Group Blog
 
All Blogs
 

เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 37 ทางแยก

***Chapter 37 ทางแยก: Dilemma***
               
Like hate and love
Worlds apart
This fatal love
Was like poison
Right from the start
Like light and dark
Worlds apart
This fatal love
Was like poison
Right from the start
 
October and April – The Rasmus
 
              ขณะที่เดรโก มัลฟอยกำลังสับสนอยู่กับโอกาสและทางเลือกเพิ่งถูกหยิบยื่นให้เขาอยู่นั้น เด็กหนุ่มซึ่งไม่แน่ใจว่าเขานิ่งเงียบไปเป็นเวลานานเท่าไหร่หลังจากที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์อธิบายถึงวิธีเดียวที่สามารถรักษาเขาให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ก็ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาของอีกฝ่ายหนึ่งพูดขึ้น
               “ฉันรู้ว่ามันยากมากที่เธอจะตัดสินใจเรื่องนี้” เสียงที่เป็นของใครไปไม่ได้นอกจากหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านดังขึ้น มันฟังดูระมัดระวังหากแต่หนักแน่น “เธอสามารถใช้เวลาตัดสินใจได้นานตราบเท่าที่เธอต้องการ หลังจากที่เธอตัดสินใจได้แล้วเธอค่อยบอกฉัน....”
              ยังไม่ทันที่เฟรย่าจะได้พูดจนจบ เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ขัดขึ้น เขาเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดหากแต่มันแฝงแววสงสัยเอาไว้
               “ถ้าผมตกลงจะใช้วิธีที่คุณบอกผม” ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเมื่อเขาพูดถึงวิธีการรักษาดังกล่าว ราวกับเขามองว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากกว่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้
               “คุณจะทำพิธีกรรมนี้ให้ผมอย่างนั้นหรือ” เขาถาม ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบที่เคยมองเขาอย่างทิ่มแทงมาหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เขาได้พบกับหล่อนมา หากแต่ในครั้งนี้คนที่เป็นคนส่งสายตาที่ทิ่มแทงไปยังอีกฝ่ายนั้นกลับไม่ใช่หญิงสาวผมดำ หากแต่เป็นเด็กหนุ่มผมบลอนด์ต่างหาก เดรโกมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่เหมือนกับเขาต้องการจ้องมองไปถึงจิตวิญญาณของอีกฝ่าย ราวกับเขาต้องการค้นหาคำตอบจากดวงตาสีน้ำเงินอันลึกลับคู่นั้นว่าถ้าหากเขาตกลงเข้ารับการรักษาดังกล่าวแล้ว เฟรย่าจะยอมลงมือทำพิธีกรรมซึ่งเป็นการช่วงชิงเวทมนตร์ของแม่มดอีกคนหนึ่งมาเพื่อรักษาเขาหรือไม่
              นี่ยังไม่รวมความจริงที่ว่า แม่มดที่ว่าคนนั้นก็คือเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวผู้อยู่ในฐานะทาสของเด็กหนุ่ม แถมเธอยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอีกด้วย!
              และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจถึงถ้อยคำและสายตาที่มัลฟอยพยายามจะสื่อออกมา เพราะเฟรย่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปากตอบเขาออกมา
               “ถูกต้อง คุณมัลฟอย” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
              เดรโกนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งกับคำพูดนั้นก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามออกมาอีกครั้ง ในครานี้สายตาของเด็กหนุ่มที่ใช้มองหญิงสาวตรงหน้ากลับส่อแววคาดคั้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
               “แล้วถ้าเกรนเจอร์ไม่ตกลงล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นหากแต่ฟังดูสั่นเครือเมื่อเขาพูดชื่อผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าเขาไม่ยอม คุณก็จะบังคับเขาอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มถาม หากแต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือสายตาของเฟรย่าที่มองมาที่เขาด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความเห็นใจจนเกือบจะเรียกได้ว่าสงสาร ก่อนที่หล่อนจะตอบคำถามนั้นของเขาออกมา
               “ฉันว่าคนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดก็คือตัวเธอเองนะ ว่าเธอจะใช้ความเป็นเจ้านายของเด็กคนนั้นบังคับให้เขายอมทำตามหรือเปล่า” หญิงสาวผมดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ หากแต่คำพูดนั้นราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงที่ร่างของเดรโก มัลฟอย มันเปรียบเสมือนความจริงที่ทิ่มแทงเขาราวกับมีดเป็นพัน ๆ เล่ม เพราะถึงแม้ว่าเขาจะพยายามปฏิเสธมันเท่าไหร่ในตอนที่เขาได้ล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธีนี้ในตอนแรกก็ตาม แต่ในตอนนี้เด็กหนุ่มก็ไม่อาจจะหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่า ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเขา มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น! ว่าเขาจะตัดสินใจช่วงชิงพลังเวทมนตร์ของเฮอร์ไมโอนี่มาเพื่อรักษาตัวเขาเองให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าหรือไม่!
              เพราะเดรโกรู้ดีว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เด็กสาวก็คงไม่มีวันจะยอมสละสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับเธอให้เขาด้วยความเต็มใจเป็นแน่ และเขาก็คงไม่มีวันยอมขอให้เธอทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
              ดังนั้นหนทางเดียวที่เป็นคำตอบสำหรับการรอดพ้นจากคำสาปของมนุษย์หมาป่าของเขาก็คือการที่เขาใช้ความเป็นเจ้านายบังคับให้เฮอร์ไมโอนี่ยอมเสียสละพลังเวทมนตร์ของเธอให้กับเขา หากแต่ถ้าเขาทำเช่นนั้นลงไปมันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เขาบังคับฝืนใจและทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสดังเช่นที่เขาเคยทำลงไปก่อนหน้านี้เลย! และเมื่อถึงตอนนั้น หลังจากที่เขาบังคับให้เฮอร์ไมโอนี่ยอมเสียสละพลังเวทมนตร์ของเธอเพื่อให้เขารอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปแล้ว แม้ว่าเขาจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้หลังจากนั้น เขาก็คงจะสูญเสียหัวใจของเด็กสาวที่เขาเฝ้าปรารถนาจะได้มาครอบครองไปตลอดกาลเสียแล้ว! เพราะหากว่าเดรโกได้ทำเช่นนั้นลงไปจริง ๆ เฮอร์ไมโอนี่ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถให้อภัยกับเรื่องเลวร้ายที่เขาทำลงไปกับเธอก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ คงจะไม่มีวันให้อภัยเขาหากเขาช่วงชิงสิ่งที่สำคัญยิ่งเฉกเช่นเวทมนตร์ของเธอไป และเมื่อถึงตอนนั้นสายตาอ่อนโยนของเด็กสาวที่เคยมองมาที่เขาอย่างเป็นห่วงเป็นใยก็คงจะแปรเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่แสดงออกถึงความเกลียดชังมากกว่าอะไรทั้งหมดยามจ้องมองเด็กหนุ่มที่เป็นผู้ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธออย่างแท้จริง!
              เดรโกหลับตาลงอย่างปวดร้าวกับความจริงที่ว่าเขาไม่อาจจะเป็นสิ่งอื่นใดให้เฮอร์ไมโอนี่ได้นอกจากคนที่ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอ และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะรู้ว่าเขาไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น เขาก็ไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธข้อเสนอนี้ของเฟรย่าและยอมรับชะตากรรมที่ต้องสาปของเขาแต่โดยดี เพราะในก้นบึ้งหัวใจของเด็กหนุ่มนั้นรู้ดีว่า เขาต้องการคนที่จะมาปลดปล่อยเขาออกจากคำสาปร้ายของการเป็นมนุษย์หมาป่านี้มากกว่าอะไรทั้งหมด และความปรารถนาในข้อนี้อาจจะมากเสียจนใจหนึ่งเขาต้องการให้เฮอร์ไมโอนี่เสียสละเวทมนตร์ของเธอเพื่อเขา! แต่เมื่อเดรโกรู้ถึงความคิดนี้ของเขา เขาก็รู้สึกรังเกียจตัวเองมากกว่าอะไรทั้งหมด เขารังเกียจตัวเองในตอนนี้มากกว่าในตอนที่เขาจินตนาการว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะมนุษย์หมาป่าไปตลอดเสียอีก!!!
              เพราะเดรโกรู้ดีว่า เมื่อมีทางเลือกที่สามารถทำให้เขาหลีกเลี่ยงจากการต้องเดินไปในเส้นทางที่ต้องคำสาปนี้ปรากฏขึ้นมา เขาก็ปรารถนาที่จะเลือกมัน แม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยราคามันมีค่ามหาศาลสำหรับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถปล่อยวางความจริงที่ว่าเขาสามารถหายเป็นปกติไปได้ เพราะลึก ๆ ในสมองของเขามีเพียงความคิดเดียววนเวียนซ้ำไปซ้ำมาหลังจากที่เขาได้ล่วงรู้ถึงหนทางที่เขาจะรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ และความคิดที่ว่านั้นก็คือ ถ้าเพียงแค่เขาสั่งให้เฮอร์ไมโอนี่ยอมเสียสละเพื่อเขา เขาก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติที่มีเธอเคียงข้างต่อไปได้ และเมื่อความคิดชั่วร้ายนั้นผุดขึ้นมาในหัวของเขา มันก็เป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าเขาเป็นปีศาจร้ายที่ช่วงชิงทุกอย่างไปจากเด็กสาวตั้งแต่ก่อนที่เขาจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเสียอีก!
              ไม่เพียงเท่านั้น เดรโกยังต้องยอมรับว่า ตั้งแต่วินาทีที่เฟรย่าอธิบายเงื่อนไขทุกอย่างให้เขาฟังนั้น เขาก็อดคิดไม่ได้ว่านอกจากเฮอร์ไมโอนี่แล้ว จะมีใครที่ทำการเสียสละทางเวทมนตร์นี้ให้เขาได้บ้าง และคนที่เข้าข่ายนั้นก็มีเพียงพ่อหรือแม่ของเขาเท่านั้น แต่เมื่อความคิดของเขาดำเนินมาจนถึงตรงนี้ เดรโกที่เหมือนเพิ่งรู้ว่าความคิดที่อันตรายนี้กำลังครอบงำเขาอยู่ก็รีบลบความเป็นไปได้นั้นออกไปจากหัวในทันที! หากแต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความคิดที่น่ารังเกียจนั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองเขาอย่างยากที่จะกำจัดไปให้พ้น ความคิดที่ว่าเขาต้องการให้ใครสักคนมาเสียสละเพื่อให้เขาพ้นจากคำสาปร้ายที่เขาจะต้องเผชิญ!
               หากแต่ความปรารถนาของเขานั้นมันช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก เพราะถึงแม้ว่าเขาจะสามารถหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้หากการรักษาที่ว่านี้สำเร็จ มันก็เท่ากับเขาส่งผ่านคำสาปในการใช้ชีวิตที่ไร้ซึ่งเวทมนตร์ให้กับพ่อมดหรือแม่มดที่ต้องเสียสละเพื่อเขา ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นใครก็ตาม และเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว แม้ว่าเขาจะสามารถรอดพ้นจากการต้องเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนรังเกียจได้แล้ว ในใจลึก ๆ เดรโกไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าสัตว์ร้ายตัวนี้ได้สิงสู่อยู่ในจิตใจเขาตั้งแต่เขาตกลงยอมรับการรักษาครั้งนี้แล้ว!
              หรือเขาอาจจะกลายเป็นสัตว์ร้ายตั้งแต่ค่ำคืนนั้นที่เขาข่มเหงเฮอร์ไมโอนี่และทำสัญญาทาสเพื่อกักขังเธอไว้กับเขาแล้วก็เป็นได้!
              เด็กหนุ่มลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้าหลังจากที่เขาต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ยังไม่นับอารมณ์หลากหลายที่เขาต้องเผชิญหน้าก่อนหน้านี้อีกด้วย เดรโกซบใบหน้าซีดเซียวลงกับมือใหญ่ของเขา ราวกับเขาต้องการปิดกั้นตัวเขาเองจากความจริงอันโหดร้ายที่เขาต้องเผชิญ เขารู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดขึ้นตามไรผมและไหลอาบแผ่นหลังของเขาพร้อม ๆ กับน้ำหนักของความจริงที่เขาเพิ่งจะเผชิญซึ่งกดทับร่างของเขาจนมันแทบจะแตกสลาย!
              เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ในสภาพนี้นานเท่าไหร่แล้ว เพราะมันดูราวกับผ่านไปชั่วนิรันดร์เมื่อเขารู้สึกว่าร่างสูงของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เคลื่อนกายเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา หากแต่ร่างสูงนั้นไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาราวกับหล่อนกลัวว่าคำพูดเพียงเล็กน้อยของหล่อนจะไปกระทบจิตใจที่บอบบางจนแทบจะแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ของร่างตรงหน้าเข้า
              เดรโกรู้สึกราวกับเวลาหยุดนิ่งในวินาทีที่เขารู้สึกว่าเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้าร่างสูงตรงหน้ารวมทั้งเรื่องราวอันแสนสาหัสทั้งหมดนี้แล้ว และเมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า แววตาสีเงินที่เคยดูสับสนเปลี่ยนมาเป็นเข้มแข็งเท่าที่เขาจะทำได้ เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น
               “ผมตัดสินใจได้แล้ว”
 
              ……………………………………………………………
                             
              เฮอร์ไมโอนี่วางหนังสือที่เธอกำลังอ่านอยู่ลงเมื่อเธอได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูเหล็กซึ่งทำหน้าที่กั้นห้องใต้หลังคาที่เธอต้องมาอาศัยอยู่ชั่วคราวกับส่วนที่เหลือของบ้านดังขึ้น เด็กสาวปิดหนังสือที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำให้เธอสนใจมันอย่างที่ควรจะเป็นก่อนจะหันไปทางต้นทางของเสียงนั้น และอีกไม่กี่อึดใจ ประตูเหล็กบานใหญ่นั้นก็เปิดขึ้นราวกับมีเวทมนตร์ เผยให้เธอเห็นร่างสูงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่กำลังมุ่งตรงมายังเฮอร์ไมโอนี่
              ในวินาทีต่อมา ใบหน้าซีดเซียวของเด็กหนุ่มผู้อยู่ในฐานะเจ้านายของเธอก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของเด็กสาว แม้ว่าปกติมัลฟอยจะมีผิวที่ขาวซีดอยู่แล้ว หากแต่ในตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่กลับคิดว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มดูขาวซีดมากกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็น อีกทั้งเมื่อดวงตาสีเงินที่คุ้นเคยคู่นั้นเงยขึ้นมาสบตาเธอ เด็กสาวก็พบว่ามันดูเศร้าหมองกว่าครั้งไหนก็ตามที่เธอเคยมองสบมัน รวมถึงในยามที่เขาเล่าเรื่องแม่ของเขาและความจริงที่เขาถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายให้เธอฟังด้วย
              และเมื่อเห็นเช่นนั้น อาจจะด้วยสัญชาติญาณหรืออะไรก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็ลุกขึ้นและก้าวไปหาเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่บัดนี้ได้ก้าวขึ้นมาอยู่บนห้องใต้หลังคาแห่งนี้เรียบร้อยและกำลังร่ายคาถาให้ประตูเหล็กเบื้องหลังปิดลง ก่อนที่เขาจะหันกลับมาหาเด็กสาวที่บัดนี้ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว
               “เธอเป็นยังไงบ้าง” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก หากแต่น้ำเสียงของเด็กสาวนั้นแสดงถึงความห่วงใยออกมาอย่างชัดเจน
              เดรโกฝืนยิ้มอย่างสุดความสามารถก่อนที่เขาจะตอบเธอออกมา
               “ฉันไม่เป็นไร” เขาพยายามอย่างมากที่จะทำให้เสียงที่พูดออกมานั้นฟังดูแปลกแปร่งหรือแม้กระทั่งสั่นเทาน้อยที่สุด แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าถึงแม้เขาจะแสร้งทำท่าทีปกติมากกว่านี้ มันก็ไม่อาจจะหลุดรอดสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ไปได้
              และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ เมื่อเด็กสาวตรงหน้าของเขาถามขึ้น
               “เธอแน่ใจนะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นฟังดูกังวลและห่วงใยมากกว่าอะไรทั้งหมด และเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยที่เฮอร์ไมโอนี่ใช้มองเขาแล้วนั้น เดรโกก็ไม่อาจจะตอบอะไรออกมาได้ เด็กหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้าเบา ๆ เท่านั้น
              หากแต่ อาจจะเป็นเพราะคำถามของเด็กสาว หรือสายตาบวกกับท่าทีที่แสดงออกถึงความห่วงใยของเธอ หรือมือของเธอที่เอื้อมมาแตะแขนของเขาอย่างแผ่วเบาก็ตาม มันทำให้เดรโกไม่สามารถจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งอีกต่อไปได้ ใบหน้าเรียบเฉยที่เขาพยายามสวมราวกับหน้ากากที่ใช้ปกปิดอารมณ์ต่าง ๆ ของเขานั้นหลุดรุ่ยอย่างไม่ชิ้นดีเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายสื่อออกมาอย่างชัดเจน และในวินาทีนั้นเอง โดยไม่มีคำเตือนใด ๆ ร่างสูงของเดรโกก็คว้าร่างบางของเด็กสาวมาสวมกอด หากแต่การกระทำในครั้งนี้ของเขาไม่ได้เป็นเพราะเขาต้องการซ่อนความเศร้าหมองจากการผิดหวังในสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดซึ่งก็คือความรักของเด็กสาวจากการรับรู้ของร่างตรงหน้าเพียงเท่านั้น ในครั้งนี้เดรโกเลือกที่จะใช้อ้อมกอดนั้นบดบังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองและความกดดันรวมถึงน้ำตาที่คลอเอ่อดวงตาสีเงินของเขาซึ่งทั้งหมดนี้มาจากการที่มัลฟอยต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากยิ่งในชีวิตของเขาเลยทีเดียว!
              แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อซ่อนความรู้สึกที่ท่วมท้นจนแทบจะครอบงำเขาจากสายตาของผู้หญิงที่เขารักอย่างสุดความสามารถก็ตาม หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังถูกร่างสูงของเด็กหนุ่มกอดรัดอยู่นั้นสามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะท้านที่แผ่นหลังของมัลฟอยเมื่อเขาสะอื้นออกมาอย่างไร้เสียง! และเมื่อเห็นเช่นนั้นแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในฐานะทาสของเด็กหนุ่มรวมถึงรู้ดีว่าเขาเคยทำเรื่องที่เลวร้ายจนเกินจะให้อภัยลงไปกับเธอก็ตาม ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือเล็กของเธอขึ้นลูบแผ่นหลังที่สั่นสะท้านของเด็กหนุ่มผมบลอนด์อย่างปลอบโยน ราวกับว่าเธอต้องการจะบอกเขาว่า เธอจะอยู่ข้าง ๆ เขาตรงนี้และเธอพร้อมจะเผชิญทุกอย่างที่เขาต้องเผชิญไปด้วยกัน
 
              ……………………………………………………………
 
              เดรโกไม่แน่ใจว่าเขาโอบกอดเฮอร์ไมโอนี่อยู่แบบนั้นนานเท่าไหร่ แต่เท่าที่เด็กหนุ่มรู้ มันอาจจะเนิ่นนานจนความเปียกชื้นที่ดวงตาของเขาเหือดแห้งไปเมื่อสติสัมปชัญญะของเขาเริ่มกลับคืนมา และเมื่อเขาแน่ใจว่าเขาสามารถควบคุมสติรวมถึงสีหน้าของเขาได้แล้ว เด็กหนุ่มก็คลายอ้อมกอดออกจากร่างบางของผู้หญิงที่เขารักมากกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้ และเมื่อเขาทำเช่นนั้นเขาก็พบว่าดวงตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายกำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาที่แสดงความห่วงใยระคนสงสัย
              หากแต่เด็กสาวกลับไม่ถามอะไรออกมาแต่อย่างใด เธอเพียงมองเขาอย่างห่วงใยเท่านั้น และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าเขาควรจะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังได้อย่างไรก็ละจากร่างบางนั้นไป เดรโกเลือกที่จะเดินไปนั่งลงบนเตียงราวกับว่าการยืนอยู่ขณะที่พูดคุยเรื่องที่เขากำลังจะเล่าให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ และในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากบอกให้เด็กสาวมานั่งข้าง ๆ เขาอยู่นั้น เธอก็เดินตามเขามาเสียก่อน
              เฮอร์ไมโอนี่เดินตามเดรโกมานั่งลงบนเตียงข้าง ๆ เขาในระยะที่บ่งบอกว่าเธอไม่ได้ต้องการรักษาระยะห่างจากเด็กหนุ่มอีกต่อไป ราวกับว่าเธอไม่ได้คิดว่าการนั่งอยู่บนเตียงกับเด็กหนุ่มผู้เคยทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสมาก่อนนั้นเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับเธอ ราวกับว่าในตอนนี้ความรู้สึกของร่างตรงหน้าและการปลอบใจร่างเขาเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมดสำหรับเด็กสาว และเมื่อเด็กหนุ่มผมบลอนด์เงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลที่อีกฝ่ายใช้มองมาทางเขา เขาก็พบว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง เพราะดวงตาอันแสนจะอ่อนโยนของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังมองมาทางเขานั้นไม่ได้แสดงสิ่งใดออกมานอกจากความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเขา แต่เมื่อเห็นเช่นนั้นมัลฟอยก็กลับรู้สึกขึ้นมา เด็กหนุ่มกลัวว่าแววตาอันแสนอ่อนโยนที่เฮอร์ไมโอนี่ใช้มองเขาในยามนี้จะแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่แสดงออกถึงความรังเกียจแม้กระทั่งหวาดกลัวเมื่อเธอได้รู้ความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา
              แต่ถึงกระนั้นเดรโกก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากบอกเล่าสิ่งที่เขาได้ล่วงรู้จากเฟรย่าให้เธอฟัง รวมถึงการตัดสินใจของเขาก่อนหน้านี้ เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีกว่า ถึงเขาจะไม่บอกเธอในตอนนี้ ไม่ช้าก็เร็วเด็กสาวก็ต้องรู้ความลับที่เขาเก็บงำไว้รวมถึงการตัดสินใจของเขาในครั้งนี้อยู่ดี
              เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นแล้ว และหลังจากที่มองสบดวงตาสีน้ำตาลอันแสนจะอ่อนโยนของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังนิ่งเงียบเพื่อรอฟังเขาอยู่นั้น เดรโกก็เอ่ยปากพูดสิ่งที่เขาจำเป็นต้องบอกเธอออกมาด้วยหัวใจที่เต้นระรัวและริมฝีปากที่แห้งผาก
               “เฟรย่าอยากคุยกับฉันเรื่องการรักษาของฉัน” เขาเริ่มเล่า ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ฟังอย่างตั้งใจ
               “เฟรย่าให้ฉันทำการทดสอบบางอย่างเพื่อทดสอบว่าเชื้อหมาป่าได้กระจายไปทั่วร่างของฉันหรือยัง” ใบหน้าของเด็กหนุ่มบิดเบี้ยวเมื่อเขาต้องเอ่ยถึงการทดสอบที่ว่า ซึ่งมันเปรียบเสมือนการจำลองการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่ารวมถึงความจริงอันไม่รื่นรมย์ที่ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเช่นนั้นทุกคืนวันเพ็ญหากเขาไม่ได้รับการรักษาให้หายจากคำสาปร้ายนี้
              ทางด้านเด็กสาวที่กำลังฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์เล่าอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นั้นก็ดูเหมือนว่าเธอจะสังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากที่เธอเคยเห็นในตัวของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอ มันอาจจะเป็นเพราะเธอเห็นถึงสีหน้าอันซีดเซียวของเขาหรือการที่เขาไม่สามารถพูดประโยคต่อไปออกมาได้ในทันทีนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน แต่เท่าที่เด็กสาวรู้ก็คือ ในวินาทีต่อมา มือเล็กของเธอก็เลื่อนเข้าไปกุมมือใหญ่ที่สั่นเทาของเดรโกไว้พร้อมกับที่เธอส่งสายตาที่แสดงถึงความห่วงใยอย่างไม่มีร่องรอยของความคาดคั้นไปให้เขา
              และอาจจะเป็นเพราะว่าความอบอุ่นจากมือเล็กนั้นเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดเพื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาต่อก็เป็นไปได้ เพราะหลังจากที่เดรโกรู้สึกถึงแรงบีบที่มือใหญ่ของเขารวมถึงความห่วงใยที่แสดงออกมาจากฝ่ายตรงข้ามแล้วนั้น เขาก็รู้สึกว่าเขาสามารถเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังต่อไปได้
               “ถ้าเชื้อยังไม่กระจายไปทั่วร่างของฉัน มันก็คงจะมีหนทางที่พอจะรักษาฉันได้” เขาพูดออกมา และเด็กหนุ่มต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการบังคับน้ำเสียงของเขาไม่ให้ฟังดูสั่นเครือเมื่อเขาพูดประโยคต่อไปที่เด็กสาวข้างกายเขารอฟังอย่างใจจดใจจ่อออกมา
               “แต่มันสายไปเสียแล้ว เชื้อหมาป่าแพร่ไปทั่วร่างของฉันแล้ว และมันก็ไม่มีหนทางใดที่จะรักษาฉันได้แล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความปวดร้าวอย่างแสนสาหัส
               “ฉันต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าหลังจากนี้” เขาพูดประโยคที่ราวกับเป็นคำสาปร้ายในชีวิตของเขาออกมาด้วยความพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่ให้จิตใจของเขาแตกสลายไปเพราะคำพูดนั้น เดรโกได้ยินเสียงเฮอร์ไมโอนี่กลั้นหายใจหลังจากที่เขาพูดจบ หากแต่เด็กหนุ่มกลับไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นสบตาร่างที่บัดนี้อยู่ห่างจากเขาเพียงแค่เอื้อมเท่านั้น และนั่นเป็นเพราะเด็กหนุ่มกลัวที่จะค้นพบว่าแววตาที่แสนจะอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใยของเฮอร์ไมโอนี่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่แสดงออกถึงความรังเกียจเดียดฉันท์เมื่อเธอรู้ว่าเขาจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวหลังจากนี้!
              หากแต่ขณะที่กำลังรอดูท่าทีรังเกียจที่อีกฝ่ายอาจจะแสดงออกมาด้วยหัวใจที่เต้นรัวอยู่นั้น เขากลับต้องแปลกใจเมื่อเขาสัมผัสถึงมือเล็กที่ยกขึ้นมาแนบใบหน้าที่แทบจะแตกสลายไปเพราะความเศร้าของเขา พร้อมกับเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ที่พูดขึ้นว่า
               “ฉันเสียใจด้วยนะ เดรโก” น้ำเสียงนั้นช่างแผ่วเบา หากแต่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าและความห่วงใยเกินกว่าที่เด็กหนุ่มคาดฝันว่าเขาสมควรจะได้รับจากทาสสาวของเขาซึ่งเขาเคยทำร้ายอย่างแสนสาหัสมาก่อนหน้านี้
              อันที่จริงเฮอร์ไมโอนี่มีสิทธิ์ทุกประการที่จะเกลียดชังเขา รวมถึงรังเกียจสิ่งที่เขากำลังจะกลายเป็นเฉกเช่นที่เขาเคยแสดงท่าทีรังเกียจสายเลือดของเธอมาก่อน! หากแต่เดรโกเพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้เอง หรืออันที่จริงเขาอาจจะรู้ความจริงข้อนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะมันถูกแสดงให้เขาเห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า จิตใจของเฮอร์ไมโอนี่นั้นงดงามและสูงส่งเกินกว่าที่จะยอมตกเป็นทาสของความเกลียดชัง ตรงกันข้ามเด็กสาวกลับเลือกที่ห่วงใยและเห็นใจแม้กระทั่งเด็กหนุ่มที่เคยทำเรื่องที่ไม่อาจจะให้อภัยได้ลงไปกับเธอ
              ตรงกันข้ามในยามที่เขาตกต่ำถึงเพียงนี้ เด็กสาวตรงหน้ากลับไม่เลือกที่จะใช้โอกาสนี้ในการแก้แค้นให้เขาต้องเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำลงไปกับเธอ แต่เธอกลับเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาและแสดงออกให้เขาเห็นว่าเธอห่วงใยและเห็นใจกับเรื่องที่เขาต้องเผชิญอยู่ในตอนนี้! และอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็เป็นได้ที่ทำให้เด็กหนุ่มหลงรักเธออย่างที่เขาไม่เคยรักใครมาก่อน เพราะเธอเปรียบเสมือนแสงสว่างในโลกที่แสนจะมืดมนของเขา ความอบอุ่นของเธอช่วยหล่อเลี้ยงให้เขาก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิตของเขาไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งในตอนที่เขากำลังเผชิญสถานการณ์ที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเขาในยามนี้ก็ตาม!
              ความห่วงใยของเฮอร์ไมโอนี่หล่อเลี้ยงให้เขามีกำลังใจพอที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายครั้งนี้ไปได้ หากแต่เด็กหนุ่มก็สงสัยเหลือเกินว่าถ้าปราศจากความอบอุ่นและความห่วงใยจากร่างเล็กนี้แล้ว เขาจะใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาโหดร้ายที่เขาต้องเผชิญต่อไปได้อย่างไร ถ้าหากไม่มีเฮอร์ไมโอนี่อยู่ข้างกายเขาแล้วเขาจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปได้อย่างไร!
              และเมื่อคิดได้เช่นนั้น ว่าเขาคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยปราศจากเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขา เดรโกก็เอ่ยปากถามเธอออกมาราวกับว่าเขายังคงไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ถูกแสดงออกให้เขาเห็นอย่างชัดเจนเท่าไหร่นัก
               “เธอไม่รังเกียจฉันอย่างนั้นหรือ” เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเด็กหนุ่มคิดว่าเขาไม่สมควรได้รับแม้กระทั่งความห่วงใยจากร่างตรงหน้า โดยเฉพาะหลังจากสิ่งที่เขาพูดคุยกับเฟรย่าไปก่อนหน้านี้นั้นทำให้เขารู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเขาไม่คู่ควรกับความรักหรือแม้กระทั่งความห่วงใยของเฮอร์ไมโอนี่เลยแม้แต่น้อย เขาเป็นใครกันที่จะไปคาดหวังความรักจากเด็กสาวคนนี้ เด็กสาวที่มีจิตใจงดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ เด็กสาวที่ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจแม้กระทั่งในตอนที่เขาบอกเธอว่าเขาจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวหลังจากนี้!!!
              ในขณะที่เดรโกกำลังกลั้นใจรอฟังคำตอบจากผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ที่ดังมาจากร่างบางตรงหน้า หากแต่มันไม่ใช่เสียงถอนหายใจด้วยความรำคาญหรือหนักอกหนักใจแต่อย่างใด อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่แน่ใจนักว่ามันบ่งบอกถึงอะไร เพราะสิ่งต่อไปที่เด็กหนุ่มรู้สึกก็คือวงแขนของร่างเล็กที่เข้ามาโอบกอดเขา
              ความอบอุ่นเป็นสิ่งแรกที่เดรโกสัมผัสเมื่อร่างบางของเฮอร์ไมโอนี่โอบกอดร่างสูงของเขาเอาไว้แนบอก แม้ว่าเขาจะไม่ได้คาดหวังการกระทำนี้จากเด็กสาวหลังจากที่เขาบอกเธอว่าเขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าหลังจากนี้ออกไป ถึงกระนั้นมันก็ใช้เวลาไม่นานที่เด็กหนุ่มจะโอบกอดร่างบางตรงหน้าตอบอย่างหนาแน่น วงแขนแข็งแรงของเขาโอบรัดร่างของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักไว้ราวกับมันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงอย่างเดียวของเขาบนโลกใบนี้ และราวกับว่าความอบอุ่นที่เธอมอบให้นั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะนำทางให้เขาก้าวผ่านเหตุการณ์เลวร้ายที่เขาจำต้องเผชิญต่อจากนี้ไปได้!
 
