิรมย์อีกอย่างหนึ่ง
ฟังผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนวัยเด็กฉันชอบร้องไห้อยู่บ่อย ๆ ถ้าหากร้องไห้ขึ้นมาแล้วละก็ ต่อให้เด็ดดาวและเดือนบนท้องฟ้ามาปลอบก็ไร้ผล แต่หากมีคนพูดว่า “ อย่าร้องไห้นะ ขืนร้องอีก ตาของเธอก็จะเล็กลง ” ฉันฟังแล้วจะรีบหยุดร้องทันที คำพูดเช่นนี้เมื่อเปรียบกับคำว่า “ เสือตัวใหญ่มาแล้ว ” ยังจะขลังกว่า ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่าตาจะไม่เล็กลงหรอก
ในวัยเด็ก พวกเราเด็ก ๆ หลายคนทำอะไรผิด อย่างเช่นทำขวดซี่อิ๊วแตก หรือว่าดูแลน้องจนน้องเดินหลงหาตัวไม่พบ ก็จะโดนตี ขณะที่แม่เริ่มตีพี่สาวเป็นคนแรก เห็นฉันร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม แม่ก็จะมืออ่อน ฉะนั้นเมื่อวัยเด็กในจำนวนสามพี่น้อง ฉันจะถูกตีน้อยที่สุด และก็เบาที่สุดด้วย
ตอนอยู่ชั้นประถม ที่โรงเรียนให้เด็ก ๆ กินก๋วยเตี๋ยวคลุกผักกาดเพื่อเป็นการรำลึกถึงความหลังที่ขมขื่น ฉันกินด้วยความอร่อย แต่คุณครูบอกให้พวกเราร้องไห้ ในประวัติการร้องไห้ของฉัน เห็นจะมีเพียงครั้งนี้กระมังที่ฉันสูญเสียความสามารถไป เวลาที่ควรจะร้องแต่กลับร้องไม่ออก เห็นนักเรียนบางคนกระแอมไอ บางคนเอาน้ำลายมาป้ายที่ตา ฉัยเลยหัวเราะออกมาเสียงดัง สุดท้ายถูกครูเรียกออกมาหน้าห้องสำรวจตนเอง
ฉันคิดว่าการร้องไห้ของฉันไม่จำเป็นต้องมีสื่อหรือการชักนำอย่างตั้งใจหรือจงใจ เวลาอยากร้องก็ร้องออกมาสุดอารมณ์ ไม่เคยคิดว่าทำไมต้องร้องหรือร้องในรูปแบบใด รู้เพียงว่า หลังจากได้ร้องไห้แล้ว ความรู้สึกในใจเหมือนดวงจันทร์แจ่มกระจ่างในยามค่ำคืนที่ส่องแสงกระทบลงบนผืนน้ำในทะเลสาบที่เงียบสงบ รู้สึกสดชื่นสว่างไสวอะไรปานนั้น
ต่อมาในภายหลัง ได้อ่านบทความบทหนึ่งบรรยายว่าการร้องไห้มิเพียงไม่ทำอันตรายต่ออวัยวะภายในร่างกายแต่อย่างใด กลับมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้ฉันเข้าใจในทันที รู้สึกดีใจมาก ดังนั้นแอบถนอมมันไว้ในใจและเบิกทางให้กับการร้องไห้ของฉันอย่างเงียบ ๆ
ถึงวัยที่มีความรัก ครั้งแรกที่เพื่อนชายมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน สิ่งแรกที่คุณแม่บอกกับเขาก็คือ “ ลูกสาวของฉันชอบร้องไห้ ” เพื่อนชายของฉันอาจจะคิดว่านี่คือแม่ยายในอนาคตที่มีอารมณ์ขันที่สุดในโลกก็ได้ แต่หลังจากที่ฉันได้ยินนึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที ในโลกนี้มีเพียงแม่นี่แหละที่ดีที่สุด
เรื่องจริงในภายหลังทำให้เพื่อนชายเชื่อที่แม่พูดว่าฉันชอบร้องไห้ ไม่น้อยไปกว่าที่เชื่อว่าพ่อไก่ออกไข่ได้ หมูพูดได้ หรือปลาบินได้ แต่เขาบอกว่า “ ผมชอบดูคุณร้องไห้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่คุณดูใสซื่อบริสุทธิ์ที่สุด ” เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ฉันเป็นปลื้มจนร้องไห้ออกมา ในที่สุด เรือลำน้อยแบบบางดุจใบไม้ลำนี้ก็เข้าถึงฟากฝั่งแล้ว
ตอนอยู่คนเดียวในแดนไกล คิดถึงบ้านเหลือเกิน โทรศัพท์ทางไกลถึงบ้าน ยามได้ยินเสียงของแม่แว่วข้ามน้ำข้ามทะเลมาทางโทรศัพท์ เสียงร้องไห้ก็แทนทุกสิ่งทุกอย่าง เสียเงินไปตั้งสิบกว่าหยวนไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ เวลาที่ไม่สมควรร้องไห้ฉันกลับร้องออกมา แต่ภายในใจกลับเหมือนมีสายน้ำที่ใสเห็นก้นลำธารไหลผ่านไป รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
แต่แล้ววันหนึ่งมีสตรีเหล็กนางหนึ่งแสดงความคิดเห็นผ่านหน้าหนังสือพิมพ์มาว่า “ การร้องไห้ เป็นการแสดงออกที่อ่อนแอไร้ความสามารถที่สุดของคนคนหนึ่ง ”
ฉันตกใจมาก ณ.เวลานั้นไม่กล้าร้องไห้ ขบคิดอยู่นาน ในค่ำคืนที่เงียบกริบไร้เสียงสำเนียงใดๆ น้ำตาของฉันเอ่อล้น ในที่สุดฉันเข้าใจแล้วว่า ฉันไม่อาจหลอกลวงตัวเอง บางทีฉันไม่อาจจะเป็นสตรีเหล็กได้จริง ๆ แต่ฉันเป็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน ฉันร้องไห้
ฉันเติบโตและสุกงอมท่ามกลางเสียงร้องไห้
***จิตวิญญาณที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นตัวของตัวเองนั้นก็เหมือนวิญญาณที่ตายแล้ว การหัวเราะหรือร้องไห้ตามอุปนิสัยที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเป็นความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เป็นการแสดงออกของความจริงใจที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง
*****





