Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess : Chapter 5 The Grangers




“สวัสดีตอนเย็น ลูเซียส” ดัมเบิลดอร์ทักขึ้น น้ำเสียงของเขาไม่ดูกังวลเลยแม้แต่น้อยที่ถูกไม้กายสิทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามชี้มาทางเขา
“ดัมเบิลดอร์” ลูเซียสพูดขึ้น สีหน้าของเขาดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ท่าทางจะไม่ใช่ผมคนเดียวเสียแล้วที่ได้ยินคำทำนายเกี่ยวกับเจ้าหญิงแห่งความมืด เพราะเจ้านายของคุณก็รู้เช่นกัน” ดัมเบิลดอร์พูดขึ้น
“เจ้านายของผมรู้เรื่องนี้มานานแล้ว ดัมเบิลดอร์ เขาถึงส่งผมมาที่นี่” ลูเซียสตอบ ดัมเบิลดอร์ทำท่าจะก้าวเข้าไปในบ้านแต่นายลูเซียสยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นในเชิงเตือน ดัมเบิลดอร์ยิ้มกับการกระทำนั้น ไม้กายสิทธิ์ของเขายังไม่ถูกยกขึ้นแต่อย่างใด
“ถ้าผมเป็นคุณผมจะไม่ทำอย่างนั้น ลูเซียส เพราะคุณก็รู้ว่าผมชนะคุณได้อย่างแน่นอน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ พลางมองเข้าไปในบ้านตระกูลซิลเวีย “ทั้งหมดนี่คุณเป็นคนทำหรือ”
นายลูเซียสไม่ตอบ เขายังคงชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ดัมเบิลดอร์ และในตอนนี้ชายชราก็เริ่มขยับไม้ของเขาบ้างเช่นกัน
“คุณต้องการตัวเจ้าหญิงเหมือนกันหรือ ดัมเบิลดอร์ ผมออกจะแปลกใจอยู่บ้างนะ เพราะคุณไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่อำนาจเท่าไหร่ซักนี่นา” ชายผมบลอนด์พยายามพูดคุยเพื่อหลอกล่อและถ่วงเวลา ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามของเขายังคงมีท่าทีสบาย ๆ อยู่
“ผมยอมรับว่าผมไม่ต้องการอำนาจเลยแม้แต่น้อย ลูเซียส และผมเองก็มีความคิดที่แตกต่างจากโวลเดอมอร์โดยสิ้นเชิง ผมไม่ได้ต้องการตัวทารกคนนี้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในสงคราม” ใบหน้าของนายลูเซียสซีดเผือดลงทันทีที่เขาได้ยินชื่อของเจ้านายตนเอง
“คุณกล้าดียังไง!” ลูเซียสตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง และเพราะการกระทำนั้นของเขาทำให้ทารกในที่เขาอุ้มอยู่เริ่มร้องไห้
“คุณก็รู้นี่ว่าผมกล้าเอ่ยชื่อเขามานานแล้ว แต่คุณควรจะระวังหน่อยนะ เพราะคุณกำลังทำให้หนูน้อยคนนี้ตกใจ” ดัมเบิลดอร์พูด ลูเซียสเหลือบมองเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเขาก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปยังชายชราตรงหน้าอีกครั้ง
“ทางที่ดีคุณควรจะส่งเธอมาให้ผมดีกว่า คุณไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังจะทำลายชีวิตบริสุทธิ์ที่มีค่าชีวิตหนึ่งหากคุณมอบเธอให้กับเขา” ดัมเบิลดอร์พูดอย่างมีเหตุผล แต่นายลูเซียสไม่ยอมฟัง เขามองชายชราตรงหน้าอย่างโกรธเกรี้ยวระคนเครียดแค้น
“ผมไม่มีทางมอบเธอให้คุณ ผมต้องเอาเธอไปมอบให้จอมมาร สตูเปฟาย!!!” โดยไม่มีคำเตือนลำแสงสีแดงก็พุ่งเข้าใส่ดัมเบิลดอร์ แต่ชายชราปัดมันออกไปได้อย่างง่ายดาย
เฮอร์ไมโอนี่รีบหลบไปข้าง ๆ ทันทีที่มีการต่อสู้เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะนึกได้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในความทรงจำ และลำแสงพวกนั้นก็ไม่มีทางทำอันตรายเธอได้ เด็กสาวยืนมองชายสองคนตรงหน้าต่อสู้กันอย่างลุ้นระทึก บางครั้งพวกเขาก็ใช้คาถาที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนสู้กันด้วยซ้ำ แต่เท่าที่เฮอร์ไมโอนี่สังเกตุเธอเห็นว่าทุกคาถาที่นายลูเซียสเสกใส่ดัมเบิลดอร์นั้นมักเป็นศาสตร์มืดที่ร้ายแรงเกินกว่าที่เธอจะกล้าศึกษามัน แต่ชายชราก็ปัดคาถาของเขาออกไปได้ทุกครั้ง แต่เขาทำแค่ปัดเท่านั้น ดัมเบิลดอร์ไม่ได้โต้ตอบลูเซียสด้วยคาถาที่อันตรายเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถจัดการกับลูเซียสได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่เหตุผลที่ดัมเบิลดอร์ไม่ทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่เข้าใจว่าคงเป็นเพราะเขากลัวว่าคาถาจะพลาดไปถูกทารกที่ชายหนุ่มกำลังอุ้มอยู่
การต่อสู้ดำเนินต่อไป ลูเซียสเริ่มเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เขาก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามของเขาก็ถือจังหวะนั้นรุกไล่เขาเข้าไปในตัวบ้าน และเมื่อดัมเบิลดอร์โจมตีลูเซียสด้วยเปลวไฟสีทองที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้จัก ชายหนุ่มผมบลอนด์ก็พยายามจะต้านคาถานั้นเช่นเดียวกับที่เขาทำกับคาถาที่ดัมเบิลดอร์เสกใส่เขาก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้เขาจะไม่สามารถต้านทานคาถาที่ดัมเบิลดอร์เสกใส่เขาได้อย่างง่ายดายเหมือนครั้งที่แล้วมาอีกต่อไป
และดูเหมือนชายชราจะมองเห็นจุดอ่อนนั้น หลังจากเขาเสกคาถาที่มีเปลวไฟสีทองใส่ชายหนุ่มแล้ว ดัมเบิลดอร์ก็กระดกไม้กายสิทธิ์ของเขาอีกครั้งพร้อมกับร่ายเสกคาถาปลดอาวุธใส่ฝ่ายตรงข้าม และในคราวนี้ไม้กายสิทธิ์ของนายลูเซียสก็หลุดออกไปจากมือของเขา แต่ดัมเบิลดอร์ไม่สนใจที่จะรับมันไว้ เขากลับเสกคาถาที่สามใส่ลูเซียสก่อนที่ชายหนุ่มจะตั้งตัวได้ทัน และคาถานั้นเป็นคาถาที่เฮอร์ไมโอนี่รู้จักดี เพราะมันคือคาถาเรียกของ
ทารกน้อยลอยจากอ้อมแขนของลูเซียสมาหาดัมเบิลดอร์อย่างง่ายดายเพราะแรงคาถา ชายชรารับเธอและอุ้มเธอไว้ ก่อนจะพยายามปลอบเด็กทารกที่กำลังร้องไห้อยู่ให้เงียบลง
ลูเซียสอาศัยจังหวะที่ดัมเบิลเดอร์กำลังสนใจกับทารกใช้คาถาเรียกของโดยไม่ต้องใช้ไม้กายสิทธิ์เพื่อเรียกไม้ของเขาที่ตกอยู่ตรงพื้นข้าง ๆ ตัวมา ไม้กายสิทธิ์ของชายหนุ่มลอยกลับมาอยู่ในมือของเขาในทันทีและหลังจากที่นายลูเซียสได้ไม้กายสิทธิ์กลับมาแล้วเขาก็ร่ายคาถาใส่ดัมเบิลดอร์อีกครั้ง
ดัมเบิลดอร์สะบัดไม้กายสิทธิ์เพื่อปัดคาถานั้น ก่อนที่เขาจะเสกคาถาสีแดงเพื่อโจมตีลูเซียสแต่ชายหนุ่มหลบได้ทัน ชายผมบลอนด์หนีเข้าไปในห้องรับแขกของครอบครัวซิลเวีย ดัมเบิลดอร์ตามเขาไปในทันที ชายชราพยายามจะจับลูเซียสขณะที่กำลังอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน เขาเสกคาถาสีแดงซึ่งเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่ามันเป็นคาถาสะกดนิ่งใส่ชายหนุ่มหลายครั้ง แต่ลูเซียสก็หลบได้โดยใช้เครื่องเรือนที่หักพังของบ้านซิลเวียเป็นเกราะกำบัง
หลังจากหลบคาถาสุดท้ายของดัมเบิลดอร์ได้แล้ว ลูเซียสก็เสกคาถาใส่ชายชราบ้าง แต่เขาไม่ได้เล็งคาถานั้นไปยังตัวของดัมเบิลดอร์ ชายหนุ่มกลับชี้ไม้กายสิทธิ์ของเขาไปยังนาฬิกาตั้งพื้นเรือนโบราณที่วางอยู่ถัดจากร่างดัมเบิลดอร์ฝั่งที่เขาใช้แขนอุ้มทารกอยู่ นายลูเซียสร่ายคาถาระเบิดมันออก
นาฬิกาเรือนนั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะแรงคาถา เศษแก้วมากมายลอยมาทางดัมเบิลดอร์และแน่นอนมันพุ่งมายังทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วย!
ชายชราชี้ไม้กายสิทธิ์ของเขาไปที่นาฬิกาเรือนนั้นพร้อมกับร่ายคาถาแปลงร่างเศษแก้วที่กำลังพุ่งมาให้เป็นขนนกเพื่อที่มันจะไม่ทำร้ายเขารวมถึงทารกน้อยที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วย และเมื่อดัมเบิลดอร์ทำเช่นนั้นนายลูเซียสก็ใช้จังหวะนั้นเพื่อหนี
เสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นสิ่งต่อมาที่เฮอร์ไมโอนี่ได้ยิน และสิ่งที่ตามมาก็คือแรงระเบิดมหาศาลขนาดที่สามารถพังผนังห้องรับแขกบ้านซิลเวียไปได้แถบหนึ่ง ฝุ่นควันจากแรงระเบิดนั้นฟุ้งไปทั่วห้อง และเมื่อฝุ่นเหล่านั้นจางไป นายลูเซียสก็หายไปเสียแล้ว
สีหน้าแปลกใจของดัมเบิลดอร์เป็นสิ่งสุดท้ายที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เห็น ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงอีกครั้ง


