Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess : Chapter 8 The Announcements

มาอัพแล้วค่านักอ่านทั้งหลาย ขอโทษจริง ๆ นะคะที่หายไปนาน _/_ แต่ตอนเน้เรากลับมาแล้วค่า ฟิคตอนนี้ยาวนิดนะคะ เขียนไปถึง 15 แน่ะ เพื่อน ๆ จะได้อ่านกันอย่างจุใจไงคะแล้วถ้าชอบไม่ชอบยังไงเข้ามาคุยกันได้นะคะ เปิดรับทุกความคิดเห็นค่ะ ^^
อ้อ ลืมบอกว่าคนอ่านอย่าลืมเอาใจช่วยนางเอกแสนสวยของเราด้วยนะคะ เพราะยิ่งสถานการณ์เข้มข้นขึ้น นู๋เฮอร์ของเราก็ยิ่งลำบากขึ้นทุกทีค่า


***Chapter 8 The Announcements****

เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้ตัวว่าเธอหลับไปตอนไหน แต่เท่าที่เธอจำได้คือเธอกำลังล่องลอยไปในความฝันที่แสนสวยงาม เธอฝันถึงบ้านโพรงกระต่าย ที่ที่เธออาจเรียกได้ว่าบ้านหลังที่สองของเธอ เธอฝันไปถึงวันที่สวยงามในช่วงเดือนมิถุนายน ท่ามกลางอากาศที่กำลังอบอุ่นและแสงแดดที่สาดส่อง เด็กสาวกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มของต้นไม้ใหญ่บริเวณเนินเขาใกล้ ๆ กับบ้านโพรงกระต่าย ในมือของเธอถือหนังสือเล่มโปรดซึ่งเธอพบว่ามันเป็นการแปลงร่างขั้นสูงไว้ สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านร่างของเธออย่างเอื่อย ๆ เฮอร์ไมโอนี่ยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ถูกลมพัดขึ้นไปทัดหู เธอมองไปรอบ ๆ และพบว่าเพื่อน ๆ ของเธอซึ่งก็คือพวกวีสลีย์รวมทั้งแฮร์รี่กำลังบินว่อนอยู่บนไม้กวาดและรับส่งลูกแอปเปิ้ลกัน มันเป็นกิจกรรมที่พวกเขามักทำกันเป็นประจำในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน และสิ่งที่เธอทำเป็นประจำก็คือนั่งดูพวกเขาเงียบ ๆ หรือไม่ก็หาหนังสือมาอ่านเพื่อฆ่าเวลา แต่เด็กสาวก็สนใจหนังสือการแปลงร่างขั้นสูงอยู่ได้ไม่นานเมื่อเธอเห็นว่ามีร่าง ๆ หนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเธอ ผมสีแดงของเขาเป็นประกายล้อแดดที่เจิดจ้าในฤดูร้อน เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างนั้นเป็นไร

รอน วีสลีย์นั่งลงบนผ้าปูเดียวกับเธอ ใบหน้าของเขากล่ำแดดแต่ดวงตาสีอ่อนคู่นั้นแลดูสดใสยิ่งนัก เขาหยิบกระติกน้ำฝักทองขึ้นดื่มอย่างกระหาย ก่อนจะใช้มือเช็ดน้ำที่เลอะริมฝีปาก
“เหนื่อยเป็นบ้าเลย” เขาบ่นขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้เขา
“เธอไม่สนใจไปเล่นหน่อยเหรอ” เมื่อเขาถามเด็กสาวก็เงยขึ้นมองภาพตรงหน้า เธอรู้สึกแสบตาเพราะต้องมองผ่านแสงแดดที่เจิดจ้าของฤดูร้อน
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบอยู่บนไม้กวาด” เธอพูด รอนทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็รู้มานานแล้วว่าเธอกลัวการบินแค่ไหน
เด็กหนุ่มผมแดงมองออกไปภายนอกร่มไม้ ซึ่งเป็นบรรยากาศของฤดูที่เขาและแน่นอนว่าเด็กเกือบทุกคนโปรดปราน “แต่เธอชอบบรรยากาศแบบนี้ใช่ไหม ฉันหมายถึง.....ฤดูร้อนน่ะ”
แม้จะแปลกใจในคำถามนั้นแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ตอบมันออกมา
“แน่นอนว่าฉันชอบ” ทันทีที่ประโยคนั้นจบลง รอนก็เอื้อมมือที่ชื้นเหงื่อของเขามาคว้ามือของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ แต่เด็กสาวไม่ได้ปฏิเสธอะไร สิ่งเดียวที่เธอรับรู้คือหัวใจของเธอที่เต้นแรงกว่าเดิมเท่านั้น
“ฉันอยากให้วันเวลาแบบนี้อยู่ตลอดไป ฉันอยากให้หน้าร้อนอยู่กับเราตลอดไป พอ ๆ กับที่ฉันอยากให้เธออยู่กับฉันตลอดไป” เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วกับคำพูดคลุมเครือของเขา แต่ในที่สุดเธอก็เข้าใจ แม้ว่าเธออาจจะตีความมันผิดก็ตาม แต่เธอก็หวังว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เธอคิด เขาบอกว่าเขาอยากอยู่กับเธอตลอดไป เขาอยากอยู่กับเธอตลอดไป
มันจะหมายถึงว่าเขาอยากทำอะไรบางอย่างที่เป็นการเชื่อมโยงเธอและเขาเข้าด้วยกันตลอดไปหรือเปล่านะ เฮอร์ไมโอนี่ไม่กล้านึกถึงคำพูดที่ชัดเจนของมัน เธอกลัวว่าเธอจะคิดผิด แต่ในใจลึก ๆ แล้วเด็กสาวก็อยากให้เขาขอเธอแต่งงาน ไม่สิ มันอาจจะไม่ใช่ในตอนนี้ แต่ในอนาคตเบื้องหน้า อนาคตที่ไร้สงครามและเต็มไปด้วยความสงบสุข ถ้าหากโลกเวทย์มนตร์สงบสุขได้เหมือนอย่างอากาศในวันนี้ ในตอนนั้นเธอก็คงคิดอยากจะให้เขาขอเธอแต่งงาน
รอนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขาบีบมือเธอแน่น เฮอร์ไมโอนี่หันไปสบตาเขา ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นดูจริงใจและอ่อนโยนมากกว่าอะไรทั้งหมด ราวกับเขามองเธอเป็นทั้งผู้หญิงที่เขารักและเพื่อนรักของเขา เด็กสาวบีบมือนั้นตอบ แต่ขณะเธอกำลังจะบอกกับเขาว่าเธอเองก็อยากจะอยู่กับเขาอย่างนี้ตลอดไปเหมือนกันจู่ ๆ ใบหน้าของรอนก็เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนจากใบหน้าที่ดูซื่อสัตย์จริงใจเป็นใบหน้าแหลมเสี้ยมที่ดูอยากจะอ่าน ดวงตาสีอ่อนของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีเงินที่ดูเย็นชา ใบหน้าของเพื่อนรักของเธอเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่ดูคล้ายคลึงกับเดรโก มัลฟอยยิ่งนักหากแต่มีอายุมากกกว่า และทันใดนั้นเองแสงสว่างรอบตัวของเธอก็หรี่ลงพอ ๆ กับภาพรอบ ๆ ที่เริ่มเลือนหายเมื่อความมืดเข้ามาแทนที่ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเด่นชัดอยู่ในมโนประสาทของเธอก็คือใบหน้าของลูเซียส มัลฟอย ริมฝีปากบางนั้นยกขึ้นเล็กน้อยในเชิงเย้ยหยันก่อนที่มันจะขยับเมื่อเขาเริ่มพูด

‘ เธอเป็นของฉัน ทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ และอำนาจของเธอ! ’

…………………………………………….

เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งตื่นจากความฝันและสิ่งแรกที่เธอรับรู้หลังจากตื่นนอนก็คือเสียงเคาะที่ดังมาจากประตูห้องนอนของเธอ เด็กสาวต้องใช้เวลาราว ๆ สิบห้าวินาทีเพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับภาพที่ดูแปลกตาตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ เดินไปเปิดประตู โดยที่เธอไม่ลืมสำรวจการแต่งกายของเธอ
เฮอร์ไมโอนี่ก้มลงมองและพบว่าเธอสวมชุดเดียวกับเมื่อตอนที่ถูกจับมา มันเป็นกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตแบบมักเกิ้ลสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีดำของแม่มด และเมื่อแน่ใจว่าเธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเปิดประตูออก
ร่างที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ลูเซียส มัลฟอย เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขาและสิ่งที่เธอเห็นก็คือดวงตาสีเงินและใบหน้าหยิ่งยโสของเขาที่ตามหลอกหลอนเธอแม้กระทั่งในความฝัน วันนี้นายลูเซียสสวมเสื้อคลุมพ่อมดสีดำและถือไม้เท้าไว้ในมือเช่นเคย เพียงแต่เขาไม่ได้มาเพียงลำพังอย่างเช่นทุกครั้ง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากลูเซียสแล้วยังมีอีกสามสี่ร่างที่เธอทั้งรู้จักและไม่รู้จักยืนอยู่ด้วย และที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ลูเซียสนั้นคือเบลลาทริกซ์พี่สาวของภรรยาเขา