 

Create Date : 24 สิงหาคม 2554    
Last Update : 24 สิงหาคม 2554 6:28:21 น.
Counter : 556 Pageviews.  

ขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้น

ในขณะที่ท้องเริ่มร้อง ฉันออกเดินมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น
ฉันไม่ลนลาน เพราะในอกเสื้อยังมีขนมเปี๊ยะอยู่ครึ่งชิ้น
เช้านี้กินเพียงข้าวต้มใส ๆ คาดว่ายังไงเสียต้องหิวแน่ ๆ แม่ให้ขนมเปี๊ยะที่เหลือจากเมื่อวานติดตัวมา กำชับว่าเหลือเพียงขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นนี้เท่านั้น รอให้หิวจนทนไม่ไหวจริง ๆ แล้วเท่านั้นค่อยเอาออกมากิน หากกินเสียแต่เนิ่น ๆ แล้วเดี๋ยวหิวอีกก็จะจนหนทาง
ยิ่งเดินอากาศยิ่งร้อน ยิ่งเดินขายิ่งเมื่อย ยิ่งเดินท้องยิ่งว่าง พบน้ำในลำธารก็ดื่มจนพุงกาง ในใจคิดว่าคงจะช่วยประทังได้สักพัก แต่ชั่วเดี๋ยวเดียวก็ปล่อยออกมาจนเกลี้ยง “คุณค่าที่เหลือ” สักนิดก็ไม่มี มือคอยจะล้วงเข้าไปในอกเสื้ออยู่นั่น หลายต่อหลายครั้งเกือบจะล้วงเอาห่อผ้าออกมา แต่กลับต้องห้ามใจเอาไว้------หากกินไปก็จะไม่มีอีกแล้ว
เดินไม่ไหวแล้ว นั่งพักที่ข้างทาง พยายามกุมขนมเปี๊ยะในอกเสื้อที่คอยจะเลื่อนออกมานอกเสื้ออยู่เรื่อยไว้ให้แน่น ปลอบมันว่าอดรนทนอีกนิดเดียว รอให้เดินไปถึงภูเขาลูกนั้นเสียก่อน
เดินไป เดินไป เดินขึ้นเนินมาแล้ว
เดินไปอีกสักพัก เดินผ่านป่าไผ่ข้างทางมา
แล้วก็เดินมาอีกระยะหนึ่ง เห็นโขดหินสีเขียวอยู่ข้างหน้า..........
เดินแล้วก็พัก พักแล้วก็เดิน
เดินไม่ไหวแล้ว เดินไม่ไหวแล้วจริง ๆ ควรจะกินขนมเปี๊ยะได้แล้ว
เปิดห่อผ้าออก หยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมาจะใส่เข้าปาก แต่แล้วก็ต้องชะงัก แว่วเสียงกำชับของแม่ :เหลือเพียงขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นนี้เท่านั้น
ใช่แล้ว ขนมเปี๊ยะเพียงครึ่งชิ้นนี้ และชิ้นเล็กด้วย กินเข้าไปเดี๋ยวเดียวก็คงจะหิวอีก แต่สันเขาที่เดินยากลำบากที่สุดยังอยู่ข้างหน้า
ข่มใจกลืนน้ำลายลงคอ สูดดมกลิ่นขนมเปี๊ยะแรง ๆ สักสองสามทีแล้วห่อเก็บยัดเข้าไปในอกเสื้ออย่างเดิม ไม่กล้ากัดกินสักคำ เกรงว่าหากกัดเพียงสักคำคงจะห้ามใจไว้ไม่อยู่