*************************************************

เฮอร์ไมโอนี่ตกอยู่ในความมืดราว ๆ หนึ่งนาที เด็กสาวนึกแปลกใจว่าทำไมมันถึงใช้เวลานานขนาดนี้เพื่อไปยังความทรงจำต่อไป หรือว่าความทรงจำที่โวลเดอมอร์ต้องการให้เธอดูสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ และถ้ามันเป็นอย่างนั้นทำไมเธอถึงไม่ออกไปจากเพนชิฟนี่เสียทีล่ะ
แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้สงสัยอะไรไปมากกว่านั้น รอบกายของเธอก็เริ่มสว่างขึ้นอีกครั้ง ราวกับมีใครมาดึงผ้าม่านสีดำที่คลุมอยู่รอบกายของเธอออก เด็กสาวหลับตาลงเมื่อมีแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้น ก่อนที่แสงนั้นจะค่อย ๆ จางลงและปรากฏเป็นภาพ ๆ หนึ่งแทน
เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาพลางมองไปรอบ ๆ กายเพื่อหาคำตอบว่าเธอกำลังอยู่ที่ไหนและเด็กสาวก็พบว่าเธอกำลังยืนอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งตรงที่เธอกำลังยืนอยู่นั้นน่าจะเป็นส่วนห้องรับแขกของบ้าน และมันก็เป็นห้องที่เธอรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมากทีเดียว
เฮอร์ไมโอนี่มองไปรอบ ๆ มันเป็นห้องที่ถูกตกแต่งแบบวิคตอเรียโบราณ มีชั้นหนังสือที่สูงเกือบจรดเพดานวางอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ถัดจากชั้นหนังสือไปเป็นตู้โชว์ที่มีรูปภาพวางอยู่มากมาย รวมทั้งบนเตาผิงของบ้านด้วย เครื่องเรือนของบ้านหลังนี้นั้นล้วนทำจากไม้โอ๊คสีน้ำตาลที่ดูอบอุ่น สายตาของเด็กสาวมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องก่อนจะไปสะดุดเข้าไปร่าง ๆ หนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาข้าง ๆ เตาผิง
ดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่เบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อเธอเห็นใบหน้าของร่างนั้น เพราะว่าชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาสีเข้มข้างเตาผิงนั้นคือพ่อของเธอ! โรเบิร์ต เกรนเจอร์ในวัยหนุ่ม!
เฮอร์ไมโอนี่หายใจกระตุกกับสิ่งที่เธอเห็น เด็กสาวเดินเข้าไปใกล้บิดาของเธอที่กำลังอ่านวารสารทางทันตกรรมอยู่อย่างตั้งใจโดยไม่รับรู้ถึงการมาของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่แน่ล่ะ พ่อของเธอจะรู้ตัวได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เธอกำลังเห็นอยู่นี้นั้นเป็นอดีตที่เกิดขึ้นตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในความทรงจำของพ่อของเธอหลังจากที่เธอได้ดูความทรงจำของนายลูเซียสจบลงแล้ว
การได้เห็นพ่อของเธอในอดีตแบบนี้ทำให้เฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะสำรวจเขาในวัยหนุ่ม เด็กสาวมองใบหน้าที่แทบจะไม่มีริ้วรอยปรากฏอยู่ซึ่งต่างจากปัจจุบันของบิดาอย่างสนใจก่อนที่จะเลื่อนสายตาของเธอไปยังผมสีเข้มที่ดูดกหนากว่าตอนวัยสี่สิบหกปีของเขามากนัก แต่พ่อของเธอยังคงใส่แว่นตาเวลาอ่านหนังสือเหมือนตอนปัจจุบัน และจากสีหน้าที่เขาแสดงออกมาทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าพ่อของเธอกำลังใช้สมาธิเป็นอย่างมากในการอ่านบทความที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้
หลังจากสำรวจพ่อของเธอในวัยหนุ่มเสร็จแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็หันกลับมาสำรวจบ้านของเธอต่อ แน่นอนว่าเด็กสาวรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้เข้ามาเห็นบ้านของตัวเองในอดีตเช่นนี้ แม้ว่ามันจะเป็นบ้านหลังเดียวกับที่เธออยู่มาเกือบตลอดชีวิตของเธอก็ตาม แต่มันก็ดูแตกต่างจากบ้านของเธอในปัจจุบันอยู่ไม่น้อย เด็กสาวสังเกตเห็นว่าวอลเปเปอร์และผ้าม่านของห้องโถงนั้นแตกต่างไปจากบ้านของเธอในปัจจุบัน รวมทั้งเครื่องเรือนบางชิ้นด้วย และเฮอร์ไมโอนี่คิดว่ามันคงเป็นเพราะการซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่ในตอนที่เธอเป็นเด็กซึ่งพ่อแม่ของเธอได้ตกแต่งบางส่วนของบ้านเสียใหม่รวมทั้งเปลี่ยนวอลเปเปอร์และเครื่องเรือนบางชิ้นด้วย
เด็กสาวละสายตาจากเครื่องเรือนในห้องรับแขกไปยังตู้โชว์ตรงมุมห้องซึ่งเต็มไปด้วยรูปภาพของพ่อและแม่ของเธอ ก่อนที่เธอจะเลื่อนสายตาไปยังปฎิทินที่วางอยู่ไม่ห่างจากรูปภาพพวกนั้น และเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเธอพบว่าวันที่ในความทรงจำนี้คือวันที 19 เดือนธันวาคม ปี 1979 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เธอเกิดพอดี แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมรูปที่วางอยู่บนตู้โชว์ถึงไม่มีรูปของเธอตอนที่เป็นทารกอยู่เลยล่ะ หรือจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นเธอยังเด็กเกินกว่าที่จะถ่ายรูปได้อย่างนั้นหรือ
แต่ก่อนที่เด็กสาวจะได้สงสัยอะไรไปมากกว่านั้นก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นมาจากทางประตูบ้าน นายเกรนเจอร์และเฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เฮอร์ไมโอนี่เห็นพ่อของเธอเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนที่เขาจะเลื่อนสายตาไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องรับแขกซึ่งบอกเวลาสามทุ่มตรง ดูเหมือนพ่อของเธอจะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าใครที่มากดกริ่งบ้านเขาในยามดึกเช่นนี้ เช่นเดียวกับเด็กสาวที่มองไปทางประตูบ้านอย่างแปลกใจ และในอึดใจต่อมานายเกรนเจอร์ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปยังประตูหน้าบ้าน โดยที่เฮอร์ไมโอนี่เดินตามพ่อของเธอในความทรงจำไปติด ๆ
นายเกรนเจอร์เปิดประตูบ้านออก และสิ่งที่เด็กสาวได้เห็นต่อมาก็คือสีหน้าแปลกใจของบิดาของเธอ แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ได้เห็นว่าใครเป็นคนมากดกริ่งบ้านเธอในยามวิกาลเช่นนี้เด็กสาวก็รู้สึกแปลกใจไปไม่น้อยไปกว่านายเกรนเจอร์ที่เป็นบิดาของเธอเลย
เพราะร่างที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านของเธอ กำลังสวมชุดคลุมหรูหราที่คนปกติธรรมดาไม่มีทางใส่ออกมาเดินถนนกัน แถมยังอุ้มทารกคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนนั้นคือ อัลบัส ดัมเบิลดอร์!