              ……………………………………………………………
 
              เดรโกไม่แน่ใจว่ามันผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วหลังจากที่ทั้งเขาและเฮอร์ไมโอนี่ต่างโอบกอดกันอยู่ แต่สิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มรู้ก็คือเขาปรารถนาที่จะใช้เวลาชั่วนิรันดร์อยู่ในอ้อมกอดของเด็กสาวที่เขารักมากกว่าอะไรทั้งหมด เพราะในตอนนี้ถึงแม้ว่าร่างบางตรงหน้าจะไม่ได้พูดอะไรเพื่อเป็นการปลอบใจเขาจากเรื่องเลวร้ายที่เขาเพิ่งเผชิญหรือจะต้องเผชิญในอนาคตออกมา ก็ตาม แต่แค่อ้อมกอดและความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากร่างเล็กของเธอนั้นก็พูดทุกอย่างออกมาชัดเจนแล้ว เพราะอ้อมกอดของเฮอร์ไมโอนี่ในครั้งนี้นั้นแทบจะไม่ต่างกับตอนที่เธอเข้ามากอดเขาเป็นครั้งแรกหลังจากที่เธอได้ล่วงรู้อดีตอันขมขื่นเรื่องแม่ของเขาเลย และถึงแม้ว่าเด็กสาวจะไม่ได้พูดอะไรออกมา เดรโกก็รู้ดีว่าสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการจะบอกเขาก็คงไม่ต่างจากที่เธอเคยบอกเขาในวันนั้นสักเท่าไหร่นัก
 
               “ฉันแค่อยากให้นายรู้ว่านายไม่ได้อยู่คนเดียว”
 
              ถ้อยคำที่เฮอร์ไมโอนี่เคยพูดกับเขาในครานั้นดังขึ้นในใจของเด็กหนุ่มขณะที่เขานึกย้อนไปถึงเรื่องราวในตอนที่เขาเปิดใจให้เด็กสาวเป็นครั้งแรก และจากจุดเริ่มต้นตรงนั้นเองที่ทำให้เขาเริ่มรู้จักเด็กสาวที่ชื่อเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์มากขึ้น จนกระทั่งเขาตกหลุมรักเธออย่างที่เขาไม่เคยรักใครมาก่อน
              แต่ในตอนนั้นถ้าเพียงแค่เขาเชื่อมั่นในสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่บอกเขามากกว่านี้ ถ้าเขากับเธอหันมาเปิดอกคุยกันดี ๆ หรือถ้าเด็กสาวเชื่อในความรักที่เขามีต่อเธอซึ่งเขาก็ได้สารภาพกับเธอออกไปอย่างตรงไปตรงมาแล้วนั้น เรื่องทั้งหมดก็คงจะไม่เป็นแบบนี้ หากพวกเขารักษาสัญญาที่พวกเขาต่างให้กับอีกฝ่ายไว้ พวกเขาทั้งสองก็อาจจะไม่ต้องมาเจ็บปวดเฉกเช่นนี้ก็เป็นได้!
              ถึงจะรู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะต้องการมากแค่ไหนก็ตาม เขาก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขทุกอย่างได้ พอ ๆ กับที่เขาไม่สามารถหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้หากไม่มีผู้เสียสละพลังเวทมนตร์เพื่อเขา แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เดรโกก็ปรารถนาเหลือเกินว่าเขาจะสามารถเริ่มต้นกับเฮอร์ไมโอนี่ใหม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเป็นคู่รักธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอุปสรรคมากมายขวางกั้นได้ก็ตาม แต่ถ้าหากเด็กหนุ่มสามารถเลือกได้ อย่างน้อย ๆ เขาก็ขอเลือกที่จะไปเริ่มต้นกับเด็กสาวคนนี้ใหม่อีกสักครั้ง
              และเมื่อคิดได้เช่นนั้น โดยไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เดรโกก็ทำตามสิ่งที่หัวใจของเขาเรียกร้องโดยการคลายวงแขนของเขาออกจากร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ และในขณะที่อีกฝ่ายมองเขาอย่างสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรออกมาเด็กหนุ่มก็ก้มลงไปจูบเธอที่ริมฝีปาก
              มันเป็นจูบที่อ่อนโยนมากในความคิดของเด็กสาวที่ก่อนหน้านี้ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา มันช่างอ่อนโยนและหอมหวานเสียจนมันเกือบจะทำให้เฮอร์ไมโอนี่ลืมสัมผัสรุนแรงที่เด็กหนุ่มเคยมอบให้เธอก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น และแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าร่างสูงที่กำลังจูบเธออยู่นั้นเป็นคนเดียวกับเด็กหนุ่มที่เคยทำเรื่องเลวร้ายอย่างไม่น่าอภัยลงไปกับเธอ หากแต่ด้วยเหตุผลบางประการที่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่ามันคืออะไร เธอกลับเลือกที่จะเพิกเฉยต่อความจริงข้อนั้น ตรงกันข้ามหลังจากที่ได้รับรู้ถึงสัมผัสที่หอมหวานจากร่างตรงหน้าแล้ว เธอก็ไม่ลังเลที่จูบเขาตอบอย่างกระตือรือร้น
              เฮอร์ไมโอนี่จูบเดรโกตอบอย่างแผ่วเบาหากแต่หนักแน่นพร้อมกับที่ร่างเล็กของเธอเบียดชิดเข้ามาใกล้ร่างใหญ่ของเด็กหนุ่ม มือเล็กของเธอประคองใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ขณะที่ร่างสูงของเดรโกก็ตวัดแขนมาโอบกอดร่างบางของเฮอร์ไมโอนี่อีกรอบ ก่อนที่เด็กสาวจะตัดสินใจยกแขนขึ้นโอบรอบคอร่างตรงหน้าไว้ซึ่งส่งผลให้ร่างของทั้งสองแนบชิดกันยิ่งขึ้นไปอีก
              เดรโกไม่แน่ใจว่าเขาพวกเขาแลกจูบที่หอมหวานซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นหนักแน่นกันนี้อยู่นานเท่าไหร่ แต่เมื่อเด็กหนุ่มรู้สึกถึงร่างเล็กที่เบียดตัวเข้ามาชิดใกล้ร่างสูงของเขามากขึ้นจนเนินอกของเธอสัมผัสกับแผ่นอกของเขา เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจถอนริมฝีปากของเขาออกมาในทันที และเมื่อเขาทำเช่นนั้นดวงตาสีเงินของมัลฟอยก็สบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่แลดูสับสนกับใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่าย และหลังจากทั้งคู่ได้สูดลมหายใจที่ติดขัดไปจากการแลกจูบอันแสนจะยาวนานของพวกแล้วนั้น เดรโกที่รู้สึกถึงความร้อนรุ่มที่เริ่มก่อตัวขึ้นในร่างกายของเขาก็พูดตัดสินใจขึ้น
               “ฉันต้องหยุดแค่นี้ ไม่อย่างนั้น…….” เขาพูดเพียงเท่านั้นขณะสบตาร่างตรงหน้า และเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเด็กหนุ่มก็รู้ดีกว่าเฮอร์ไมโอนี่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ซึ่งก็คือ แม้ว่าจูบครั้งนี้ระหว่างพวกเขาจะหอมหวานมากแค่ไหนก็ตาม หรืออาจจะเพราะมันหอมหวานยิ่งนักเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาจูบเธอ เขาจำเป็นต้องถอนริมฝีปากออกมาเสียก่อนเพราะถ้าเขาไม่ทำเช่นนั้น เขาอาจจะไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่าการจูบได้
              เป็นเพราะเดรโกเคยให้สัญญากับเฮอร์ไมโอนี่ไว้ว่าเขาจะไม่ล่วงเกินเธออีกหากเธอไม่เต็มใจ และเขาก็ตั้งใจที่จะรักษาสัญญาของเขา แต่เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ เขาจึงเลือกที่จะพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไป
               “ฉันตั้งใจจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ” เดรโกพูดพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขาหมายความตามที่พูดจริง ๆ แต่ถึงเด็กหนุ่มจะมีท่าทีที่จริงจังกับคำพูดของเขาแค่ไหนก็ตาม เด็กสาวตรงหน้าของเขาก็ยังคงไม่ตอบอะไรออกมา แม้ว่าใบหน้าที่แดงก่ำของเฮอร์ไมโอนี่จะแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอก็รู้สึกดีกับจูบในครั้งนี้อยู่ไม่น้อย แต่เด็กสาวก็เลือกที่จะเก็บงำคำพูดของเธอเอาไว้และปล่อยให้อีกฝ่ายสับสนกับสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้
 
              และสาเหตุที่เธอเลือกที่จะทำเช่นนั้นเพราะเฮอร์ไมโอนี่เองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับจูบของพวกเขาในครั้งนี้รวมถึงการที่เดรโกตั้งใจที่จะรักษาสัญญาที่เขาให้ไว้กับเธอด้วย แน่นอนว่าเด็กสาวรู้สึกดีใจไม่น้อยที่เด็กหนุ่มตั้งใจจะทำตามสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับเธอ และเลือกที่จะหยุดเสียก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยไปมากกว่านี้ หากแต่ในใจลึก ๆ แล้วนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องยอมรับว่าเธอไม่ได้ต้องการให้เดรโกหยุดการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเด็กสาวจะรู้ว่าความใกล้ชิดของเขาและเธอในครั้งนี้อาจจะนำไปสู่สิ่งใดก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่าบัดนี้ร่างกายของเธอต้องการสัมผัสของเด็กหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน
              ใช่แล้ว เฮอร์ไมโอนี่ต้องการสัมผัสของเดรโก มัลฟอยแม้ว่าเขาจะเป็นคน ๆ เดียวกับเด็กหนุ่มที่เคยล่วงเกินและขืนใจเธอมาก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าความรุ่มร้อนที่ก่อตัวขึ้นในอกของเธอนั้นมีสาเหตุมาจากการที่เธอปรารถนาสัมผัสจากร่างตรงหน้าเช่นเดียวกัน! และความรุ่มร้อนนี้ก็ดูไม่มีทีท่าจะจางหายไปไหนแม้กระทั่งตอนที่พวกเขาแลกจูบอันแสนจะหอมหวานกันจนเดรโกถอนริมฝีปากของเขาออกไปแล้วก็ตาม ราวกับว่ายิ่งเธอได้สัมผัสร่างตรงหน้ามากเท่าไหร่ เธอกลับต้องการสัมผัสจากเขามากขึ้นเท่านั้น!
              แม้ใจหนึ่งจะรู้ดีว่าเธอไม่ควรจะมีความคิดเช่นนั้นกับเด็กหนุ่มที่เคยล่วงเกินและทำเรื่องเลวร้ายกับเธอมาก่อนก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เธอรู้สึกได้ แท้ที่จริงแล้วเด็กสาวรู้สึกดีกับสัมผัสของเด็กหนุ่มตรงหน้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะนอกจากคืนที่มัลฟอยได้ทำรุนแรงลงไปกับเธอแล้ว สัมผัสของเด็กหนุ่มผู้อยู่ในฐานะเจ้านายของเธอก็มอบความรัญจวนใจให้กับเฮอร์ไมโอนี่ไม่น้อย แม้กระทั่งหลังจากคืนที่เขาได้ใช้กำลังบังคับให้เธอตกเป็นของเขาก็ตาม!
              แต่เพราะในตอนนั้นเด็กสาวไม่รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเดรโก ในตอนนั้นเธอเข้าใจว่าเขาทำเช่นนั้นกับเธอเพื่อลงโทษหรือไม่ก็แก้แค้นเธอแค่เพียงเท่านั้น แต่หลังจากที่เธอล่วงรู้ความจริงที่ว่าเด็กหนุ่มรักเธออย่างแท้จริง เฮอร์ไมโอนี่ที่ยังไม่แน่ใจกับความรู้สึกของเขารวมถึงของตัวเธอเองก็เลือกที่จะป้องกันไม่ให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเกินเลยด้วยการขอให้เขาไม่แตะต้องเธอหากเธอไม่ยินยอมพร้อมใจอีก และดูเหมือนว่าเดรโกก็สามารถรักษาสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับเธอได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยเขาก็แสดงออกมาว่าเขาพยายามที่จะถนอมน้ำใจเธอมากกว่าเมื่อก่อนมากนักดังเช่นที่เขากำลังพยายามทำอยู่ในตอนนี้
              หากแต่หลังจากที่เขาทั้งสองแลกเปลี่ยนคำสัญญาและพยายามที่จะรักษาสัญญาซึ่งกันและกันอยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า สัมผัสของเด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งการใช้อำนาจบังคับนั้นจะเป็นเช่นไรนะ มันจะรู้สึกอย่างไรนะหากเดรโกมอบสัมผัสที่มากกว่าการจูบให้เธอด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนดังที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้
              สัมผัสของเด็กหนุ่มจะเป็นเช่นไรนะถ้าเขามอบมันให้กับผู้หญิงที่เขารักโดยไม่มีความแค้นเคืองหรือการลงโทษแฝงอยู่ด้วย นี่เป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจจะหาคำตอบได้เลยเมื่อร่างตรงหน้าหยุดการกระทำของเขาเพียงเท่านี้ หากแต่ถึงจะยังไม่ได้ลองค้นหาคำตอบนั้นต่อไปก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็พอจะเดาออกว่าสัมผัสของเดรโกยามที่เขามอบบทรักให้ผู้หญิงที่เขารักนั้นคงต้องหอมหวานและรัญจวนใจไม่แพ้จูบระหว่างเขาและเธอที่เพิ่งจะจบลงไปเมื่อครู่เป็นแน่
 
              ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบไปเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นรวมถึงพยายามจะทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอยู่นั้น ทางด้านเดรโกก็มองร่างเล็กของเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความกังวลใจ เขาทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ เขาล่วงเกินเธอเกินไปหรือเปล่าเธอถึงได้นิ่งเงียบเช่นนี้ เด็กหนุ่มคิดอย่างร้อนใจ และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีทีท่าจะพูดอะไรออกมาเสียที เขาจึงตัดสินใจพูดขึ้น
               “เฮอร์ไมโอนี่” เดรโกเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ หากแต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไปมากกว่านี้ มือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ก็เลื่อนมาแตะริมฝีปากของเขาเอาไว้ราวกับเธอจะต้องการสำรวจริมฝีปากบางที่เคยใช้จูบเธอก่อนหน้านี้ ก่อนที่มันจะเลื่อนไปสัมผัสใบหน้าเรียวที่เคยซีดเซียวของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา
              ดวงตาสีเงินที่แลดูสับสนของมัลฟอยสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่มองสำรวจใบหน้าของเขาอย่างค้นหา และในวินาทีต่อมา หลังจากที่แววตาซึ่งปกติเคยมองเขาอย่างอ่อนโยนนั้นมีท่าทีราวกับมันเจอสิ่งที่มันกำลังตามหาแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็หลับตาลงและจูบเขาที่ริมฝีปาก
              มันเป็นจูบที่อ่อนโยนและแสนจะบริสุทธิ์มากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยจูบเธอมา มันเป็นจูบที่เตือนให้เขานึกถึงจูบที่เฮอร์ไมโอนี่มอบให้เขาในค่ำคืนนั้นก่อนที่เธอจะหนีไป หากแต่ในครั้งนี้มันต่างจากครานั้นมาก เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีกว่าเด็กสาวไม่ได้ต้องการใช้สัมผัสของเธอมาล่อลวงเขาอย่างเช่นในวันนั้น ตรงกันข้ามนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เข้ามาจูบเขาก่อนด้วยความต้องการของเธอเอง
              ถึงแม้ว่าจะรู้สึกพอใจกับการกระทำของเด็กสาวตรงหน้าเพียงใดก็ตาม แต่เดรโกกลับเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมาก่อน แววตาสีเงินที่แลดูสับสนมากกว่าก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่แสดงออกถึงความแปลกใจของร่างเล็กตรงหน้า
               “เธอ......” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก “เธอเคยบอกฉันเองว่าเธอไม่อยากให้ฉันล่วงเกินเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจไม่ใช่เหรอ” เดรโกถามออกไป หากแต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็คือแววตาสีน้ำตาลที่แลดูหนักแน่นของฝ่ายตรงข้ามราวกับว่าเธอได้ตัดสินใจในสิ่งที่เธอกำลังจะพูดต่อไปนี้มาดีแล้วก่อนที่จะพูดมันออกมา
               “ฉันไม่ได้ไม่เต็มใจ” เด็กสาวเอ่ยถ้อยคำนั้นออกมาท่ามกลางสีหน้าที่งุนงงของฝ่ายตรงข้าม ราวกับเขาไม่แน่ใจว่าเขาฟังคำพูดนั้นผิดเพี้ยนไปจากที่มันควรจะเป็นหรือเปล่า หากแต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่รู้สึกแปลกใจในท่าทีของเดรโกเสียเท่าไหร่นัก อันที่จริงแล้วเด็กสาวเองก็ยอมรับว่าเธอแปลกใจกับการกระทำของตัวเองในครั้งนี้ไม่น้อยทีเดียว
              เพราะที่จริงแล้วเธอไม่ควรที่จะเรียกร้องหรือแม้กระทั่งต้องการสัมผัสที่มาจากเด็กหนุ่มตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเป็นคนเดียวกับคนที่เคยลงมือข่มเหงและช่วงชิงทุกอย่างไปจากเธอ แต่ถึงแม้สมองส่วนเหตุผลจะบอกเธอเช่นนั้นก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่สามารถละเลยความปรารถนาที่ก่อตัวอยู่ในอกของเธอได้ อีกทั้งสิ่งที่เด็กสาวรู้สึกไม่ใช่ความร้อนรุมของไฟปรารถนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่มันคือความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปจนแม้กระทั่งตัวเธอเองก็ยากที่บอกได้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงเลือกที่จะพูดถ้อยคำเช่นนั้นออกไป
 
              มันเป็นเพราะเธอสงสารเขาอย่างนั้นหรือ ความคิดแรกผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเธอพยายามจะหาคำตอบให้กับการกระทำที่แปลกประหลาดของตัวเอง แน่นอนว่าเธอเห็นใจเด็กหนุ่มเป็นอย่างมากที่เขาจะต้องมาเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้หากแต่การตัดสินใจในครั้งนี้ของเธอมันไม่ได้มาจากความสงสารเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเป็นแน่ เพราะถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะสงสารเดรโกมากเพียงใดก็ตาม เธอก็คงจะไม่ยอมมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเด็กหนุ่มเพียงเพราะเธอสงสารเขาเพียงอย่างเดียวแน่
              หรือเป็นเพราะเธอรักเขาอย่างนั้นหรือ ความคิดต่อมานั้นผุดขึ้นมาในหัว แต่เธอก็รีบปฏิเสธมันอย่างรวดเร็วเสียกว่าตอนที่เธอปฏิเสธว่าเธอต้องการสัมผัสจากเด็กหนุ่มเสียอีก เพราะมันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้ เธอไม่มีทางตกหลุมรักเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยได้พอ ๆ กับที่เธอไม่สามารถลืมเรื่องราวที่เขาเคยทำลงไปกับเธอได้อย่างแน่นอน สิ่งที่เธอรู้สึกในตอนนี้นั้นไม่มีทางเป็นความรักไปได้ เพราะเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเธอคงไม่สามารถรักผู้ชายที่กักขังเธอไว้เพื่อเป็นทาสของเขาได้แม้ว่าเขาจะทำลงไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม
               ‘ หรือจะเป็นเพราะเธออยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หากเธอหรือเดรโกไม่เป็นฝ่ายหยุดมันเสียก่อน ’
              การไตร่ตรองของเฮอร์ไมโอนี่วนเวียนอยู่ที่เหตุผลประการที่สามนานกว่าข้ออื่น ๆ ที่เธอเลือกจะลบมันไปตั้งแต่มันเริ่มปรากฎขึ้นมาในหัวสมองของเธอ แน่นอนว่าเธอไม่ได้ต้องการจะจูบมัลฟอยต่อเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นอย่างเดียวเท่านั้น แถมความอยากรู้นั้นอาจจะไม่จำเป็นเสียด้วยซ้ำเพราะเด็กสาวรู้อยู่แล้วว่าถ้าหากทั้งสองแลกจูบที่หอมหวานกันต่อไป เรื่องราวของพวกเขาจะไปลงเอยที่ใดเพราะเธอเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาแล้ว แม้ว่าประสบการณ์ดังกล่าวจะไม่น่าจดจำและปราศจากความอ่อนโยนหอมหวานดังที่เธอได้สัมผัสเมื่อครู่นี้มากก็ตาม
              และด้วยเหตุนี้เองที่เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเหตุผลประการนี้น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ต้องการจะให้เดรโกรวมถึงตัวเธอเองหยุดการกระทำเมื่อครู่ลง เพราะถึงแม้เธอจะเคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเด็กหนุ่มตรงหน้ามาแล้วก็ตาม แต่บทรักของเขาก่อนหน้านี้นั้นมันช่างเต็มไปด้วยความรุนแรง การครอบครอง และการลงโทษอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่หวังว่าเธอจะไม่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นนั้นอีกในชีวิตของเธอ หากแต่ในครั้งนี้มันช่างต่างจากทุกครั้งที่เธอเคยประสบมา อีกทั้งเดรโกก็ยังดูห่วงใยความรู้สึกของเธอมากกว่าอะไรทั้งหมด เขาเลือกที่จะหยุดเพราะกลัวว่าการทำอะไรที่เกินเลยจะเป็นการผิดสัญญาที่เขาให้ไว้กับเธอลงไป และเมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าหากเธอรักษาสัญญาที่เธอเคยให้กับเขาไว้ก่อนที่เธอจะหนีเขาไปแล้วล่ะก็ สัมผัสของเดรโกที่มีให้เธอนั้นก็จะหอมหวานและรัญจวนใจไม่ต่างจากที่เขามอบให้เธอก่อนหน้านี้หรือไม่ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่าสัมผัสที่เด็กหนุ่มมอบให้เธอในฐานะคนรักนั้นจะให้ความรู้สึกอย่างไรกันนะ และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เด็กสาวจึงไม่อยากให้เขาหยุดการกระทำก่อนหน้า เพราะเธอเองก็ต้องการที่จะล่วงรู้เหมือนกันว่าถ้าเธอปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วเรื่องราวของพวกเขาจะดำเนินไปอย่างไรกัน
 
              และอาจเพราะด้วยเหตุนี้ เฮอร์ไมโอนี่จึงเลือกที่จะตอบเด็กหนุ่มตรงหน้าออกไปเช่นนั้น แต่เธอก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความแปลกใจจนแทบจะเรียกได้ว่าสับสนของอีกฝ่ายยามที่เธอพูดถ้อยคำนั้นของเธอออกมา และอาจจะเป็นเพราะว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าของเธอรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเด็กสาวเป็นอย่างมาก เขาจึงตัดสินใจพูดถ้อยคำต่อไปออกมา
               “เธอแน่ใจเหรอ” คำพูดนั้นดังออกมาจากริมฝีปากบางของเดรโกอย่างแผ่วเบาราวกับเด็กหนุ่มเองก็ยังไม่แน่ใจในสิ่งที่เขาเพิ่งจะพูดออกมา
              แน่นอนว่าเดรโก มัลฟอยแทบไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มปรารถนาที่จะให้เด็กสาวเป็นของเขาด้วยความเต็มใจของเธอเอง หากแต่เมื่อความปรารถนาที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจของเขากลายเป็นจริงขึ้นมาหลังจากที่เขาต้องเผชิญความผิดหวังนานัปประการมาก่อนแล้วนั้น มันเลยทำให้เดรโกรู้สึกประหลาดใจกับโชคของเขาในครั้งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
              จริง ๆ แล้วเด็กหนุ่มไม่คิดว่ามันเป็นแค่โชคดีด้วยซ้ำ เพราะการที่เฮอร์ไมโอนี่ยอมเปิดใจให้เขา หรืออย่างน้อย ๆ การที่เธอแสดงออกมาว่าเธอไม่รังเกียจสัมผัสของเขาเหมือนอย่างที่เคยแล้วนั้นเปรียบเสมือนเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตที่แสนจะมืดมนของเดรโกก็ไม่ปาน เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีอยู่เต็มอกว่า นอกจากความปรารถนาที่จะหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่า และการได้หัวใจของเด็กสาวตรงหน้ามาครอบครองแล้วนั้น ยังมีอีกความปรารถนาหนึ่งที่เขาต้องการอย่างสุดหัวใจ นั่นก็คือการได้กลับไปเริ่มต้นใหม่กับเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง และการที่พวกเขาสามารถเป็นแค่คู่รักธรรมดา ๆ แทนที่จะต้องอยู่ในสถานะเจ้านายและทาสเฉกเช่นทุกวันนี้
              ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาไม่สามารถย้อนเวลาเพื่อกลับไปเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ รวมถึงไม่สามารถลบล้างสัญญาทาสที่เขาได้ทำไว้กับเฮอร์ไมโอนี่ได้ก็ตาม แต่เมื่อเดรโกได้รับการหยิบยื่นโอกาสที่จะแสดงความรักที่เขามีต่อผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดออกมา เด็กหนุ่มก็ไม่ลังเลที่จะไขว่คว้ามันเอาไว้
              และเมื่อเขาเห็นว่าร่างตรงหน้าพยักหน้าในเชิงตอบคำถามที่เขาเพิ่งถามออกไปด้วยหัวใจที่เต้นรัวแล้วนั้น เดรโกก็รู้ทันทีว่าเขาได้รับโอกาสดังกล่าวแล้ว!
 
              หลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าตอบรับคำถามของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ได้ไม่นานนัก มือใหญ่ของเดรโกก็เลื่อนมาสัมผัสแก้มเนียนของเด็กสาวเอาไว้ เขาประคองใบหน้าเรียวของเธอไว้ในมือใหญ่ของเขาอย่างทะนุถนอมราวกับว่าเธอเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขา ก่อนที่เขาจะก้มลงจูบริมฝีปากสีกุหลาบนั้นอย่างแผ่วเบาราวกับเรากลัวว่ามันจะช้ำเพราะสัมผัสของเขาเอง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เองก็จูบตอบเขาอย่างอ่อนโยนเช่นกัน
              หลังจากรับรู้ถึงการตอบสนองของอีกฝ่ายแล้ว เดรโกก็เปลี่ยนจูบที่แสนจะอ่อนโยนของเขาให้หนักแน่นมากขึ้นหากแต่ยังคงความอ่อนโยนเอาไว้ เด็กหนุ่มค่อย ๆ สำรวจริมฝีปากสีกุหลาบของร่างตรงหน้าอย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาจะสอดลิ้นเข้าไปควานหาความหอมหวานในปากของเฮอร์ไมโอนี่พร้อมกับรั้งร่างบางเข้ามาแนบชิดกับร่างสูงของเขามากขึ้น
              ทั้งสองแลกจูบอันแสนจะล้ำลึกกันอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งรู้สึกต้องการอากาศหายใจ ทั้งสองจึงละใบหน้าออกจากอีกฝ่ายไปชั่วครู่ พร้อมกับหอบหายถี่ราวกับพวกเขาต้องการระบายความร้อนรุ่มที่อยู่ในอกออกมา เดรโกพินิจใบหน้าขึ้นสีของเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่แสดงความรักที่มีต่อร่างตรงหน้าออกมาอย่างชัดเจนก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้น
               “ถ้าเธอต้องการให้ฉันหยุด เธอแค่บอกฉันนะ” เขาเอ่ยเพื่อความแน่ใจ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถยับยั้งตัวเองได้หรือไม่หากเฮอร์ไมโอนี่ต้องการให้เขาหยุดกลางคันหลังจากที่ทุกอย่างเลยเถิดไปมากกว่านี้แล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็จะพยายามทำเช่นนั้น และการที่เขาตัดสินใจพูดออกมานี้เป็นเพราะเขาต้องการให้ความมั่นใจกับร่างตรงหน้า รวมถึงย้ำเตือนกับตัวเองด้วยว่า เขาต้องคำนึงถึงความรู้สึกของเฮอร์ไมโอนี่มากกว่าอะไรทั้งหมด และแน่นอนว่าต้องมากกว่าความต้องการของเขาเอง เพราะตอนนี้เดรโก มัลฟอยได้เรียนรู้แล้วว่า เขาไม่สามารถเป็นเจ้าของเด็กสาวตรงหน้าอย่างแท้จริงด้วยการใช้กำลังบังคับแต่อย่างใด ตรงกันข้ามสิ่งที่จะทำให้เขาได้หัวใจหรืออย่างน้อยก็ได้รับความไว้วางใจจากเฮอร์ไมโอนี่มาคือการรับฟังและให้ความสำคัญต่อความต้องการของอีกฝ่ายมากกว่าความต้องการของตัวเขาเอง
และสิ่งที่เดรโกได้รับกลับมาจากการกระทำของเขาในครั้งนี้ก็คือรอยยิ้มน้อย ๆ จากร่างตรงหน้าพร้อมกับการพยักหน้าในเชิงที่บ่งบอกว่าเธอพอใจกับสิ่งที่เขาพูดเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อเขาเห็นว่าร่างตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น เดรโกจึงก้มลงไปจูบริมฝีปากอิ่มของเฮอร์ไมโอนี่ก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาแนบชิดร่างสูงของเขาอีกครั้งพร้อมกับที่เขาร่ายคาถากันรบกวนและร่ายมนตร์เพื่อให้ไฟในห้องดับลง
 
 
              ……………………………………………………………
 
 
              หลังจากที่ไฟในห้องดับลงพร้อมกับที่เขาจูบร่างบางที่บัดนี้เข้ามาแนบชิดกับร่างสูงของเขาจนพอใจแล้วนั้น เด็กหนุ่มก็ถอนริมฝีปากออกมาก่อนจะลงมือถอดเสื้อคลุมของเขาออกและโยนมันลงบนพื้น ก่อนที่เขาจะจัดแจงวางไม้กายสิทธิ์ที่เขาเพิ่งใช้มันร่ายคาถาเมื่อครู่ไว้ที่โต๊ะข้างเตียงให้เรียบร้อยแล้วจึงหันมาสนใจร่างบางของเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง
              แม้ว่าแสงจันทร์ในคืนนี้จะมืดสลัวจนแสงของมันแทบจะไม่เล็ดลอดเข้ามาในห้องใต้หลังคาที่ทั้งสองกำลังอาศัยอยู่แห่งนี้เลยก็ตาม แต่เค้าหน้างามของเฮอร์ไมโอนี่ที่ปรากฏขึ้นภายใต้แสงสลัวในห้องก็เพียงพอแล้วสำหรับเดรโก แม้ว่าเขาปรารถนาจะเห็นใบหน้าที่บัดนี้น่าจะขึ้นสีด้วยความเขินอายของเด็กสาวมากเพียงใดก็ตาม เด็กหนุ่มก็คิดว่าการปิดไฟนั้นน่าจะเหมาะสมและคงจะทำให้เฮอร์ไมโอนี่สบายใจมากกว่า เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเคยร่วมรักกับเด็กสาวผู้อยู่ในฐานะทาสของเขามาแล้วก็ตาม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมาแต่อย่างใด เขาต้องการให้มันพิเศษและต้องการให้เธอรู้สึกตะขิดตะขวงใจน้อยที่สุด ราวกับว่าเขาต้องการจะกลับไปแก้ไขทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบทรักในครั้งแรกของพวกเขาด้วยเรื่องราวในค่ำคืนนี้ และเหตุผลอีกประการที่เขาตัดสินใจทำเช่นนี้ก็คือ เขาไม่ต้องการให้เฮอร์ไมโอนี่เห็นผ้าพันแผลของเขาหรือสิ่งใดที่ตามซึ่งมันจะทำให้เธอนึกถึงความจริงที่ว่าเขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าต่อจากนี้
              แม้ว่ามันจะฟังดูเป็นความคิดที่โง่เง่ามากก็ตาม เพราะเด็กสาวเองก็เคยทำแผลมาให้เขามาหลายต่อหลายครั้งรวมถึงเธอเองก็รู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาต่อจากนี้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เด็กหนุ่มผู้อยากจะให้ทุกอย่างในค่ำคืนนี้เป็นสิ่งที่พิเศษสมกับที่เฮอร์ไมโอนี่ยอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขาด้วยความเต็มใจจึงเลือกที่จะตัดความเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่ความกระอักกระอ่วนของบทรักที่กำลังจะเกิดขึ้นของพวกเขาออกไปเสีย
              และถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเห็นใบหน้างามที่เขาหลงรักได้เต็มตาหลังจากที่เด็กหนุ่มตัดสินใจดับไฟในห้องลงก็ตาม แต่เดรโกก็คิดว่าการได้สัมผัสผิวเนียนนุ่มของร่างตรงหน้านั้นสำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด และในค่ำคืนนี้ หากทุกอย่างดำเนินไปโดยไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ เขาก็ตัดสินใจจะสัมผัสรวมถึงจูบทุกตารางนิ้วบนร่างเนียนของเฮอร์ไมโอนี่อีกด้วย!
              เบื้องหลังการตัดสินใจนั้นของเด็กหนุ่มมีเหตุผลแฝงอยู่มากไปกว่าความต้องการที่จะสัมผัสผิวเนียนนุ่มของเฮอร์ไมโอนี่แต่เพียงเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วที่มัลฟอยตั้งใจจะทำเช่นนั้นเป็นเพราะเขาต้องการที่จะใช้โอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้อย่างไม่คาดฝันในครั้งนี้แก้ไขเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนแรกที่พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเด็กหนุ่มได้แต่คาดหวังว่าถ้าเขามอบความสุขให้เฮอร์ไมโอนี่ได้มากพอ มันอาจจะทำให้ความทรงจำที่เลวร้ายซึ่งเขาเคยทำไว้กับเธอลบเลือนไปสักนิดก็เป็นได้
              เมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโกจึงก้มลงไปจูบร่างบางตรงหน้าอีกครั้งหลังจากที่เขาถอดเสื้อนอกของตัวเองออก และเฮอร์ไมโอนี่เองก็ตอบรับการจูบของเขาด้วยการตวัดแขนเข้าโอบรอบคอเขาเพื่อรั้งใบหน้าของเด็กหนุ่มให้เข้ามาใกล้มากขึ้นราวกับว่าเธอเองก็โหยหาความหอมหวานจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอด้วยเช่นกัน หากแต่เดรโกเลือกที่จะไม่ประทับรอยจูบของเขาแค่ที่ริมฝีปากอิ่มสีกุหลาบคู่นั้นเพียงเท่านั้น ตรงกันข้ามหลังจากที่เขาจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่ริมฝีปากจนพอใจแล้ว เขาจึงเลื่อนริมฝีปากของเขาไปที่แก้มเนียนของเด็กสาวก่อนจะไล้มันไปตามขากรรไกรเรื่อยมาจนถึงลำคอระหงของเธอ
              เฮอร์ไมโอนี่กลั้นหายใจเมื่อเดรโกสัมผัสซอกคอขาวผ่องของเธอด้วยริมฝีปากของเขา มือเล็กที่เคยโอบรอบคอเด็กหนุ่มบัดนี้กลับไล้ไปตามเส้นผมสีบลอนด์ราวกับเธอต้องการระบายความรัญจวนใจที่ได้รับขณะที่เด็กหนุ่มสำรวจทุกซอกมุมของลำคอระหงนั้นด้วยริมฝีปากของเขา แต่เมื่อเด็กหนุ่มพยายามจะพรมจูบลงมาต่ำกว่านั้นเขาก็พบว่าเสื้อผ้าของเด็กสาวเป็นอุปสรรคขวางกั้นเขาอยู่
              เมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกจึงเลื่อนมือไปยังกระดุมเสื้อเชิ้ตของเฮอร์ไมโอนี่แทน แต่ก่อนที่เขาจะลงมือปลดกระดุมเม็ดแรกออกนั้น เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอท่ามกลางแสงสลัวในเชิงขออนุญาต และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีทักท้วงอะไรออกมา เขาจึงค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ของเด็กสาวรวมถึงของตัวเขาเองออกพร้อมกับพรมจูบไปที่แก้มของเธออย่างแผ่วเบา
              ในไม่ช้าเสื้อเชิ้ตของเฮอร์ไมโอนี่ก็ถูกปลดออก ตามมาด้วยกางเกงของเธอรวมถึงของเขาด้วย และในไม่ช้า หลังจากที่พวกเขาต่างกำจัดอาภรณ์ที่ปิดกั้นผิวเนื้อของอีกฝ่ายออกจนพอใจแล้ว ร่างสูงของเดรโกก็รั้งร่างบางของเฮอร์ไมโอนี่ลงบนเตียง ดวงตาสีเงินของเด็กหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรักเมื่อเขารั้งร่างบางนั้นลงบนที่นอนด้วยหัวใจที่เต้นรัวแรงราวกับว่าเขากลัวว่าเด็กสาวจะเอ่ยปากปฏิเสธหรือบอกให้เขาหยุดการกระทำของเขาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง หากแต่สิ่งที่เดรโกกลัวว่าจะได้ยินนั้นกลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกมา แม้ยามที่ร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่เอนลงบนเตียงนอนเบื้องหน้าเขาพร้อมกับที่ผมสีน้ำตาลของเธอแผ่สยายไปทั่วหมอน
              เดรโกมองภาพตรงหน้าอย่างหลงใหล ซึ่งมันเป็นภาพดวงหน้างามของเฮอร์ไมโอนี่ที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางเรือนผมดกหนาสีน้ำตาลของเธอ หากแต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนเครื่องหน้านั้นซึ่งมันได้เกาะกุมหัวใจของเขาเอาไว้ในค่ำคืนนี้ก็คือดวงตาสีน้ำตาลที่ปรกติจะมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน แต่บัดนี้มันกลับลุกโชนด้วยไฟปรารถนา และในยามที่เด็กหนุ่มสบดวงตาคู่สวยที่บัดนี้แสดงถึงสิ่งที่เธอต้องการออกมาอย่างไม่มีการปิดบังแล้วนั้น เดรโก มัลฟอยก็แน่ใจทันทีว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปแล้วว่าร่างตรงหน้าจะปฏิเสธสัมผัสจากเขาดังที่เคย เพราะในตอนนี้ ณ บัดนี้ เขารู้แล้วว่าเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องการสัมผัสจากเขาไม่ต่างจากที่เขาต้องการสัมผัสร่างเนียนของเธอเช่นกัน
              และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจโน้มร่างลงมาหาร่างบางตรงหน้า เดรโกจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรักราวกับเขาต้องการเก็บภาพใบหน้าและแววตาของเฮอร์ไมโอนี่ในค่ำคืนนี้ไว้ในความทรงจำของเขาตราบนานเท่านาน ก่อนที่เขาจะก้มลงไปจูบเธอที่ริมฝีปาก ซึ่งเด็กสาวก็จูบเขาตอบอย่างไม่ลังเล วงแขนของเธอยกขึ้นโอบรัดรอบคอเขาขณะที่มือใหญ่ของเขาก็สัมผัสร่างบางของเธอ เดรโกดำเนินบทรักของเขาต่อไปอย่างนุ่มนวลหากแต่หนักแน่นโดยที่เด็กหนุ่มมีสิ่งที่เขายึดมั่นอยู่ในใจของเขาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งมันก็คือ ความจริงที่ว่าเขาต้องการจะมอบความสุขให้เฮอร์ไมโอนี่มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ในค่ำคืนนี้!
 
              ……………………………………………………………
 
              หลังจากจูบริมฝีปากอิ่มของร่างตรงหน้าจนพอใจแล้ว เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะเลื่อนจูบของเขาลงมาที่ซอกคอของเธออีกครั้ง และเมื่อไม่มีอาภรณ์ขวางกั้น มัลฟอยก็สามารถพรมจูบของเขาลงบนซอกคอขาวผ่องเรื่อยไปจนถึงอกอิ่มของเด็กสาวที่มีเพียงบราเซียปกปิดอยู่เท่านั้น
              เดรโกจูบเนินเนื้อที่โผล่พ้นจากบราเซียอย่างแผ่วเบา และเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าทุกครั้งที่เขาพรมจูบของเขาลงไปนั้นร่างเล็กในอ้อมแขนก็ครางเสียงต่ำในลำคออย่างรัญจวนใจ และเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจเลื่อนมือไปด้านหลังร่างบางเพื่อปลดตะขอบราเซียของเธอออก
              เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้นเมื่อเธอรู้สึกตัวว่าอาภรณ์ที่ใช้ปิดบังทรวงอกอิ่มของเธอถูกถอดออกจากร่างของเธอ หากแต่เด็กสาวก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา แต่เมื่อเด็กหนุ่มผมบลอนด์เลื่อนริมฝีปากของเขามาสัมผัสทรวงอกอิ่มของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจห้ามเสียงครางเพราะความรัญจวนใจไม่ให้หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของเธอได้เลย
               “......” เด็กสาวครางก่อนจะหลับตาลงขณะที่เธอกำลังรับสัมผัสจากเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่ มัลฟอยใช้มือของเขาสัมผัสทรวงอกคู่สวยของเธออย่างแผ่วเบาก่อนที่จะพรมจูบลงบนเนินอกอิ่มและหยอกล้อยอดถันของเธอด้วยริมฝีปากของเขา หากแต่การกระทำเช่นนั้นกลับไม่ได้สร้างความหวาดกลัวหรือแม้กระทั่งอึดอัดใจให้กับเฮอร์ไมโอนี่เหมือนกับในครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันกลับสร้างความรัญจวนใจให้เธออย่างที่เธอไม่คาดฝันมาก่อนจนกระทั่งเด็กสาวอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงครางออกมา มือน้อยของเธอขยำผ้าปูที่นอนแน่นราวกับต้องการระบายเสียวซ่านที่เธอได้รับออกมา
              เดรโกหยอกล้อทรวงอกของเด็กสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะละริมฝีปากของเขาออกไปจากมัน แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะถอนหายใจอย่างรู้สึกเสียดายที่ความอบอุ่นนั้นถูกพรากจากเธอไป หากแต่ในไม่ช้าเด็กสาวก็รับรู้ถึงสัมผัสครั้งใหม่ที่เด็กหนุ่มมอบให้เธอ เพราะว่าเขากำลังพรมจูบของเขาไล่จากหน้าท้องแบนราบของเด็กสาวไปจนถึงขาเรียวของเธอ!
              เดรโกจูบทุกตารางนิ้วบนร่างเนียนของเฮอร์ไมโอนี่อย่างที่เขาได้ตั้งใจไว้จริง ๆ เมื่อเด็กหนุ่มไล่จูบตามขาเรียวบางไปจนถึงข้อเท้าเล็กของเธอ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ทำได้เพียงดิ้นขลุกขลักอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับกัดริมฝีปากเพื่อกั้นเสียงครางของเธอไม่ให้เล็ดลอดออกมาราวกับเธอหลงลืมไปว่าเด็กหนุ่มผู้กำลังมอบความรัญจวนใจให้เธออยู่นั้นได้ร่ายคาถากันรบกวนเพื่อไม่ให้เสียงใด ๆ หลุดลอดออกไปได้ รวมถึงไม่ให้ใครก็ตามมารบกวนบทรักของพวกเขาในค่ำคืนนี้ไว้แล้ว
              หลังจากที่เขาไล่พรมจูบมาจนถึงข้อเท้าเล็กของเฮอร์ไมโอนี่แล้ว มัลฟอยก็หยุดการกระทำของเขา ร่างเล็กที่เคยบิดตัวด้วยความเสียวซ่านเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจเมื่อความรัญจวนใจนั้นถูกพรากไปจากเธอ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ทำเช่นนั้นเธอก็พบว่าเธอกำลังจ้องมองดวงตาสีเงินที่ลุกโชนไปด้วยไฟปรารถนาท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในค่ำคืนนี้ของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเดรโก มัลฟอยอยู่ และก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไปนั้น มือใหญ่ของเดรโกก็เลื่อนมายังอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่เด็กสาวใช้ปกปิดร่างกายก่อนจะค่อย ๆ รูดมันลงมาตามขาเรียวของเธอ!
              แม้จะรู้ดีว่าหลังจากอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดออกจากกายแล้วเธอจะต้องเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าร่างตรงหน้าและมันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็ตาม หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ทักท้วงการกระทำของเด็กหนุ่มขึ้นมาแต่อย่างใดเมื่อเขาโยนอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของเธอลงบนเตียง ราวกับว่าเธอเองก็ต้องการสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปมากพอ ๆ กับที่อีกฝ่ายต้องการเช่นกัน แม้ว่าในตอนนี้หัวใจของเด็กสาวจะเต้นแรงจนมันแทบจะหลุดออกมาจากอกก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยปากทังท้วงอะไรออกไปเมื่อร่างตรงหน้าเคลื่อนกายเข้ามาใกล้เธอเพื่อที่จะเริ่มบทรักของเขาต่อไป
              หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นช่างเกินความคาดหมายของเฮอร์ไมโอนี่ไปไกลยิ่งนัก เพราะสิ่งต่อไปที่เด็กสาวรู้สึกหลังจากที่มือใหญ่ของเดรโกเลื่อนมาสัมผัสต้นขาของเธอก็คือการที่ร่างสูงตรงหน้านั้นโน้มกายลง และก่อนที่เธอจะรู้ว่าร่างตรงหน้าต้องการจะทำอะไร เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็เลื่อนไปจูบเธอที่กึ่งกลางร่างกายของเธอ
               “ยะ…อย่า!!!” ถ้อยคำทักท้วงดังออกมาจากริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่เป็นครั้งแรก หากแต่มันกลับหายไปอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับที่มันถูกเอ่ยขึ้นมา เพราะมันถูกแทนที่ด้วยเสียงครวญครางด้วยความรัญจวนใจแทนเมื่อเดรโก มัลฟอยเลื่อนใบหน้าลงไปชิมความหอมหวานที่ใจกลางร่างกายของเธอ!
               “ดะ.....เดรโก.......ได้โปรด” เฮอร์ไมโอนี่พูดได้เพียงเท่านั้นก่อนที่เธอจะฝังใบหน้าแดงก่ำเข้ากับหมอนราวกับเธอต้องการหลีกหนีความอับอายที่กำลังเผชิญอยู่ หากแต่ความอับอายนั้นกลับมาพร้อมกับความสุขอย่างที่เด็กสาวก็อธิบายไม่ถูก ถ้อยคำร้องห้ามที่เคยออกจากปากของเธอบัดนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นเสียงคราญครางเนื่องมาจากสัมผัสที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต มันช่างรัญจวนใจยิ่งนัก และที่สำคัญยิ่งเดรโกรุกล้ำร่างกายของเธอด้วยลิ้นของเขามากเท่าไหร่ เด็กสาวก็ยิ่งรู้สึกว่าความสุขที่เธอได้รับนั้นมันพุ่งสูงขึ้นราวกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามาจนเธอไม่สามารถทนรับมันไหวเมื่อระลอกคลื่นแห่งความสุขระลอกแล้วระลอกเล่าพัดผ่านร่างเล็กที่กำลังบิดตัวด้วยความเสียวซ่านที่เธอได้รับจากการปรนเปรอของเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่
              และจู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างก่อตัวขึ้นในร่างกายของเธอ ราวกับระลอกคลื่นแห่งความสุขที่พัดผ่านร่างกายของเธอก่อนหน้านี้สะสมจนกลายเป็นระลอกคลื่นที่ใหญ่ยิ่งกว่าครั้งใด ๆ และเมื่อคลื่นความสุขนั้นพุ่งสูงถึงขีดสุดเด็กสาวก็กรีดร้องออกมา มือเล็กขยำเส้นผมสีบลอนด์ของอีกฝ่ายราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวเดียวของเธอเมื่อคลื่นแห่งความสุขนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง!
              เฮอร์ไมโอนี่กรีดร้องออกมา ร่างเล็กเกร็งแน่นเมื่อเธอโบยบินสู่ฝั่งฝันจากสัมผัสที่เด็กหนุ่มตรงหน้ามอบให้ ร่างบางของเธอกระตุกเบา ๆ ก่อนที่จะสงบลง
              หลังจากมองร่างตรงหน้าโบยบินสู่ความสุขเนื่องมาจากสัมผัสที่เขามอบให้จนมันสงบลงแล้วร่างสูงของเดรโกก็เคลื่อนกายขึ้นมาคร่อมร่างของเธอไว้ ดวงตาสีเงินของเขามองใบหน้าที่ที่เปี่ยมสุขของเด็กสาวอย่างพึงพอใจ
              สิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกต่อมาก็คือการที่ร่างของเดรโกเคลื่อนกายขึ้นมาคล่อมร่างเล็กของเธอไว้ ก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าเข้ามาจูบเธอที่หน้าผาก
               “ฉันรักเธอ” เดรโกสารภาพ พลางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรักก่อนที่เขาจะพูดประโยคต่อไปออกมา
               “เป็นของฉันนะ เฮอร์ไมโอนี่” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถาม และเมื่อเขาไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นท่าทีที่แสดงออกถึงการทักท้วงอะไรไปมากกว่าแววตาที่มองมาทางเขาซึ่งมันแลดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแล้วนั้นเดรโกก็เคลื่อนกายเข้าครอบครองเธอ!
              เขาเริ่มบทรักของเขาอย่างช้า ๆ พร้อมกับเขาที่คอยสังเกตปฏิกิริยาของเฮอร์ไมโอนี่อย่างใกล้ชิด ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาร่วมรักกัน และบทรักที่นุ่มนวลของเขาไม่น่าจะทำให้เด็กสาวรู้สึกอะไรไปได้มากกว่าความรัญจวนใจเฉกเช่นที่เขาได้มอบให้เธอเมื่อครู่ก็ตาม แต่เดรโกก็ตั้งใจที่จะทำให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่น่าจดจำสำหรับพวกเขาทั้งสอง ดังนั้นความรู้สึกของเฮอร์ไมโอนี่จึงมีความสำคัญมากสำหรับเขา
              เฮอร์ไมโอนี่นิ่วหน้าเล็กน้อยกับความอึดอัดที่เด็กหนุ่มมอบให้ แต่อาจจะเป็นเพราะการเริ่มบทรักอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่ยาก ในไม่ช้าเสียงครางเบา ๆ ก็ดังออกมาจากริมฝีปากของเด็กสาวเมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของเดรโกในร่างกายของเธอ มือน้อย ๆ ที่ก่อนหน้านี้กำผ้าปูที่นอนราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวก็เลื่อนมากุมไหล่ของร่างสูงตรงหน้าแทน
              เด็กหนุ่มค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าครอบครองร่างตรงหน้าอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ และมันต้องใช้ความพยายามอย่างมากสำหรับเด็กหนุ่มที่จะไม่เริ่มบทรักของเขาเร็วจนเกินไปนักเนื่องจากความร้อนรุ่มและคับแน่นของเด็กสาวทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เลือกที่จะรอจนเขาเข้ามาในร่างของเฮอร์ไมโอนี่จนสุดแล้วเขาจึงค่อย ๆ เริ่มบทรักของเขาอย่างแผ่วเบา
               “!!!” เสียงครางที่ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของร่างเบื้องล่างบ่งบอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่าเด็กสาวก็รู้สึกดีไปกับสัมผัสของเขาเช่นเดียวกับที่เขารู้สึกยามที่เขาเคลื่อนกายเข้าครอบครองเธออย่างนุ่มนวลก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นหนักแน่น อันที่จริงสิ่งที่เขากำลังรู้สึกนั้นมันไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกดีเพียงเท่านั้น หากแต่มันช่างหอมหวานและเร่าร้อนยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นความร้อนรุ่มที่มาจากร่างกายของเด็กสาว เสียงคราง และเสียงลมหายใจถี่กระชั้นของเธอที่บอกให้เขารู้ว่าเธอเองก็มีความสุขกับสิ่งที่เขามอบให้เธอเช่นเดียวกัน หากแต่สิ่งที่เดรโกรู้สึกไม่ได้มีเพียงแค่ความสุขทางเพศรสเท่านั้น มันมีอะไรมากกว่านั้น มากกว่าที่เขาจะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ มันคือความอิ่มเอมใจอย่างนั้นหรือ เขาก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร หากแต่มันดีกว่าที่เขาจิตนาการไว้มากนัก เพราะบทรักที่มาจากการบังคับขืนใจของเขาต่อร่างตรงหน้านั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับการร่วมรักกับผู้หญิงที่เขารักโดยที่รู้ว่าเธอเองก็เต็มใจและรู้สึกดีไปกับสัมผัสของเขาเช่นเดียวกัน
              เมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกก็ไม่ลังเลเลยที่จะมอบความสุขให้ร่างตรงหน้ามากขึ้น เด็กหนุ่มเคลื่อนกายเข้าครอบครองเฮอร์ไมโอนี่ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างหนักแน่นหากแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ราวกับเขาตัดสินใจแล้วว่าเพลงรักที่เขาบรรเลงอยู่นั้นมีจุดหมายเพียงอย่างเดียวซึ่งก็คือมอบความสุขให้แก่คนรักของเขา ไม่ใช่ตัวเขาเอง และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโกก็เลือกที่จะครอบครองร่างเล็กตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความสุขของเธอ และทุกครั้งที่ร่างบางนั้นส่งเสียงร้องด้วยความรัญจวนใจออกมา เขาก็ไม่ลังเลที่จะครอบครองเธอซ้ำเพื่อเพิ่มความเสียวซ่านให้กับเธอครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างในอ้อมแขนของเขาใกล้ถึงฝั่งฝันแล้ว
              เมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกก็เลือกที่จะดำเนินบทรักที่หนักแน่นขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างตรงหน้าจนในไม่ช้าร่างเล็กนั้นก็กรีดร้องขึ้นมาเมื่อเธอถึงฝั่งฝัน ร่างของเด็กสาวบีบเกร็งเมื่อเธอโบยบินไปสู่สรวงสวรรค์! และเมื่อเป็นเช่นนั้นเดรโกที่ไม่อาจจะทนต่อความปรารถนาที่ท่วมท้นของเขาได้ก็ฝังกายไปยังร่างบางนั้นอย่างหนักแน่นจนกระทั่งเขาปลดปล่อยสายธารแห่งความปรารถนาไปยังร่างเล็กเบื้องร่างที่เขาโอบกอดไว้แน่น
              เดรโกหอบหายใจอย่างหนักหน่วงเมื่อบทรักของพวกเขาจบลง เด็กหนุ่มฝังใบหน้าของเขาลงบนซอกคอของเด็กสาวอย่างสงบอารมณ์ก่อนจะจูบผิวเนื้อเนียนของเธอเล่นอย่างรักใคร่ และเมื่อเด็กหนุ่มรู้ว่าเขาเริ่มปรับลมหายใจจนเป็นปรกติได้แล้ว เขาก็ก้มลงไปกระซิบกับริมฝีปากอิ่มของเฮอร์ไมโอนี่พร้อม ๆ กับที่เขารู้สึกถึงความสุขที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกายและเต็มเปี่ยมอยู่ในอกของเขา
               “ฉันรักเธอ” เขาพูดเพียงเท่านั้น
              แม้ว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับมานั้นจะเป็นความเงียบงันจากร่างตรงหน้า ไม่มีการบอกรักตอบแก่เขาดังเช่นเคยก็ตาม หากแต่เมื่อเด็กหนุ่มพิจารณาดวงหน้างามที่แลดูเคลิ้มมึนและเสียงหอบหายใจของเธอแล้วนั้น เขาก็ไม่ได้รู้ติดใจอะไรกับการที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้บอกรักเขาตอบกลับมา ตรงกันข้ามเดรโกกลับรู้สึกว่าค่ำคืนนี้เป็นคืนที่มหัศจรรย์ยิ่งนักเมื่อเขาทรุดตัวลงนอนลงบนเตียงข้าง ๆ ร่างของเด็กสาวที่เขารัก มือใหญ่ของเขาคว้าร่างบางที่อ่อนแรงนั้นมากอดไว้แนบอก ก่อนที่เขาจะจัดแจงให้เธอใช้แผ่นอกของเขาต่างหมอนหนุน และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ที่ดูเหนื่อยอ่อนและง่วงงุนนั้นไม่มีทีท่าจะขัดขืนแต่อย่างใด เดรโกก็ก้มลงไปจูบที่หน้าผากของเธออย่างรักใคร่ก่อนที่เขาจะเฝ้าดูเด็กสาวในอ้อมแขนของเขาจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราท่ามกลางแสงจันทร์สลัวของค่ำคืนนี้
 