อดีตภรรยาถึงจะถูก เพราะเธอกำลังจะได้รับตำแหน่งนั้นในไม่ช้า

เสียงเล็ก ๆ ที่ชั่วร้ายดังขึ้นในสมองของเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวพยายามไม่สนใจความจริงที่ไม่น่าพิศมัยนั้น ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองลูเซียสราวกับต้องการถามว่าเขามีธุระอะไรกับเธอในเวลาเช้าขนาดนี้
“อรุณสวัสดิ์ มิสซิลเวีย” เขาเอ่ยอย่างสุภาพหากแต่น้ำเสียงนั้นราบเรียบและไร้โทนใด ๆ “หวังว่าฉันคงไม่ได้ปลุกเธอหรอกนะ” เขาดูออกว่าเด็กสาวเพิ่งตื่นจากใบหน้าที่อิดโรยของเธอ
เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ตอบคำถามนั้น มือของเธอยังคงกุมประตูที่แง้มไว้ ไม่ยอมเปิดมันออกทั้งหมด
“คุณมีธุระอะไร” เธอถามเรียบ ๆ พยายามไม่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ที่เขาบังคับให้เธอเซ็นต์สัญญาการแต่งงานรวมทั้งบังคับให้เธอสวมแหวนหมั้นของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเฮอร์ไมโอนี่ยังคงรู้ถึงถึงความเย็นเยียบของแหวนที่อยู่บนนิ้วนางของเธอได้เป็นอย่างดีราวกับว่ามันพยายามจะดูดความอบอุ่นไปจากร่างกายเธอ
“อันที่จริงเธอน่าจะให้เราเข้าไปหน่อยนะสาวน้อย มันจะสะดวกกว่าถ้าเราได้คุยกันในที่ที่ส่วนตัวมากกว่านี้” เบลลาทริกซ์ผลักประตูออกและแทรกตัวเข้ามา และนี่เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นว่าหล่อนพาใครบางคนมากับหล่อนด้วย ร่างอีกร่างที่อยู่ในการควบคุมของเบลลาทริกซ์เป็นร่างท้วมของหญิงคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีดำสนิท เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจเห็นใบหน้าของหล่อนได้เพราะมันถูกคลุมไว้ด้วยถุงสีดำ เด็กสาวได้แต่ภาวนาอย่างสิ้นหวังให้ร่างนั้นไม่ใช่ใครก็ตามที่เธอรู้จัก และทันทีที่ลูเซียสปิดประตูตามหลังพวกเขาพร้อมทั้งร่ายคาถากันรบกวน เบลลาทริกซ์ก็ดึงผ้าที่ใช้คลุมหน้าเชลยของเธอออกมา
ใบหน้าที่คุ้นตาของหญิงคนนั้นปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้อง เฮอร์ไมโอนี่จำได้ว่าร่างนั้นคือมาดามมัลกิ้น เจ้าของร้านขายเสื้อคลุมที่ตรอกไดแอกอน ร่างท้วมของหล่อนสั่นเทาอยู่ภายใต้การข่มขู่ของเบลลาทริกซ์ แม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมหล่อนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็โล่งอกเป็นอย่างมากที่ร่างที่ถูกกุมตัวอยู่นี้ไม่ใช่คุณนายวีสลีย์อย่างที่เธอกลัว

“ทำไม.....” ก่อนที่เด็กสาวจะถามจบ เบลลาทริกซ์ซึ่งชี้ไม้กายสิทธิ์อยู่ที่คอของมาดามมัลกิ้นก็พูดขึ้นมา
“ก็เธอกำลังจะแต่งงานนี่แม่สาวน้อย แล้วเราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าหล่อนเป็นช่างทำเสื้อที่ดีที่สุดในตรอกไดแอกอน” แม่มดผมดำตอบด้วยน้ำเสียงรื่นเริงราวกับมันเป็นงานเลี้ยงที่สนุกสนาน ขณะที่นายลูเซียสมีสีหน้าเคร่งขรึม
เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตา เธอไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้พูดออกไปได้
“คุณจับหล่อนมาเพื่อทำเสื้อคลุมให้ฉันน่ะหรือ” เสียงของเธอแห้งผากยามพูดออกไป เบลลาทริกซ์ยิ้มให้เธอ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูน่าหวาดกลัวและน่าขบขันในคราวเดียวกัน
“ใช่แล้ว ที่รัก เธอกำลังจะเป็นเจ้าสาวนะ แล้วเมอร์ลินก็รู้ดีว่าเจ้าสาวทุกคนต้องการชุดแต่งงานสวย ๆ ทั้งนั้นแหละ อันที่จริงเธอควรจะขอบใจฉันด้วยซ้ำ” หล่อนเดินมาหยุดหน้าเฮอร์ไมโอนี่ แต่ไม้กายสิทธิ์ยังคงชี้ไปทางมาดามมัลกิ้นที่ตัวสั่นราวกับลูกนก เด็กสาวมองเบลลาทริกซ์อย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอต้องขอบใจหล่อนหรือที่จับแม่มดบริสุทธิ์มาที่ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดเพียงเพื่อตัดชุดให้เธอน่ะ
แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดเช่นนั้นออกไป เธอรู้ดีว่าเธอไม่ควรไปยั่วโมโหเบลลาทริกซ์ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม เด็กสาวเลือดสีโคลนหรือเจ้าหญิงเลือดบริสุทธิ์
เด็กสาวกลืนน้ำลายก่อนจะพูดประโยคต่อไป “แล้วคุณจะทำอย่างไรกับเธอ ถ้าหาก......ถ้าหากเธอทำงานของเธอเสร็จแล้ว”
เฮอร์ไมโอนี่เห็นประกายวาบขึ้นในดวงตาของแม่มดผมดำ และเธอก็เดาออกไม่ยากว่าหล่อนเตรียมจะจัดการมาดามมัลกิ้นอย่างไว้ไร ดวงตาสีดำที่โหดเหี้ยมของเบลลาทริกซ์หันไปมองแม่มดใต้การควบคุมอย่างช้า ๆ พลางเลียปากราวกับเห็นมาดามมัลกิ้นเป็นอาหารอันโอชะ
“เรื่องนี้ฉันยังไม่ได้คิด” เธอเอ่ยขึ้นมาช้า ๆ พลางมองมาดามมัลกิ้นที่บัดนี้ตัวสั่นจนแทบควบคุมไม่อยู่ “แต่เราไม่ได้มีนโยบายไว้ชีวิตนักโทษอยู่แล้ว” หญิงร่างท้วมแทบจะปล่อยโฮออกมากับประโยคนั้น หล่อนทรุดตัวลงกับพื้นราวกับเข่าของหล่อนไม่อาจรับน้ำหนักไหวอีกต่อไปพลางหันไปอ้อนวอนเบลลาทริกซ์
“ได้โปรด อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันยอมทุกอย่าง” นี่เป็นครั้งแรกที่มาดามมัลกิ้นพูดออกมาตั้งแต่เธอเข้ามาในห้อง เฮอร์ไมโอนี่มองหล่อนอย่างสงสารขณะที่เบลลาทริกซ์ตะคอกหล่อนเสียงดัง
“เงียบ!” แม่มดผมดำชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่มาดามมัลกิ้นอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับพร้อมจะสาปหล่อนได้ทุกเมื่อ
“คุณจับคนบริสุทธิ์เพียงเพื่อจะมาทรมานและฆ่าพวกเขาอย่างนั้นหรือ” เสียงของเฮอร์ไมโอนี่ทำให้เบลลาทริกซ์ชะงักไม้กายสิทธิ์ในมือและหันมามองสาวน้อยที่เดิมเกือบจะได้เป็นลูกสาวอุปถัมด์ของหล่อนพลางยิ้มบาง ๆ
“เปล่าเลย ที่รัก ฉันจับหล่อนมาเพื่อให้หล่อนตัดชุดแต่งงานน่ารัก ๆ ให้เธอต่างหาก” เฮอร์ไมโอนี่แทบเบ้ปากเพราะคำพูดนั้น คำว่า ‘ น่ารัก ’ นั้นไม่เหมาะสักนิดที่จะออกมาจากปากของเบลลาทริกซ์
“แต่คุณก็จะไม่ปล่อยหล่อนไปอยู่ดีเมื่อหล่อนทำงานเสร็จ ทั้ง ๆ ที่หล่อนไม่เคยทำอะไรให้คุณ หล่อนไม่ได้เป็นศัตรูกับพวกคุณเลย” เด็กสาวมองไปที่นายลูเซียสด้วยเมื่อเธอพูดประโยคสุดท้าย แต่เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมานอกจากขยับตัวอย่างอึดอัดใจ
เบลลาทริกซ์ละไม้กายสิทธิ์จากเหยื่อของเธอพลางเดินเข้ามาใกล้เฮอร์ไมโอนี่อีกสองก้าว ดวงสีดำของหล่อนมองสำรวจเด็กสาวอย่างประเมิน
“เธอก็รู้ดีนี่ ว่าฉันไม่อาจปล่อยคนที่มาเห็นกองบัญชาการของเรากลับไปได้ ถ้าหล่อนไม่ถูกเราฆ่าตายก็ต้องถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไป” เบลลาทริกซ์พูดอย่างโหดเหี้ยม
“อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องของหล่อนเลยที่รัก ตราบเท่าที่หล่อนตัดชุดแต่งงานที่สวยที่สุดให้เธอได้ จริงไหม อ้อ แล้วเธอก็ควรจะให้ความร่วมมือดี ๆ ด้วยนะ” เบลลาทริกซ์เสริมราวกับต้องการบอกเฮอร์ไมโอนี่ว่าเด็กสาวเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถขัดขืนหล่อนได้เหมือนกัน แม้ว่าเธอจะเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งความมืดก็ตาม
เฮอร์ไมโอนี่เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะพูดออกมา ราวกับเธอไม่ต้องใช้เวลามากในในการไตร่ตรองสิ่งที่กำลังจะเอ่ยออกไป
“ฉันจะไม่ใส่อะไรก็ตามที่ถูกตัดขึ้นจากแม่มดบริสุทธิ์ที่คุณจับมา โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่มีเจตนาจะไว้ชีวิตหล่อนหลังจากนี้” เธอพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของเบลลาทริกซ์พร้อม ๆ กับที่เฮอร์ไมโอนี่สัมผัสได้ถึงแรงบีบที่แขนเมื่อลูเซียส มัลฟอยเอื้อมมือมาจับแขนของเธอไว้
“ฉันคิดว่าฉันได้บอกเธอแล้วนะว่าความอวดดีของเธอจะไม่ได้รับการละเว้นเสมอไป แม้ว่าเธอจะเป็นเจ้าหญิงก็ตาม” เขาพูดเสียงเข้ม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่จ้องหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับพยายามจะบิดแขนของเธอออกจากการเกาะกุมของชายตรงหน้า แต่เธอไม่สามารถทำได้เพราะเขาจับแขนของเธอไว้อย่างแน่นหนาราวกับคีมเหล็ก
“ฉันไม่ได้อยากอวดดีกับคุณ” เธอพูดรอดไรฟันออกมา “แต่ฉันก็ไม่มีทางยอมใส่ชุดที่ต้องเอาชีวิตคนแลกมาแน่นอน” เธอพูดอย่างเด็ดเดี่ยว และสิ่งที่เธอได้รับต่อไปก็คือสายตาที่บ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวของลูเซียส มัลฟอย ชายผมบลอนด์ขบฟันดังกรอดราวกับเขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อระงับอารมณ์ ส่วนทางเฮอร์ไมโอนี่นั้นก็จ้องเขาราวกลับไม่เกรงกลัว แม้ว่าลึก ๆ แล้วเธอจะกลัวมากก็ตามว่าเขาจะโกรธจนสาปเธอ หรือไม่ก็สั่งสอนเธอเหมือนกับที่เขาทำเมื่อคืนนี้ แต่ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ไม่อาจยอมให้พวกเขาทำเรื่องชั่วร้ายอย่างการจับคนบริสุทธิ์มาเพียงเพื่อตัดชุดให้เธอแล้วฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน

ทั้งสองจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งลูเซียสเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น
“เธอไม่ควรทำให้ฉันโกรธ” เขาพูดด้วยเสียงที่เย็นลง “เพราะถึงอย่างไรเธอไม่มีสิทธิ์ขัดขืนฉันอยู่ดี” ชายผมบลอนด์พูดราวกับเขาสามารถบังคับให้เธอทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกรังเกียจเขามากกว่าอะไรทั้งหมด
“เรื่องนั้นฉันรู้ดี” เธอพูด แม้ว่ามันจะเป็นการยอมรับว่าเขามีอำนาจเหนือเธอก็ตาม “แต่คุณก็รู้ดีว่าฉันจะไม่มีวันยอมทำตามพวกคุณ เว้นแต่ว่า.......” เธอหันไปมองมาดามมัลกิ้นที่ตัวสั่นเหมือนลูกนกอยู่แทบเท้าเบลลาทริกซ์
นายลูเซียสมองตามสายตาของเด็กสาวไปก่อนจะเลิกคิ้วราวกับต้องการถามสิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกมา
“เว้นแต่ว่าพวกคุณจะสัญญากับฉันว่าจะไว้ชีวิตมาดามมัลกิ้น” เธอพูดออกมา และในวินาทีต่อมาเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึ ๆ ราวกับต้องการเย้ยหยันเธอของนายมัลฟอย ตามมาด้วยเสียงแหลมของเบลลาทริกซ์
“เธอก็น่าจะรู้ดีนี่นาว่าเราไม่มีนโยบายไว้ชีวิตเชลย แม่หนูน้อย แล้วเราก็ไม่มีทางปล่อยหล่อนไปอย่างแน่นอน” หล่อนมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสายตาดูแคลนราวกับเธอเป็นแค่เด็กอ่อนหัดที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งความมืดเลยแม้แต่น้อย

เมื่อสิ้นคำพูดของเบลลาทริกซ์ร่างของมาดามมัลกิ้นก็สั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร ปากของเธอสั่นระริกราวกับเธอต้องการพูดบางอย่างแต่ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมานอกจากเสียงสะอื้นของเธอ ดวงตาสีน้ำตาลที่ชุ่มไปด้วยคราบน้ำตามองมาทางเฮอร์ไมโอนี่ราวกับเธอเป็นที่พึ่งสุดท้ายของหล่อน ราวกับหล่อนต้องการจะขอร้องให้เด็กสาวช่วยหล่อนให้พ้นจากความตาย
และแน่นอนว่าเธอไม่มีทางใจดำปล่อยแม่มดที่น่าสงสารอย่างหล่อนไปตามยถากรรมได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าหล่อนต้องตายด้วยน้ำมือของผู้เสพความตายหลังจากนี้ หรือร้ายไปกว่านั้นก็คือหล่อนอาจจะถูกเบลลาทริกซ์ทรมานจนเสียสติ
เมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงหันไปเผชิญหน้าผู้เสพความตายทั้งสองอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลของเธอแลดูเด็ดเดี่ยวแม้ว่ามันจะแฝงไว้ด้วยความกลัวก็ตาม
“ฉันรู้ว่าพวกคุณไม่มีทางปล่อยคนที่รู้ที่ตั้งของศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดไป” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น “แต่ถ้าพวกคุณสัญญาว่าจะขังมาดามมัลกิ้นไว้ที่นี่ในฐานะนักโทษโดยไม่ทำอันตรายใด ๆ หล่อน ฉันจะยอมทำตามที่พวกคุณต้องการ”
เมื่อพูดจบเฮอร์ไมโอนี่ได้ยินเสียงเบลลาทริกซ์กรีดร้องขึ้นว่า ‘ ไม่มีทาง ’ แต่ก่อนที่เธอจะได้หันไปสนใจแม่มดผมดำ เด็กสาวก็รับรู้ได้ถึงสายตาคมกล้าของลูเซียส มัลฟอยที่มองมาทางเธอพร้อมกับ ๆ กับแรงบีบที่แขนที่คลายลงมือเขาปล่อยมือจากเธอ
“เราจะสัญญาว่าจะไม่ทำอันตรายเธอ ก็ต่อเมื่อเธอสัญญาว่าเธอจะทำตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง” ชายผมบลอนด์พูดขึ้นโดยเน้นคำสุดท้ายของประโยคอย่างชัดเจน เฮอร์ไมโอนี่กลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจที่แผ่มาจากตัวเขา แม้ว่าเขาจะไม่ทรงอำนาจเท่ากับโวลเดอมอร์ แต่เด็กสาวก็พอแน่ใจได้ว่าเขามีอำนาจเหนือเธอ แม้กระทั่งในตอนที่เธอและเขายังไม่ได้แต่งงานกันก็ตาม
“ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณจะรักษาสัญญา” เธอได้ยินเสียงของตัวเองโต้ออกไปในสิ่งแรกที่เธอนึกขึ้นได้ ลูเซียสยิ้มละไมกับคำพูดนั้น
“ถึงฉันจะเป็นผู้เสพความตายก็เถอะ แต่ฉันก็ยึดมั่นในคำสัตย์ของตนเองมิสซิลเวีย พวกเรามัลฟอยไม่เคยผิดคำพูดของตัวเอง” เขาพูดด้วยท่าทีหยิ่งยโสราวกับเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างไม่มีประมาณที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของตระกูลมัลฟอย
“มันไม่มากพอจะทำให้ฉันเชื่อ” เฮอร์ไมโอนี่พูด ขณะที่ชายผมบลอนด์มองเธอราวกับเธอกำลังสร้างเรื่องยุ่งยากใจให้เขา แต่เขาก็อดทนพอที่จะต่อปากต่อคำกับเธอ
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะเก็บมาดามมัลกิ้นไว้เป็นช่างตัดเสื้อคลุมส่วนตัวเธอตกลงไหม และเธอก็สามารถเรียกหล่อนมาใช้งานได้ตามต้องการภายใต้การดูแลของฉัน” เขาพูดในสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมา และในวินาทีต่อมาเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงเบลลาทริกซ์พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า ‘นี่มันมากไปแล้วลูเซียส’ แต่ดูเหมือนชายผมบลอนด์จะไม่ฟังความเห็นใด ๆ จากพี่สาวภรรยาของเขา สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าที่บอกถึงความสับสนของเด็กสาว
“ตกลงไหมมิสซิลเวีย ฉันว่าที่ฉันให้เธอมันมากกว่าที่เธอสมควรจะได้รับด้วยซ้ำ” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉัน......” เธอมองไปที่มาดามมัลกิ้นซึ่งส่งสายตาอ้อนวอนมาทางเธอ เด็กสาวก็ไม่อาจใจดำไม่ช่วยเหลือเธอได้
“ฉันตกลง” เธอพูด
“งั้นเธอก็ควรสัญญามาว่าเธอจะทำตามคำสั่งของฉันทุกอย่าง” เขาพูดกับเธอด้วยท่าทางวางอำนาจ ราวกับเธอเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ ในความปกครองของเขามากกว่าจะเป็นผู้หญิงที่เขากำลังจะแต่งงานด้วย
เฮอร์ไมโอนี่อึกอักในตอนแรก แต่หลังจากนายลูเซียสส่งสายตาคาดคั้นมาทางเธอแล้วเด็กสาวก็ไม่อาจจะปฏิเสธที่จะพูดประโยคที่เธอไม่อยากพูดออกมามากที่สุดได้