.................................................


นายเกรนเจอร์มองผู้มาเยือนอย่างแปลกใจเช่นเดียวกับเฮอร์ไมโอนี่ ดัมเบิลดอร์เพิ่งมาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านของเธอในชุดคลุมเต็มยศของพ่อมด และที่สำคัญเขายังอุ้มเด็กทารกที่เธอแน่ใจว่าน่าจะเป็นลูกสาวของตระกูลซิลเวียมาด้วย แต่ก่อนที่นายเกรนเจอร์จะได้พูดอะไรออกไปชายชราก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ผมมาขอพบคุณและคุณนายเกรนเจอร์ครับ” เขากล่าวอย่างสุภาพ ขณะที่ดวงตาของอีกฝ่ายยังคงสำรวจเขาอย่างแปลกใจ แน่นอนว่าพ่อของเฮอร์ไมโอนี่จะต้องรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเป็นแน่ ที่จู่ ๆ มีชายชราสวมชุดคลุมหรูหรามาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านของเขาพร้อมกับเด็กทารกคนหนึ่ง
“ผมคือคุณเกรนเจอร์ครับ แล้วคุณคือ.....” นายเกรนเจอร์ถามด้วยน้ำเสียงงงงวย
“อัลบัส ดัมเบิลดอร์ครับ” ดัมเบิลดอร์พูดพลางยื่นมือไปให้เขาจับ โรเบิร์ต เกรนเจอร์ลังเลใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือมาจับมือเขาเขย่า
“ผมขอเข้าไปได้ไหมครับ” ชายชราพูดขึ้น ขณะที่นายเกรนเจอร์มีสีหน้าลำบากใจ
“คือผมไม่ได้จะหยาบคายอะไรหรอกนะครับ แต่ผมไม่รู้จักคุณเลย ถ้าคุณต้องการปรึกษาผมเรื่องสุขภาพฟัน ผมเกรงว่าผมคงจะสะดวกกว่านี้ถ้าคุณจะไปหาผมที่คลินิกไม่ใช่มาที่บ้านของผ.....” ไม่ทันที่นายเกรนเจอร์จะพูดจบดัมเบิลดอร์ก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรื่องนั้นครับ อีกอย่างผมก็พอใจในสุขภาพฟันของผมอยู่แล้ว” ชายชรายิ้มให้เขา
“แต่เรื่องที่ทำให้ผมต้องมาหาคุณถึงที่นี่นั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องที่คุณคิดมากครับ และผมแน่ใจว่าคุณคงจะอนุญาตให้ผมเข้าไปคุยธุระของผมในห้องรับแขกของคุณมากกว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ใช่ไหมครับ” ดัมเบิลดอร์พูดอย่างสุภาพ เฮอร์ไมโอนี่เห็นพ่อของเธอมองดัมเบิลดอร์ด้วยแววตาที่เขามักใช้ทุกครั้งเวลาที่เขาต้องตัดสินใจอะไรก่อนที่นายเกรนเจอร์จะหลีกทางให้ชายชราเข้ามาในบ้านของเขา
“เชิญครับ” เขาพูด
“ขอบคุณอย่างสูงครับ” ดัมเบิลดอร์กล่าวก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านเกรนเจอร์

.................................................