              ……………………………………………………………
 
              แม้ว่าร่างในอ้อมแขนของเขาจะหลับเพราะความเหนื่อยอ่อนไปแล้ว แต่เดรโก มัลฟอยกลับไม่สามารถนอนหลับได้แม้ว่าเขาจะเพิ่งผ่านบทรักที่ต้องอาศัยการใช้พลังงานไปไม่น้อยมาก็ตาม
              ท่ามกลางความมืดในห้องใต้หลังจากที่เฟรย่าให้ทั้งสองมาอาศัยอยู่ชั่วคราวนั้น เด็กหนุ่มผมบลอนด์ซึ่งมีร่างเล็กของเด็กสาวผมสีน้ำตาลหลับอยู่ในอ้อมแขนกำลังนอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดพลางครุ่นคิดถึงวันที่แปลกประหลาดวันนี้ด้วยความรู้สึกที่แทบจะเรียกได้ว่าประสมปนเปกัน
              เพราะในวันนี้เรื่องต่าง ๆ ประเดประดังเข้ามาในชีวิตของมัลฟอยจนเขาแทบจะรับมันไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขารู้ว่าพิษหมาป่าได้กระจายไปทั่วร่างของเขาแล้ว หรือการได้รับรู้ว่ามีเพียงหนทางเดียวที่จะรักษาเขาได้ หากแต่มันต้องแลกมาด้วยเวทมนตร์ของพ่อแม่ของเขา หรือไม่ก็ของเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในฐานะทาสของเขา และเด็กหนุ่มไม่เพียงแค่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจใหญ่หลวงระหว่างการฉกฉวยเวทมนตร์ของผู้อื่นเพื่อให้เขารอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปเท่านั้น เขาเองก็ได้เผชิญกับความรู้สึกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดทรมานที่เทียบเทียมกับการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเมื่อเขาดื่มน้ำยาทดสอบของเฟรย่าเข้าไป หรือความสุขเปี่ยมล้นทั้งทางกายและทางใจเมื่อเขาได้ครอบครองร่างกายของเฮอร์ไมโอนี่ด้วยความเต็มใจของเด็กสาวเป็นครั้งแรก
              แม้ว่าเขาจะรู้สึกมีความสุขมากเพียงใดจากบทรักระหว่างเขากับเฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งจบลงไปก็ตาม หากแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าความสุขนั้นของเขากลับค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อยเมื่อเขาต้องกลับมาสู่โลกแห่งความจริงเพื่อเผชิญหน้ากับการตัดสินใจของเขาหลังจากนี้ไป
              ความคิดของเดรโก มัลฟอยหวนนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างเขากับเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก่อนหน้าที่เขาจะกลับมายังห้องใต้หลังคาแห่งนี้ หลังจากที่แม่มดผมดำได้บอกเขาว่ามีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะรักษาเขาให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ รวมถึงราคาที่จะต้องจ่ายและคนที่สามารถจ่ายมันได้อีกด้วย!
              เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาซึ่งเขาพูดคุยกับเฟรย่าในห้องทำงานของเธอ และรู้สึกราวกับว่ามันผ่านไปนานแสนนานเหลือเกิน
 
              ……………………………………………………………
 
              สามชั่วโมงก่อนหน้านี้
 
               “ผมตัดสินใจได้แล้ว” เดรโกพูดพลางเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความหนักแน่น แววสับสนระคนทุกข์ใจก่อนหน้านี้ได้จางหายไปจากดวงตาสีเงินคู่นั้นของเขาเสียแล้ว
              และเมื่อเห็นแววตารวมถึงสีหน้าที่เด็กหนุ่มตรงหน้าแสดงออกมาแล้วนั้น แม่มดสาวก็เอ่ยปากถามขึ้นด้วยท่าทีจริงจังไม่แพ้กันว่า
               “ถ้าเช่นนั้นก็บอกฉันถึงการตัดสินใจของเธอ คุณมัลฟอย เธอจะรับการรักษาครั้งนี้หรือไม่” หล่อนถามพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินของเด็กหนุ่ม
              เดรโกนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แต่การเงียบของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่แน่ใจในการตัดสินใจในครั้งนี้ของเขา หากแต่เป็นเพราะเขาต้องการเวลาในการเค้นคำพูดนั้นออกมาจากริมฝีปากของเขา ราวกับว่าการเอ่ยปากพูดออกมาในครั้งนี้ของเขาจะส่งผลให้ทุกอย่างในชีวิตของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเดรโก มัลฟอย เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล!
              และเมื่อรวบรวมความกล้าได้เพียงพอแล้ว เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็เอ่ยปากพูดขึ้น
               “ไม่ ผมจะไม่รับการรักษาจากคุณ” เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวที่เขานั่งอยู่ และมุ่งไปยังประตูห้องทำงานซึ่งเชื่อมต่อกับห้องพยากรณ์โดยไม่เอ่ยคำร่ำลาอีกฝ่ายแต่อย่างใด แต่ก่อนที่ร่างสูงของเด็กหนุ่มจะก้าวพ้นธรณีประตูห้องทำงานไปนั้น เสียงที่แผ่วเบาหากแต่หนักแน่นของเฟรย่าก็ดังขึ้น
               “ฉันเคารพการตัดสินใจของเธอนะ เดรโก แต่เธอควรจะบอกฉันหน่อยว่าฉันควรจะบอกพ่อของเธออย่างไรกับการตัดสินใจในครั้งนี้ของเธอ” ราวกับคำพูดนี้ของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์มีเวทมนตร์เพราะเด็กหนุ่มหันกลับมาหาหล่อนในทันทีที่หล่อนพูดจบ
               “คุณพูดว่าอะไรนะ” มัลฟอยพูดด้วยท่าทีแปลกใจ หากแต่มีแววหวาดกลัวฉายชัดอยู่ในดวงตาสีเงินที่เคยดูเข้มแข็งของเขา ขณะที่เฟรย่าเดินเข้ามาใกล้เขาอีกสองก้าวก่อนที่หล่อนจะพูดขึ้น
               “ฉันหมายความว่าฉันควรจะบอกพ่อของเธอยังไงในเรื่องที่เธอปฏิเสธไม่รับการรักษา รวมถึงเรื่องเงื่อนไขในการรักษาเธอครั้งนี้ด้วย” หล่อนพูดกับสีหน้าสับสนของเด็กหนุ่ม
               “คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เขากล่าวเสียงเข้มแทบจะทันทีที่หญิงสาวพูดจบ
               “พ่อของผม.....ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องที่คุณและผมคุยกัน” เดรโกเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามจะทำให้มันฟังดูหนักแน่น ขณะที่หญิงสาวตรงหน้าผู้สังเกตเห็นความสับสนจนแทบจะเรียกได้ว่าหวาดวิตกของเด็กหนุ่มผมบลอนด์นั้นมองเขาด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจก่อนที่หล่อนจะเอ่ยปากพูดถ้อยคำต่อไปออกมา
               “เธอคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ เดรโก” หล่อนพูด “เธอคิดว่าพ่อของเธอจะไม่มีวันรู้เรื่องที่เราคุยกันในห้องนี้เลยอย่างนั้นหรือ”
               “ถ้าคุณไม่พูด เขาก็จะไม่มีวันรู้” เดรโกตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่ามันฟังดูหนักแน่นเพียงใด
               “ฉันรู้ว่าเธอหวังเช่นนั้น” หญิงสาวผมดำพูดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มอีกก้าวและมองเขาด้วยแววตาที่ไม่ได้แสดงอะไรออกมานอกจากความเห็นใจ
               “ฉันอาจจะไม่รู้จักพ่อของเธอดี แต่ฉันรู้ว่าผู้เสพความตายเป็นยังไง โดยเฉพาะผู้เสพความตายที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างพ่อเธอด้วยแล้ว” เฟรย่าพูด “เพราะคนธรรมดา ๆ คงไม่สามารถสละวัตถุทางเวทมนตร์ที่มีค่ามหาศาลเพื่อช่วยลูกชายของเขาได้หรอกจริงไหม” หล่อนถามขึ้น และแน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนั้นได้เลย
               “ที่ฉันกลัวก็คือ หลังจากที่เธอกลับไปที่อังกฤษเพื่อบอกข่าวร้ายให้พ่อของเธอฟังว่าฉันไม่สามารถรักษาเธอได้หรืออะไรก็ตาม และถ้าพ่อเธอไม่สามารถยอมรับความจริงที่ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าได้ เขาอาจจะบุกมาที่นี่เพื่อสอบถามฉัน” หล่อนพูดต่อ ขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าของหล่อนหายใจกระตุก
               “แน่นอนว่าฉันสามารถไม่บอกเขาอย่างที่เธอต้องการได้ แต่ถ้าพ่อของเธอไม่ได้มาเพียงคนเดียว ถ้าเขาเกณฑ์ผู้เสพความตายคนอื่น ๆ มาด้วย โดยเฉพาะป้าของเธอ” เดรโกกลืนน้ำลายกับถ้อยคำนั้นของเฟรย่า เขารู้ดีกว่าหล่อนหมายถึงใคร
               “และถ้าพวกเขาทรมานฉัน และถ้าฉันทนไม่ไหว ฉันคงจำเป็นต้องเปิดเผยสิ่งที่เราคุยกันในวันนี้ให้พวกเขารู้ และถ้าพ่อของเธอรู้ถึงวิธีการรักษานี้ รวมถึงราคาที่มนตรานี้เรียกร้องแล้ว เธอพอเดาได้ไหมว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป”
              สิ้นเสียงของหญิงสาวผมดำ เด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยก็รู้สึกถึงความกลัวที่แผ่ซ่านเข้าเกาะกุมหัวใจของเขา เพราะสิ่งที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์พูดมานั้นถูกต้องทุกประการ!
              แน่นอนว่าลูเซียส มัลฟอยคงยอมรับไม่ได้หากได้ทราบว่าแม่มดเพียงคนเดียวในโลกที่เชี่ยวชาญการรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายมากที่สุดไม่สามารถรักษาลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ และเดรโกจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนรังเกียจไปชั่วชีวิตของเขา! ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะทำใจยอมรับชีวิตต้องสาปนี้ได้หากมันต้องแลกมาด้วยเวทมนตร์ของพ่อมดหรือแม่มดผู้อื่นโดยเฉพาะเฮอร์ไมโอนี่ที่เป็นคนรักและทาสของเขาก็ตาม! แต่ในใจลึก ๆ เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าพ่อของเขาไม่มีทางยอมรับชะตากรรมนี้สำหรับทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลได้เป็นแน่! และพ่อที่คงต้องผิดหวังกับสิ่งที่เขานำกลับไปบอกพ่อเมื่อเขากลับถึงคฤหาสน์อาจจะทำให้พ่อของเขารวมถึงผู้เสพความตายคนอื่นบุกมาถึงที่พักของเฟรย่าเพื่อคาดคั้นหล่อนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแน่!
              และเมื่อคิดถึงตรงนี้คำพูดที่พ่อได้ให้ไว้กับเขาก่อนที่เขาจะออกจากคฤหาสน์เพื่อเดินทางมายังไอซ์แลนด์ก็แวบขึ้นมาในหัวสมองของเขา
 
               “ฟังฉันนะ  เดรโก  ถ้าหากว่าแกได้พบเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์คนนั้น  และหล่อนไม่ยอมรักษาให้แก  ฉันหมายถึงถ้าหากของที่ฉันเตรียมไปให้มันยังไม่เพียงพอกับที่หล่อนต้องการหรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  ให้แกเขียนจดหมายมาถึงฉันทันทีเข้าใจไหม”
 
              แม้ประโยคนั้นที่นายลูเซียสได้บอกไว้กับเดรโกจะเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่พ่อมีต่อเขาก็ตาม แต่มันก็สามารถหมายความได้ว่า พ่อของเขาพร้อมจะยื่นมือเข้ามาจัดการสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่สามารถจัดการได้หากมีอะไรผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่พ่อของเขาหวังไว้อีกด้วย!
              และเมื่อคิดได้เช่นนั้นใบหน้าที่เดิมซีดเซียวอยู่แล้วของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ขาวซีดยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเขาค้นพบความจริงที่ว่า หากพ่อของเขาไม่สามารถยอมรับความจริงที่เดรโกจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าหลังจากนี้ได้แล้วนั้น เขาอาจจะบุกมาที่นี่เพื่อสอบถามความจริงจากปากของเฟรย่าด้วยตัวเอง และด้วยความช่วยเหลือจากการข่มขู่หรือคาถากรีดแทงของเขาหรือจากเบลลาทริกซ์ผู้เป็นป้าของเดรโกก็ตาม เฟรย่าก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากจะบอกเล่าความจริงที่เธอกับเขาได้หารือกันในวันนี้ว่า ทางเดียวที่เด็กหนุ่มจะรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้นั้นก็คือการเสียสละทางเวทมนตร์จากพ่อหรือแม่ของเขา หรือไม่ก็จากเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในฐานะทาสของเขาเพียงเท่านั้น!
              เมื่อความคิดของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ดำเนินมาถึงส่วนที่มีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักมากที่สุดเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วนั้น หัวใจของเขาก็แกว่งวูบด้วยความกลัว เมื่อเดรโกค้นพบความเป็นไปได้ที่ว่า ถ้าพ่อของเขาล่วงรู้ถึงมนตราโบราณบทนี้และเงื่อนไขของมันแล้วล่ะก็ นายลูเซียสก็คงจะทราบดีว่า คนที่จะทำการเสียสละทางเวทมนตร์เพื่อให้เด็กหนุ่มหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าที่เหมาะสมที่สุดก็คือเฮอร์ไมโอนี่! รองลงมาก็คือแม่ของเขา เพราะพ่อของเขาไม่มีวันยอมสละอำนาจเวทมนตร์ของตนเองเพื่อเขาเป็นแน่ และแม้ว่าบุคคลที่เข้าข่ายทั้งคู่จะเป็นคนที่เดรโกรักมากว่าใครบนโลกนี้ก็ตาม แต่ถ้าลองคิดดูให้ดีแล้วพ่อของเขาก็คงจะเลือกเฮอร์ไมโอนี่มาเป็นเหยื่อในพิธีกรรมครั้งนี้เป็นอันดับแรกเป็นแน่ เพราะพ่อของเขาไม่สนใจอยู่แล้วว่าเด็กสาวจะอยู่ในสภาพไหน ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นเหยื่อล่อพอตเตอร์ให้มาติดกับดักของจอมมารได้เพียงเท่านั้น แถมพ่อของเขาอาจจะชื่นชอบมากกว่าเดิมด้วยซ้ำถ้าเฮอร์ไมโอนี่ต้องมาอยู่ในสภาพที่ไร้พลังเวทมนตร์ เนื่องจากแนวคิดที่พ่อยึดถือมาเนิ่นนานว่าพวกที่เกิดจากมักเกิ้ลไม่คู่ควรแก่การใช้พลังเวทมนตร์ดังเช่นผู้ที่มาจากครอบครัวผู้วิเศษเฉกเช่นครอบครัวของเขา
              เมื่อความคิดของเด็กหนุ่มดำเนินมาถึงจนบทสรุปที่ไม่น่ารื่นรมย์ยิ่งเช่นนี้แล้วนั้น เดรโกก็รู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดขึ้นตามไรผมของเขาอีกครั้งเมื่อความกลัวและความกดดันแล่นเข้ามาเกาะกุมขั้วหัวใจของเขา ขณะที่สมองของเขาก็ทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางออกให้กับสถานการณ์ที่แสนจะตึงเครียดในครั้งนี้
 
              เขาจะยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเขาไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับผู้หญิงที่เขารักอีกแล้ว หลังจากที่เขาทำร้ายและพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอแล้วเขาจะไม่มีวันทำร้ายหรือช่วงชิงอะไรไปจากเธออีก แม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยการใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจได้ก่อนหน้านี้และเขาก็ได้บอกถึงการตัดสินใจเขากับเฟรย่าไปแล้วว่าเขาจะไม่รับการรักษาจากหล่อน
              หากแต่ในตอนนั้นเดรโกลืมนำเรื่องพ่อของเขาใส่เข้ามาในสมการครั้งนี้ด้วย และหลังจากเขาได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูแล้วเด็กหนุ่มก็พบว่าพ่อของเขาคงจะทำอย่างที่เฟรย่าพูดออกมาจริง ๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเดรโกที่เพิ่งเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาก็จะต้องพบกับการตัดสินใจครั้งใหม่ที่อาจจะยากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ว่าเขาจะสามารถทำอย่างไรได้บ้างเพื่อป้องกันไม่ให้พ่อของเขาล่วงรู้เรื่องการรักษาในครั้งนี้ รวมถึงไม่ให้พ่อของเขาบังคับเฮอร์ไมโอนี่ให้เสียสละเวทมนตร์ของเธอเพื่อรักษาเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่าอีกด้วย!
              หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้นเด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่สามารถจะป้องกันไม่ให้พ่อของเขาล่วงรู้ความจริงเรื่องหนทางเดียวที่จะรักษาเขาให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้เลย เพราะถ้าหากพ่อเขาทำดังเช่นที่เฟรย่าคาดการณ์ไว้ว่าเขาจะทำแล้วนั้น มันก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขารวมถึงตัวเฟรย่าเองจะปิดบังความจริงเกี่ยวกับหนทางการรักษาครั้งนี้ให้รอดพ้นจากการรับรู้ของพ่อไปได้ และเมื่อเขาไม่สามารถกีดกันไม่ให้พ่อของเขารู้ถึงข้อมูลในการรักษาซึ่งจะทำให้พ่อไม่ลังเลที่จะใช้เฮอร์ไมโอนี่เป็นเหยื่อในพิธีกรรมครั้งนี้แล้วนั้น เขาก็เหลือเพียงหนทางเดียวที่เท่านั้นจะปกป้องผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักจากการถูกช่วงชิงสิ่งสำคัญยิ่งของเธอไป
              และเมื่อคิดได้เช่นนั้น บวกกับความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องเด็กสาวที่เขาหลงรักจากภัยอันตรายใด ๆ ก็ตามที่จะมาทำร้ายเธอ แม้ว่าภัยอันตรายดังกล่าวนั้นจะมาจากตัวของเขาเองก็ตาม และเมื่อคิดได้เช่นนี้ เดรโก มัลฟอยก็รู้ดีว่าเขาจะต้องทำอะไรต่อไปหลังจากนี้
              เมื่อได้ผลสรุปของการตัดสินใจครั้งใหม่ของเขาแล้วนั้น เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงเบื้องหน้าที่กำลังรอฟังคำตอบของเขาอยู่ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
               “ไว้ผมจัดการเรื่องนี้เอง” เดรโกพูดออกไปอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสีเงินที่มองไปยังเฟรย่านั้นแสดงความเข้มแข็งออกมามากกว่าครั้งใด ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันหลังเพื่อเดินออกจากห้องทำงานของหล่อนกลับไปยังห้องใต้หลังคาที่มีเด็กสาวที่เขารักกำลังรอเขาอยู่
 
 
              ……………………………………………………………
 
              กระแสความคิดของเดรโกพาเขากลับมายังปัจจุบันซึ่งตอนนี้เขากำลังนอนโอบกอดร่างบางของเฮอร์ไมโอนี่ไว้แนบอกอยู่ เด็กหนุ่มก้มลงไปพินิจใบหน้าที่กำลังหลับของเด็กสาวด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ในตอนที่เขาตัดสินใจเช่นนั้นลงไปเขาไม่คิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นระหว่างเขากับเฮอร์ไมโอนี่ เขาไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะได้รับการหยิบยื่นโอกาสให้กลับไปแก้ไขสิ่งเลวร้ายที่เขาเคยทำลงไปในอดีต รวมถึงเขาไม่คาดคิดเลยด้วยซ้ำว่าเด็กสาวจะยอมเป็นของเขาด้วยความเต็มใจของเธอเอง
              ถึงแม้ว่าหัวใจของเธอจะยังไม่ใช่ของเขาและเขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถได้มันมาครอบครองหรือไม่ก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าการที่เฮอร์ไมโอนี่ยินยอมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาในครั้งนี้นั้นก็เป็นสิ่งที่มีค่ามากเกินพอแล้วสำหรับเขา และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีวันได้หัวใจของเธอมาเป็นของเขาก็ตาม แต่เดรโกก็รู้ดีว่าหัวใจของเขานั้นตกเป็นของเธอก่อนที่เขาจะได้ครอบครองร่างกายของเธอเสียอีก!
              ใช่แล้ว เด็กหนุ่มหลงรักเด็กสาวคนนี้จนหมดหัวใจ เขาหลงรักความบริสุทธิ์สดใสของเธอ หลงรักความดีงามของเธอ และหลงรักจิตใจที่งดงามของเธอ และถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ในฐานะทาสของเขาก็ตาม แต่เดรโกก็รู้ดีกว่าเขาตกเป็นทาสรักของเธอเสียก่อนที่เขาจะได้ครอบครองร่างกายของเธอเสียอีก เธอเป็นผู้หญิงเป็นคนเดียวที่เขารัก และมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป!
              และความรักของเขาที่มีต่อเธอในครั้งนี้นี่เองที่เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยตัดสินใจที่จะปกป้องเด็กสาวจากอันตรายใด ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอแม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาก็ตาม!
              เมื่อคิดได้เช่นนั้น และหลังจากเฝ้ามองใบหน้ายามหลับของเด็กสาวตรงหน้าจนพอใจแล้วนั้น มือใหญ่ของเดรโกก็เลื่อนไปแตะแขนเฮอร์ไมโอนี่เพื่อปลุกเธอขึ้นมาพร้อมกับที่เขาเรียกชื่อเธอเบา ๆ
 
              ……………………………………………………………
 
              เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังล่องลอยอยู่ในความฝันยามหลับใหลนั้นถูกปลุกให้ตื่นด้วยแรงเขย่าที่แขนและเสียงเรียกชื่อของเธอ เด็กสาวลืมหนังตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างง่วงงุนและสิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเค้าโครงหน้าของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยที่กำลังเรียกชื่อของเธออยู่ภายใต้แสงสลัวในห้อง
               “เฮอร์ไมโอนี่” เขาเรียก และเมื่อเห็นว่าเด็กสาวลืมตาขึ้นมาแล้วนั้น เขาจึงพูดต่อ
               “ตื่นขึ้นมาใส่เสื้อผ้าหน่อยเถอะ อากาศตอนกลางคืนหนาว เดี๋ยวเธอจะไม่สบายเอา” เขาให้เหตุผล และเมื่อรู้ถึงสาเหตุที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ปลุกเธอจากหลับใหลซึ่งมันก็ฟังดูสมหตุสมผลอยู่บ้างแม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกหนาวแต่อย่างใดเมื่อเธออยู่ในอ้อมกอดของร่างสูงตรงหน้าก็ตาม เด็กสาวก็พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าอย่างช้า ๆ
              เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงแรงยวบของเตียงเมื่อเธอพบว่าเดรโกเองก็ลุกขึ้นเพื่อสวมเสื้อผ้าเช่นกัน หากแต่เด็กสาวก็เลือกที่จะหันหลังให้เขาและสวมใส่เสื้อผ้าที่เคยกระจัดกระจายอยู่บนเตียงของเธอจนเสร็จก่อนจึงค่อยหันไปหาเขา
              แต่เมื่อเด็กสาวหันกลับไปหาร่างสูงของเด็กหนุ่มผู้อยู่ในฐานะเจ้านายของเธอภายในห้องที่มีเพียงแสงจันทร์สลัวที่สาดส่องเข้ามา เฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่าเดรโกที่บัดนี้กลับมาสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเต็มยศแล้วนั้นกำลังยืนอยู่ข้างเตียงที่เธอกำลังนั่งอยู่ ในมือของเขาถือไม้กายสิทธิ์ไว้และชี้ปลายของมันมาทางเธอ!
              เฮอร์ไมโอนี่มองเสี้ยวใบหน้าที่โผล่พ้นความมืดของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ในตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะสาปเธอหรือไม่ก็ใช้เวทมนตร์บังคับให้เธอทำสิ่งใดก็ตามที่เขาปรารถนา แม้ว่ามันจะฟังดูขัดแย้งกับสิ่งที่เขาทำลงไปก่อนหน้านี้เป็นอย่างมากก็ตาม
               “เดร….” ไม่ทันที่เด็กสาวจะเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มตรงหน้าว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ จู่ ๆ ร่างสูงของเดรโก มัลฟอยก็ขยับเข้ามาใกล้เธออีกก้าวโดยที่ปลายไม้กายสิทธิ์ของเขายังคงชี้มาทางเธอ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าเธอหายใจติดขัดเมื่อเธอค้นพบความจริงที่ว่ามัลฟอยกำลังจะร่ายคาถาใส่เธอ
              และในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนั้น ในขณะที่เด็กสาวกำลังกลั้นหายใจรอรับคำสาปหรือคาถาใด ๆ ก็ตามที่อาจจะออกมาจากปลายไม้กายสิทธิ์ที่ร่างตรงหน้าชี้มาทางเธอนั้น จู่ ๆ เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ตวัดไว้กายสิทธิ์ในมือเพื่อให้ปลายของมันชี้มาทางเขาและฝั่งด้ามจับชี้มาทางเด็กสาวแทน ก่อนที่เขาจะยื่นมันมาตรงหน้าเฮอร์ไมโอนี่
              เด็กสาวมองภาพตรงหน้าอย่างงุนงนและแปลกใจมากกว่าอะไรทั้งหมด เพราะมันดูราวกับมัลฟอยต้องการมอบไม้กายสิทธิ์ของเขาให้เธอ แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป เดรโกก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า
               “รับมันไว้และไปจากที่นี่ซะ” เขาพูดเพียงเท่านั้นพลางมองดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรักด้วยแววมุ่งมั่นมากกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็น!
 