ความจริงหมดเรี่ยวหมดแรงจนก้าวต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ขนมเปี๊ยะที่ยังไม่ได้กินชิ้นนี้กลับเติมพลังให้กับฉัน-----------ท้องยังว่าง แต่กลับมั่นใจ
ขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นนี้คอยปลอบใจฉันตลอดเวลาว่า :อย่ากลัว อย่าลนลาน
ขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นนี้คอยให้กำลังใจฉันตลอดเวลาว่า :ยืนหยัดเดินขึ้นหน้าไป
เดิน เดินต่อไปอีก ในที่สุดก็เห็นสันเขาลูกนั้น และแล้วก็เดินมาถึงตีนเขา
ล้วงเอาห่อผ้าออกมา ยัดมันกลับไปใหม่ ไม่ได้ ถ้ากินตอนนี้ ขึ้นไปถึงครึ่งเขาหิวอีกจะทำอย่างไร หมดขบวนท่าแน่ ลุย ฉันมีขนมเปี๊ยะ กลัวอะไร ดูซิว่าจะเดินได้อีกไกลแค่ไหน
เดิน เดิน เดินขึ้นไปอีกหน่อย
เดินอีกสักก้าว อีกสักก้าวค่อยหยิบขนมเปี๊ยะออกมา..........
หนึ่งก้าว...... สองก้าว...... สามก้าว........
ศรีษะหนักอึ้ง มึนงงไปหมด ตัวลอย ๆ ขาแข้งอ่อนระโหยโรยแรง........ขณะที่ฉันหมดเรี่ยวแรงและล้มลงไป ทันใดนั้นพบว่าตัวเองขึ้นมาอยู่บนสันเขาแล้ว
โอ ข้างล่างนั้นก็คือหมู่บ้านที่คุณยายอยู่ ควันไฟในครัวที่ดูอบอุ่นกำลังลอยขึ้น..........
เปิดห่อขนมเปี๊ยะด้วยมือที่สั่นเทา หยิบชิ้นขนมเปี๊ยะเปลือกสีขาวไส้ในสีเหลือง แต่ฉันกลับทำใจไม่ได้ที่จะกินมันเสียแล้ว-------ไม่กลัวว่าหนทางยาวไกลอีกต่อไป
เดินทางข้ามเขามา 50 ลี้ ฉันมีเพียงขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้น---------จนแล้วจนรอดฉันมีขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้น-------
ขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นนี้ ทำให้ฉันสามารถเดินท้องว่างมาถึงบ้านคุณยายได้
เด็กน้อยวัยสิบสองขวบชูขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นนี้ขึ้นแล้วร่ำไห้
***ความหวังก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ ขณะที่เราก้าวเข้าหามัน เงามืดที่เราแบกอยู่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความหวังคือความปีติตลอดกาล เปรียบเสมือนมนุษย์ที่มีผืนดิน ที่มีผลผลิตเก็บเกี่ยวทุกๆ ปีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันสูญสิ้น
*****




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2554    
Last Update : 22 สิงหาคม 2554 8:10:55 น.
Counter : 558 Pageviews.  