นายเกรนเจอร์พาดัมเบิลดอร์มายังห้องรับแขก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังเดินอยู่ข้างหลังเขาก็ยังอดสงสัยไม่ได้ถึงสาเหตุที่ดัมเบิลดอร์มาขอพบพ่อแม่ของเธอในยามวิกาลเช่นนี้พร้อมกับลูกสาวของตระกูลซิลเวีย ไม่ใช่แค่นั้นสิ แต่ดัมเบิลดอร์รู้จักพ่อแม่ของเธอได้ยังไง เพราะเท่าที่เธอรู้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่พ่อแม่ของเธอซึ่งเป็นมักเกิ้ลธรรมดา ๆ ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของโลกเวทย์มนตร์รวมทั้งเธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพวกท่านเคยพบอาจารย์ใหญ่ของเธอมาก่อน!
เมื่อถึงห้องรับแขก โรเบิร์ตก็เชิญให้ดัมเบิลดอร์นั่งลงบนโซฟา อาจารย์ของเธอทำตามและกล่าวขอบคุณพ่อของเธอ
“คุณต้องการดื่มอะไรสักนิดไหม” นายเกรนเจอร์ถามดัมเบิลดอร์
“ผมจะดีใจมากถ้าได้จิบบรั่นดีซักนิด คุณก็รู้ว่าอากาศข้างนอกแย่ขนาดไหน” เขาพูดขณะนั่งลงบนโซฟา มือทั้งสองของเขาเลื่อนมาประคองทารกในอ้อมแขนไว้ นายเกรนเจอร์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตรงไปที่เคาเตอร์ที่ใช้บรรจุเครื่องดื่มต่าง ๆ
“พูดตามตรงนะ ผมแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนถึงได้มาปรากฏตัวที่ประตูบ้านของผม แถมยังบอกด้วยว่ามีเรื่องจะคุยกับผม” นายเกรนเจอร์กลับมาที่ชุดรับแขกพร้อมกับบรั่นดีสองแก้วในมือ เขาส่งแก้วหนึ่งให้ดัมเบิลดอร์ พลางมองชายตรงหน้าอย่างสงสัยขณะที่เขานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับชายชรา
“คุณมีธุระอะไรกับผมกันแน่” นายเกรนเจอร์ถาม เขายังไม่จิบเครื่องดื่มในมือ
“อันที่จริงผมมีธุระกับทั้งคุณและภรรยาของคุณ คุณเกรนเจอร์” ดัมเบิลดอร์พูดอย่างใจเย็น แต่สายตาของเขาก็มองไปรอบ ๆ ห้องอย่างระแวดระวัง ขณะที่นายเกรนเจอร์ขมวดคิ้ว
“ผมชักสงสัยแล้วสิว่าคุณมีธุระอะไรกับครอบครัวผมกันแน่ คุณเป็นคนของรัฐบาลอย่างนั้นรึ แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะ เพราะผมแน่ใจว่าผมไม่เคยมีปัญหาอะไรกับทางรัฐ และผมก็จ่ายภาษีครบถ้วนถูกต้องมาตลอด” นายเกรนเจอร์พูดอย่างปกป้องตัวเอง ดัมเบิลดอร์ยิ้มให้เขา
“ผมไม่ได้เป็นคนของรัฐบาล และไม่ได้มาจากกรมสรรพากรอย่างที่พวกคุณเรียกด้วย คุณเกรนเจอร์ อันที่จริงผมเป็นมากกว่าคนของรัฐบาลด้วยซ้ำ และคุณคงลืมไปแล้วสินะว่าคนของรัฐบาลไม่ได้ทำงานในเวลาแบบนี้ อีกอย่างคงไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคนไหนมาทำงานโดยอุ้มเด็กทารกมาด้วยหรอก” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี และนั่นทำให้นายเกรนเจอร์หัวเราะออกมา เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าคำพูดของดัมเบิลดอร์ทำให้พ่อของเธอคลายความหวาดระแวงที่มีต่อชายแปลกหน้าคนนี้ลงได้
“จริงสิ คุณพูดถูกนะ” นายเกรนเจอร์ว่า “ว่าแต่เด็กคนนั้นเป็นใครน่ะ หลานของคุณอย่างนั้นหรือ” เขาถามพลางมองเด็กทารกที่ดัมเบิลดอร์กำลังอุ้มอยู่อย่างสนใจ ขณะที่ชายชราส่ายหน้าให้เขา
“ผมเกรงว่าจะไม่ใช่ ผมไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับเด็กคนนี้ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือผมเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลเธอชั่วคราวเท่านั้น” ชายชราตอบ
“ขอผมอุ้มเธอหน่อยได้ไหม” นายเกรนเจอร์ถาม ดัมเบิลดอร์มองหน้าเขาก่อนจะตอบออกมา
“คุณจะได้อุ้มเธอแน่นอนครับ แต่หลังจากที่เราคุยธุระกันเรียบร้อยเสียก่อน” ชายชราพูด รอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนายเกรนเจอร์ เขามองชายตรงหน้าอย่างแปลกใจ
“จริงสินะ ผมลืมไปเลยว่าคุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณมาที่นี่ทำไม” โรเบิร์ต เกรนเจอร์พูดพลางเอนหลังพิงโซฟา เขามองดัมเบิลดอร์อย่างหาคำตอบ
“ผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังเมื่อคุณนายเกรนเจอร์......อ้อ......เธอมาพอดี” สายตาของเขาเลื่อนไปยังร่างที่เพิ่งมาใหม่ เฮเลน เกรนเจอร์เพิ่งเดินเข้ามาในห้องรับแขก เธอมองดัมเบิลดอร์อย่างแปลกใจพลางเลื่อนสายตาไปยังสามีอย่างหาคำตอบ
เฮอร์ไมโอนี่มองแม่ของเธอเมื่อสิบเก้าปีก่อนอย่างสนใจ แม้ว่านางเกรนเจอร์ในตอนนั้นจะเป็นคนที่จัดว่าสวยก็ตามแต่เธอก็ไม่อาจเทียบกับชาร์ล็อต ซิลเวียได้เลย แม้ว่าแม่ของเธอจะมีผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกับเฮอร์ไมโอนี่ แต่เฮเลน เกรนเจอร์กลับดูไม่เหมือนเฮอร์ไมโอนี่อย่างที่มาดามซิลเวียเหมือนเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าเอามาเทียบกันแล้ว เด็กสาวคิดสึกว่าเธอดูหมือนชาร์ล็อต ซิลเวียมากกว่านางเกรนเจอร์แม่ของเธอเป็นไหน ๆ และความจริงอันนั้นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกปั่นป่วนในห้องอย่างบอกไม่ถูก
นายเกรนเจอร์มองหน้าภรรยาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป
“เฮเลน นี่คือ......” เขายังไม่ทันจะพูดจบดัมเบิลดอร์ก็ลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวออกมา
“ดัมเบิลดอร์ครับ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ผมเป็นอาจารย์ใหญ่ที่ฮอกวอตส์ คุณคงเป็นแม็กอดัมส์สินะครับ” ชายชราพูด และเมื่อเขาเอ่ยนามสกุลเก่าของนางเกรนเจอร์ออกมา ทั้งเฮอร์ไมโอนี่และพ่อของเธอก็หันไปมองดัมเบิลดอร์ด้วยความแปลกใจ เช่นเดียวกับนางเกรนเจอร์ที่ดูตกใจมาก ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเบิกกว้างอย่างรวดเร็วและมองดัมเบิลดอร์อย่างแปลกใจ จนเด็กสาวไม่อาจบอกได้ว่าที่แม่ของเธอตกใจนั้นเป็นเพราะเธอได้ยินคำว่า ‘ ฮอกวอตส์ ’ หรือคำว่า ‘ แม็กอดัมส์ ’ ที่เป็นนามสกุลเดิมของเธอกันแน่