“ได้ ฉันสัญญาว่าฉันจะเชื่อฟังคุณ.......ทุกอย่าง” เฮอร์ไมโอนี่กัดริมฝีปากพูดออกมา และในวินาทีต่อมาลูเซียสก็เชิดหน้าขึ้นในเชิงพออกพอใจ ซึ่งมันทำให้เฮอร์ไมโอนี่หายใจกระตุกและเกิดนึกเสียใจการกระทำของตนเองขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นก็ตามเด็กสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจปล่อยให้มาดามมัลกิ้นถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาได้ พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าถึงเธอไม่ให้สัญญากับนายมัลฟอยในวันนี้เขาก็จะต้องหาวิธีบังคับให้เธอเชื่อฟังเขาอยู่ดีชนิดที่เธอไม่มีทางขัดขืนได้
“ถ้าหล่อนตกลงแล้วก็ดี จะได้วัดตัวตัดชุดกันเสียที!” เสียงของเบลลาทริกซ์ดังขึ้นอย่างร้อนใจ ก่อนที่แม่มดผมดำจะส่งสายตาเกรี้ยวกราดไปยังมาดามมัลกิ้นที่ตัวสั่นเทิ้มอยู่แทบเท้าเธอและขู่ออกมา
“รีบทำงานของหล่อนเร็วเข้าสิ เราไม่ได้มีเวลาทั้งวันสำหรับวัดตัวยายเด็กนี่หรอกนะ” เธอพูดเสียงกร้าว พร้อมกับโบกไม้กายสิทธิ์ทีหนึ่งแล้วอุปกรณ์สำหรับวัดตัวธรรมดา ๆ แบบที่ใช้กันทั่วไปในร้านตัดเสื้อก็ปรากฏขึ้นมา หลังจากนั้นมาดามมัลกิ้นจะหยิบสายวัดตัวขึ้นมาและเดินมาทางเฮอร์ไมโอนี่ทั้ง ๆ ที่ร่างของเธอยังคงสั่นเทิ้มอยู่
“ขอบคุณมากนะหนู” หญิงวัยกลางคนพึมพำกับเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ เด็กสาวพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะลงมือวัดตัวเธอ ขณะที่เธอยืนให้มาดามมัลกิ้นวัดตัวอยู่นั้นเด็กสาวได้ยินเสียงของนายลูเซียสดังขึ้น
“ผมว่าเราคงไม่มีอะไรมากแล้วล่ะ ถ้าคุณมีธุระก็ไปจัดการเถอะเบลลา” เขาพูดกัลเบลลาทริกซ์ที่ทำหน้าเหมือนเด็กเพิ่งถูกแย่งของเล่นไป หล่อนมองเขาด้วยแววตาไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันก็กะว่าจะไปอยู่เหมือนกัน ในเมื่อตรงนี้ไม่มีอะไรให้ทำแล้วนี่ แล้วค่อยพบกันนะลูเซียส” เบลลาทริกซ์บอกพลางพยักหน้าให้กับผู้เสพความตายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งไม่ใช้โดโรลฟัดจ์สามีของหญิงผมดำ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็แน่ใจว่าเธอเคยเห็นหน้าเขามาก่อน
เมื่อสองร่างนั้นออกจากห้องไปแล้วก็เหลือเพียงลูเซียส เฮอร์ไมโอนี่ และมาดามมัลกิ้นที่กำลังวัดตัวของเธอพลางจดสัดส่วนต่าง ๆ ของเด็กสาวลงในกระดาษ ซึ่งมันทำให้เธอรู้ทันทีว่าสายวัดตัวที่มาดามมัลกิ้นใช้นั้นเป็นสายแบบที่ไม่มีเวทย์มนตร์กำกับให้ทำงานเองได้ เพราะเบลลาทริกซ์ไม่เสี่ยงที่จะเสกอะไรก็ตามที่มีเวทย์มนตร์กำกับขึ้นภายในห้องที่มีเชลยของผู้เสพความตามอยู่ถึงสองคนแบบนี้ แม้ว่ามันจะเป็นแค่สายวัดตัวธรรมดา ๆ เท่านั้น
หลังจากวัดตัวเสร็จหญิงร่างท้วมก็เก็บอุปกรณ์พร้อมแผ่นกระดาษที่จดสัดส่วนของเด็กสาวไว้ พลางมองไปทางลูเซียส มัลฟอยอย่างหวาดกลัว

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” เขาถามขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากเงียบไปนาน
“ค.......ค่ะ” หล่อนตอบเบา ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายผมบลอนด์จึงหันมาทางเฮอร์ไมโอนี่
“เสร็จธุระแล้วฉันคงต้องไปก่อน ฉันเห็นว่าเธอยังใส่เสื้อผ้าชุดเมื่อวานอยู่” สายตาของเขาจับจ้องไปยังชุดแบบมักเกิ้ลที่คลุมทับด้วยเสื้อคลุมแม่มดของเด็กสาวพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเกือบจะหงุดหงิด ราวกับการที่เธอใส่ชุดแบบมักเกิ้ลเป็นการทำให้เขาไม่พอใจ
“อันที่จริงในตู้เสื้อผ้ามีเสื้อผ้าที่เธอน่าจะใส่ได้อยู่หลายชุด ฉันให้เวลาเธอสำหรับอาบน้ำแต่งตัวก่อน แล้วอีกครึ่งชั่วโมงฉันจะมารับเธอไปทานอาหารเช้า” เขาพูดเรียบ ๆ แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกได้ถึงความเผด็จการในน้ำเสียงของเขา แน่นอนว่าเด็กสาวรู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ได้เป็นเพียงแค่คำแนะนำเท่านั้น
ทั้ง ๆ รู้ดีว่าเธอไม่มีอำนาจใด ๆ ที่ต่อต้านเขาได้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะเถียงออกไป
“ถ้าฉันปฏิเสธที่จะใส่มันล่ะ” เธอพูดเสียงแข็ง ชายผมบลอนด์หันมาทางเฮอร์ไมโอนี่ ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มอย่างขัน ๆ ในความดื้อดึงของเธอ เขาก้าวเข้ามาใกล้เด็กสาวอีกก้าวก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันคิดว่าฉันเธอคงไม่อยากใส่ชุดมักเกิ้ลซอมซ่อนี่ลงไปทานอาหารเช้ากับพวกเราหรอกนะ อีกอย่างฉันจำได้ว่าเธอเพิ่งบอกฉันเองไม่ใช่หรือว่าเธอจะเชื่อฟังฉันทุกอย่าง” เขาพูดเสียงเย็น เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากจะเถียง แต่เธอกลับหาคำพูดมาโต้เถียงชายตรงหน้าไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้องทุกประการ เว้นเสียก็แต่ที่เขาวิจารณ์ชุดของเธอว่ามันซอมซ่อเท่านั้น
“เธอก็รู้ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ขัดขืนฉันได้ แต่งตัวซะ อีกครั้งชั่วโมงฉันจะมารับ และถ้าถึงตอนนั้นแล้วเธอยังไม่เปลี่ยนชุด.....” เขาหยุดพูดพลางมองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “ฉันแน่ใจว่าฉันจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้เธอเอง”
เด็กสาวหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ซึ่งในครั้งนี้เธอก็ไม่กล้าที่จะโต้เถียงอะไรเขาอีกแล้ว และเมื่อเห็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงเดินออกไปจากห้อง โดยที่ไม่ลืมที่จะคุมตัวมาดามมัลกิ้นออกไปพร้อมเขาด้วย และสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นหลังจากนั้นก็คือภาพใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของมาดามมัลกิ้นตอนที่เธอถูกสวมศีรษะด้วยถุงสีดำ และสายตาเย็นชาของนายมัลฟอยซึ่งมองมาทางเธอก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากทุกคนออกไปจากห้องและประตูได้ปิดลงแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง เด็กสาวรู้สึกราวกับเข่าของเธอหมดแรงขึ้นมากระทันหัน แม้จะคิดมาก่อนแล้วว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเธอหลังจากเธอยอมตกลงแต่งงานกับลูเซียส มัลฟอยนั้นคงจะเลวร้ายมาก แต่เด็กสาวไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะต้องถูกเขาควบคุมเบ็ดเสร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแบบนี้ และสิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็มีแค่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น!

…………………………………………….