              ……………………………………………………………
             
              คุยกันหลังอ่านนะคะ
 
              อ่านจบแล้วคิดยังไงมาคุยกันนะคะ หรือถ้าใครเล่นทวิตมาคุยกันที่ @little_piski ได้นะคะ
 
 




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2564    
Last Update : 6 ตุลาคม 2564 15:55:34 น.
Counter : 1224 Pageviews.  

เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 36 ทางเบี่ยง

               คุยกันก่อนอ่าน
 
               ไม่มีถ้อยคำไหนนอกจากจะบอกว่าขอโทษมาก ๆ ที่หายไปนาน แต่ตอนนี้กลับมาแล้วและพยายามจะมาต่อให้จบนะคะ สำหรับตอนใหม่นี้เราเพิ่งตรวจไปได้รอบเดียว แต่อยากลงแล้ว ถ้าผิดพลาดประการใดบอกกันได้นะคะ ไว้ถ้าว่างจะมาตรวจอีกรอบค่ะ ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ อ่านเสร็จช่วยเม้นแสดงความคิดเห็นหรือให้กำลังใจไรท์ด้วยน้า
ใครที่เล่นทวิตเตอร์มาคุยกับเราได้ที่ @little_piksi นะคะ

***Chapter 36 ทางเบี่ยง: Detour***
 

 
They say it's what you make, I say it's up to fate
It's woven in my soul, I need to let you go
Your eyes, they shine so bright, I wanna save that light
I can't escape this now, unless you show me how
 
Demons – Imagine Dragons
 
               ถึงแม้ว่าเดรโกจะไม่อยากละจากความอบอุ่นที่เขารู้สึกว่าเขาสัมผัสได้แค่ยามที่มีร่างเล็กของผู้หญิงที่เขารักอยู่แนบอกก็ตาม แต่เมื่อเสียงประตูเหล็กของห้องใต้หลังคาที่ทั้งสองมาอาศัยอยู่ชั่วคราวดังขึ้น เด็กหนุ่มก็รู้ทันทีที่ว่าเขาจำต้องพรากจากความอบอุ่นที่มาจากร่างบางของเฮอร์ไมโอนี่ไปชั่วขณะเมื่อเด็กสาวผละออกจากอ้อมกอดของเขาอย่างทันท่วงทีก่อนที่ประตูเหล็กบานนั้นจะส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดขึ้นอีกครั้ง
               สิ้นเสียงดังกล่าว ประตูเหล็กซึ่งเปรียบเสมือนกำแพงขวางกั้นระหว่างเขาและเฮอร์ไมโอนี่กับโลกแห่งความจริงที่เด็กหนุ่มจำต้องเผชิญก็เปิดขึ้น เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งที่กำลังจ้องมองมายังเด็กทั้งสองบนเตียงด้วยสายตาที่ไม่ได้บ่งบอกแววใด ๆ ไปมากกว่าความประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
               และขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่นั่งอยู่ไม่ได้ห่างจากมัลฟอยไปเสียเท่าไหร่บนเตียงนอนกำลังขยับตัวอย่างอึดอัดราวกับเธอเพิ่งถูกจับได้ว่าทำผิดกฎของโรงเรียนอยู่เข้าเต็ม ๆ  เฟรย่าก็พูดขึ้น
               “เธอฟื้นแล้วเหรอ คุณมัลฟอย ฉันหวังว่าเธอคงจะกินยาที่ฉันเตรียมมาให้แล้วสินะ” เฟรย่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ขณะที่เด็กหนุ่มที่กำลังอยู่บนเตียงพยายามลุกขึ้นมานั่งให้เรียบร้อยก่อนจะตอบเธอออกไป
               “ผมกินแล้ว” เขากล่าวพลางสบดวงตาสีน้ำเงินของเฟรย่าด้วยความรู้สึกอึดอัดเมื่อเขานึกถึงการเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายระหว่างเขาและหญิงสาวซึ่งในตอนนั้นหล่อนเป็นคนบอกเขาเองว่าหล่อนไม่สามารถรักษาเขาได้และเขาจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวต่อจากนี้
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจของเด็กหนุ่มก็แกว่งวูบด้วยความกลัวเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าเฟรย่าอาจจะบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการรักษาของเขาให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังในระหว่างที่เขาหมดสติอยู่ หรือไม่แน่เด็กสาวที่เขารักอาจจะเป็นคนถามหล่อนขึ้นมาเองก็ได้เพราะเขารู้ดีว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นมีนิสัยที่แก้ไม่หายคือการชอบตั้งคำถามในทุก ๆ เรื่องราวกับว่ามันฝังรากลึกในตัวของเด็กสาวไปเสียแล้ว และถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่ถามเฟรย่าออกไปถึงผลการรักษาของเขาและถ้าหากหล่อนบอกความจริงกับเธอไปล่ะว่าหล่อนซึ่งเป็นแม่มดที่ศึกษาการรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายมามากกว่าใครในโลกนี้ไม่สามารถรักษาเขาได้ และเขาจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวในคืนวันเพ็ญที่กำลังจะถึงนี้เล่า ความรู้สึกที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อเขานั้นจะเปลี่ยนไปในทางทิศทางใดกัน เพราะเด็กหนุ่มรู้อยู่เต็มอกว่าเด็กสาวไม่ได้รักเขา และอาจจะไม่มีวันรักเขาได้เนื่องจากการกระทำเลวร้ายของเขาเอง แต่เมื่อเธอรู้ความจริงว่าเดรโกจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าหลังจากนี้แล้ว สายตาที่เคยมองเขาซึ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกลัวหรือรังเกียจหรือไม่!
               หลังจากที่เขาปล่อยให้จิตใจของตนเองล่องลอยไปกับความคิดที่ไม่น่ารื่นรมย์ดังกล่าวแล้วนั้น เดรโกก็รู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดขึ้นตามไรผมของเขาเมื่อเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เยื้องย่างเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาและเฮอร์ไมโอนี่ ดวงตาสีเงินของเขาซึ่งเงยหน้ามองหญิงสาวผมดำนั้นฉายแววหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
               หากแต่ประโยคที่เด็กหนุ่มได้ยินว่ามันถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาวตรงหน้านั้นไม่ใช่ความจริงที่เขาอยากจะหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด หากแต่เป็นคำพูดที่แสนจะธรรมดาเกินกว่าที่จะออกมาจากริมฝีปากของเฟรย่าในยามนี้ได้
               “เธอรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงและแววตาราวกับว่าสิ่งเดียวที่หล่อนสนใจในตอนนี้ก็คือสุขภาพของเด็กหนุ่มเพียงเท่านั้น และมันต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่เดรโกจะตอบคำถามนั้นของหล่อนออกมาได้
               “ผมดีขึ้นแล้ว” เขาตอบออกไป และสิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มที่ดูลึกลับและเยือกเย็นของอีกฝ่าย รอยยิ้มที่สามารถตีความหมายเผิน ๆ ได้ว่าหล่อนพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน หากแต่ถ้ามองลึกเข้าไปในดวงตาสีราวกับทะเลสาบของเฟรย่าแล้ว เดรโกสาบานว่ามันมีความหมายมากกว่านั้นแฝงอยู่ในรอยยิ้มรวมถึงดวงตาของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านที่กำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ใน ณ ขณะนี้
               “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” เฟรย่าตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ขัดกับรอยยิ้มลึกลับของเธอ ก่อนที่จะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่
               มัลฟอยรู้สึกราวกับหัวใจของเขาจะหยุดเต้นเมื่อขณะที่เขารอฟังสิ่งที่เฟรย่าจะพูดออกมาต่อ
               “ฉันทำอาหารเย็นไว้ให้เธอทั้งสองคนแล้ว เธอคิดว่าเธอพอจะลงไปที่ห้องอาหารไหวไหม คุณมัลฟอย” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าที่ราบเรียบราวกับสิ่งที่เธอสนใจอย่างเดียวในตอนนี้คือการแน่ใจว่าเด็กทั้งมองจะอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเย็นหรือไม่เท่านั้น
               เด็กหนุ่มผมบลอนด์รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของหญิงสาวเป็นครั้งที่สอง หากแต่เขาก็เลือกที่จะตอบออกไปอย่างรวดเร็วมากกว่าครั้งแรกมากนักว่า “ผมคิดว่าผมลุกไหว”
               ทันทีที่พูดจบเด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็พยายามจะลุกขึ้นจากเตียง ขณะที่เด็กสาวข้างกายเขารุดเข้ามาประคองเขาทันที โดยมีเฟรย่ามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความพอใจ แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ก็ตาม
               “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ถึงยังไงเธอก็ต้องระวังหน่อยนะ คุณมัลฟอย เธอเพิ่งหายจากไข้มา เธอไม่ควรจะออกไปทำอะไรเสี่ยง ๆ ตอนนี้” หญิงสาวเตือนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่บอกเขาว่าหล่อนหมายความตามที่พูดจริง ๆ และเมื่อมัลฟอยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยอันแสนจะลึกลับของหล่อนแล้วนั้น เขาก็เข้าใจทันทีว่าเฟรย่าต้องการจะบอกอะไรกับเขา
               หญิงสาวรู้ดีว่าหล่อนรักษาเขาไม่ได้ เพราะว่าอาการของเขานั้นเกินขอบเขตที่หล่อนจะรักษาได้ไปเสียแล้ว พอ ๆ กับที่หล่อนรู้ดีว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เดรโกก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาสามารถออกจากบ้านหลังนี้ ออกจากเกาะกริมซีย์ และเดินทางกลับไปที่อังกฤษ ไปที่คฤหาสน์ของเขาได้ในทันที เพราะการอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้สร้างประโยชน์ให้แก่เด็กหนุ่มแต่อย่างใด แต่ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วนั้น เขาคงยังไม่สามารถออกจากที่นี่ในตอนนี้ได้เป็นแน่ และมันก็เป็นเพราะความดื้อดึงของเขาเองที่ยอมให้ตัวเองเดินตากฝนมาตลอดระยะทางจากหน้าผากลับมาที่บ้านหลังนี้ และในสภาพร่างกายที่เพิ่งฟื้นไข้ของเขาในตอนนี้ ยังไม่นับอาการเริ่มต้นของคนที่กำลังจะกลายเป็นมนุษย์หมาป่าอีก มันออกจะไม่ฉลาดเท่าไหร่ที่เขาจะเดินทางกลับอังกฤษในตอนนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ในวันนี้แน่นอน และเฟรย่าก็ฉลาดพอที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาโดยหลีกเลี่ยงการทำให้เฮอร์ไมโอนี่ล่วงรู้ถึงความจริงอันโหดร้ายที่ว่าหล่อนไม่สามารถรักษาเดรโกได้ออกไป
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วเด็กหนุ่มก็เบาใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเด็กสาวที่เขารักจะล่วงรู้ข่าวร้ายจากเฟรย่า อย่างน้อย ๆ ก็ก่อนที่เขาจะเป็นคนบอกเธอด้วยตัวของเขาเอง หากแต่เดรโกก็ไม่อาจจะตอบตัวเองได้เหมือนกันว่าเขาจะมีความกล้าพอที่จะบอกเฮอร์ไมโอนี่ถึงข่าวร้ายที่เขาเพิ่งได้รับออกไปหรือไม่
 
               ‘อย่างน้อย ๆ ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้น’ เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่มบลอนด์ราวกับมันต้องการช่วยกลบความกลัวและความกังวลอันมากมายมหาศาลของเขาต่อการเปิดเผยความจริงที่โหดร้ายนี้ให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักรู้ ซึ่งความกลัวในตรงนี้อาจจะมีมากกว่าความกลัวในการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าของเขาเองด้วยซ้ำ!
               เพราะถึงแม้ว่าเดรโกจะรู้ดีว่าเฮอร์ไมโอนี่เคยให้สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปก็ตาม ถ้าหากเขารักษาสัญญาของเขาเช่นกัน แต่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเขาจะรู้สึกหรือควรทำเช่นไร หากแววตาอันอ่อนโยนที่เด็กสาวเคยใช้มองเขานั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจเดียดฉันท์!
               แต่ก่อนที่มัลฟอยจะได้มีโอกาสปล่อยให้จินตนาการในแง่ร้ายของเขาโลดแล่นไปมากกว่านั้น เสียงอ่อนโยนของเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขาก็ดังขึ้น หากแต่มันช่างแผ่วเบาและฟังดูลังเลยิ่งนัก
               “เดรโก….” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นขณะที่มือเล็กของเธอเลื่อนมาแตะแขนของเขาราวกับเธอต้องการช่วยให้เขาลุกขึ้นยืนอย่างที่เขาตั้งใจจะทำก่อนหน้านี้ แต่เด็กหนุ่มกลับนิ่งเฉยต่อเสียงเรียกนั้นของเด็กสาว ตรงกันข้ามเขากลับเลือกที่จะนั่งอยู่บนเตียงอย่างเดิมและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ดูยากจะอ่านของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์
               “ครับ” เขาตอบเพียงเท่านั้น ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยมากที่สุดเท่าที่เขาจะบังคับให้มันเป็นได้ และเมื่อได้ยินคำตอบของเขาแล้วเฟรย่าก็พยักหน้าอย่างพอใจ
               “ฉันจะลงไปรอพวกเธอที่ห้องอาหารแล้วกันนะ เราจะได้ทานอาหารเย็นพร้อมกัน” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่ารื่นเริง ราวกับว่าการทานมื้อเย็นของพวกเขานั้นเป็นการมาอยู่พร้อมหน้ากันของครอบครัวก็ไม่ปาน
               หลังจากพูดจบร่างสูงของผู้เป็นเจ้าของบ้านก็หันหลังกลับไปยังทิศทางเดียวกับที่เธอเพิ่งเดินมา หากแต่ขณะที่หญิงสาวผมดำกำลังเดินผ่านโต๊ะหนังสือที่เป็นเครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้นในห้องไปนั้น ร่างนั้นก็หยุดชะงัก สายตาของเฟรย่าปรายไปมองหนังสือเล่มหนึ่งในบรรดาหลายเล่มที่เดรโกซื้อให้เฮอร์ไมโอนี่ตอนที่พวกเขาไปแวะค้างคืนที่เมืองดัลวิกซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะตัวนั้น มือเรียวของหญิงสาวผมดำเลื่อนไปสัมผัสปกหนังสืออย่างแผ่วเบาก่อนที่หล่อนจะหันมาพูดกับเด็กสาวที่บัดนี้นั่งอยู่บนเตียงข้าง ๆ เดรโก
               “เธอเลือกได้ดีนะ” หญิงสาวพูดเพียงเท่านั้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่มีท่าทีแปลกใจกับคำพูดนั้นของเฟรย่าไม่น้อยเลือกที่จะตอบถ้อยคำนั้นออกไปสั้น ๆ ว่า
               “ขอบคุณค่ะ” และเมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก็หันมาส่งยิ้มที่แสนจะลึกลับให้กับเด็กทั้งสองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะพาร่างสูงระหงเดินลงจากห้องใต้หลังคาไป
 
               ……………………………………………………………
 
               หลังจากที่แน่ใจว่าเฟรย่าออกไปจากห้องรวมถึงแน่ใจว่าประตูห้องปิดสนิทแล้วนั้นเดรโกก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังพยายามจะทำอะไรเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกายเขาก็รีบเข้ามาประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ทันที และแม้ว่ามัลฟอยจะต้องการแสดงออกว่าเขาแข็งแรงพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือของเฮอร์ไมโอนี่แต่อย่างใด และแม้ว่าเด็กสาวจะเห็นว่าเด็กหนุ่มสามารถลุกขึ้นยืนได้โดยไม่มีอาการโงนเงนแล้วก็ตาม แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาออกมา
               “เธอโอเคมั๊ย” เฮอร์ไมโอนี่ถาม เดรโกยิ้มให้กับคำพูดนั้นของเธอ
               “ฉันไม่เป็นไร เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดพลางยิ้มให้เธอเพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นไรจริง ๆ หากแต่รอยยิ้มที่เขาไม่แน่ใจว่ามันแนบเนียนเท่าไหร่ของเขานั้นอาจจะไม่พอที่จะทำให้เด็กสาวตรงหน้าเบาใจลงเท่าไหร่นัก เพราะเธอยังคงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงอยู่
               “แต่ไข้เธอเพิ่งลดนะ แล้วก็.....” ไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดจบ เดรโกก็พูดขึ้น
               “ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มผมบลอนด์กล่าว และเมื่อเขาเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อคำพูดของเขาเท่าไหร่นัก เขาจึงพูดต่อ “หรือจะต้องให้ฉันพิสูจน์ว่าฉันแข็งแรงดีด้วยการจูบเธออีกรอบ”
               เมื่อเขาพูดเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าขึ้นสีอีกครั้งก็ยกมือขึ้นมาตีแขนเขา “เดรโก!” หากแต่ไม่ทันที่เด็กสาวจะทำอะไรไปมากกว่านั้น มัลฟอยก็คว้าร่างบางของเธอเข้ามาโอบกอดไว้อีกครั้ง พลางจ้องลึกเข้าไปดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรักคู่นั้น
               “ฉันดีใจนะที่เธอเป็นห่วงฉันขนาดนี้” เด็กหนุ่มพูด
               “เธอก็รู้ว่าฉันเป็นห่วงเธอ เดรโก ฉัน……” เฮอร์ไมโอนี่ชะงักไปก่อนที่เธอจะพูดจบ ราวกับว่าเด็กสาวไม่แน่ใจว่าเธอควรจะพูดคำพูดต่อไปออกมาดีหรือไม่ หากแต่เมื่อเธอเห็นดวงตาสีเงินของฝ่ายตรงข้ามที่จ้องมองมาทางเธอและพบว่ามันแสดงออกถึงความรักที่เด็กหนุ่มมีต่อเธอออกมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วนั้น เด็กสาวพูดตัดสินใจพูดออกมา
               “ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่ตอนเธอหายไป เธอก็น่าจะรู้” เฮอร์ไมโอนี่อ้อมแอ้มพูดออกมา ขณะที่เธอรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวเพียงแค่เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอจ้องมองเธอเท่านั้น และเธอก็เลือกที่จะแสร้งมองไปที่อื่นแทนที่จะสบสายตาที่แสดงถึงความรักของฝ่ายตรงข้ามออกมาอย่างไม่มีปิดปัง
               หากแต่ถ้าเฮอร์ไมโอนี่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินคู่นั้นของเดรโกนานกว่านี้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว เด็กสาวก็คงสามารถเห็นร่องรอยแห่งความกังวลใจที่ปรากฎชัดในแววตาของเด็กหนุ่ม อย่างที่เรียกได้ว่ามันชัดเจนไม่แพ้ตอนที่เขาใช้มันแสดงถึงความรักที่มีต่อเธอออกมาเลย
               แม้จะไม่เห็นแววตาที่แสดงถึงความกังวลออกมาอย่างชัดเจนของร่างตรงหน้าก็ตาม แต่เด็กสาวผู้กำลังตกอยู่ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไป เพราะเมื่อเฮอร์ไมโอนี่เห็นว่าเดรโกไม่โต้ตอบในสิ่งที่เธอพูดออกมา ดวงตาสีน้ำตาลของเธอจึงเงยขึ้นมาสบตาร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไรออกไปนั้น เด็กหนุ่มก็ชิงพูดสิ่งที่เป็นการตอบคำถามของเธอออกมาเสียก่อน
               “ฉันขอโทษ เฮอร์ไมโอนี่ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ทำให้เธอเป็นห่วงแบบนั้นอีก” เดรโกพูดออกมาอย่างราบเรียบ พลางยิ้มบาง ๆ ให้เธอ หากแต่ในขณะที่กำลังพยายามทำท่าทีให้ปกติมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้อยู่นั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดขึ้นตามไรผมสีบลอนด์ของเขายามที่เขาต้องโกหกเด็กสาวตรงหน้าออกไปอีกครั้ง เพราะถึงแม้ว่ามัลฟอยจะให้สัญญากับผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดไปเพิ่มไปอีกข้อก็ตาม แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะสามารถรักษาสัญญานี้ไว้ได้นานเท่าไหร่!
               และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้มีท่าทีติดใจอะไรกับท่าทางของเด็กหนุ่ม หรืออย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ได้ติดใจพอที่จะถามออกมาแล้วนั้น เขาก็รีบพูดขึ้น
               “ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย แล้วเราค่อยลงไปกินข้าวกันดีไหม” มัลฟอยพูดขึ้นอย่างราบเรียบ ขณะที่เด็กสาวที่อยู่ในฐานะคนรักและทาสของเขาพยักหน้าให้ ก่อนจะตั้งท่าเดินไปหยิบเสื้อผ้าของเดรโกและของเธอที่เธอจัดวางไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องนี้หลังจากที่พวกเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน แต่เดรโกกลับห้ามเขาไว้ก่อน
               “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันทำเอง” เขาพูดออกไป และเมื่อเด็กสาวผมสีน้ำตาลหันกลับมามองเขาอย่างไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มจึงอธิบายให้เธอฟัง ขณะที่เขาเดินไปหาเธอที่หน้าตู้เสื้อผ้า เขาจ้องลึกเข้าในแววตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรักก่อนจะพูดออกมา
               “ฉันไม่อยากให้เธอต้องมารับใช้ฉันเหมือน……” เดรโกชะงักที่คำพูดนั้น “เหมือนคนรับใช้ฉันอีกต่อไปแล้ว เพราะในตอนนี้ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นคนรับใช้หรือแม้กระทั่งทาสของฉันอีกต่อไปแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสายตาที่บอกว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมาเป็นอย่างดี
               “ฉันต้องการให้เธอเป็นคนรักของฉัน” เขาพูดออกไปอีกครั้ง แม้ว่าคำพูดนี้จะแสดงถึงความปรารถนาที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเด็กหนุ่มก็ตาม หากแต่เขากลับรู้สึกว่าเขาพูดมันออกมาให้อีกฝ่ายได้ยินบ่อยเหลือเกินตั้งแต่พวกเขาออกเดินทางมาด้วยกัน ราวกับว่าตัวเด็กหนุ่มเองไม่สามารถเก็บความปรารถนานี้ไว้ในใจได้อีกต่อไปแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ในตอนที่เขาเพิ่งค้นพบว่าเขาจะต้องเผชิญชะตากรรมที่มืดมนไปตราบจนตลอดชีวิตของเขา
               เด็กสาวตรงหน้าไม่พูดอะไรออกมา หากแต่เธอมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาที่เกือบจะแสดงออกว่าเธอเห็นใจเขาเพียงเท่านั้น
               “ฉันรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้” เด็กหนุ่มพูดออกมาสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามจะบังคับให้มันฟังดูไม่สั่นเครือ หากแต่เขาก็ไม่สามารถบังคับตัวได้นานนัก จนในที่สุดเขาเลือกที่จะคว้าร่างตรงหน้ามากอดอีกครั้งเพื่อซ่อนใบหน้าที่แทบจะแตกสลายไปด้วยความเศร้าของเขาไม่ให้เธอเห็น
               แต่ถึงเดรโกจะทำเช่นนั้น มันก็ไม่อาจจะซ่อนร่างใหญ่ที่สั่นเทาของเขาจากสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังโอบกอดเขาตอบได้ อย่างน้อย ๆ เธอก็ได้รับรู้ถึงความโศกเศร้าและสิ้นหวังของเด็กหนุ่มตรงหน้า และได้รับรู้ว่านี่เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงนั้นไม่สามารถทนรับต่อความเศร้าไว้ได้จนเขาต้องปลอดปล่อยมันออกมา ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางความเงียบอยู่เนิ่นนาน หากแต่เด็กสาวกลับไม่ได้พูดอะไรออกมามากไปกว่าการใช้มือเล็กของเธอลูบแผ่นหลังที่สั่นเทาของเด็กหนุ่มตรงหน้า และหลังจากผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง หลังจากเดรโกรู้สึกว่าความเศร้าเริ่มจางหายไปบ้าง และเขาเริ่มกลับมาควบคุมสติได้แล้วนั้น อยู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็ทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาโดยการเอ่ยปากพูดออกมา
               “ฉันก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” เสียงนุ่มนวลของเด็กสาวล่องลอยไปกระทบประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่มที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเท่าไหร่นัก แม้ว่านี่จะไม่ใช่การบอกรักเขาตอบอย่างที่เขาปรารถนาจะได้ยินมาตลอดตั้งแต่เขารู้ตัวว่าเขาหลงรักเด็กสาวเลือดสีโคลนคนนี้เข้าจนหมดหัวใจแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ คำพูดนี้ของเฮอร์ไมโอนี่มันก็พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจที่เหือดแห้งของเขาให้เต้นต่อไปได้อีกหน่อย หรืออย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้เด็กหนุ่มเชื่อว่าตัวเขาคิดไม่ผิดที่เลือกที่จะกลับมาเพื่อเผชิญหน้าอุปสรรคนานัปประการที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของเขา รวมทั้งของเธอด้วย เพราะถึงอย่างไรก็ตาม ถ้อยคำที่ใกล้เคียงกับการบอกรักมากที่สุดเท่าที่เดรโกเคยได้รับจากเฮอร์ไมโอนี่ในครี้งนี้มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือการปกป้องผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงที่จะเข้ามาทำร้ายเธอ แม้ว่ามันจะรวมถึงอันตรายที่มาจากตัวเขาเองด้วยก็ตาม!
 