นางเกรนเจอร์เดินมานั่งลงบนโซฟาอย่างช้า ๆ ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ชายชรา ก่อนจะหันมามองสามีด้วยแววตาสับสน ซึ่งนายเกรนเจอร์ก็มองเธอตอบอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรภรรยาออกมาจนในที่สุดเธอก็กลับไปมองที่ดัมเบิลดอร์อีกครั้ง
“คุณมาที่นี่เพราะเรื่องของราเชลหรือเปล่าคะ” เฮเลน เกรนเจอร์ถามชายชราที่บัดนี้นั่งลงบนโซฟาอีกครั้งและกำลังอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน สายตาคมกริบของดัมเบิลดอร์มองไปยังหน้าต่างภายนอกอย่างระแวงก่อนจะหันกลับมาหานางเกรนเจอร์
“ครับ ผมมาที่นี่เมื่อเพราะมีเรื่องของคุณแม็กอดัมส์ที่ต้องแจ้งให้พวกคุณทราบ รวมทั้งเรื่องอื่นด้วย” ดัมเบิลดอร์กล่าว นี้เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมนับตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาในบ้านของเธอ
“เธอเป็นอะไรอย่างนั้นหรือคะ ฉันได้ข่าวว่าเธอกำลังเดือดร้อน คือเธอส่งจดหมายมาหาฉันน่ะค่ะ แต่นั่นก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว” นางเกรนเจอร์พูดอย่างกังวล ดัมเบิลดอร์ถอนใจ
“เธอเสียชีวิตแล้วน่ะครับ” เขาพูดออกมา แม่ของเฮอร์ไมโอนี่หายใจกระตุก
“พระเจ้า!” เธอยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าของเธอขาวซีดด้วยความตกใจ เฮอร์ไมโอนี่เห็นแม้กระทั่งน้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาสีน้ำตาลของแม่เธอ และแววเสียใจที่ปรากฏอยู่ในดวงตาสีเข้มของพ่อเธอ นายเกรนเจอร์เลื่อนมือมากุมมือภรรยาที่กำลังร้องไห้อยู่เงียบ ๆ
มันต้องใช้เวลาอยู่หลายอึดใจกว่าที่นางเฮเลนจะหายตกใจและเริ่มทำใจได้ แต่หลังจากผ่านไปไม่นานเธอก็หยุดร้องไห้ นางเกรนเจอร์ปาดน้ำตาออกพร้อมกับสูดลมหายใจลึก ๆ และหันกลับมาที่ดัมเบิลดอร์อีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ คือฉันกับเธอสนิทกันมากน่ะค่ะ ฉันก็เลย” เธอพูดพลางเช็ดน้ำตา
“ผมทราบครับว่าคุณเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเธอ อันที่จริงผมต้องขอโทษคุณด้วยซ้ำที่มาบอกเรื่องการตายของเธอกับคุณช้าขนาดนี้” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาหมายความตามที่พูดจริง ๆ ขณะที่นางเกรนเจอร์มองเขาอย่างแปลกใจ
“คุณหมายความว่าเธอตายนานแล้วหรือคะ” เธอถามด้วยเสียงสั่นเทา
“เกือบหกเดือนแล้วครับ ผมเดาว่าเธอคงเสียชีวิตหลังจากที่ส่งจดหมายหาคุณได้ไม่นาน” เขาพูด
“แต่.....แล้วทำไมคุณเพิ่งมาบอกฉันล่ะค่ะ แล้วใครเป็นคนจัดการเรื่องงานศพของเธอ” นางเกรนเจอร์พูดออกมาอย่างตกใจ
“พวกเราจัดการงานศพให้เธอเรียบร้อยแล้วครับ อันที่จริงคู่หมั้นของเธอเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ผมก็เสียใจจริง ๆ ที่ไม่ได้บอกคุณก่อนหน้านี้ เพราะว่าเราไม่สะดวกในหลาย ๆ เรื่อง.....” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ นายเกรนเจอร์ก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่สะดวกอย่างนั้นเหรอ คุณกำลังบอกว่าคุณไม่สะดวกเลยมาแจ้งข่าวการตายของราเชลกับเราไม่ได้ คุณก็น่าจะรู้นี่นาว่าราเชลเป็นลูกพี่ลูกน้องของเฮเลน เธอสมควรที่จะได้รู้เรื่องนี้ก่อนใคร” นายเกรนเจอร์พูดออกมา และเมื่อฟังจากน้ำเสียงแล้วเฮอร์ไมโอนี่บอกได้เลยว่าพ่อของเธอไม่พอใจกับคำพูดของดัมเบิลดอร์เลยแม้แต่น้อย
“ผมเสียใจจริง ๆ ครับ และคุณก็คงจะไม่พอใจหากผมจะพูดออกมา แต่ผมอยากจะบอกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดมากสำหรับพวกเรา ความจริงแล้วผมคาดว่าคู่หมั้นของราเชลจะบอกพวกคุณในเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ แต่ผมเพิ่งมารู้เมื่อไม่เกินสองอาทิตย์ก่อนว่าเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ” ดัมเบิลดอร์อธิบาย แต่ดูเหมือนคำพูดนั้นไม่อาจทำให้อารมณ์ของนายเกรนเจอร์เย็นลงได้เลย จนกระทั่งภรรยาของเขาบีบมือเขาเบา ๆ ก่อนที่เธอจะหันไปพูดกับดัมเบิลดอร์
“ริชาร์ดก็หายตัวไปเหรอคะ” นางเฮเลนพูด สีหน้าของเธอดูกังวลเป็นอย่างมาก
“ครับ ผมไม่แน่ใจว่าเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในตอนแรกเราทุกคนรู้ว่าเขาหนีไปซ่อนตัว แต่เมื่อคนของเราไม่ได้รับการติดต่อจากเขาเป็นเวลานานเกินไป เราก็เริ่มสงสัยว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาจนเราต้องออกตามหาเขา และนั่นทำให้เรารู้ว่าเขาหายตัวไป” ดัมเบิลดอร์อธิบาย แต่ดูจากสีหน้าแล้วเฮอร์ไมโอนี่บอกได้เลยว่าพ่อของเธอไม่เข้าใจที่ชายชราพูดแม้แต่น้อย ในขณะที่แม่ของเธอพยักหน้าให้ดัมเบิลดอร์เบา ๆ
“ผมคิดว่าคุณคงพอรู้ว่าบ้างว่าโลกของพวกเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤตใช่ไหมครับ” เขาหันไปถามนางเกรนเจอร์
“ค่ะ.....ฉันพอรู้มาบ้าง จากราเชลน่ะค่ะ” เธอเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “คุณจะบอกฉันได้ไหมคะว่าเธอตายยังไงน่ะค่ะ” เฮเลนพูดพลางบีบมือสามีแน่น ขณะที่ดัมเบิลดอร์ถอนหายใจ สีหน้าของเขาดูหนักใจเป็นที่สุด