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและมองตัวเองสวมชุดของแม่มดสีเขียวเข้มที่เธอเจอในตู้ซึ่งเด็กสาวกลับพบว่ามันดูดีกว่าที่เธอคิดไว้ ผมสีน้ำตาลหยักศกถูกปล่อยมาคลอเคลียไหล่โดยไม่มีการจัดแต่ทรงแต่อย่างใด ราวกับเธอไม่ตั้งใจจะแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยเท่าไหร่นัก และเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นครั้งที่สองเด็กสาวก็มองสำรวจตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปเปิดประตู
แน่นอนว่าร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูเซียส มัลฟอย ดวงตาสีเงินของเขาดูพอใจขึ้นทันทีที่เขาเห็นเด็กสาวอย่างเต็มตา แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีกว่าสิ่งที่ทำให้นายลูเซียสพอใจนั้นไม่ใช่การที่เธอสวมชุดของแม่มดที่ดูดีชุดนี้ แต่เป็นการที่เธอยอมเชื่อฟังและทำตามที่เขาต้องการต่างหาก
“เราไปกันได้หรือยัง” เขาพูดก่อนจะยื่นแขนให้เธอควง เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลังเลก่อนจะยื่นมือออกไปและคล้องแขนของเธอเข้ากับเขา มันทำให้เธอรู้สึกแปลกไม่น้อยที่พบว่าตัวเองกำลังควงแขนอยู่กับลูเซียส มัลฟอย ซึ่งเป็นผู้เสพความตายแนวหน้าของโวลเดอมอร์ และน่าจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลกที่เธอจะยอมญาติดีด้วย แต่ถ้านับเรื่องที่เธอจะต้องแต่งงานกับเขาหลังจากนี้แล้วเด็กสาวก็คิดว่าเรื่องที่เธอกำลังทำอยู่นี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย
นายลูเซียสพาเธอเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างของปราสาทในบริเวณที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยไปมาก่อน เขาพาเธอมาหยุดอยู่ที่ประตูขนาดใหญ่บานหนึ่งซึ่งทำด้วยไม้ที่ดูโบราณและแข็งแรง เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูก่อนจะกระซิบบางอย่างกับเธอ
“ข้างในนั้นเป็นห้องอาหารของพวกเรา นายท่านต้องการจะประกาศเรื่องของเธอ รวมทั้งเรื่องการแต่งงานของเรา ท่านจึงสั่งให้ฉันพาเธอมาทานอาหารที่นี่ ท่านต้องการจะประกาศเรื่องนี้ในตอนอาหารเช้าเลย” เขาพูดขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองนายลูเซียสอย่างไม่อยากจะเชื่อ แค่การบังคับให้เธอเซ็นต์สัญญาแต่งงานมันยังไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาหรือไง! มันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องประกาศเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ให้ผู้เสพความตายทุกคนทราบน่ะ!
แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็เข้าใจว่าทำไมโวลเดอมอร์ต้องการทำเช่นนี้ เพราะการแต่งงานครั้งนี้เท่ากับเป็นการประกาศชัยชนะของเขาที่กำลังจะมีขึ้นในโลกเวทย์มนตร์ และเมื่อพิจารณาว่าเขาใช้เวลาเกือบยี่สิบปีในการตามหาและทำให้เธอมาอยู่ในครอบครองของเขาแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คงจะยินดีไม่น้อยที่จะได้แจ้งแก่ลูกสมุนของเขาว่าเขาได้ครอบครองสิ่งที่เขาเสาะหามานานแสนนานเสียที แถมสิ่งนั้นยังเป็นอาวุธที่สามารถทำให้เขามีชัยชนะในสงครามครั้งยิ่งใหญ่ได้เสียด้วย!
แต่มีสิ่งเดียวที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ก็คือตัวเธอไม่ใช่อาวุธหรือสิ่งของในครอบครองของใคร แต่เธอเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ แม้ว่าทางฝ่ายผู้เสพความตายจะไม่มีวันเห็นเธออย่างที่เธอเป็นก็ตาม
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กสาวจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับนายลูเซียส

“แล้วถ้าฉันปฏิเสธที่จะเข้าไปล่ะ” เธอพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับเขาและเธอเป็นเพียงคู่ควงที่กำลังจะไปงานเลี้ยงเต้นรำด้วยกันแล้วเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
ใบหน้าเรียบเฉยของชายผมบลอนด์เปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาในทันที มือของเขารั้งแขนของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ขณะที่ดวงตาสีเงินของเขาที่กำลังมองเธอนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ฉันคิดว่าเราพูดกันรู้เรื่องแล้วเสียอีกนะ” เขาพูดรอดไรฟันออกมา จากน้ำเสียงและท่าทางบอกได้ไม่ยากว่าเขากำลังโกรธ
“ว่าฉันต้องทำตามที่คุณต้องการทุกอย่าง เรื่องนั้นฉันรู้” เด็กสาวชิงพูด เธอพยายามรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ แม้จะรู้ดีว่าการทำให้ชายตรงหน้าโกรธนั้นไม่อาจนำผลดีใด ๆ มาสู่ตัวของเธอได้เลย
“แต่ฉันไม่อยากเข้าไปจริง ๆ......ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย” เธอพูดประโยคสุดท้ายด้วยเสียงที่แผ่วเบา แน่นอนว่าเธอไม่ได้โง่พอที่จะโกหกเพื่อปั่นหัวเขา แต่เด็กสาวคิดจริง ๆ ว่าเธออาจจะไม่สบายขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้ถ้าหากเธอต้องเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยผู้เสพความตายจำนวนมากห้องนี้ นี่ยังไม่รวมเรื่องที่เธอจะต้องไปเผชิญหน้ากับลอร์ดโวลเดอมอร์เป็นครั้งที่สองอีกด้วย
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่เชื่ออุบายโง่ ๆ ของเธอหรอกมิสซิลเวีย” เขาพูดรอดไรฟันออกมา
“อย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ได้ป่วยหนักพอที่จะเดินไม่ไหว แต่ถ้าเกิดเธอเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันก็จะแน่ใจว่าฉันจะทำทุกวิถีทางให้เธอไปปรากฏตัวต่อหน้าจอมมารตามที่ท่านต้องการให้ได้ แม้ว่าฉันจะต้องอุ้มเธอเข้าไปก็ตาม” นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงบังคับข่มขู่
และเพราะคำพูดนั้นภาพความทรงจำในตอนที่เธอเพิ่งถูกจับมาที่ศูนย์บัญชาการณ์ศาสตร์มืดก็แวบเข้ามาในหัวของเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวจำได้ดีว่าในตอนนั้นเธอถูกนายมัลฟอยอุ้มและเดินไปตามทางเดินมืด ๆ โดยที่ไม่ว่าเธอจะพยายามดิ้นรนสักเพียงใดก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเขาการควบคุมตัวของเชาไปได้ และเพราะเหตุผลบางประการแก้มของเฮอร์ไมโอนี่ก็ร้อนผ่าวเพราะความคิดนั้น แน่นอนว่าเด็กสาวยอมเดินไปสู่เงื้อมมือของโวลเดอมอร์เองเสียดีกว่าที่จะต้องให้เขาคุมตัวเธอไปอย่างเช่นในวันนั้น เพราะเธอไม่ต้องการให้เขาแตะต้องร่างกายเธอในแบบครั้งนั้นอีก แม้จะรู้ดีว่าเธอจะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับเขาในเร็ว ๆ นี้ก็ตาม

“ว่าอย่างไร เธอจะเดินเข้าไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันต้องบังคับเธอ” เขาถามพลางมองเธออย่างเย็นชา จนเด็กสาวรู้สึกอยากจะเสกคาถาใส่ใบหน้ายิ่งยโสของเขาเสีย แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอไม่อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้
นายลูเซียสเลิกคิ้วมองเธอราวกับจะบอกเธอว่าเขากำลังรอเธอให้คำตอบเขาอยู่
“ฉันเดินเข้าไปเองได้” เธอจ้องหน้าเขาพลางพูดออกมา แน่นนอนว่าเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือในประเภทนั้นจากเขาอย่างแน่นอน แม้ว่าเธอจะไม่อยากเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยผู้เสพความตายและที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือมีจอมมารอยู่ด้วยมากเพียงใดก็ตาม
“อันที่จริงถ้าเธอเชื่อฟังฉันตั้งแต่แรกเราก็คงจะไม่เสียเวลาขนาดนี้หรอก” เขากระซิบขึ้นขณะที่กระชับร่างของเธอให้เข้ามาอยู่ใกล้เขาราวกับเธอและเขาเป็นคู่รักแสนหวานที่กำลังจะเข้าไปประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนถึงงานแต่งงานและความรักแสนโรแมนติกของพวกเขา แต่ในคราวนี้เธอไม่โต้ตอบอะไรออกไป เพราะเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่ามันไม่เป็นการดีแต่อย่างใดที่จะไปต่อปากต่อคำกับเขา แม้ว่าเธอจะทำเช่นนั้นมาหลายครั้งแล้วก็ตาม