               ……………………………………………………………
 
               หลังจากต้องใช้เวลาสักครู่เพื่อสงบสติอารมณ์และเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ในไม่ช้าเด็กทั้งสองก็ลงไปปรากฏตัวที่ห้องอาหารก่อนที่เฟรย่าจะขึ้นมาตามทั้งสองเสียก่อน และวินาทีแรกที่ทั้งสองก้าวลงมาจากห้องใต้หลังคาสิ่งที่ทั้งเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่สัมผัสได้นั้นก็คือกลิ่นหอมอบอวลที่ลอยมาจากห้องอาหาร
               บนโต๊ะอาหารที่เฮอร์ไมโอนี่เคยใช้มันทานอาหารกลางวันกับเฟรย่าก่อนหน้านี้นั้นเต็มไปด้วยจานอาหารนานาชนิดที่ส่งกลิ่นหอมฉุย สำหรับหญิงสาวผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นกำลังง่วงอยู่กับการเสกให้จานอาหารจานแล้วจานเล่าลอยมาวางบนโต๊ะอย่างประณีต และเมื่อเฟรย่าสังเกตเห็นการมาถึงของแขกทั้งสองแล้วนั้น หล่อนก็รีบพูดขึ้นหลังจากสะบัดไม้กายสิทธิ์ให้จานเปล่าทั้งสามใบร่อนลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล
               “ฉันว่าจะไปตามพวกเธออยู่พอดีเลย นั่งลงสิจ๊ะ” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แลดูเชิญชวนและลึกลับในคราเดียวกัน และถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่รู้อยากอาหารเท่าใดนักก็ตาม แต่เดรโกก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับว่าการได้กลิ่นอาหารหอมฉุยเหล่านี้มันทำให้เขาเพิ่งนึกได้ตอนนี้เขารู้สึกหิวเพียงใดหลังจากไม่มีอาหารตกถึงท้องเขามาตั้งแต่หลังมื้อเช้าแล้ว
               และเมื่อไม่เห็นทางเลือกใดนอกจากจะรักษาร่างกายของเขาให้แข็งแรงเพื่อปกป้องผู้หญิงที่เขารักต่อไป เดรโกก็เลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งขณะที่เฮอร์ไมโอนี่นั่งหมิ่น ๆ ลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เขา เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเหยือกน้ำที่เฟรย่าเสกให้มาเทเครื่องดื่มลงในแก้วของเธอก่อนที่มันจะลอยไปเทเครื่องดื่มให้แก้วของเดรโกต่อ ขณะที่เด็กหนุ่มสำรวจอาหารที่อยู่ตรงหน้า
               “ฉันทำซันเดย์โรสไว้ให้พวกเธอด้วยนะจ๊ะ เผื่อว่าพวกเธอจะคิดถึงอาหารอังกฤษขึ้นมา” เฟรย่าพูดอย่างเชื้อเชิญ ก่อนจะร่ายเวทมนตร์ให้เมนูดังกล่าวลอยมาวางตรงหน้าเด็กทั้งสอง ขณะที่เด็กหนุ่มผู้ซึ่งไม่แน่ใจว่าวันนี้เป็นวันไหนของสัปดาห์กันแน่มองอาหารตรงหน้าราวกับว่ามันเป็นแค่เครื่องมือฟื้นฟูกำลังวังชามากกว่าสิ่งที่จะให้ความสุขในการลิ้มรส ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมา
               “ขอบคุณครับ” เขาพูดเพียงแค่นั้น ก่อนที่จะลงมือกินซันเดย์โรสของเขา แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาจากที่นั่งข้าง ๆ แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมามากนัก อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ต่อหน้าเจ้าของบ้านผมดำที่กำลังมองทั้งสองด้วยสายที่แทบจะเรียกได้ว่าประเมิน แต่เมื่อเห็นว่าร่างข้าง ๆ ยังคงส่งสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงมาทางเขาอยู่ดี เด็กหนุ่มจึงหันไปพูดกับทาสสาวและคนรักของเขา
               “ทานกันเถอะ” เขาพูดกับเฮอร์ไมโอนี่เพียงเท่านั้น และเมื่อเห็นเช่นนั้นทั้งเด็กทั้งสองซึ่งอยู่ในฐานะแขกของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็ลงมือกินอาหารมื้อเย็นกันเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาของแม่มดผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งจ้องมองจากอีกฝั่งของโต๊ะอาหารมายังทั้งสองด้วยแววตาราวกับว่าหล่อนกำลังจับตาดูพวกเขาอย่างใกล้ชิดก็ไม่ปาน
 
               ……………………………………………………………
 
 
               ในเวลาไม่นานนักทั้งเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่ก็อิ่มหนำกับอาหารมื้อเย็นแบบฉบับอังกฤษฝีมือเฟรย่า ถึงแม้ว่าทั้งสองจะออกจากอังกฤษอันเป็นบ้านเกิดของทั้งคู่มาได้เพียงไม่กี่วันก็ตาม แต่การได้มากินอาหารต้นตำรับอังกฤษแบบนี้มันก็ทำให้เดรโกรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมาไม่น้อย แม้เด็กหนุ่มจะรู้ดีว่ามีอุปสรรคหลายอย่างที่เขาต้องเผชิญเมื่อเขากลับไปถึงคฤหาสน์ของเขาก็ตาม
               ขณะที่ในใจของเด็กหนุ่มครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องประสบพบเจอเมื่อเขาและเฮอร์ไมโอนี่เดินทางกลับไปยังคฤหาสน์ของเขาอยู่นั้น ทำให้เสียงของเฟรย่าที่เอ่ยถามทั้งสองว่าต้องการกินของหวานหรือไม่นั้นเหมือนจะลอยมาจากที่ไกลแสนไกล ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงเด็กสาวที่เรียกชื่อเขา
               “เดรโก.....เดรโก…..” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยขึ้นเบา ๆ เด็กหนุ่มหันไปหาเธอทันที
               “เฟรย่าถามน่ะว่าเธออยากจะกินของหวานหรือเปล่า” เธอกระซิบ และมันต้องใช้เวลาอยู่หลายวินาทีแน่ ๆ กว่าที่คำพูดนั้นจะซึมซับเข้าสู่สมองของเดรโกที่คิดเรื่องอื่นอยู่ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเด็กหนุ่มรู้ตัว เขาก็ตอบเด็กสาวออกไปในทันที
               “แล้วเธออยากกินหรือเปล่าล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
               “ฉันอิ่มแล้วแหละ แล้วเธอล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ และหลังจากคิดอยู่ไม่นานเขาก็หันไปตอบคำถามนั้นกับผู้เป็นเจ้าของบ้านแทน
               “ผมก็อิ่มแล้ว ขอบคุณนะ พวกเราขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อน” เขากล่าวตัดบท ราวกับว่าการพักผ่อนเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ แต่ก่อนที่เด็กทั้งสองจะลุกจากโต๊ะอาหารและเดินออกจากห้องไปนั้น เฟรย่าก็รั้งพวกเขาไว้ก่อนเมื่อหล่อนพูดขึ้น
               “ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย คุณมัลฟอย” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านพูดขึ้น
               ตรงกันข้ามกับหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้าน เด็กหนุ่มผมบลอนด์กลับคิดว่าเขากับเฟรย่านั้นไม่เหลืออะไรให้ต้องพูดคุยกันอีกแล้ว และมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะต้องไปคุยกับหล่อนเป็นการส่วนตัวอีก นับตั้งแต่หล่อนบอกว่าอาการของเขาหมดทางรักษาแล้ว และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงพูดออกไป
               “ผมไม่คิดว่า…..” ไม่ทันที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์จะได้พูดจนจบ หญิงสาวผมดำก็ขัดขึ้นเสียก่อน
               “ถ้าคุณจะกรุณา คุณมัลฟอย ฉันสัญญาว่าฉันจะรบกวนเวลาคุณไม่นาน” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่หนักแน่น แววตาสีน้ำเงินที่เหมือนกับทะเลสาบหล่อนที่มองเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นราวกับจะบอกว่าสิ่งที่หล่อนต้องการจะพูดกับเขาเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
               และเมื่อเห็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะจินตนาการไม่ออกเลยว่ามีเรื่องอะไรที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ต้องการจะพูดคุยกับเขาอีก เดรโกก็ตัดสินใจหันไปบอกเด็กสาวข้างกาย
               “เธอขึ้นไปรอบนห้องก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะตามไป” เขาหันไปพูดกับเฮอร์ไมโอนี่ที่มองเขาด้วยสายที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ หากแต่เธอก็ยอมทำตามแต่โดยดี
               และเมื่อเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าพยักหน้าตอบตกลงกับคำขอของเขาแล้วนั้น เดรโกก็หันกลับไปทางร่างสูงของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก่อนจะพูดขึ้น
               “ตกลงครับ” เด็กหนุ่มพูดออกมา และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฟรย่าจึงผายมือในเชิงเชื้อเชิญเขาพร้อมกับพูดขึ้น
               “เชิญที่ห้องทำงานฉัน คุณมัลฟอย” หญิงสาวกล่าว ขณะที่เดรโกพยักหน้าและเดินตามเฟรย่าไปติด ๆ หากแต่ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องอาหารไปนั้นเด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเด็กสาวผู้เป็นที่รักที่กำลังจะเดินออกจากห้องอาหารไปเพื่อค้นพบว่าอีกฝ่ายเองก็หันกลับมามองทางเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน
 
               ……………………………………………………………
 
               หลังจากที่ทั้งเขาและเฟรย่าเข้ามาอยู่ในห้องทำงานของหญิงสาวเรียบร้อยแล้วนั้น เฟรย่าก็เลือกที่จะร่ายคาถากันรบกวนขึ้น ขณะที่เดรโกขมวดคิ้วให้กับการกระทำนั้น เพราะเด็กหนุ่มจำได้ว่าในตอนที่เฟรย่าให้เขาดื่มยาเพื่อทดสอบว่าพิษหมาป่ากระจายไปทั่วร่างของเขาแล้วหรือยังนั้นหญิงสาวไม่ได้เดือดร้อนที่จะร่ายคาถากันรบกวนเลยสักนิด แม้หล่อนจะรู้ดีกว่า เขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรหลังจากดื่มยาขนานนั้นเข้าไป ซึ่งคำตอบก็คือเด็กหนุ่มต้องทนทุกข์ทรมานและกรีดร้องอย่างทุรนทุรายจากความเจ็บปวดประหนึ่งเขาได้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาเข้าจริง ๆ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของตำรับยาขนาดนั้นก็เลือกที่จะไม่ร่ายคาถากันรบกวนที่สามารถป้องกันไม่ให้เสียงร้องของเราเล็ดลอดออกไปจากห้องทำงานแห่งนี้ไปได้แต่อย่างใด แล้วทำไมตอนนี้หล่อนถึงอยากจะร่ายคาถากันรบกวนเพื่อปกป้องการพูดคุยที่ไม่น่าจะส่งเสียงรบกวนใด ๆ มากไปกว่าเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดทรมานที่เขาต้องเผชิญก่อนหน้านี้กันเล่า!
               แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ถามอะไรออกไปนั้น หญิงสาวผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้านก็พูดขึ้น
               “เชิญนั่งก่อนสิ” เฟรย่าผายมือไปยังเก้าอี้ตัวเดิมที่เด็กหนุ่มเคยนั่งมาก่อนในตอนที่เขาได้รับฟังข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเขาจากปากของหล่อนเอง และเมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุยกับแม่มดผมดำคนนี้เท่าไหร่อยู่แล้วก็เลือกที่จะปฏิเสธคำเชิญนั้น
               “ไม่ล่ะ ขอบคุณ” เขาพูด หากแต่เฟรย่ากลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม ราวกับว่าการนั่งลงของเขานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการพูดคุยกันครั้งนี้ระหว่างเขาและหล่อน
               “กรุณานั่งลงก่อน คุณมัลฟอย” แม้ว่าน้ำเสียงที่เฟรย่าเอ่ยออกมาจะหนักแน่น หากแต่แววตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบของหล่อนที่ปรกติจะดูลึกลับนั้น ครานี้มันกลับเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจจนเดรโกรู้สึกถึงความอึอดอัดที่แผ่ออกมาจากสายตาที่หล่อนใช้มองเขา และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจยอมทำตามคำขอเล็ก ๆ ของแม่มดผู้เป็นเจ้าของบ้านแต่โดยดี
               หลังจากแน่ใจว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นแขกนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว เฟรย่าจึงเดินอ้อมไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทำงานของหล่อนด้วยท่าทีชดช้อย หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว แม่มดสาวก็เอนกายมาด้านหน้าราวกับหล่อนไม่ต้องการให้มีพื้นที่ขวางกั้นระหว่างเขาและพ่อมดหนุ่มตรงหน้ามากนัก ก่อนจะเงยหน้ามองร่างตรงหน้าด้วยสายตาที่ผสมปนเปไประหว่างความอึดอัดและความเห็นอกเห็นใจ หากแต่หญิงสาวก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาในทันที
               “คุณเป็นคนบอกว่าคุณมีเรื่องจะต้องคุยกับผมเองนะ” เดรโกพูดทำลายความเงียบออกมาเมื่อเขาเห็นว่าแม่มดสาวตรงหน้าไม่ยอมเอ่ยปากพูดธุระของหล่อนออกมาเสียที เฟรย่าหลบตาเขาก่อนด้วยท่าทีลำบากใจก่อนจะพูดขึ้น
               “ใช่ คุณมัลฟอย ฉันมีเรื่องพูดกับเธอเป็นการส่วนตัว” หล่อนพูด
               “คุณเลยต้องร่ายคาถากันรบกวนขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ คุณมีอะไรจะคุยกับผมกันแน่คุณถึงกลัวว่าจะมีใครมาแอบฟังแบบนี้” เด็กหนุ่มถามออกมาตามตรง แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าคนที่เฟรย่าไม่ต้องการจะให้มารบกวนหรือมารับรู้บทสนทนานี้ระหว่างเขาและหล่อนนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฮอร์ไมโอนี่ที่เป็นมนุษย์อีกเพียงคนเดียวในบ้านเท่านั้น หากแต่เฟรย่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องป้องกันไม่ให้เฮอร์ไมโอนี่ล่วงรู้การพูดคุยระหว่างพวกเขากัน ในเมื่อสักวันหนึ่งเด็กสาวก็ต้องรู้อยู่ดีกว่าการรักษาของเฟรย่านั้นไม่ได้ผล สักวันหนึ่งเด็กสาวก็ต้องรู้อยู่ดีว่าเขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
               แทนที่จะแม่มดสาวจะตอบคำถามนั้นของเด็กหนุ่มออกมาตรง ๆ เฟรย่ากลับพูดออกมาเรียบ ๆ ว่า
               “ฉันอยากพูดเกี่ยวกับการรักษาของเธอ ฉัน…..” ไม่ทันที่เฟรย่าจะพูดจบ พ่อมดหนุ่มตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก่อนหน้าเกือบจะล้มลง
               “ผมไม่มีอะไรต้องพูดกับคุณแล้ว ในเมื่อคุณพูดออกมาแล้วว่าคุณไม่สามารถรักษาผมได้” เดรโกพูดขึ้นโดยที่เขาต้องพยายามอย่างยิ่งไม่ให้เสียงของเขาสั่น
 
               และไม่มีใครในโลกที่รักษาเขาได้ และเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในฐานะสัตว์ร้ายไปตลอด!
 
               ความจริงที่แสนโหดร้ายนั้นผุดขึ้นมาในหัว หากแต่เด็กหนุ่มก็ยั้งตัวเองไม่ให้เปล่งเสียงพูดมันออกมาได้ แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากก็ตาม!
               “เว้นเสียแต่ว่าคุณจะต้องการค่ารักษาผมเพิ่ม ซึ่งผมขอปฏิเสธที่จะให้คุณ เราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว….” เด็กหนุ่มพูดออกมา แต่ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและเดินไปที่ประตูเพื่อที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาต้องมารับรู้ถึงโชคชะตาต้องสาปของเขาแล้วนั้น เสียงอันหนักแน่นหากแฝงไว้ด้วยความกังวลของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ดังขึ้นเพื่อรั้งร่างสูงของเด็กหนุ่มเอาไว้
               “เดรโก ได้โปรดฟังฉันก่อน” หล่อนกล่าว “ที่ฉันอยากจะพูดก็คือ……มันอาจจะมีทางที่จะรักษาเธอได้” เสียงนุ่มของเฟรย่ากล่าวให้กับแผ่นหลังจากเด็กหนุ่มผมบลอนด์ และในวินาทีต่อมาเดรโก มัลฟอยก็หันหลังกลับมาพร้อมกับมือหนึ่งของเขาที่ชี้ไม้กายสิทธิ์มายังแม่มดสาวตรงหน้า!!!
               “อย่าบังอาจมาล้อเล่นกับความรู้สึกของผม!” เด็กหนุ่มเน้นย้ำแต่ละถ้อยคำอย่างหนักแน่นด้วยน้ำเสียงที่เฟรย่าไม่แน่ใจว่ามันเต็มไปด้วยความโกรธ ความเศร้า หรือความสับสนมากกว่ากันแน่ และถึงแม้จะเห็นว่าร่างสูงที่สั่นเทิ้มของเด็กหนุ่มผมบลอนด์กำลังชี้ไม้กายสิทธิ์มาทางหล่อนก็ตาม เฟรย่าก็ไม่ได้ยกไม้ของหล่อนขึ้นมาป้องกันตัวแต่อย่างใด
               “ฉันไม่ได้ต้องการจะล้อเล่นอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวตอบ
               “ก่อนหน้านี้คุณบอกผม......คุณบอกผมว่าผมไม่มีทางรักษาแล้ว……คุณบอกผมว่าผมต้องเป็นมนุษย์หมาป่าไปตลอดชีวิตของผม!!!” เด็กหนุ่มแผดเสียง มือที่ถือไม้กายสิทธิ์ของเขานั้นสั่นเทา ดวงตาสีเงินที่ปรกติแลดูโศกเศร้าและกังวลบัดนี้กลับราวโรจน์ด้วยความโกรธเคืองและสิ้นหวังเมื่อร่างสูงของเดรโก มัลฟอยสืบเท้าเข้ามาใกล้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านอีกก้าวหนึ่งขณะที่มือที่ถือไม้กายสิทธิ์ของเขายังคงชี้ไปที่ร่างสูงของเฟรย่า
               “ตอนนั้นคุณโกหกผมอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ระคนไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง และสิ่งที่เดรโกได้รับตอบกลับมาก็คือสีหน้าและแววตาของหญิงสาวตรงหน้าที่ไม่ได้แสดงอะไรออกมานอกจากความเป็นห่วงและเห็นอกเห็นใจ
               “ฉันเสียใจที่ฉันพูดแบบนั้นออกไป ฉัน…..” ไม่ทันที่เฟรย่าจะพูดจนจบ เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ขัดขึ้นอีกครั้ง
               “บอกผมมาคำเดียว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังหากแต่สั่นเทิ้มในคราเดียวกัน
               “บอกผมมาว่ามีทางที่จะรักษาผมอีกไหม! ไม่ว่าทางไหนก็ตาม บอกผมมา!” เดรโกเค้นถ้อยคำสุดท้ายออกมาริมฝีปากอย่างยากเย็น ราวกับเขามันต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะพูดมันออกมา และมันอาจจะเป็นเพราะ แท้ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าเฟรย่าจะมาบอกว่าหล่อนมีทางรักษาเขา หลังจากที่เขาเคยถามคำถามเดียวกันกับหล่อนไปก่อนหน้านี้และได้คำตอบที่น่าสิ้นหวังกลับมา และเพราะคำตอบนั้นเองที่ทำให้เขาเกือบตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองอยู่ที่นี่เสียแล้ว! แต่พอเขาเอาตัวรอดกลับมาได้ หล่อนกลับมาบอกเขาว่าเขายังมีหวังที่จะหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าอยู่น่ะหรือ หล่อนต้องการเล่นตลกอะไรกัน!!!
 
               เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสอง แม้ในใจของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยจะไม่เชื่อสิ่งที่แม่มดสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านเพิ่งพูดออกมาอย่างสนิทใจก็ตาม หากแต่เมื่อหล่อนเอ่ยปากตอบคำถามอันแสนจะคาดคั้นของเขาออกมา เด็กหนุ่มก็ตั้งใจฟังทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของเฟรย่าเป็นอย่างดี
               “มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาเธอให้หายได้” หล่อนพูดขึ้น “แต่มันเป็นเส้นทางที่ยากละอันตรายมาก”
               “ผมไม่สนเรื่องนั้น ผมขอแค่มันได้ผล” เดรโกขัดขึ้น
               “แน่นอนว่ามันจะได้ผล แต่เธอก็ควรจะสนเรื่องที่ฉันกำลังจะพูดด้วย คุณมัลฟอย เพราะวิธีที่ฉันพูดถึงเป็นเวทมนตร์ขั้นสูงและมันเรียกร้องราคาที่สูงลิ่วในการร่ายมันขึ้นมา” เฟรย่าเสริมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หากแต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ได้สนใจฟังประโยคต่อไปแต่อย่างใด ราวกับว่าเขาสนใจเพียงแค่คำตอบก่อนหน้าของเฟรย่าเพียงเท่านั้น ซึ่งมันเป็นคำตอบที่ว่ายังคงมีทางรักษาเขาอยู่ แม้ว่ามันจะยากลำบากหรือต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตามเขาก็ไม่ลังเลที่จะจ่าย หากมันทำให้เขาสามารถรอดพ้นคำสาปของการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้แล้วนั้น ไม่ว่าจะราคาค่างวดของมันจะสูงเพียงใดก็ตาม มันก็คงคุ้มค่าที่จะแลกกับการที่เขาจะหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าทั้งสิ้น
               และนี่เป็นครั้งแรกที่เดรโกเพิ่งรู้ตัวว่าความปรารถนาที่จะหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าของเขาแรงกล้าเพียงใด แม้ว่าเด็กหนุ่มรู้มาก่อนแล้วว่าในใจของเขานั้นเต็มล้นไปด้วยความปรารถนาประการนี้ หากแต่หลังจากที่เขาต้องผ่านความทรมานจากการผิดหวังมาครั้งหนึ่งแล้ว และพอเขาได้รับการหยิบยื่นโอกาสครั้งที่สองแล้วนั้น เดรโกก็เพิ่งค้บพบว่าความปรารถนาต่อการหายเป็นปรกติของเขานั้นกลับทับทวีคูณขึ้น ราวกับเขาไม่ต้องการที่จะกลับไปอยู่ ณ จุดที่ความหวังทุกอย่างดับสูญลงอย่างที่เขาเคยผ่านมันมาอีกแล้ว และเมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจในทันทีว่า ไม่ว่าเวทมนตร์ที่เฟรย่าบอกเขานี้จะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม เขาก็ยินยอมที่จะจ่ายมัน!
               เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เดรโก มัลฟอยจึงพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งมากกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
               “ผมไม่สนว่ามันจะมีราคาเท่าไหร่ ผมแค่ต้องการหายเท่านั้น” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเรียกได้ว่ากระตือรือร้น พลางมองฝ่ายตรงข้ามด้วยดวงตาสีเงินที่มีเริ่มมีแววแห่งความหวังปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ร่างตรงหน้านั้นตอบแทนแววตาของเขาด้วยสายตาที่แสดงความเห็นอกเห็นใจระคนเศร้าสร้อยก่อนที่หล่อนจะพูดออกมา
               “เธอไม่ใช่คนแรกที่คิดแบบนั้น เดรโก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า และเมื่อหล่อนเห็นท่าทีที่แสดงถึงความไม่เข้าใจของฝ่ายตรงข้าม หล่อนจึงพูดต่อ “ฉันก็เคยคิดแบบเธอ ฉันก็เคยคิดว่ามันจะเป็นราคาที่ฉันจ่ายไหว”
 
               ……………………………………………………………
 
               เด็กหนุ่มกระพริบตาอย่างสงสัยกับคำพูดของหญิงสาวผมดำ แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป เฟรย่าก็โบกมือให้เขาราวกับหล่อนต้องการให้เขานั่งลงอีกครั้ง และคราวนี้เดรโกเลือกที่จะไม่ปฏิเสธคำเชิญของหล่อนเหมือนครั้งก่อน ๆ อีกแล้ว
               หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ณ ตำแหน่งที่เขาได้ผ่านอารมณ์หลากหลายมาเรียบร้อยแล้วนั้น เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะเอ่ยปากถามขึ้น
               “ผมไม่เข้าใจ เท่าที่คุณบอกผมสามีของคุณถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายไม่ใช่หรือ” เขาถามออกไปตามตรง แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เพียงเฟรย่าเท่านั้นที่บอกเขาเรื่องสามีของหล่อน แต่เขาเองก็ได้ยินเรื่องสามีของเฟรย่ามาจากพ่อของเขารวมถึงสเนปตั้งแต่ก่อนเขาเดินทางมาที่ไอซ์แลนด์นี่แล้ว หากสามีของเฟรย่าเป็นคนที่ต้องการการรักษาแล้วทำไมเฟรย่าถึงพูดราวกับว่าเธอเป็นคนที่ต้องจ่ายราคาอันสูงลิ่วของการใช้เวทมนตร์สำหรับรักษานี้ด้วยล่ะ
               คราวนี้เฟรย่าไม่ได้ตอบเขาออกมาในทันที หญิงสาวสูดลมหายใจลึกและนิ่งเงียบไปคู่หนึ่งราวกับหล่อนต้องการพละกำลังมหาศาลในการทำตอบคำถามนี้ของเด็กหนุ่ม และแม้ว่าจะมีคำถามมากมายผุดขึ้นในใจหลังจากที่เขาเพิ่งค้นพบความจริงเรื่องหนทางใหม่ในการรักษาเขาก็ตาม หากแต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมัลฟอยก็เลือกที่จะตั้งใจฟังแม่มดสาวตรงหน้าตอบเขาออกมาอย่างใจเย็นกว่าที่เขาเป็นก่อนหน้านี้ เดรโกเลือกที่จะรอจนกระทั่งเขาเห็นว่าเฟรย่ามีท่าที่พร้อมที่จะเอ่ยปากเล่าเรื่องทุกอย่างออกมา
               “อันดับแรกฉันต้องขอโทษเธอนะ ที่ฉันไม่ได้บอกความจริงกับเธอทั้งหมดก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นฉันไม่คิดว่าวิธีการรักษานี้มันเป็นทางที่เป็นไปได้สำหรับเธอ” เฟรย่าค่อย ๆ อธิบาย “และถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงคิดว่าหนทางนี้ไม่ได้เป็นไปได้ขึ้นมาเท่าไหร่หรอกนะ แต่หลังจากที่ฉันลองทบทวนดูแล้ว ฉันคิดว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทางเลือกนี้ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเลือกมันด้วยตัวเธอเอง” หญิงสาวอธิบายให้กับสีหน้าที่ดูไม่เข้าใจนักของเด็กหนุ่มผมบลอนด์
               “ตกลงผมมีความหวังที่จะหายใช่ไหม” เขาถามขึ้นอีกครั้งราวกับว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาให้ความสนใจในตอนนี้
               แทนคำตอบ เฟรย่ายิ้มบาง ๆ ให้เขา หากแต่ในสายตาของเดรโกแล้วนั้นมันกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน
               “มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายซึ่งเชื้อหมาป่ากระจายไปทั่วร่างแล้วอย่างเธอได้ แต่อย่างที่ฉันบอกเธอไปก่อนหน้านี้ เวทมนตร์แขนงนี้เป็นมนตร์โบราณที่เรียกร้องราคาที่สูงลิ่ว มันเป็นมนตร์ของพวกวีล่าที่ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่พ่อมดแม่มดทั่วไป มันสามารถรักษาเธอได้แต่มันมีราคาที่ต้องจ่าย”
               แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจถึง ‘ราคา’ ที่มนตราโบราณนี้เรียกร้องก็ตาม แต่เด็กหนุ่มพอจะเดาได้ว่าเขาคงต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อแลกกับการรักษาในครั้งนี้ของเขา และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องจ่ายนั้นคงไม่ใช่แค่ทองหรือวัตถุเวทมนตร์ล้ำค่าที่ตระกูลของเขามีอยู่อย่างเหลือเฟือเป็นแน่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์คงไม่ได้มีท่าทีลำบากใจต่อการใช้มนตร์โบราณในการรักษาเขารวมถึงหล่อนคงไม่จำเป็นต้องเก็บงำวิธีการรักษานี้ไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายแบบนี้เป็นแน่
               แม้ว่าจะสงสัยเป็นอย่างมากถึง ‘ราคา’ ที่เขาจะต้องจ่ายในการรับการรักษาครั้งนี้มากเพียงใดก็ตาม แต่ก็มีรายละเอียดที่เด็กหนุ่มรู้สึกแคลงใจมากกว่าเรื่องนี้ และความสงสัยแคลงใจของเขานั้นมันมากเกินกว่าที่เขาจะเก็บงำไว้ได้
               “เดี๋ยวนะครับ ที่คุณบอกว่ามนตร์นี้สามารถรักษาคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้าย และเชื้อหมาป่าได้กระจายไปทั่วร่างแล้วอย่างผมได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็ควรจะรักษาสามีของคุณได้สิ” เขาถามออกไปตามตรง และสิ่งที่เด็กหนุ่มได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มที่ดูโศกเศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นจากหญิงสาวที่แลดูชาญฉลาดและลึกลับอย่างเฟรย่า แววตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบของหล่อยทอประกายเศร้าออกมามากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเห็นแม้กระทั่งตอนที่หล่อนพูดถึงสามีที่เสียชีวิตไปของหล่อนก่อนหน้านี้ก่อนที่หล่อนจะตัดสินใจตอบเขาออกมา
               “ก็เพราะราคาสูงลิ่วที่ต้องจ่ายในการร่ายมนตร์นี้น่ะสิ คุณมัลฟอย” หล่อนกลับมาเรียกชื่อสกุลของเขาอีกครั้ง ราวกับจู่ ๆ ความสนิทสนมของทั้งสองได้มลายหายไป
               “ผู้ที่ต้องจ่ายราคาที่ว่านี้ ไม่ใช่ตัวผู้รับการรักษา แต่เป็นพ่อมดหรือแม่มดอีกคนหนึ่งที่ต้องเป็นคนทำ ในกรณีของสามีฉัน มีแค่ฉันเท่านั้นที่สามารถจะเสียสละเพื่อให้เขาหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ แต่ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะทำมันลงไป ฉันไม่พร้อมที่จะเสียสละสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉันเพื่อรักษาเขา เราเลยไม่เคยได้ทำการร่ายมนตร์นี้เพื่อรักษาเขากันจริง ๆ” เฟรย่าสารภาพ หากแต่คำสารภาพนั้นยังไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มผมบลอนด์เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเท่าไหร่นักเมื่อเขาถามขึ้นอีกครั้ง
               “ผมไม่เข้าใจ สิ่งที่คุณต้องสละเพื่อรักษาสามีของคุณมันคืออะไรกันแน่” เดรโกถาม สิ้นคำถามของเด็กหนุ่ม เฟรย่าก็เงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาคู่สวยที่มีน้ำตารื้น
               “สิ่งที่มนตราบทนี้เรียกร้องคือเวทมนตร์ของพ่อมดหรือแม่มดอีกคนหนึ่ง คุณมัลฟอย เพื่อแลกกับการแก้คำสาปมนุษย์หมาป่า มนตราโบราณนี้ต้องการพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของผู้ที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดหรือทางวิญญาณกับผู้ได้รับการรักษา และหลังจากที่การรักษาสำเร็จลงพ่อมดหรือแม่มดที่เป็นผู้เสียสละพลังเวทมนตร์จะถูกดูดกลืนเวทมนตร์ของตัวเองไปจนหมดสิ้น จนเขาหรือเธอกลายเป็นเพียงมักเกิ้ลธรรมดา ๆ เท่านั้น” เฟรย่าพูดออกมาในที่สุด ขณะที่เดรโกที่กำลังรับฟังคำอธิบายเรื่อง ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ สำหรับเวทยนตร์บทนี้นั้นรู้สึกเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง ในตอนนี้เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าราคาที่มนตรานี้เรียกร้องนั้นสูงลิ่วจริง ๆ
               “และด้วยเหตุนี้ฉันถึงลังเลที่จะร่ายมนตร์นี้เพื่อรักษาสามีของฉัน เพราะฉันไม่ต้องการสละพลังเวทมนตร์ของตัวเองไป หรืออาจจะเพราะฉันเห็นว่าเวทมนตร์ของฉันมีค่ามากกว่าการรักษาสามีของฉันเอง ฉันก็ไม่อาจจะตอบได้นะ แต่หลังจากที่ฉันตัดสินใจไม่ยอมเสียสละในสิ่งที่ฉันคิดว่าสละไม่ได้ในตอนนั้น มันก็ทำให้ฉันต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นไป นั่นก็คือชีวิตของสามีของฉันเอง” เฟรย่าพูดต่อให้กับสีหน้าที่ดูตกตะลึงของอีกฝ่าย
               และเมื่อฟังถึงตรงนี้ เดรโก มัลฟอยก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างแทบจะเรียกได้ว่าถ่องแท้ทีเดียว เด็กหนุ่มเข้าใจความจริงที่ว่า เฟรย่ารู้วิธีการรักษาสามีของเธอมาตลอด หากแต่เวทมนตร์ที่ใช้ในการรักษานั้นเรียกร้องราคาที่สาหัสมากนัก นั่นก็คือพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของพ่อมดหรือแม่มดอีกคนหนึ่ง! ด้วยเหตุนี้เฟรย่าผู้เป็นแม่มดที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งของยุคคงยอมรับไม่ได้หากหล่อนต้องสูญเสียพลังเวทมนตร์ของตัวเองไปและต้องกลายเป็นเพียงมักเกิ้ลธรรมดา ๆ แม้ว่ามันจะแลกมาด้วยการรักษาสามีของหล่อนให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าก็ตาม                และเมื่อเฟรย่าไม่สามารถทำการรักษาให้สามีของหล่อนได้ สามีของหล่อนที่ต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าโดยไม่อาจควบคุมด้วยยาระงับหมาป่าได้จึงต้องลงเอยด้วยการถูกมือปราบมารสังหารเพราะเขาบังเอิญไปฆ่าผู้บริสุทธิ์เข้า ด้วยเหตุนี้เฟรย่าอาจจะคิดว่าเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของหล่อนเองที่ทำให้สามีของหล่อนต้องมาพบจุดจบเช่นนี้ และหล่อนอาจจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อโดยแบกรับความรู้สึกผิดอย่างมหาศาลไว้ในใจว่า สามีของหล่อนตายเพียงเพราะหล่อนเลือกที่จะไม่เสียสละเวทมนตร์ของหล่อนเพื่อช่วยเขา!
               และเฟรย่าอาจจะรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ก็เป็นได้ เพราะเท่าที่เดรโกมองเห็นในตอนนี้หญิงสาวตรงหน้าเขาซึ่งได้เปิดเผยเรื่องราวและความรู้สึกผิดในใจออกมาจนเกือบจะเรียกได้ว่าหมดเปลือกนั้นไม่ใช่แม่มดสาวที่เก่งกาจ เฉลียวฉลาด หรือเจ้าเล่ห์ดังที่เขาเคยคิดว่าหล่อนเป็นยามที่เขาพบหล่อนเป็นครั้งแรก หากแต่ในตอนนี้หล่อนกลายเป็นหญิงสาวที่บอบช้ำจากการที่ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งจนเธอสูญเสียคนรักไปและรู้สึกผิดกับมันมากกว่าอะไรทั้งหมด
               เดรโกเฝ้ามองดูเฟรย่ามเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าราวกับหล่อนต้องการรำลึงถึงความหลังระหว่างหล่อนและสามีอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งหล่อนเอ่ยปากพูดขึ้น
               “เพราะฉันไม่ยอมช่วยเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่า เขาเลยต้องมาตาย” หญิงสาวพูดสิ่งที่ยืนยันข้อสันนิษฐานของเดรโกก่อนหน้านี้ออกมาก่อนจะหันกลับมาสบตาเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง และในครั้งนี้แววตาของหล่อนแฝงฉายแววเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น หากแต่มันก็ยังเจือไปด้วยร่องรอยความโศกเศร้า
               “ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะรื้อฟื้นเรื่องน่าปวดใจของฉันให้เธอฟังหรอกนะ แต่ฉันต้องการให้เธอจินตนาการภาพของสิ่งที่ต้องใช้แลกสำหรับการใช้เวทมนตร์นี้ให้ออก ก่อนที่เธอจะตัดสินใจว่าเธออยากจะรับการรักษาด้วยมนตร์โบราณนี้หรือไม่” หล่อนกล่าวอย่างมีเหตุผล และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะพบว่าไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดีกับทางเลือกที่เขาเพิ่งค้นพบนี้ดี แต่เดรโกก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธทางเลือกที่เขาได้รับการหยิบยื่นให้ในทันที ไม่จนกว่าเขาได้รับข้อมูลของมันในทุก ๆ แง่มุมเสียก่อน
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงถามขึ้น
               “ที่คุณบอกว่ามนตรานี้ต้องการการเสียสละจากคนที่มีสายเลือดเดียวกับผู้รักษา หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทางวิญญาณนี่คุณหมายความว่ายังไง” เฟรย่ามองเขาด้วยแววตาราวกับว่าหล่อนล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาจะถามหล่อนอยู่แล้วก่อนที่จะตอบออกมา
               “มันมีรายละเอียดและข้อจำกัดมากกว่านั้น แน่นอนว่าคนที่จะทำการแลกเปลี่ยนทางเวทมนตร์ได้นั้นต้องเป็นพ่อมดหรือแม่มด และเขาคนนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับเธอทางสายเลือด ซึ่งก็คือ เขาจะต้องเป็นผู้ร่วมสายเลือดกับเธอไม่เกินหนึ่งรุ่น คน ๆ นั้นจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือลูกของเธอก็ได้ แต่เขาไม่สามารถเป็นญาติที่ห่างจากเธอไปเกินหนึ่งรุ่นได้” หญิงสาวอธิบาย
               “สำหรับผู้ที่มีความเกี่ยวพันทางวิญญาณก็คือคนที่เธอแต่งงานด้วย เพราะสามีภรรยาที่เข้าพิธีแต่งงานกันอย่างถูกต้องนั้นนับว่าพวกเขาผูกพันกันทางวิญญาณ ดังนั้นเขาสามารถทำการแลกเปลี่ยนทางเวทมนตร์ตามที่มนตรานี้ต้องการได้” เฟรย่าเสริม ขณะที่เดรโกก็คิดตามไปด้วย
               “นอกจากนั้นยังมีอีกคนหนึ่งที่สามารถทำได้ โดยเฉพาะในกรณีของเธอเสียด้วย คุณมัลฟอย คนที่สามารถทำการเสียสละเวทมนตร์ของเขาเพื่อรักษาเธอได้ก็คือทาสของเธอ” เฟรย่าพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่ล้ำลึกพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่แทบจะเรียกได้ว่าทิ่มแทง!
 