“เธอถูกฆ่าน่ะครับ” เขาพูดกับสีหน้าตกใจของนางเกรนเจอร์ “โดยฝีมือของพ่อมดมืดที่มีอำนาจมากที่สุดในตอนนี้” ใบหน้าของดัมเบิลดอร์ดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องของโวลเดอมอร์
“แต่.....ทำไม” นางเกรนเจอร์พูดเสียงตะกุกจะกัก “ฉันแน่ใจว่าราเชลไม่มีศัตรูที่ไหน ทำไมเธอถึง”
“คุณแม็กอดัมส์ไม่มีศัตรูที่ไหนก็จริงครับ แต่เป็นเพราะความสามารถของเธอที่ทำให้เธอเดือดร้อน เธอได้รับความสามารถที่ถ่ายทอดมาจากทางแม่ของเธอ ซึ่งผมแน่ใจว่าคุณคงรู้ว่าโรสแม่ของเธอเป็นนักพยากรณ์ที่มีชื่อเสียงมาก” ดัมเบิลดอร์กล่าว
“ค่ะ ฉันรู้ ฉันรู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าราเชลแตกต่างจากฉัน ฉันหมายถึงฉันรู้ว่าเธอเป็นอะไรค่ะ ตอนที่เรายังเด็กราเชลมักจะบอกฉันเสมอว่าเธอมักเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง แต่ฉันก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะต้องมาตายเพราะเรื่องนี้” นางเกรนเจอร์พูดพลางซบใบหน้าเข้ากับฝ่ามือ เธอสะอื้นอย่างหนักจนสามีต้องเข้าคว้าร่างของเธอไปโอบกอด
ดัมเบิลดอร์รวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ดูนางเกรนเจอร์ร้องไห้อยู่กับอกของสามี จนกระทั่งเธอสงบลง เธอจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดกับดัมเบิลดอร์อีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ.....ฉันไม่น่าทำตัวอ่อนแอขนาดนี้เลย” เธอพูด
“ผมเข้าใจครับว่ามันแย่ขนาดไหนที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวไป” ดัมเบิลดอร์พูดพลางมองเธอด้วยแววตาที่บอกว่าเขาเองก็เคยสูญเสียคนสำคัญไปเช่นกัน
“แต่ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดีค่ะ ว่าคนที่....ฆ่าเธอต้องการอะไรจากเธอถึงขนาดต้องฆ่าแกงกันด้วย ฉันหมายถึง......เธอเขียนจดหมายมาหาฉันเมื่อประมาณครึ่งปีมาแล้วว่าเธอกำลังเดือดร้อนและต้องหนีไปซ่อนตัว ฉันอาจจะติดต่อเธอไม่ได้ซักระยะหนึ่ง แต่เธอไม่ได้บอกฉันว่าเธอเดือดร้อนในเรื่องอะไรนะคะ ข้อความในจดหมายก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรมากนัก อย่างน้อย ๆ ก็ไม่น่าจะถึงกับชีวิตแบบนี้ ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะตายเพราะเรื่องนี้น่ะค่ะ” เฮเลน เกรนเจอร์พูดอย่างโศกเศร้าจากการสูญเสียญาติสนิทของเธอ
ดัมเบิลดอร์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ที่คุณแม็กอดัมส์ต้องตายนั้นเป็นเพราะมีคนต้องการให้เธอเปิดเผยคำพยากรณ์ที่เธอรู้แก่เขา แต่เธอไม่ยอมทำตาม เขาจึงทรมานและฆ่าเธอทิ้งในที่สุด” ชายชราพูด มีแววตกใจปรากฏขึ้นในดวงตาของนางเกรนเจอร์ก่อนที่มันจะเปลี่ยนไปเป็นความสงสัย
“แต่ฉันไม่เข้าใจค่ะ ทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกสิ่งที่เธอรู้แก่เขา......ฉันหมายถึงแก่คนที่ทรมานเธอน่ะค่ะ ถ้าเธอทำอย่างที่เขาต้องการเขาอาจจะไม่ฆ่าเธอก็ได้” แม่ของเฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้น
“แน่นอนว่าคุณแม็กอดัมส์รู้ว่าโวลเดอมอร์จะฆ่าเธอทิ้งอยู่ดีแม้ว่าเธอจะยอมบอกคำทำนายที่เธอรู้แก่เขาก็ตาม” ดัมเบิลดอร์เอ่ยชื่อโวลเดอมอร์ขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ของเฮอร์ไมโอนี่จะไม่ตกใจไปกับชื่อนั้นเลย แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้หรอกว่าค่ำว่า ‘ ลอร์ด โวลเดอมอร์ ‘ นั่นเป็นชื่อที่น่าสะพรึงกลัวเพียงไรในโลกเวทย์มนตร์
“อีกอย่างที่เธอไม่ยอมพูดคำทำนายที่เธอรู้ออกมา ผมเดาว่าเธอคงต้องการปกป้องทารกคนนี้” ชายชราพูดถึงทารกที่กำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา และนั่นเป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่สังเกตุเห็นว่าเด็กน้อยคนนั้นนอนหลับอย่างสงบอยู่ในอ้อมแขนของดัมเบิลดอร์โดยไม่ร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย ราวกับชายชราได้ร่ายคาถาง่วงงุนใส่เธอเพื่อให้เธอได้นอนหลับอย่างมีความสุขระหว่างที่เขากำลังพูดคุยอยู่กับพวกเกรนเจอร์
นายและนางเกรนเจอร์มองทารกที่ดัมเบิลดอร์กำลังอุ้มอยู่อย่างงุนงง ก่อนจะเลื่อนสายตามาที่ชายชราอย่างหาคำตอบ
ดัมเบิลดอร์ถอนใจขึ้นเป็นครั้งที่สาม เขามองไปยังสองสามีภรรยาก่อนจะตอบออกมา
“ราเชล” เขาพูดเชื่อจริงของมิสแม็กอดัมส์ขึ้นเป็นครั้งแรก “ต้องการปกป้องเด็กคนนี้จากโวลเดอมอร์ เธอจึงไม่ยอมบอกเขาเรื่องคำทำนายที่เธอทราบ เพราะคำทำนายที่เธอรู้นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนี้” ชายชราเอ่ยขึ้นมา
“โวลเดอมอร์ซึ่งเป็นพ่อมดที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ต้องการให้ราเชลบอกข้อมูลเกี่ยวกับทารกคนนี้ที่เธอรู้แก่เขา เพราะเขาเชื่อ ไม่ใช่สิ เพราะคำทำนายที่ราเชลรู้และน่าจะบอกเขาไปก่อนหน้านั้นได้กล่าวไว้ว่าเด็กคนนี้เป็นกุญแจที่สำคัญในสงครามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเมื่อถึงตอนนั้นใครที่ได้ตัวเธอไปจะเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะในสงคราม และนั่นเป็นเหตุผลที่โวลเดอมอร์ตามหาตัวเด็กคนนี้ และเขาก็คงไม่มีวันหาเธอพบถ้าเขาไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่ให้กำเนิดของเธอจากราเชล เขาจึงทรมานราเชลเพื่อให้เธอบอกข้อมูลนั้นแก่เขา ซึ่งมันเป็นคำทำนายที่ราเชลไม่ต้องการเปิดเผยให้ใครรู้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะโวลเดอมอร์” ดัมเบิลดอร์อธิบายกับสีหน้างุนงงของพวกเกรนเจอร์