แต่เด็กสาวก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อเธอรู้สึกถึงลมหายใจของนายลูเซียสเป่ารดอยู่ที่หูเมื่อเขาโน้มตัวลงมากระซิบบางอย่างกับเธอ แต่คราวนี้เขาเข้ามาใกล้เสียจนผมสีบลอนด์ของเขาระลงมาคลอเคลียอยู่ที่บ่าของเธอ
“มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะให้เธอรู้ ว่าในห้องนั้น” เขากวาดสายตาไปยังประตูบานยักษ์เบื้องหน้าของทั้งสอง “มีผู้เสพความตายทุกคนอยู่รวมถึงจอมมารด้วย และในวินาทีที่เธอเดินเข้าไปเธอจะกลายเป็นจุดสนใจของพวกเขาเพราะผู้เสพความตายเกือบทุกคนรู้เรื่องที่เธอเป็นเจ้าหญิงแห่งความมืดแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่ต้องกลั้นหายใจเพราะประโยคสุดท้ายนั้น แต่ชายผมบลอนด์ไม่ได้ให้เวลาเธอสำหรับตกใจมากนักเมื่อเขาพูดต่อ
“ที่เธอต้องทำคือเชิดศีรษะขึ้น และเดินเข้าไปหาจอมมารอย่างสง่างามสมกับที่เธอเป็นทายาทของเรเวนคลอ แน่นอนว่าฉันจะต้องเดินไปคู่กับเธอ และฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะไม่ทำให้ฉันขายหน้าโดยการเป็นลมเข้าระหว่างทาง” เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่สิ่งที่เธอเห็นนั้นมีเพียงใบหน้าของลูเซียส มัลฟอยที่อยู่ใกล้จนเธอรู้สึกตาลาย ดวงตาสีเงินของเขาจ้องมองเธออย่างคาดหวังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูและพึมพำบางอย่างออกมา
“มือแห่งความรุ่งโรจน์” เขาพูด และในวินาทีต่อมาประตูไม้บานใหญ่นั้นก็เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพดานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคนจำนวนมากนับร้อยชีวิต ทุกคนล้วนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทและมีจำนวนหนึ่งที่สวมหน้ากากราวกับภูตผีปกปิดใบหน้าของตนอยู่ คนเหล่านั้นกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่จำนวนแปดโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยอาหารจำนวนมาก นอกจากโต๊ะที่เหล่าผู้เสพความตายกำลังนั่งทานอาหารและพูดคุยกันอยู่นั้นยังมีโต๊ะขนาดใหญ่ตั้งที่อยู่มุมสุดของห้องในบริเวณกลางห้องพอดี และผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรติด้วยท่าทีราวกับราชานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลอร์ดโวลเดอมอร์!

ในวินาทีที่ประตูเปิดขึ้น เสียงพูดคุยภายในห้องก็ค่อย ๆ เงียบลงราวกับเสียงเหล่านั้นรวมตัวกับอากาศและถูกพัดออกจากห้องไปทางประตูบานยักษ์นั่น และในวินาทีต่อมาสายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปยังร่างที่เพิ่งมาใหม่
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าสายตาของผู้เสพความตายทุกคู่ที่มองมาราวกับเข็มแหลมคมที่ทิ่มแทงร่างกายเธอและทำให้เธอรู้สึกขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะ แต่มันก็ยังไม่เลวร้ายเท่าดวงตาสีแดงของโวลเดอมอร์ที่มองเธอข้ามห้องมาด้วยสายตาราวกับงูที่จ้องมองเหยื่อซึ่งมันทำให้เด็กสาวตัวสั่นได้ไม่ยาก และในตอนนี้เธอก็เริ่มเห็นด้วยกับสิ่งที่นายลูเซียสพูดไว้ว่าเธออาจจะเป็นลมในระหว่างทางก็เป็นได้
สิ่งต่อมาที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกคือแรงบีบที่แขนก่อนที่นายลูเซียสจะพาเธอเดินเข้าไปภายในห้อง และนี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวพยายามทำตามที่นายมัลฟอยแนะนำ คือเชิดหน้าขึ้นสูงและเดินเข้าไปภายในห้องอย่างสง่างาม แต่ผลที่ตามมาก็คือเธอกลับรู้สึกหายใจไม่ออกและรู้สึกราวกับเธอกำลังเดินไปสู่ตะแลงแกงก็ไม่ปาน เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่าเธอทำได้ดีหรือไม่แต่เด็กสาวก็รู้สึกดีใจที่เธอไม่เป็นลมไปเสียก่อนเมื่อเธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลอร์ดโวลเดอมอร์พร้อมกับนายลูเซียส

“ข้าไม่คาดว่าเจ้าจะไม่รักษาเวลาแบบนี้นะ ลูเซียส” โวลเดอมอร์เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ และเมื่อเห็นเช่นนั้นนายลูเซียสก็รีบโค้งศีรษะลงต่ำ
“โปรดอภัยให้ข้าด้วยเจ้านาย” เขากล่าวอย่างนอบน้อม เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าสายตาของโวลเดอมอร์จ้องอยู่ที่นายลูเซียสครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนมาที่เด็กสาว
“ยินดีต้อนรับ เจ้าหญิง ข้าหวังว่าเจ้าคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีขณะที่เจ้าอยู่ที่นี่นะ”
เฮอร์ไมโอนี่ก้มหน้าลงต่ำเมื่อเธอรู้สึกว่าดวงตาสีแดงของจอมมารกำลังจ้องมองเธออยู่ และในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกถึงดวงตานับร้อยคู่ที่ทิ่มแทงแผ่นหลังของเธอราวกับเข็มที่แหลมคม แน่นอนว่าจอมมารต้องการคำตอบจากเธอ แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกว่าลำคอของเธอแห้งผากเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมาได้ และสิ่งที่เด็กสาวรู้สึกต่อมาก็คือแรงบีบที่แขนอีกครั้ง แน่นอนว่านายลูเซียสต้องการให้เธอตอบคำถามของจอมมารอย่างนอบน้อม และดูเหมือนคราวนี้เธอไม่อาจจะปฏิเสธที่จะไม่พูดอะไรออกไปได้
“ฉันสบายดี” เธอกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองร่างตรงหน้าเป็นครั้งแรก และสิ่งที่เธอเห็นก็คือร่างสูงของจอมมารที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ใบหน้าเหมือนงูของเขาบอกได้ว่าเขาพอใจกับคำตอบของเธอไม่น้อย และในวินาทีต่อมาจอมมารก็เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะเพื่อมายืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งสอง เขาหันไปทางลูกสมุนนับร้อยของเขาที่กำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ก่อนที่จะยกมือขึ้น ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นนายลูเซียสก็หมุนร่างของเด็กสาวให้หันหลังราวกับเธอเป็นหุ่นเชิดที่เขากำลังบังคับอยู่เพื่อไปฟังสิ่งที่เจ้านายของเขากำลังจะพูด

“ข้ามีเรื่องจะประกาศ” เขาพูด และด้วยคำพูดประกาษิตของเขา เสียงพูดคุยที่แสนจะเบาบางภายในห้องก็หายไปจนหมดสิ้น เปลี่ยนไปเป็นความเงียบที่เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าหากมีเข็มตกเธอคงได้ยินแน่ขณะที่จอมมารกำลังก้าวเดินไปตามแนวกลางของห้อง ดวงตาสีแดงของเขากวาดมองบรรดาลูกสมุนที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะทานอาหารทั้งสองฝั่งก่อนจะพูดขึ้น
“ข้าแน่ใจว่าพวกเจ้าเกือบทั้งหมดคงจะรู้เรื่องที่ข้าได้ค้นหาเจ้าหญิงแห่งความมืดจนพบและจับตัวนางมาที่ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดแห่งนี้แล้ว แต่ข้าต้องการจะประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านั้นข้าอยากแน่ใจว่าพวกเจ้ารู้ว่าทำไมข้าถึงต้องการตัวของเจ้าหญิงคนนี้นัก นางมีสิ่งใดที่พิเศษเหนือแม่มดทั่วไปกันข้า ลอร์ดโวลเดมอร์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงต้องทุ่มเทเวลาเกือบยี่สิบปีเพื่อตามหานาง” จอมมารพูดพลางกวาดตามองลูกสมุนจำนวนนับร้อยคนในห้อง แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมามีเพียงความเงียบเท่านั้น เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินเสียงผู้เสพความตายกลั้นหายใจเมื่อจอมมารเอ่ยชื่อของตนเอง และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังแน่ใจว่ามีผู้เสพความตายหลายคนที่รู้คำตอบที่โวลเดอเมอร์กำลังถามเพียงแต่พวกเขากลัวเกินไปที่จะเอ่ยมันขึ้นมา ราวกับพวกเขารู้ดีว่าการตอบคำถามที่ผิดพลาดอาจจะนำมาสู่บทลงโทษที่น่ากลัวได้
เมื่อไม่มีผู้ใดที่กล้าพอที่จะตอบคำถามนั้น จอมมารจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายเฉลยคำตอบนั้นเสียเองราวกับว่าเขาไม่ได้หวังคำตอบจริง ๆ จัง ๆ จากบรรดาลูกสมุนของเขาอยู่แล้ว

“สหายของข้า” เขาเริ่มพูดด้วยเสียงหวานเชื่อมซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อยในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่ “สาเหตุที่ข้าจำเป็นต้องทุ่มเวลาเกือบยี่สิบปีเพื่อตามหาเจ้าหญิงแห่งความมืดซึ่งในคำทำนายระบุไว้ว่าเป็นทายาทคนสุดท้ายของเรเวนคลอก็เพราะว่าคำทำนายเดียวกันนั้นได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่านางจะเป็นผู้นำชัยชนะมาสู่สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือบางทีมันอาจจะเกิดขึ้นแล้ว” เขาหัวเราะเพราะคำพูดนั้น แล้วเหล่าผู้เสพความตายทั้งห้องก็หัวเราะตามเป็นลูกคู่ กลายเป็นเสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องซึ่งฟังดูราวกับของปีศาจร้ายมากกว่าอะไรทั้งหมด
และเสียงหัวเราะนั้นก็จางหายไปเมื่อจอมมารเริ่มพูดต่อ
“และหากฝ่ายใดได้นางไปครอบครองก็จะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะในสงคราม และนี่เป็นเหตุผลที่ข้ายอมทุ่มเวลาเกือบยี่สิบปีเพื่อตามหาตัวเจ้าหญิงแห่งความมืดผู้นี้ และข้าสามารถพูดได้ว่าข้าอาจจะหานางเจอเร็วกว่านี้ถ้าสมุนของข้าไม่ทำงานพลาดหรือตาแก่ดัมเบิลดอร์ไม่ได้พยายามซ่อนตัวนางไว้จากข้า” น้ำเสียงของโวลเดอมอร์ฟังดูเกรี้ยวกราดขึ้นเมื่อเขาพูดถึงความผิดพลาดในอดีตก่อนที่เสียงของเขาจะเปลี่ยนมานุ่มนวลราวกับแพรไหมเหมือนเดิมเมื่อเขาพูดประโยคต่อไป

“แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปเพราะว่าในตอนนี้ข้าได้นางมาครอบครองแล้ว สหายของข้าทั้งหลาย ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก เจ้าหญิงแห่งความมืด ทายาทคนสุดท้ายของโรวีนา เรเวนคลอผู้ที่จะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะของสงครามครั้งยิ่งใหญ่ เฮอร์ไมโอนี่ ซิลเวีย!!!”