ให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณค่า

สมัยที่ผมทำปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา มีศาสตราจารย์อาวุโสคนหนึ่งเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ผมฟังดังนี้....
เขาเกิดและเติบโตในช่วงที่อเมริกากำลังประสบปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ที่บ้านต้องอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อย ๆ พ่อของเขาถึงแม้จะเป็นปัญญาชนชั้นสูง แต่เนื่องจากตกงานจึงจำต้องทำงานหนักทุกอย่าง ฤดูร้อนทำถนน ฤดูหนาวเก็บกวาดหิมะ เทศกาลคริสมาสในปีหนึ่ง เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้า รีบวิ่งลงชั้นล่างไปคลำหาของขวัญในถุงเท้าที่แขวนอยู่บนผนังข้าง ๆ เตาผิงไฟด้วยความตื่นเต้น แต่เขาได้เพียงช็อคโกแล็ตก้อนเดียวเท่านั้น เขารู้สึกผิดหวังมาก ร้องไห้โฮ พ่อของเขาดึงเขาเข้ามาใกล้ ๆ บอกกับเขาว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มีของขวัญ เพราะว่าพ่อเอาเงินที่จะซื้อของขวัญไปให้กับคนที่ต้องการเงินเพื่อไปซื้ออาหาร จากนั้นบอกเขาว่าของขวัญที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ลานหลังบ้าน เขาเปิดประตูออกไป เห็นลานที่หลังบ้านมีภูเขาหิมะสูงราวสามสิบฟุตตั้งอยู่ พ่อของเขาไม่ได้นอนทั้งคืนเพื่อใช้รถพั่วตักหิมะบนถนนทั้งหมดมากองไว้บนลานหลังบ้าน สร้าง “ ภูเขาหิมาลัย ” ส่วนตัวให้กับเขา ของขวัญชิ้นนี้ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจมาก และก็ทำให้เขาเป็นที่อิจฉาของเด็ก ๆ ในหมู่บ้านทันที เขาจดจำคริสมาสครั้งนั้นตลอดไปไม่มีวันลืม เทศกาลคริสมาสที่ดีที่สุด มันผ่านไปแล้ว 60 ปีแต่ยังฝังอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ
เขาบอกกับผมว่าพ่อของเขายากจนข้นแค้นทั้งชีวิต ไม่สามารถเหลือทรัพย์สมบัติอะไรไว้ให้เขาเลย เขาจะต้องเรียนไปทำงานไปด้วยจนจบมหาวิทยาลัย แต่สำหรับเขาแล้ว พ่อไม่เคยยิ่งใหญ่น้อยลงเลยด้วยสาเหตุนี้ เนื่องเพราะว่าพ่อของเขาเที่ยงตรง สูงส่ง มีจิตใจรักและเมตตา เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเขา เขาพูดอยู่เสมอว่าอุปนิสัยที่ดีคือมรดกที่ดีที่สุดที่พ่อแม่เหลือไว้ให้กับลูก พ่อแม่หลาย ๆ คนเข้าใจว่าการทิ้งสมบัติที่มั่งคั่งไว้ให้ลูกจึงจะเป็นการไม่ผิดต่อลูก ความจริงแล้ว การเหลือไว้ซึ่งชื่อเสียง ทำให้ลูกมีค่าควรแก่การยกย่องของผู้คนต่างหากจึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จในการอบรมบ่มเพาะลูก อย่ามัวแต่วุ่นอยู่กับการหาเงินจนเสียโอกาสในการพูดคุยความในใจกับลูก และก็อย่าเลี้ยงลูกอย่างสุขสบายจนเกินไปจนทำให้ลูกสูญเสียความเคารพยกย่องในตัวคุณ
*****








 

Create Date : 17 สิงหาคม 2554    
Last Update : 17 สิงหาคม 2554 6:29:16 น.
Counter : 469 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  

syrubbocaboro
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add syrubbocaboro's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.