“ราเชลต้องการปกป้องทารกคนนี้ รวมทั้งปกป้องโลกเวทย์มนตร์จากอำนาจของโวลเดอมอร์ด้วย เพราะเธอรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากโวลเดอมอร์ได้ตัวทารกคนนี้ไป เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นตามคำทำนายของราเชลเขาก็จะได้รับชัยชนะในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต” ชายชราพูดอย่างวิตก ในวินาทีนั้นเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับดัมเบิลดอร์ดูแก่ชราลงกว่าเดิมมากเหลือเกิน
“แล้วพ่อแม่ของเด็กคนนี้ล่ะคะ” นางเกรนเจอร์ถามขึ้นมา
“พ่อของเธอเสียชีวิตแล้วตอนที่ผมไปพบเธอเข้าน่ะครับ เช่นเดียวแม่ของเธอที่เสียชีวิตในเวลาต่อมา” เขาตอบ และเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องหายใจกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พระเจ้า! มาดามซิลเวียตายแล้วอย่างนั้นหรือ แต่ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นได้ในเมื่อเธอเพิ่งถูกคนของฟรองซัวส์ โกริยาร์ดที่หลงรักเธอจับตัวไปนี่นา แล้วทำไมเธอถึงได้เสียชีวิตเร็วขนาดนี้! เด็กสาวคิดอย่างตกใจ แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นแม่ของเธอก็ถามดัมเบิลดอร์ขึ้นอีกครั้ง
“เขาตามหาเธอจนเจองั้นเหรอคะ ฉันหมายถึงคนที่ฆ่าราเชลน่ะค่ะ ตามหาครอบครัวของเด็กคนนี้เจออย่างนั้นหรือคะ” นางเฮเลนถามดัมเบิลดอร์ที่มีสีหน้าครุ่นคิด
“ครับ ผมเกรงว่าจะเป็นอย่างนั้น” เขาตอบออกมา
“แต่คุณบอกว่าราเชลต้องการปกป้องเด็กคนนี้จนเธอต้องตายนี่คะ แล้วทำไมถึง......”
“ราเชลต้องการปกป้องเด็กคนนี้นั้นเป็นความจริงครับ และเธอคงไม่ต้องการบอกข้อมูลเกี่ยวกับเด็กคนนี้ออกไปอย่างแน่นอน แต่จากการคาดเดาของผม ผมคิดว่าโวลเดอมอร์คงจะใช้วิธีอื่นเพื่อให้ได้ข้อมูลของเธอมา มันเป็นวิธีที่พ่อมดแม่มดอย่างพวกเราเรียกว่าการสกัดใจ ถ้าจะพูดในศัพท์ของพวกคุณมันเหมือนกับการอ่านใจน่ะครับ เพียงแต่มีอำนาจมากกว่า และผมเกรงว่าราเชลคงไม่มีกำลังพอที่จะปิดกั้นใจของเธอจากโวลเดอมอร์เมื่อเธอถูกทรมาน ซึ่งนั่นทำให้เขาได้ข้อมูลบางส่วนของทารกคนนี้ไปได้” ชายชราอธิบาย
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ตายเปล่าน่ะสิคะ ฉันหมายถึง ไม่ว่ายังไงคนที่ฆ่าเธอก็ได้สิ่งที่เขาต้องการไปอยู่ดี แล้วเขาก็เป็นคนฆ่าครอบครัวของเด็กคนนี้ด้วยเหรอคะ” นางเกรนเจอร์ถามขึ้น ราวกับเธอรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยทารกคนนี้ขึ้นมาอย่างกระทันหัน ดัมเบิลดอร์ยิ้มให้เธอ
“ในตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นครับ เพราะผมเป็นคนตามไปที่บ้านของเด็กคนนี้และได้ต่อสู้กับผู้เสพความตายคนหนึ่งก่อนที่ผมจะช่วยเธอออกมา ผมหมายถึงลูกสมุนของโวลเดอมอร์น่ะครับ พวกเขาเป็นพ่อมดฝ่ายมืดที่เรียกตัวเองว่าผู้เสพความตาย ผมก็เลยคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนฆ่าครอบครัวของเด็กคนนี้ แต่ผมกลับมาพบทีหลังว่าผมคิดผิด อย่างไรก็ตามที่ผมมาที่นี่เป็นเพราะเรื่องของเด็กคนนี้ด้ว.....” ดัมเบิลดอร์ยังไม่ทันพูดจบ นายเกรนเจอร์ก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“แล้วคุณรู้ได้อย่างไร” โรเบิร์ต เกรนเจอร์ถามขึ้นมาหลังจากที่เขาเงียบไปนาน “ผมหมายถึงคุณรู้เรื่องคำทำนายนั่นได้ยังไง ในเมื่อคุณบอกว่าราเชลไม่เคยบอกคำทำนายของเด็กคนนี้ให้แก่ใคร แล้วคุณรู้เรื่องของเด็กคนนี้จนถึงกับตามไปช่วยเธอมาได้ยังไง” เฮอร์ไมโอนี่เห็นว่าแววตาสีเข้มของเธอพ่อเธอนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
ดัมเบิลดอร์ยิ้มออกมา
“อันที่จริงมีคนเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องคำทำนายนี้จากราเชล ก่อนที่เธอจะตายเธอได้บอกเรื่องคำทำนายที่เธอรู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้ให้คู่หมั้นของเธอที่เป็นพ่อมดฟัง แน่นอนว่าคุณคงรู้จักเขาอยู่บ้างใช่ไหมครับ” เขาถามสองสามีภรรยา นายและนายเกรนเจอร์พยักหน้าก่อนที่นางเกรนเจอร์จะบอกว่าราเชลเคยพาริชาร์ดคู่หมั้นของเธอมาเจอพวกเขาเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน ซึ่งเป็นเวลาที่ทั้งสองเพิ่งหมั้นกันใหม่ ๆ
“หลังจากราเชลตาย คุณก็คงจะเดาได้ว่าริชาร์ดต้องตกอยู่ในอันตรายแค่ไหน เพราะไม่ว่าโวลเดอมอร์จะรู้รึไม่ว่าเขากุมคำทำนายอันสำคัญที่โวลเดอมอร์ได้มันมาเพียงบางส่วนจากการเจาะเข้าไปในใจของราเชลเท่านั้น และเขาก็ยังคงต้องการรู้มันทั้งหมดอยู่ดี ริชาร์ดมาหาผมหลังจากงานศพของราเชลและบอกผมเรื่องคำทำนายนั้น เขาบอกผมทุกอย่างที่ราเชลบอกเขาและบอกว่าเขาจะหนีไปซ่อนตัว ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับเขา แม้ว่าชาร์ดเป็นมือปราบมารที่เก่งกาจมากก็ตาม มันคล้าย ๆ กับตำรวจของพวกมักเกิ้ลน่ะครับ” ดัมเบิลดอร์เสริมขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของสองสามีภรรยา
“ราเชลเคยบอกเราเหมือนกันค่ะ แต่ฉันก็ยังไม่คุ้นกับคำ ๆ นี้อยู่ดี” เธอพูด
“ครับ ถึงแม้ตอนนั้นริชาร์ดเป็นมือปราบมารที่มีความสามารถมากก็ตาม แต่การหลบหนีจากโวลเดอมอร์ที่ถือว่าเป็นพ่อมดที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมานั้นก็เป็นเรื่องยากไม่น้อย เขาเลยขอร้องให้ผมร่ายคาถาลบความทรงจำใส่เขา เผื่อว่าวันหนึ่งถ้าเขาถูกคนของโวลเดอมอร์จับได้ พวกนั้นจะไม่มีทางรู้เรื่องคำทำนายที่ราเชลบอกเขาก่อนตายได้ และผมก็จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ผมลบความทรงจำเรื่องคำทำนายที่ราเชลบอกเขา และตั้งแต่ผมลบความทรงจำของริชาร์ดผมก็กลายเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องคำทำนายที่ราเชลต้องการจะปิดบังไว้” เขาอธิบาย
“แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าพวกผู้เสพความตายจะตามตัวริชาร์ดเจอ ใช่ครับ ผมบอกพวกคุณตอนแรกว่าริชาร์ดหนีไปซ่อนตัว แต่ตอนนี้ทางเราได้รับการยืนยันแล้วว่าเขาหายสาบสูญไป และผมเองก็เสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบอกว่า ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคงจะถูกสมุนของโวลเดอมอร์ตามหาจนพบ และคงถูกพวกนั้นสังหารไปเสียแล้ว” ดัมเบิลดอร์พูดอย่างราบเรียบ แต่สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยเห็นมาก่อน
นางเกรนเจอร์อุทานออกเบา ๆ เมื่อชายชราพูดจบ ใบหน้าของเธอซีดขาว ขณะเดียวกันนั้นมือของเธอที่กุมสามีอยู่ก็กำแน่นจนเห็นข้อนิ้วซีดขาว เฮอร์ไมโอนี่มองที่เห็นอาการนั้นอยู่พอจะบอกได้ว่าแม่ของเธอตกใจมากแค่ไหนที่ได้ยินเรื่องที่ดัมเบิลดอร์พูดออกมา
“คุณหมายความว่า ริชาร์ดเองก็ตายแล้วงั้นเหรอคะ” เฮเลน เกรนเจอร์พูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา ดัมเบิลดอร์พยักหน้าอย่างเคร่งเครียด
“ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ นางเฮเลนพนักหน้ารับ น้ำตาปริ่มดวงตาสีน้ำตาลของเธออีกหน คราวนี่เธอปาดมันออกอย่างไม่ใส่ใจ
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่คิดเลยว่ามันจะเลวร้ายแบบนี้ ทั้งราเชล ทั้งริชาร์ด” เธอพึมพำออกมา
“ตอนนี้พวกเราทุกคนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มีเคยมีมาเลยครับ” ชายชราพูดอย่างหนักใจ “พวกคุณที่เป็นมักเกิ้ลอาจจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่สำหรับพวกเราที่เป็นพ่อมดแม่มดแล้วตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่าที่เราจะจินตนาการได้เลยทีเดียว และมันคงจะเลวร้ายมากไปกว่านี้อย่างแน่นอนหากโวลเดอมอร์ได้ตัวเด็กคนนี้ไป” เขาพูดพลางก้มลงมองเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา ซึ่งการกระทำนั้นเป็นการเรียกความสนใจของสองสามีภรรยาให้มาอยู่ที่ทารกคนนี้ด้วย
“แต่ฉันไม่เข้าใจค่ะ ฉันหมายความว่าโวลเดอมอร์......คนที่ฆ่าราเชลน่ะค่ะ เขาจะต้องการตัวเด็กคนนี้ไปทำไม” นางเกรนเจอร์ถามขึ้น ดัมเบิลดอร์เงยหน้าขึ้นมองเธอ
“จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่โวลเดอมอร์ต้องการตัวเด็กคนนี้คือเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามครับ” เขาตอบออกมา
“เพราะตามคำทำนายของราเชล เด็กคนนี้คือเจ้าหญิงแห่งความมืด เธอเป็นผู้กุมชะตากรรมของสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเอาไว้ และถ้าฝ่ายใดได้เธอไปครอบครอง ฝ่ายนั้นก็จะผู้มีชัยในสงคราม และนั่นเป็นเหตุผลที่โวลเดอมอร์ต้องการตัวเธอ เพราะเขาเชื่อในคำทำนายที่ของราเชล และเขาก็คิดว่าเด็กคนนี้จะนำชัยชนะมาให้เขา ซึ่งถ้าหากเขาได้ตัวเธอไปเธอก็จะทำให้เขาชนะสงครามและได้ครอบครองโลกเวทย์มนตร์ อันเป็นความปรารถนาสูงสุดของเขา แต่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ราเชล รวมทั้งชุมชนผู้วิเศษต้องการจะให้เกิดขึ้น”
ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้นหลังจากที่ดัมเบิลดอร์พูดจบ สองสามีภรรยาเกรนเจอร์พร้อมใจกันเงียบขึ้นมากะทันหัน ราวกับพวกเขากำลังนึกภาพตามในสิ่งที่ดัมเบิลดอร์ได้พูดออกมาเมื่อครู่ เฮอร์ไมโอนี่สังเกตเห็นว่าใบหน้าของพ่อแม่เธอขาวซีดลงกว่าเดิม ราวกับทั้งสองพอจะเดาออกว่าการที่โวลเดอมอร์ขึ้นมาครอบครองโลกเวทย์มนตร์นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยซักเท่าไหร่นัก
“ดังนั้นคุณก็เลยช่วยเด็กคนนี้มาก่อนที่โวลเดอมอร์จะชิงตัวเธอไปได้งั้นเหรอ แล้วคุณจะทำยังไงกับเธอต่อไป” โรเบิร์ต เกรนเจอร์พูดขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน เขามองดัมเบิลดอร์อย่างสงสัยเช่นเดียวกับนางเกรนเจอร์ที่มองชายชราอย่างหาคำตอบ
ดัมเบิลดอร์ถอยหายใจออกมาอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าของเขามองไปที่สองสามีภรรยาอย่างมีความหมาย
“ที่ผมมาที่นี่ในวันนี้นอกจากจะมาแจ้งพวกคุณเรื่องการตายของราเชลแล้ว ผมยังจะมาขอร้องให้พวกคุณรับเด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรม” เขากล่าวออกมา


*************************************************




Create Date : 30 ตุลาคม 2552
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 22:41:53 น. 3 comments
Counter : 1016 Pageviews.

 
ชอบเรื่องนี้มากค่ะคุณพิก
รีบอัพนะคะ จะมาเยี่ยมทู้กกกวันเลย


โดย: MySweetHoney IP: 61.90.32.92 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:32:27 น.  

 
แต่งต่อเร็วๆ นะคะ

เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ


โดย: NuBerrY IP: 10.42.13.121, 202.28.180.202 วันที่: 27 ธันวาคม 2552 เวลา:20:08:04 น.  

 
ขอบคุณค่ะ จะพยายามแต่งต่อนะคะ

แต่ขออัพทาสหัวใจก่อนนะคะ


โดย: piksi วันที่: 6 มกราคม 2553 เวลา:19:00:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.