จอมมารประกาศก้องพร้อมกับผายมือมาทางเฮอร์ไมโอนี่ที่ยืนอยู่ตัวสั่นอยู่ข้างลูเซียส มัลฟอย และวินาทีที่จอมมารพูดจบเด็กสาวก็รู้สึกราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทงไปทั่วร่างกายของเธอเมื่อดวงตาทุกคู่ในห้องจ้องมองมาที่เธอ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกหายใจไม่ออก ราวกับว่าเธอกำลังดิ่งลงไปในทะเลสาบลึกที่หนาวเหน็บและไม่มีอากาศสำหรับหายใจ เธอพยายามที่จะเชิดหน้าขึ้นสูงและไม่มองกลับไปยังสายตาที่กำลังมองเธออย่างสนอกสนใจ และร้ายไปกว่านั้นคือมองเธออย่างประเมินพร้อมกับเสียงซุบซิบที่ตามมาราวกับพวกเขาไม่เชื่อว่าเด็กเลือดสีโคลนที่ต่ำต้อยอย่างเธอจะกลายมาเป็นเจ้าหญิงแห่งความมืดได้อย่างไร

เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งเมื่อมือของชายผมบลอนด์เลื่อนมากุมมือที่ชื้นเหงื่อของเธอ ราวกับเขาต้องการปลอบใจเธอ แต่เมื่อเด็กสาวหันไปมองเขาสิ่งที่เธอพบกลับมีเพียงใบหน้าที่เรียบเฉยและดวงตาสีเงินที่เย็นชาซึ่งจ้องเธอตอบกลับมาเท่านั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงสรุปเอาเองว่าการที่นายลูเซียสทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขาต้องการให้กำลังใจเธอแต่อย่างใด แต่เขาเป็นเพราะเขากลัวว่าเธอจะเป็นลมล้มลงไปต่อหน้าทุกคนและให้เขาขายหน้าเสียมากกว่า
เมื่อคิดเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงหันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบหน้าเขา แต่สิ่งต่อมาที่เธอมองเห็นท่ามกลางภาพใบหน้านับร้อยที่กำลังจ้องมองเธออยู่ก็คือใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคยของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนั้นมีผมสีบลอนด์ นัยตาสีเงินและใบหน้าราวกับจะถอดแบบมาจากชายที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ เธอในตอนนี้ เดรโก มัลฟอยนั่นเอง!!!
นี่เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นเดรโกตั้งแต่เธอถูกจับตัวมา อันที่จริงเธอไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่เธอเห็นเขาที่นี่เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าเขาเองก็เป็นผู้เสพความตายคนหนึ่งเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวต้องแปลกใจก็คือสายตาที่เดรโกใช้มองมาทางเธอนั้นมันดูเหยียดหยามราวกับเขารู้สึกเดียดฉันท์เธอ!!! แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่รู้ว่าเมื่อก่อนเดรโก มัลฟอยรังเกียจเธอที่เป็นเลือดสีโคลนเพียงใด แต่ตอนนี้เขาก็น่าจะรู้แล้วว่าเธอเป็นเลือดบริสุทธิ์พอ ๆ กับที่ตัวเขาเป็น แล้วทำไมเขายังคงมองเธอด้วยสายตาเช่นนั้นอีกล่ะ เป็นเพราะว่าเขาไม่อาจยอมรับในเรื่องที่เธอเป็นเลือดบริสุทธิ์ได้หรือว่าเขาไม่พอใจที่เธอกำลังยืนอยู่เคียงข้างพ่อของเขาในที่ที่แม่ของเคยอยู่กันแน่ เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้

ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะคิดอะไรไปได้มากกว่านั้น โวลเดอมอร์ก็ยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้เสพความตายเงียบเสียงลง
“ข้าคิดว่าข่าวดีที่ข้าต้องการจะมาประกาศให้พวกเจ้ารับทราบไม่ได้จบเพียงเท่านี้” จอมมารพูดขึ้น “แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ข้าได้ตัวเจ้าหญิงแห่งความมืดมาอยู่ในกำมือของข้า แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่นางไม่ยอมรับใช้ข้าแต่โดยดี”
สิ้นเสียงของโวลเดมอร์ผู้เสพความตายทั้งห้องต่างกลั้นหายใจพร้อมกันราวกับมันเป็นเรื่องที่อันตรายเหลือเกินในการที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ยอมภักดีต่อจอมมาร เด็กสาวเห็นว่าผู้เสพความตายบางคนถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินเช่นนั้น ส่วนบางคนก็จ้องมองมาทางเธอราวกับพวกเขาแปลกใจอย่างเหลือแสนว่าทำไมเธอยังคงมีชีวิตรอดมาได้ถึงวันนี้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมองมาทางจอมมารด้วยสายตาราวกับพวกมันรอคอยว่าจะมีโชว์สนุก ๆ เช่นการทรมานเธอเกิดขึ้นต่อไปหรือเปล่า
“เมื่อถึงตอนนี้พวกเจ้าคงจะสงสัยว่าข้าจะทำอย่างไรกับนางดีในการที่นางกล้าปฏิเสธไมตรีจากข้า จากลอร์ดโวลเดอมอร์คนนี้!!!” เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราดราวกับเขาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเขามาก่อน
“พวกเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี ทรมานนางจนกว่านางจะยอมรับใช้ข้า หรือสังหารนางเพราะนางปฏิเสธไมตรีจากข้าอย่างนั้นหรือ” จอมมารแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายกับคำพูดนั้น
“แต่นับเป็นโชคดีของนางเหลือเกินที่ข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น อันที่จริงข้าคงจะทรมานหรือไม่ก็สังหารนางไปแล้วถ้าหากคำทำนายไม่ได้ระบุถึงวิธีที่ผู้อื่นสามารถครอบครองอำนาจของนางที่มีผลต่อชัยชนะในสงครามครั้งยิ่งใหญ่ได้เอาไว้” โวลเดอมอร์แสยะยิ้มพลางมองมาทางเฮอร์ไมโอนี่ด้วยรอยยิ้มราวกับปีศาจร้ายก่อนจะพูดต่อ

“คำทำนายได้กล่าวไว้ว่าชายใดที่ได้ครอบครองเจ้าหญิงแห่งความมืดจะได้ครอบครองพลังอำนาจของนางด้วย ดังนั้นข้าจึงเห็นช่องทางที่จะทำให้พลังอำนาจในการชี้ชะตาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของนางมาอยู่ฝ่ายข้าโดยการมอบนางเป็นรางวัลให้กับลูกสมุนของข้าเอง และคนที่ที่ข้ากำลังกล่าวถึงนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาเป็นลูกสมุนที่ซื่อสัตย์ที่สุดคนหนึ่งของข้า และเป็นคนที่พาตัวเจ้าหญิงมามอบให้ข้าได้สำเร็จ ดังนั้นข้าจึงตบรางวัลให้เขาได้แต่งงานกับนางเพื่อที่จะให้อำนาจในการชี้ชะตาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของนางมาอยู่ที่ฝ่ายของข้า! และตอนนี้ข้าขอประกาศให้พวกเจ้าทุกคนรู้ว่าการฉลองที่แท้จริงจะมีขึ้นในอีกหกวันนับจากนี้ซึ่งจะเป็นงานแต่งงานของข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของข้า ลูเซียสกับเจ้าหญิงแห่งความมืด!!!” จอมมารประกาศพร้อมกับเสียงโห่ร้องที่ดังขึ้นกึกก้องราวกับแผ่นดินไหว สายตาทุกคู่ในห้องต่างจับจ้องมาที่เธอและนายลูเซียสพร้อมกับแสดงท่าทียินดีราวกับทั้งสองเป็นสิ่งที่น่าเทิดทูนที่สุดในตอนนี้ เฮอร์ไมโอนี่สาบานว่าเธอเห็นว่าสายตาของผู้เสพความตายจำนวนมากมองเธอด้วยสายตาราวกับเธอเป็นของเล่นชิ้นใหม่ ราวกับเธอเป็นม้าตัวใหม่ที่กำลังจะใช้ขี่เพื่อออกศึกสงครามไม่ได้เป็นมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งอย่างที่เธอควรจะเป็น ในขณะที่ผู้เสพความตายอีกจำนวนหนึ่งก็มองนายลูเซียสด้วยสายตาริษยาราวกับพวกเขายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้มายืนแทนที่ชายผมบลอนด์ในตอนนี้

เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับจะเป็นไข้เมื่อต้องยืนอยู่ท่ามกลางสายตาที่แสดงออกถึงความไม่ประสงค์ดีของเหล่าผู้เสพความตายนับร้อยเช่นนี้ แน่นอนว่าเธอไม่โง่พอที่จะเชื่อว่าลูกสมุนของจอมมารจะเทิดทูนเธอในฐานะมือขวาของเจ้านายที่ยิ่งใหญ่ของพวกมันเพียงเพราะชะตากำหนดให้เธอเป็นเจ้าหญิงแห่งความมืด ตรงกันข้ามเหล่าผู้เสพความตายกลับคิดว่าเธอเป็นอาวุธอันล้ำค่าที่จะนำพวกมันสู่ชัยชนะและความสำเร็จในการครอบครองโลกเวทย์มนต์ พวกมันต้องการใช้อำนาจของเธอเพื่อทำลายคนที่เธอรัก และนั่นทำให้เด็กสาวรู้สึกรังเกียจผู้เสพความตายเหล่านั้นมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ที่เฮอร์ไมโอนี่รังเกียจมากกว่านั้นก็เห็นจะเป็นชายที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างเธอในฐานะคู่หมั้นในตอนนี้ ใบหน้าที่เชิดสูงอย่างยิ่งยโสตามแบบฉบับตระกูลมัลฟอยบอกให้รู้ว่าเขาพอใจกับเกียรติยศที่เขาได้รับในวันนี้เพียงใด ซึ่งมันยิ่งจะทำให้เธอรังเกียจเขามากขึ้น
แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเฮอร์ไมโอนี่เกลียดตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนเฉย ๆ แล้วปล่อยให้นายลูเซียส และผู้เสพความตายคนอื่น ๆ ตักตวงผลประโยชน์จากเธอ เธอไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เมื่อพวกเขาบังคับให้เธอเซ็นต์สัญญาแต่งงานและประกาศการแต่งงานขึ้น ทั้ง ๆ ที่เธอรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้จะนำพาความหายนะอย่างใหญ่หลวงมาสู่โลกเวทย์มนตร์หากโวลเดอมอร์ชนะสงคราม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้นอกจากยอมให้มันเกิดขึ้น หรือมันอาจจะเป็นอย่างที่นายลูเซียสพูดจริง ๆ ก็ได้ ว่าเมื่อโวลเดอมอร์สังหารแฮร์รี่ได้แล้ว คนที่จะต้องรับผิดชอบการตายของเพื่อนรักของเธอนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเธอเอง เป็นเพราะอำนาจของเธอที่ส่งเสริมให้ฝ่ายผู้เสพความตายมีชัยเหนือสงครามและเมื่อถึงตอนนั้นความเสียหายทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมทั้งทุกชีวิตที่ต้องสูญเสียไปในสงครามล้วนเป็นความรับผิดชอบของเธอทั้งสิ้น เธอเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด!!!
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะห้ามน้ำตาอุ่น ๆ ของเธอไม่ให้ไหลอาบแก้มได้ อันที่จริงเด็กสาวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอกำลังจะร้องไห้ แต่เมื่อเธอสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่แก้มทั้งสองเธอก็รู้ว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ และในขณะที่เด็กสาวกำลังจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองนั้นมือใหญ่ของนายลูเซียสก็มากุมมือของเธอไว้เสียก่อน ดวงตาสีเงินของเขาจ้องมองเธออย่างขัดใจราวกับเขาต้องการตำหนิที่เธอทำให้เขาอับอายโดยการแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าผู้เสพความตายทั้งหมดซึ่งมันเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาอยากจะให้เกิดขึ้น

เฮอร์ไมโอนี่คาดว่านายลูเซียสคงจะโกรธหรือไม่ก็ต่อว่าเธออย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้เป็นดังเช่นที่เธอคิดเมื่อเธอพบว่าชายผมบลอนด์เลื่อนมือใหญ่ทั้งสองมากุมใบหน้าของเธอไว้ก่อนจะยกมันขึ้นและจูบเธอที่ริมฝีปากต่อหน้าคนทั้งหมด!

แม้รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นคืออะไรแต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านมันเหมือนเมื่อคราวที่เขาจูบเธอในห้องนอน ตรงกันข้ามร่างกายของเธอกลับอ่อนปวกเปียกอยู่ภายใต้สัมผัสของเขา คราวนี้นายลูเซียสจูบเธออย่างอ่อนโยนและไร้ซึ่งการบังคับ มือใหญ่ของเขาสัมผัสแก้มเนียนของเด็กสาวเบา ๆ เพื่อเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่าเธอร้องไห้ เพราะบัดนี้ทุกคนถูกดึงความสนใจไปที่จูบที่เกิดขึ้นเสียก่อน ท่ามกลางเสียงเชียร์และโห่ร้องของผู้เสพความตายภายในห้องชายผมบลอนด์ก็ถอนริมฝีปากของเขาออก ก่อนจะเลื่อนไปจูบแก้มเธอเบา ๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะละจากใบหน้าของเธอ

เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่านราวกับโดยแดดเผาเมื่อเธอเห็นสายตาของทุกคนในห้องที่มองมาทางเธอและนายลูเซียส มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นหรือมากไปกว่านั้นก็คือความหื่นกระหาย แต่เมื่อเธอลอบมองชายผมบลอนด์ที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ เธอแล้วเธอก็พบว่าเขามีท่าทีปกติแทบจะทุกประการ เขายังคงรักษาท่าทีสุขุมและใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกไปได้ราวกับว่าเธอกับเขาไม่ได้เพิ่งจูบกันต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เธอรู้สึกอึดอัดเหลือเกินกับสายตาที่ของคนทั้งห้องที่มองมาทางเธอ อันที่จริงเธอรู้สึกแย่ยิ่งกว่าก่อนหน้าที่เขาจะจูบเธอด้วยซ้ำ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงมองไปรอบ ๆ ห้องและพยายามที่จะไม่สนใจสายตาที่ที่แสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นของเหล่าผู้เสพความตาย แต่เมื่อเธอกวาดตามองไปที่ประตู เธอก็พบว่าร่าง ๆ หนึ่งกำลังจะเดินออกจากห้องไปและร่าง ๆ นั้นเป็นชายร่างสูงที่มีผมสีบลอนด์เช่นเดียวกับนายลูเซียส แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเดรโก มัลฟอย

เดรโกหันกลับมามองภายในห้องแวบหนึ่งก่อนที่จะเดินออกไป และเพราะสายตาที่มองมาของเด็กหนุ่มนั้นทำให้เฮอร์ไมโอนี่สามารถแน่ใจได้ถึงสาเหตุที่เดรโกมองเธออย่างเดียดฉันท์ทั้งก่อนหน้านี้และในตอนนี้ ซึ่งสาเหตุนั้นมันไม่ได้มาจากเรื่องสายเลือดของเธอหรือความเป็นศัตรูกันระหว่างเขากับเธอแต่อย่างใด แต่ที่เขารู้สึกรังเกียจเธอเป็นเพราะว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับพ่อของเขาและจะมาแทนที่แม่ของเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน
และเมื่อแผ่นหลังของเดรโก มัลฟอยหายลับไปจากห้องอาหารเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เด็กสาวไม่อาจบอกได้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกเช่นนั้น แต่เท่าที่เธอรู้ก็คือเธอไม่ได้อยากให้เดรโกเกลียดเธอด้วยเหตุผลนี้


*************************************************


อ่านจบแล้วช่วยติ-ชมด้วยนะคะ ตอนหน้าจะถึงฉากแต่งงานแล้วค่ะ เอามาลงให้ไม่นานเกินรอแน่ค่ะ ส่วนเรื่องที่จะอัพต่อไปภายในวีคนี้คือ ทาสหัวใจนะคะ ปูเสื่อรอกันได้เลยค่ะ





Create Date : 02 พฤษภาคม 2555
Last Update : 2 พฤษภาคม 2555 9:36:36 น. 1 comments
Counter : 3100 Pageviews.

 
Hi
We are looking for some people that are interested in working from
their home on a part or full-time basis.

If you want to earn $100, $200 or even up to $500 a day, and you
don't mind writing some short opinions up, this is the perfect
opportunity for you!

We work with hundreds of companies such as 20th Century Fox,
Paramount Entertainment, Ford Motor Company, Google and more!
We recruit people to fill 1000s of jobs for companies like this
every year.

Many of these jobs are simple online writing tasks, such as blogging
about a movie that you recently saw, commenting on what your opinion
is of a certain kind of car, proof reading simple documents and more!

//pate2012.writingjob.hop.clickbank.net

These companies are fighting for exposure on the internet and know
the more people blogging about them, means the more exposure they
are going to get, and ultimately the more money they are going to make.

There has been an explosion in the need for online writers,
regardless of skill. These companies are more interested in your
honest genuine opinions when you're writing blog entries about their
company... not if you are a very talented writer.

If you're looking for work, or just want to make some part time
money on the side, please come check out the jobs we have available.

We are currently accepting new members. Sign Up Below.

//pate2012.writingjob.hop.clickbank.net

Sincerely,
Lisa Roberts
Director of HR


โดย: pate2012 IP: 110.164.70.145 วันที่: 5 พฤษภาคม 2555 เวลา:21:40:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.