               ……………………………………………………………
 
               เดรโก มัลฟอยรู้สึกราวว่าตัวเขาเองจมลงในทะเลสาบกลางฤดูหนาวเมื่อเขาได้ยินถ้อยคำที่เฟรย่าเอ่ยออกมา รวมถึงได้สบดวงตาสีน้ำเงินอันเฉียบคมของหล่อน ซึ่งมองเด็กหนุ่มราวกับต้องการบอกเขาว่าหล่อนล่วงรู้ความลับที่เขาพยายามจะเก็บงำเอาไว้เข้าเสียแล้ว
ถึงแม้จะรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าพูดถึงอะไรก็ตาม แต่เดรโกก็เลือกที่จะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูดถึงออกไป
               “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร” เขาพูดออกไป และสิ่งที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ได้รับกลับมานั้นคือแววตาเฉียบคมของอีกฝ่ายที่มองมาทางเขาก่อนที่หล่อนจะพูดขึ้น
               “ฉันว่าเราเลยจุดที่จะมาโกหกกันแล้วนะ คุณมัลฟอย” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่มีแววห้ามปรามแฝงอยู่
               “ฉันรู้ว่าคนที่เธอพาเดินทางมาด้วยคนนี้ไม่ได้ชื่อกรีนกราส ฉันรู้ว่าเขาเป็นใคร รวมถึงฉันรู้ด้วยว่าเธอและเขาไม่ได้เป็นแค่เพื่อนหรือคู่รักกัน แต่เขาเป็นทาสของเธอ” หญิงสาวพูดตามตรง และเมื่อเห็นเช่นนั้นมัลฟอยก็พบว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปิดบังความจริงจากเธออีกต่อไป ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ่ยปากขึ้น
               “คุณรู้ว่าเขาเป็นใครอย่างนั้นหรือ คุณรู้ได้ยังไง” เดรโกถาม
               “ฉันขอพูดตรง ๆ นะว่ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงฉันนักหรอกที่จะรู้ว่าเด็กสาวที่เธอพาเดินทางมาด้วยคือ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ที่หายตัวไปเมื่อหลายเดือนก่อน อันที่จริงฉันก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกนะที่เค้าจะมาอยู่กับเธอ แต่ที่ฉันคาดไม่ถึงคือการที่เขาอยู่ในฐานะทาสของเธอต่างหาก”
               “คุณคิดไม่ถึงว่าผมจะทำสัญญาทาสกับเกรนเจอร์อย่างนั้นหรือ หรือคุณไม่คิดว่าผมจะรู้ศาสตร์มืดขั้นสูงแบบนี้กันแน่” เขาถามออกมาด้วยท่าทีราวกับเขาต้องการปกป้องตัวเอง หากแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับจ้องมองเขากลับด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าหล่อนรู้อะไรมากกว่าที่เด็กหนุ่มคิดก่อนที่หล่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
               “สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันไม่คาดคิดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นทาสของเธอ ก็เป็นเพราะฉันเห็นแววตาและท่าทีที่เธอปฏิบัติต่อเขา ปรกติแล้วพ่อมดแม่มดที่ทำสัญญาทาสกับผู้วิเศษหรือมักเกิ้ลอีกคนนึงจะไม่ปฏิบัติต่อทาสของตัวเองด้วยความห่วงใยหรอกนะ คุณมัลฟอย แต่ฉันเห็นความห่วงใยแฝงอยู่ในสายตาของเธอตอนที่เธอมองเขา และถ้าฉันดูไม่ผิดฉันก็คิดว่าเขาเองก็ห่วงใยเธอเช่นกัน ฉันเลยคิดว่า แม้เด็กคนนั้นจะเป็นทาสของเธอแต่เธอก็ห่วงใยหรืออาจจะถึงกับรักใคร่เขา ฉันพูดผิดหรือไม่” เฟรย่าพูดสิ่งที่แทบจะเรียกได้ตรงกับความจริงทุกประการออกมา ขณะที่เดรโก มัลฟอยมองหญิงสาวตรงหน้าด้วท่าทีตกใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะรักษาท่าทีให้นิ่งเฉยเอาไว้ แม้กระทั่งในตอนที่เฟรย่าเพิ่งบอกเขาว่าหล่อนรู้ความลับที่เขาต้องการเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดีในตอนนี้ก็ตาม และความลับข้อนั้นก็คือ ความจริงที่ว่าเขาหลงรัก เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เด็กสาวเลือดสีโคลนที่เป็นทาสของเขาเอง!
               “ความรู้สึกที่ผมมีต่อเกรนเจอร์นั้นไม่เกี่ยวกับคุณ” เด็กหนุ่มได้ยินตัวเองตอบออกไปแบบนั้น โดยที่เขาเลือกที่จะไม่โต้เถียงหรือไต่ถามหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านว่าหล่อนล่วงรู้เรื่องทั้งหมดได้อย่างไร แน่นอนว่าเฟรย่าคงรู้ว่าเดรโกรักเฮอร์ไมโอนี่จากการสังเกตเห็นแววตาที่เด็กหนุ่มใช้มองเด็กสาวตามที่หล่อนบอกเป็นแน่ หากแต่เรื่องที่หล่อนรู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นทาสของเขาได้อย่างนั้นไรเดรโกไม่อาจจะแน่ใจได้ แต่เขาก็คาดเดาว่าเฟรย่าอาจจะต้องเห็นตราทาสบนมือของเด็กสาวในตอนที่หล่อนอยู่กับเฮอร์ไมโอนี่ตามลำพังและปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้เป็นแน่ แต่ถึงจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ความลับของเขาได้อย่างไรแล้วก็ตาม มันก็ไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขารู้สึกหนักใจขึ้นด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากเฟรย่าล่วงรู้ความลับที่เขาพยายามเก็บงำเป็นอย่างดีจากการสังเกตท่าทีที่เขามีต่อทาสสาวของเขาในเวลาไม่กี่วันที่พวกเขามาพักอยู่กับเธอได้แล้วนั้น เขาจะสามารถเก็บงำความจริงที่ว่าขารักเฮอร์ไมโอนี่จากสายตาคนอื่นต่อไปได้อย่างไรเล่า!
               เดรโกขยับตัวอย่างอึดอัดกับเรื่องยุ่งยากใจที่เขาเพิ่งค้นพบซึ่งมันอาจจะมาทำให้ชีวิตที่เดิมก็ยากเย็นอยู่แล้วของเขานั้นยากลำบากไปมากกว่าเดิม และท่าทีที่แสดงถึงความอึดอัดใจของเด็กหนุ่มก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านไปได้เมื่อหล่อนพูดขึ้น
               “ฉันรู้เรื่องนี้ดี แต่ว่าความสัมพันธ์ในฐานะเจ้านายและทาสมันเกี่ยวข้องกับการรักษาของเธอ อย่างที่ฉันได้เคยพูดไว้ว่ามีเพียงคนที่ผูกพันทางสายเลือดหรือวิญญาณกับเธอเท่านั้นถึงจะสามารถเสียสละเวทมนตร์ของตนเองเพื่อรักษาเธอให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ และถ้าข้อมูลที่ฉันมีนั้นถูกต้อง คนที่สามารถจะทำการแลกเปลี่ยนทางเวทมนตร์เพื่อเธอได้มีเพียงพ่อหรือแม่ของเธอกับทาสของเธอเท่านั้น” เฟรย่าพูดตามตรง และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะสามารถคาดเดาความจริงข้อนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่แม่มดผมดำบอกเขาว่าทาสสามารถทำการเสียสละทางเวทมนตร์ให้เจ้านายได้แล้วนั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้อเท็จจริงมันน่ารื่นรมย์ขึ้นเลยแม้แต่น้อย! เดรโกเลือกที่จะข่มอารมณ์ทั้งหมดของเขายามที่เขาถามประโยคออกไปด้วยหัวใจที่เต้นแรง
               “คุณรู้ได้ยังไงว่าทาสสามารถสละเวทมนตร์สำหรับใช้ในการรักษาครั้งนี้ได้ เคยมีใครลองทำมาก่อนอย่างนั้นหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เขาต้องพยายามอย่างยิ่งเพื่อบังคับให้มันฟังดูราบเรียบ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นมองเขาด้วยท่าทีประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบออกมา
               “แม้ฉันจะตอบเธอตรง ๆ ไม่ได้ว่าเคยมีใครลองใช้วิธีที่เธอว่าหรือเปล่า แต่ตามทฤษฎีแล้วมันสมควรที่จะทำได้ เมื่อเธอทำสัญญาทาสกับใครสักคน เวทมนตร์ที่เธอร่ายขึ้นมาจะผูกมัดวิญญาณของทาสไว้กับเจ้านายที่เป็นผู้ร่ายคาถา ยิ่งไปกว่านั้นในร่างกายของทาสก็มีเลือดของผู้เป็นนายไหลเวียนอยู่จากตอนที่เธอทำสัญญาทาสกับเขา ดังนั้นการผูกพันทางเวทมนตร์ถึงสองด้านนั้นควรจะเพียงพอที่จะทำการรักษาที่เราคุยกันได้” เฟรย่ากล่าว ขณะที่เดรโกที่เพิ่งรู้สึกราวกับน้ำหนักของคำพูดนั้นของหญิงสาวกดทับอย่างหนักอึ้งมาที่เขารีบเอ่ยขึ้น
               “คุณหมายความว่า คุณจะให้ผมบังคับให้เกรนเจอร์สละพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของเธอเพื่อให้ผมหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่าตื่นตระหนก
               “ฉันไม่ได้พูดเช่นนั้นคุณ มัลฟอย แต่มันเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ทางหนึ่ง ในตอนแรกที่ฉันได้รับรู้ว่าเชื้อหมาป่ากระจายไปทั่วร่างของเธอแล้ว แน่นอนว่าฉันรู้ว่ามีเพียงวิธีนี้เพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยรักษาเธอให้หายได้ แต่ที่ฉันตัดสินใจไม่บอกเธอออกไปนั้นเป็นเพราะฉันไม่รู้มาก่อนว่าเด็กที่เธอพามาด้วยนั้นอยู่ในฐานะทาสของเธอ อีกทั้งฉันก็คิดว่าครอบครัวของเธอคงไม่สามารถจ่ายราคาที่สูงลิ่วของการรักษาด้วยมนตราบทนี้ได้” เฟรย่าตอบอย่างระมัดระวัง
               “แต่พอคุณรู้ว่าเกรนเจอร์เป็นทาสของผม คุณก็คิดว่าเธอจะจ่ายได้งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มผมบลอนด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน หากแต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปยังไปที่ความจริงที่ว่าเฟรย่าปิดบังทางเลือกในการรักษาเขาก่อนหน้านี้ หากแต่มันเป็นน้ำเสียงที่ตั้งใจจะเยาะเย้ยความจริงที่ว่าเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในฐานะทาสของเขานั้นเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการเสียสละทางเวทมนตร์มากกว่าพ่อหรือแม่ของเขามากกว่า และเมื่อเห็นท่าทีนั้นของเดรโก หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของความคิดในการรักษาครั้งนี้ก็รีบพูดขึ้น
               “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณเจ็บปวดมากขึ้นนะ คุณมัลฟอย แต่ในตอนนั้นฉันคิดว่าฉันกำลังช่วยเธอและครอบครัวจากความเจ็บปวดทรมานที่ฉันได้เผชิญมาแล้ว” เฟรย่าพยายามอธิบายให้สายตาเย็นชาที่เด็กหนุ่มตรงหน้าใช้มองเธอ
               "เธอลองคิดดูนะ ถ้าพ่อแม่ของเธอยอมสละเวทมนตร์ของเขาเพื่อเธอ เธอที่แม้จะได้รับการรักษาจนไม่ต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าอีกต่อไปก็จะต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตที่เธอได้พรากพลังเวทมนตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งไปจากเขา ในทางตรงกันข้ามถ้าพ่อแม่ของเธอไม่ยินยอมจะเสียสละเพื่อเธอ เธอก็จะต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังอย่างใหญ่หลวง เช่นเดียวกับที่พวกเขาจะต้องอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่พวกเขาเห็นแก่ตัวเกินกว่าที่จะช่วยเหลือลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาให้รอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่า มันไม่ใช้การตัดสินใจที่ง่ายเลย”
               แม้ถ้อยคำที่หญิงสาวพูดนั้นจะฟังดูสมเหตุสมผลก็ตาม แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้วมันก็ไม่ได้ฟังดูดีขึ้นเลยเมื่อการให้เหตุผลของหญิงสาวนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าในการเสียสละพลังเวทมนตร์ของเธอเพื่อรักษาเขา!
               “แต่คุณคิดว่ามันจะง่ายขึ้นเมื่อมีเกรนเจอร์เข้ามาในสมการอย่างนั้นหรือ” เดรโกได้ยินเสียงตัวเองพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่าเดียดฉันท์ ก่อนที่เฟรย่าจะเลือกที่จะอธิบายต่อ
               “ฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย คุณมัลฟอย เมื่อฉันรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอ ทั้งในฐานะเจ้านายและทาสรวมถึงความรู้สึกอันแท้จริงที่เธอมีต่อเขา ได้โปรดอย่าปฏิเสธฉันเลยคุณมัลฟอย” หล่อนพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูด “ฉันผ่านความรักและเจ็บปวดมาก่อนจนพอที่จะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร และฉันรู้ว่ามันไม่ได้ทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ง่ายขึ้นเลยสำหรับเธอ แต่หลังจากลองคิดทบทวนดูแล้ว อย่างน้อยที่สุดที่ฉันทำได้คือบอกให้เธอรู้ว่าเธอมีทางเลือกใดบ้าง และปล่อยให้เธอตัดสินใจด้วยตัวเอง”
               “ฉันก็เคยอยู่ในจุดเดียวกับเธอมาก่อน คุณมัลฟอย แม้ว่าฉันจะไม่ใช่คนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายก็ตาม แต่ฉันก็ต้องเผชิญการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก่อน แต่อย่างน้อยฉันก็ได้เลือกมันออกไปและตอนนี้ฉันก็กำลังรับผลของมันอยู่ และในตอนนี้ฉันก็จะให้โอกาสเธอได้เลือกทางเดินของเธอเอง เพราะคนที่จะต้องอยู่กับผลของการเลือกนั้นก็คือเธอ” หญิงสาวอธิบาย ขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าของหล่อนนั้นนิ่งเงียบ หากแต่ไม่ได้มีแววรังเกียจเดียดฉันท์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวซีดของเขาแล้ว ตรงกันข้าม หลังจากรับรู้สิ่งที่เฟรย่าเพิ่งบอกเขาออกมา เดรโกก็มีท่าทีสงบนิ่งมากขึ้น แววตาสีเงินที่เคยแสดงอารมณ์มากมายก่อนหน้านี้ ในบัดนี้มันกลับฉายแววครุ่นคิด
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
               “คุณเคยคิดจะใช้ทาสในการรักษาของคุณหรือเปล่า” เดรโกมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาคมกล้าขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา
เฟรย่าส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้เขา หากแต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่แลดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก
               “ในเมื่อเราไม่จำเป็นต้องมีอะไรปิดบังกันอีกแล้ว ฉันจะบอกตามตรงว่าฉันเคยเสนอความคิดว่าจะหาพ่อมดแม่มดสักคนมาเป็นทาสของสามีฉัน เพื่อที่เขาคนนั้นจะเสียสละพลังเวทมนตร์เพื่อรักษาสามีของฉันให้หาย แต่สามีของฉันไม่ยอม เขาไม่ยอมใช้วิธีนี้พอ ๆ กับที่เขาไม่เคยเรียกร้องให้ฉันเสียสละพลังเวทมตร์ของฉันเพื่อเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่ามันเป็นทางเดียวที่จะรักษาเขาได้” หญิงสาวตอบออกมา แม้ว่าคำตอบนี้ของเฟรย่าจะฟังดูน่าตกใจและเห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่งก็ตาม หากแต่เดรโก มัลฟอยก็ไม่ได้ติดใจในความจริงที่ว่าเฟรย่าตัดสินใจจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างแสนสาหัสกับพ่อมดหรือแม่มดสักคนลงไปเพื่อรักษาคนรักรวมถึงเวทมนตร์ของเธอเอาไว้ ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มกลับเข้าใจถึงสิ่งที่เฟรย่าอาจจะเลือกทำลงไปหากสามีของเธอยินยอมให้เธอทำ อย่างน้อย ๆ มันก็คงจะเป็นสิ่งที่พ่อของเขาจะทำลงไป หากนายลูเซียสรู้ว่าหนทางการรักษานี้ หากแต่สิ่งที่ทำให้กรณีของเด็กหนุ่มต่างจากเรื่องของเฟรย่าก็คือ ผู้ที่จะต้องมารับเคราะห์กรรมในการรักษาเขาด้วยมนตรานี้ไม่ใช่พ่อมดหรือแม่มดคนไหนก็ตามในโลก หากแต่เป็นเด็กสาวที่อยู่ในฐานะทาสของเขา! รวมถึงเธอยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เดรโก มัลฟอยรักเสียด้วย!
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา ราวกับความหนาวเย็นไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดของเขา เมื่อเขาเพิ่งรับรู้ถึงราคาที่จะต้องจ่ายจากการรักษาด้วยมนตราโบราณนี้อย่างแท้จริง แม้ว่าเดรโกจะไม่ได้เป็นผู้ที่จะต้องจ่ายราคาอันสูงลิ่วแลกกับการที่เขาสามารถหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ก็ตาม หากแต่คนที่จะต้องชดใช้ราคาในการรักษานี้ก็คือเด็กสาวเพียงคนเดียวที่เขารัก และเธอจะต้องเสียสละด้วยสิ่งที่อาจจะมีค่ามากที่สุดรองจากชีวิตของเธอเอง นั่นก็คือพลังเวทมนตร์ของเธอ! และหลังจากที่เขาพรากสิ่งสำคัญรวมถึงทำร้ายเฮอร์ไมโอนี่อย่างแสนสาหัสมาแล้ว เดรโก มัลฟอยแน่ใจว่าเขาไม่อาจจะพรากสิ่งที่สำคัญเช่นนี้จากเธอไปได้อีกแล้ว เขาคงไม่มีวันยอมให้เฮอร์ไมโอนี่มาเสียสละอะไรแบบนี้เพื่อเขาเป็นแน่ แม้ว่ามันจะต้องแลกมากับการที่เขาจะต้องเป็นมนุษย์หมาป่าไปตลอดชีวิตก็ตาม!
               เพราะถ้าหากเขาทำเช่นนั้นลงไปแล้ว ถ้าหากเขาเลือกที่จะช่วงชิงสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับเฮอร์ไมโอนี่มาเพื่อแลกกับการรักษาของเขาแล้วนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะได้สามารถหายจากคำสาปของการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ก็ตาม แต่เขาคงจะต้องสูญเสียหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ที่เขาเองก็ไม่สามารถแน่ใจเลยว่าเขาจะช่วงชิงมันมาได้หรือไม่ไปตลอดกาล เพราะถ้าหากเดรโกบังคับให้เด็กสาวผู้อยู่ในฐานะทาสของเขาเสียสละเวทมนตร์ของเธอเพื่อทำการรักษาเขาแล้วล่ะก็ และแน่นอนว่าเขาสามารถบังคับเธอได้ด้วยสัญญาทาสที่เขาได้ทำไว้กับเธอ ดวงตาสีน้ำตาลอันแสนจะอ่อนโยนที่เคยมองเขาด้วยความห่วงใยคู่นั้นต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยเกลียดชังยามที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาเป็นแน่ เพราะว่าเขาจะกลายเป็นผู้ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธออย่างแท้จริง รวมถึงพลังเวทมนตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะมีค่าที่สุดรองจากชีวิตของเธอด้วย! และเมื่อถึงตอนนั้นเดรโกก็มองไม่เห็นหนทางที่จะทำให้เด็กสาวที่เขารักจะให้อภัยกับความผิดครั้งเล่าครั้งเล่าที่เขาได้ทำลงไปกับเธอได้เลย!
 
 
               ……………………………………………………………
 

 
 
 
 
 
 
 
 
 




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2564    
Last Update : 30 สิงหาคม 2564 15:52:43 น.
Counter : 688 Pageviews.  

เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 35 การตัดสินใจ


               คุยกันก่อนอ่านนะคะ
               มาลงแล้วนะคะ อาจจะใช้เวลาเขียนนานหน่อยสำหรับตอนนี้แต่บอกเลยค่ะว่าตอนนี้เป็นตอนที่เขียนยากมาก ๆ ตอนนึงเลยค่ะ แต่เราก็หวังว่าเพื่อน ๆ จะสนุกกับการอ่านตอนใหม่นี้นะคะ ถ้าอ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงมาคอมเม้นมาคุยกันหรือมาคุยกับเราในทวิตเตอร์ได้นะคะ ที่ @little_piksi ค่ะ

               ***Chapter 35 การตัดสินใจ: Decision***

 

               
 
Come feed the rain
'Cause I'm thirsty for your love
Dancing underneath the skies of lust
Yeah feed the rain
'Cause without your love, my life
Ain't nothing but this carnival of rust
 
Carnival of Rust—Poets of the Fall
 
               ‘ เดรโก ’ เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอย่างแผ่วเบายิ่งนัก หากแต่เขากลับได้ยินมันอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มหันหลังกลับไปทันที!
               แต่สิ่งที่มัลฟอยพบหลังจากหันหลังกลับไปแล้วกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่างบางของเจ้าของเสียงยืนอยู่ใกล้เขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามสิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นมีเพียงทางเดินว่างเปล่าที่ทอดยาวอยู่ระหว่างป่าสนทั้งสองด้านและความเงียบงันเท่านั้น
               เดรโกไม่แน่ใจว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรเมื่อหันกลับไปแล้วไม่พบร่างเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขายืนอยู่ตรงหน้าทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าการได้ยินเสียงเฮอร์ไมโอนี่เรียกชื่อของเขาเมื่อครู่เป็นแค่การที่เขาหูฝาดไปเท่านั้น เพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีทางจะมาอยู่ที่นี่ได้ รวมถึงเด็กสาวน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกจากบ้านมาและเขาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ หากแต่ถ้าเด็กหนุ่มบอกว่าเขาไม่รู้สึกผิดหวังเลยที่ไม่เห็นเด็กสาวผู้เป็นที่รักปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาและพยายามจะฉุดรั้งหรือห้ามปรามในสิ่งที่เขากำลังจะทำลงไปนี้เขาก็คงต้องโกหกเป็นแน่! และเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ การที่เขาหวังให้เฮอร์ไมโอนี่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อห้ามปรามเขาไม่ให้กระโดดลงไปสู่หน้าผาเบื้องล่างนั้นอาจจะสะท้อนความปรารถนาส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มออกมาก็เป็นได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นมัลฟอยจึงนึกขึ้นได้ว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้อยากทำในสิ่งที่เขาตัดสินใจว่าจะทำลงไปเมื่อครู่เท่าไหร่นัก! เพราะในใจลึก ๆ แล้วเด็กหนุ่มก็หวัง ไม่ใช่สิ เขาปรารถนาให้เฮอร์ไมโอนี่ปรากฎตัวขึ้นดังที่เขาได้ยินเสียงเธอเมื่อครู่เพื่อห้ามปรามเขาไม่ให้คิดสั้นและจบชีวิตลงเพียงเท่านี้ ไม่เพียงเท่านั้นเดรโกยังหวังอย่างสุดหัวใจว่าเด็กสาวจะบอกว่าเขาชีวิตของเขามีค่าพอที่จะอยู่ต่อไป เป็นเพราะเธอต้องการเขา เป็นเพราะเขามีค่าสำหรับเธอ!
               เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม้เด็กหนุ่มจะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงได้ก็ตาม แต่การที่เขาได้คิดตรึกตรองในแง่มุมนี้ทำให้มัลฟอยสามารถยับยั้งตัวเองจากการตัดสินใจที่จะจบชีวิตของตัวเองลงไปชั่วครู่ อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ได้ตัดสินใจที่จะกระโดดหน้าผาลงไปพร้อมกับที่เขามีภาพความทรงจำของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอยู่เต็มหัวอีกต่อไป เพราะตอนนี้มีความคิดใหม่ที่แล่นผ่านเข้ามาในหัวสมองของเดรโก มันไม่ใช่ภาพความทรงจำที่เต็มไปด้วยความสุขดังที่เขาเคยคิดก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นภาพของความเป็นจริง ภาพของเด็กสาวเพียงคนเดียวที่เขารักต่อจากวินาทีนี้เป็นต้นไป และภาพของเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเธอต่อไปหากเขาตัดสินใจจบชีวิตลงที่หน้าผาแห่งนี้
               เฮอร์ไมโอนี่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเมื่อเขาตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงนั้นเป็นสิ่งที่มัลฟอยไม่ได้ตรึกตรองให้ดีก่อนที่เขาจะตัดสินใจกระโดดหน้าผาแห่งนี้เลย!
               แน่นอนว่าหลังจากที่เดรโกตาย สัญญาทาสชั่วนิรันดร์ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็จะจบสิ้นลง และเฮอร์ไมโอนี่ก็จะเป็นอิสระจากเขาตลอดกาล ถึงแม้เด็กหนุ่มจะรู้ว่าทาสสาวของเขาโหยหาและต้องการอิสรภาพจากสัญญาทาสที่ผูกมัดให้เธออยู่กับเขามากเพียงใดก็ตาม แต่มัลฟอยกลับคิดว่าการกระทำเช่นนั้นกลับไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวเฮอร์ไมโอนี่มากเท่าไรนัก เพราะแม้ว่าเด็กสาวจะหลุดพ้นจากการเป็นทาสของเขาแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องเผชิญกับอันตรายอื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นอันตรายจากพ่อของเขา หรือแม้กระทั่งจากจอมมารเอง แม้ว่าก่อนหน้านี้เดรโกจะคิดว่าการอยู่ข้างกายเขาเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเฮอร์ไมโอนี่หลังจากที่เขาต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าไปแล้ว แต่อันตรายดังกล่าวนั้นไม่อาจเทียบเท่าอันตรายที่มาจากพ่อของเขาได้เลย เพราะถ้าหากนายลูเซียสรู้ว่าเดรโกเสียชีวิตอยู่ที่เกาะแห่งนี้ แน่นอนว่าพ่อของเขาต้องรีบรุดมาที่นี่และจับเฮอร์ไมโอนี่กลับไปกักขัง และถึงแม้ว่าเด็กสาวจะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ก่อนที่พ่อของเขาจะมาถึง แต่เธอก็คงไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือของทั้งผู้เสพความตายหรือแม้กระทั่งจอมมารได้เป็นแน่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เธอไม่มีไม้กายสิทธิ์ไว้ป้องกันตัวแบบนี้!
               และเหตุการณ์อาจจะเลวร้ายมากไปกว่านั้นหากพ่อของเขารับรู้ถึงการตายของเขาแล้ว พ่อที่คงจะเสียใจอย่างมากอาจจะเอาความทุกข์ใจของเขาไปลงที่เฮอร์ไมโอนี่ และโทษว่าเธอเป็นสาเหตุการตายของเดรโกดังที่พ่อเคยกล่าวหาเด็กสาวมาแล้วว่าเธอมายั่วยวนเขาจนกระทั่งเขายอมให้เธอขึ้นมานอนบนห้องนอนของเขาที่คฤหาสน์ในครานั้น รวมถึงครั้งที่พ่อกล่าวหาว่าเธอเป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายอีกด้วย และถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นแล้วเดรโกพนันได้เลยว่าโทษทัณฑ์ที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้รับนั้นต้องรุนแรงมากกว่าครั้งที่ผ่านมาหลายต่อหลายเท่าเป็นแน่! เพราะแค่ในครั้งนั้นพ่อยังเลือกที่จะทรมานเด็กสาวด้วยคาถากรีดแทงเพียงเพราะพ่อรู้ว่าเธอเป็นต้นเหตุที่เขาถูกมนุษย์หมาป่าทำร้าย และถ้าหากครั้งนี้พ่อคิดว่าลูกชายเพียงคนเดียวของพ่อต้องตายเพราะมีเลือดสีโคลนอย่างเฮอร์ไมโอนี่เป็นต้นเหตุแล้วล่ะก็ โทษทัณฑ์ที่เด็กสาวต้องรับนั้นจะหนักหนาเพียงใดเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่อยากจะจินตนาการถึงมันเลย!
               เมื่อคิดถึงสิ่งที่ทาสสาวของเขาต้องเผชิญหากเขาด่วนจากโลกนี้ไปแล้ว เดรโกก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา และความหนาวเหน็บนี้ไม่ได้มาจากอุณหภูมิรอบกายเด็กหนุ่มที่ลดลงอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด หากแต่มาจากความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ผู้หญิงที่เขารักต้องเผชิญหากเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพื่อปกป้องเธออีกต่อไป! แน่นอนว่าพ่อของเขาคงไม่ฆ่าเธอในทันทีเพราะจอมมารต้องการเก็บเธอไว้เป็นเหยื่อล่อ หากแต่ กว่าที่จะถึงตอนนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่เขารักจะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรกัน เธอคงจะไม่ต่างจากพวกลองบอตท่อมที่ถูกทรมานด้วยคาถากรีดแทงจนเสียสติเป็นแน่!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโกก็รู้สึกว่าความกลัวต่อการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าของเขานั้นยังไม่เลวร้ายเท่ากับความกลัวในการที่ได้รู้ว่าเด็กสาวที่เขารักจะต้องตกนรกทั้งเป็นหลังจากที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว!
               และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้มัลฟอยรู้สึกว่าโขดหินและพื้นน้ำเบื้องล่างนั้นไม่ได้ดูเชิญชวนให้เขากระโดดลงไปหามันเพื่อพ้นจากความทรมานที่จะเกิดขึ้นกับเขาในอนาคตอีกต่อไป ตรงกันข้ามตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามีความกลัวที่มากกว่านี้ ความกลัวที่มากกว่าความเจ็บปวดทรมานจากการกลายร่างเป็นหมาป่าหรือมากกว่าแม้กระทั่งความตายของตัวเขาเองก็คือความทุกข์ทรมานของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโก มัลฟอยจึงหันหลังให้กับหน้าผาเบื้องหน้าที่ก่อนหน้านี้เขาเคยมองว่าเป็นทางหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของเขาและตัดสินใจเดินกลับไปยังเส้นทางเดิมที่เขาได้เดินมา แววตาสีเงินที่เคยดูโศกเศร้าบัดนี้กลับมีแววมุ่งมั่นฉายออกมา เพราะในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่อยู่ในห้วงคำนึงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ และสิ่ง ๆ นั้นก็คือความปลอดภัยของเด็กสาวเพียงคนเดียวที่เขารัก!
              
               ……………………………………………………………
 
               ทางด้านเฮอร์ไมโอนี่นั้นยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ความเป็นห่วงเป็นใยที่เธอมีต่อเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เพราะตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้วหากแต่ไม่มีวี่แววว่ามัลฟอยจะกลับมาแต่อย่างใด เด็กสาวที่เมื่อครู่ข่มใจขึ้นไปทำความสะอาดห้องใต้หลังคาจนเสร็จแล้วบัดนี้กำลังนั่งรอเด็กหนุ่มผมบลอนด์อยู่ในห้องรับแขกอย่างร้อนรน เด็กสาวชะเง้อมองไปด้านนอกตัวบ้านทุก ๆ ห้านาที หากแต่ก็ไม่มีภาพใด ๆ สามารถปรากฎขึ้นสู่สายตาของเธอได้เนื่องจากสายฝนที่กำลังกระหน่ำลงมาอย่างหนัก และเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความกังวล เขาไปอยู่ที่ไหนของเขากันนะ!
               ในตอนแรกเด็กสาวคิดว่าจะขอร้องเฟรย่าให้ออกไปตามหาเดรโกกับเธอ หากแต่ฝนกลับกระหน่ำลงมาเสียก่อนทำให้เธอไม่กล้ารบกวนหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านให้ออกไปข้างนอกกับเธอในสภาพอากาศเช่นนั้น และถึงแม้ว่าเธอจะเป็นห่วงเด็กหนุ่มมากเพียงใดก็ตามเด็กสาวก็ทำได้แค่มานั่งรอเขาในห้องรับแขกซึ่งเป็นห้องแรกที่ผู้ที่เข้าบ้านมาภายในบ้านจะต้องเดินผ่านเข้ามา แต่เป็นเพราะสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ท่าทีว่าจะหยุดทำให้ความเป็นห่วงของเด็กสาวที่เดิมมีมากอยู่แล้วกลับยิ่งเพิ่มพูนมากกว่าเดิม แม้เฮอร์ไมโอนี่จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าเดรโกมีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่และเขาคงจะไม่เป็นอะไรอย่างที่เฟรย่าบอกเธอ เพียงแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจเข้าใจตัวเองได้เลยว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นห่วงเด็กหนุ่มคนนี้มากถึงขนาดนี้!
               ยิ่งเห็นสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก็ยิ่งทำให้เฮอร์ไมโอนี่ร้อนใจจนแทบจะทนไม่ไหว ขณะที่กำลังคิดว่าเธอจะลองไปขอร้องให้เฟรย่าช่วยออกไปตามหาเด็กหนุ่มกับเธออีกครั้งอยู่นั้นเอง หญิงสาวผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องรับแขก เฮอร์ไมโอนี่หันไปด้านหลังทันทีเมื่อเธอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้อง
               “คุณเฟรย่าคะ คือ หนู ……” เด็กสาวเอ่ยปากแต่ไม่ทันที่เธอจะพูดจบหญิงสาวตรงหน้าก็ขัดขึ้น
               “ฉันรู้จ้ะว่าเธอจะพูดอะไร เพียงแต่ตอนนี้ฝนหนักมาก มันคงไม่สะดวกเท่าไหร่” เฟรย่าพูดขึ้นเรียบ ๆ และเมื่อหล่อนเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้ากำลังจะทักท้วงขึ้นมา หล่อนก็พูดขึ้นอีกครั้ง
               “เอาอย่างนี้ละกันนะจ๊ะ ถ้าฝนหยุดตกแล้วเขายังไม่กลับมาเราค่อยออกไปตามหาเขาด้วยกันดีไหมจ๊ะ” หญิงสาวเสนอ และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะร้อนใจมากเพียงใด เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ได้ หลังจากที่ได้ยินเฟรย่าพูดออกมาเช่นนั้น เด็กสาวจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ ขณะที่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาโบราณที่แขวนอยู่บนฝาผนังก่อนจะพูดขึ้น
               “นี่ก็ใกล้ได้เวลาน้ำชาแล้ว เธอไปช่วยฉันชงชาได้ไหมจ๊ะ” เฟรย่าถาม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลำบากใจ เธอไม่ได้อยากจะดื่มชาในตอนนี้เลย เพราะสิ่งที่เด็กสาวต้องการทำมากที่สุดในตอนนี้คือออกไปตามหาเดรโกเพื่อแน่ใจว่าเขาจะปลอดภัย หากแต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงและแววตาของผู้เป็นเจ้าของบ้านยามที่หล่อนพูดประโยคต่อไปออกมาแล้วเด็กสาวก็ไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญชวนของหญิงสาวได้
               “ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นห่วงเขามาก เพียงแต่เรายังทำอะไรไม่ได้มากนักในตอนนี้หรอกนะ อีกอย่างฉันก็ยืนยันกับเธอว่าเกาะแห่งนี้ไม่มีอะไรที่พอจะทำอันตรายเพื่อนของเธอได้ แน่นอนว่าฉันเองก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน เพียงแต่ฉันคิดว่าเราควรจะรออีกซักนิด” เฟรย่าพูดอย่างมีเหตุผล พลางมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยดวงตาสีราวกับทะเลสาบที่ลึกลับของเธอ และเมื่อเห็นว่าตัวเธอเองไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้ เด็กสาวจึงพยักหน้าอย่างยินยอมก่อนที่เธอจะเดินตามเฟรย่าเข้าไปในครัว
              
               ……………………………………………………………
               ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในครัว เฟรย่าก็สะบัดไม้กายสิทธิ์ของหล่อนเพื่อเสกคาถาให้อุปกรณ์สำหรับชงชาลอยหวือมารออยู่ตรงเคาเตอร์ครัว หญิงสาวสะบัดไม้กายสิทธิ์อีกครั้งเพื่อเติมน้ำลงในกาและสั่งให้มันลอยไปอยู่บนเตาที่บัดนี้ติดไฟแล้ว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยืนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ในครัวราวกับเธอกำลังรอคำสั่งจากเฟรย่าว่าต้องการจะให้เธอทำอะไรต่อไป และไม่ทันที่เด็กสาวจะได้ถามอะไรออกไปหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เอ่ยปากขึ้น
               “เธอช่วยหยิบใบชาในกล่องนั้นกับถ้วยชาออกมาหน่อยได้ไหมจ๊ะ” หล่อนเอ่ย และเฮอร์ไมโอนี่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเอื้อมไปหยิบของบนชั้นตามที่เฟรย่าต้องการแม้ในใจจะสงสัยอยู่มากก็ตามว่าทำไมเฟรย่าถึงต้องใช้ให้เธอหยิบของเหล่านี้ให้ทั้ง ๆ ที่หล่อนสามารถใช้คาถาเรียกของนำมันมาได้อย่างง่ายดาย แต่เด็กสาวก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรออกไป เธอส่งกล่องบรรจุใบชาให้หญิงสาวผมดำและวางถ้วยน้ำชาลงบนเคาเตอร์ครัวตามที่เฟรย่าบอก ก่อนที่หญิงสาวจะยื่นมือมารับกล่องบรรจุใบชาและใส่มันลงไปในกาน้ำที่เริ่มเดือด
               และราวกับว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านล่วงรู้ถึงความคิดของเฮอร์ไมโอนี่เมื่อหล่อนพูดขึ้น
               “ฉันขอโทษนะจ๊ะที่อาจจะใช้เธอให้ช่วยทำโน่นทำนี่มากไปหน่อย แต่ฉันเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องโบกไม้กายสิทธิ์เพื่อจัดการงานทุกอย่างหรอกจริงไหม เราควรจะทำอะไรด้วยตัวเองบ้างเหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าเธอก็คงจะเห็นด้วยกับที่ฉันพูดไม่น้อยใช่ไหมจ๊ะ เพราะฉันเห็นว่าเธอไม่ได้ใช้ไม้กายสิทธิ์ร่ายเวทย์มนต์อะไรเลยตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่” เฟรย่าพูดเสียงเรียบ ขณะที่เด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากหล่อนนั้นหายใจกระตุก แน่นอนว่าคำพูดของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์นั้นต้องไม่ใช่แค่การชวนคุยเรื่องสัพเพเหระแต่เพียงเท่านั้นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหญิงสาวหันมามองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยดวงตาสีน้ำเงินอันลึกลับของหล่อน ราวกับหล่อนต้องการจะบอกเด็กสาวว่าหล่อนสงสัยหรือแม้กระทั่งล่วงรู้ถึงเหตุผลที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ใช้เวทย์มนต์เลยตั้งแต่เธอมาเป็นแขกที่บ้านหลังนี้ ซึ่งก็เป็นเพราะว่าเธอไม่มีไม้กายสิทธิ์อยู่กับตัว ตรงกันข้ามไม้ของเธอในตอนนี้ถูกเก็บไว้คฤหาสน์มัลฟอยต่างหาก!
               แม้จะตกใจเพียงใดก็ตามที่อยู่ ๆ เฟรย่าก็พูดถึงสิ่งที่หล่อนได้สังเกตเห็นหรืออาจจะถึงขั้นล่วงรู้ออกมาตรง ๆ แบบนี้ หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็พยายามรักษาสีหน้าของเธอให้เรียบเฉยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และอาจจะเป็นเพราะเด็กสาวได้ชื่อว่าเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่นเธอจึงรีบหาคำตอบมาตอบเฟรย่าออกไปได้อย่างรวดเร็ว
               “คือหนูก็คิดแบบนั้นแหละค่ะ หนูถึงไม่ชอบใช้เวทย์มนต์บ่อยเกินไป เพราะว่าสำหรับงานบางอย่างการลงมือทำเองก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่คะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบอย่างชาญฉลาด ก่อนที่หญิงสาวตรงหน้าจะยิ้มให้กับคำตอบของเธอ หากแต่รอยยิ้มนั้นของเฟรย่าช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูเยือกเย็นและไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อยในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่ และเพราะรอยยิ้มนั้นเองที่ทำให้เด็กสาวเตรียมตัวตั้งรับคำถามต่อ ๆ ของเฟรย่าที่ดูราวกับจะเป็นคำถามที่ต้องการล้วงความลับที่เธอกำลังปิดบังอยู่ออกมาก็ไม่ปาน แต่กลับกลายเป็นว่าหญิงสาวกลับไม่ได้ถามอะไรเฮอร์ไมโอนี่ออกมาอีกเลย ตรงกันข้ามหล่อนกลับหันไปสนใจการชงชาตรงหน้าราวกับว่าสำหรับหล่อนแล้วมันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
               เมื่อชาในกาได้ที่แล้ว เฟรย่าก็พูดขึ้น “ถือนี่ไว้หน่อยจ้ะ” หล่อนพูดพลางส่งช้อนสำหรับใช้คนชามาให้เธอ เฮอร์ไมโอนี่รับมันมาถือไว้ในมือขวาที่เธอถนัดก่อนที่เฟรย่าจะพูดต่อ
               “เอาถ้วยชามาสิจ๊ะ” หญิงสาวกล่าวเรียบ ๆ ราวกับหล่อนเปลี่ยนจากหญิงสาวที่สงสัยในตัวเฮอร์ไมโอนี่และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเดรโกมากกว่าอะไรทั้งหมด ไปเป็นหญิงสาวที่ใส่ใจแค่เรื่องการชงชายามบ่ายเท่านั้น และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กสาวก็ยื่นถ้วยชาในมือซ้ายไปข้างหน้าเพื่อรอให้เฟรย่ารินชาจากกาให้ และในขณะนั้นเอง จะด้วยความตั้งใจหรือความบังเอิญก็ตาม ในวินาทีที่หญิงสาวผมดำเอียงกาน้ำชาที่กำลังเดือดปุด ๆ มาทางเฮอร์ไมโอนี่ น้ำชาร้อน ๆ ที่กำลังพุ่งออกมาจากกานั้นกลับหกรดลงบนมือของเด็กสาวแทนที่จะเป็นถ้วยชาที่รอรับอยู่!
               เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนัง! และท่ามกลางความตกใจนั้นเองเด็กสาวก็รีบถอดถุงมือหนังที่เธอสวมไว้ออกทันที!
               “ตายแล้ว! ขอฉันดูหน่อยจ้ะ” เฟรย่าพูดขึ้นหลังจากวางกาน้ำชาเจ้าปัญหาลง และรวดเร็วกว่าความคิดมือของหญิงสาวก็คว้ามือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ที่ปราศจากถุงมือขึ้นมาดู สัญลักษณ์ตราทาสอันแสดงถึงความเป็นเจ้าของซึ่งเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยมีต่อเฮอร์ไมโอนี่ปรากฎชัดแก่สายตาของเฟรย่าท่ามกลางแสงสลัวภายในห้องครัว!
              
               ……………………………………………………………
 
               เกิดความเงียบงันขึ้นทันทีหลังจากที่เฟรย่าได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่บนอุ้งมือของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งเธอพยายามจะปิดบังมันมาตลอด มันไม่ใช่คำสาปตามที่เด็กสาวบอกหล่อนในตอนแรกแต่อย่างใด หากแต่มันกลับเลวร้ายยิ่งกว่านั้นเพราะมันคือสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ซึ่งมีอำนาจผูกมัดเด็กสาวไว้กับผู้เป็นเจ้านายของเธอตลอดกาล! สัญลักษณ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ปรากฎชัดอยู่บนมือของเฮอร์ไมโอนี่นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเจ้านายของเธอนั้นคือใคร!
               แม้จะรู้สึกเจ็บปวดที่ฝ่ามือมากเพียงใดก็ตามแต่เด็กสาวกลับรู้สึกตกใจมากกว่าอะไรทั้งหมดที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ได้ล่วงรู้ความลับที่เธอพยายามจะปกปิดมาตลอดตั้งแต่เธอเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้ หรือแท้ที่จริงแล้วเธอและมัลฟอยพยายามจะปกปิดมันมาตั้งแต่พวกเขาออกจากอังกฤษมาด้วยซ้ำว่าเธอเป็นทาสของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอย!
               ขณะที่มือของหญิงสาวผมดำกำลังสำรวจมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่อยู่นั้น เด็กสาวมองเห็นแววบางอย่างในดวงตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบของเฟรย่า แววตานั้นไม่ได้แสดงออกถึงความแปลกใจ หากแต่มันกลับทอประกายราวกับผู้ชนะ! ราวกับมันเป็นดวงตาของคนที่เพิ่งค้นพบว่าสิ่งที่ตนเข้าใจมาโดยตลอดนั้นถูกต้อง! เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงเตรียมที่จะหาคำพูดมาอธิบายในสิ่งที่เฟรย่าเพิ่งค้นพบ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถคิดออกก็ตามว่าเธอจะหาคำพูดใดมาอธิบายสิ่งที่มันก็ได้เล่าเรื่องราวของตัวเองจนหมดสิ้นแล้วว่าเธอเป็นทาสของเดรโก มัลฟอย!
               แต่เมื่อเฟรย่าเงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาสีน้ำตาลที่ดูตื่นตระหนกของเฮอร์ไมโอนี่นั้น มันกลับไม่มีแววสงสัยใคร่รู้เจืออยู่ในดวงตาเรียวสวยของหญิงสาวเลย พอ ๆ กับที่หล่อนไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเด็กสาวออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ตรงกันข้ามหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านกลับสะบัดไม้กายสิทธิ์อีกครั้งนึงเพื่อร่ายคาถารักษาแผลจากน้ำร้อนลวกให้เธอ
               เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงคลื่นความเย็นที่เข้าสัมผัสผิวหนัง ราวกับมีคนเอามือของเธอจุ่มลงในถังน้ำแข็ง แต่ความรู้สึกดังกล่าวก็ไม่ได้หนาวเย็นจนบาดผิวเนื้อ หากแต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นราวกับมีมือล่องหนมาทาตัวยาเย็น ๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่มือของเธอในตอนนี้ และในไม่ช้าอาการปวดแสบปวดร้อนที่มือของเธอก็จางหายไปราวกับมันไม่เคยปรากฎมาก่อน ขณะที่เฟรย่าร่ายคาถาอีกครั้งเพื่อทำให้น้ำชาที่หกอยู่หายวับไปก่อนที่หญิงสาวจะร่ายคาถาเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเสกให้ผ้าพันแผลปรากฎขึ้นบนมือข้างที่บาดเจ็บของเฮอร์ไมโอนี่
               “เธอควรจะพันแผลไปไว้ซักพัก ไม่นานก็จะหายจ้ะ” หญิงสาวบอกเรียบ ๆ โดยที่ท่าทีของหล่อนปราศจากความสงสัยใคร่รู้หรือความปรารถนาจะซักถามอะไรเพิ่มเติมเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ ราวกับว่าก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้เพิ่งค้นพบความจริงว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นทาสของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยแต่อย่างใด และในขณะที่หญิงสาวสามารถรักษาสีหน้าของหล่อนให้เรียบเฉยได้อย่างน่าทึ่งอยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะกำมือข้างที่มีผ้าพันแผลพันไว้ราวกับว่าเธอต้องการจะซ่อนตราทาสบนมือนี้จากใครก็ตามที่สามารถจะมองทะลุผ้าพันแผลเข้าไปเห็นมันได้ หากแต่เด็กสาวก็รู้ดีกว่าไม่ว่าเธอรวมถึงเดรโกจะพยายามจะซ่อนมันมากเท่าไหร่ก็ตาม มันก็ไม่สามารถลบล้างความจริงที่ว่าเธอได้ตกเป็นทาสของเดรโกไปได้ พอ ๆ กับที่ไม่ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะปรารถนามากเพียงใดก็ตามเธอก็ไม่สามารถจะทำให้เฟรย่าลืมเลือนในสิ่งที่หล่อนได้ล่วงรู้ไปได้เลย!
               เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นในห้องครัวราวกับว่าอากาศในห้องนั้นหนักอึ้งขึ้นมาชั่วขณะ ในขณะที่เฟรย่าหันกลับไปสนใจชาที่เธอชงค้างไว้นั้นเด็กสาวก็ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกมา
               “คือ หนู…..” ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดจบ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
               ทั้งหญิงสาวผมดำและเด็กสาวผมสีน้ำตาลหันไปทางห้องรับแขกซึ่งเป็นที่มาของเสียงแทบจะในทันที! แม้ว่าจากมุมที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นจะไม่สามารถมองเห็นประตูหน้าบ้านได้ชัดก็ตาม แต่เสียงฝนที่กำลังเทกระหน่ำลงมาซึ่งดังขึ้นมาอย่างชัดเจนอยู่ชั่วขณะบวกกับเสียงประตูหน้าบ้านที่เปิดออกทำให้ทั้งสองแน่ใจว่ามีใครบางคนเพิ่งเดินผ่านธรณีประตูเข้ามาในตัวบ้าน และก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่น่าจะเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้ในยามนี้ และเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่เฮอร์ไมโอนี่รอคอยการกลับมาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ!
               “เดรโก!” เด็กสาวพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่เธอจะรีบรุดออกจากห้องครัวไป!
 
               ……………………………………………………………
 
               กว่าจะกลับมาถึงบ้านซึ่งเป็นที่พักของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์และเป็นที่พักชั่วคราวของเขาในตอนนี้ได้นั้น เดรโก มัลฟอยก็เปียกโชกไปทั้งตัว เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกเนื่องจากเขาเดินตากฝนมาตลอดทางที่กลับจากหน้าผามาจนถึงบ้านหลังนี้ซึ่งกินระยะทางไกลไม่น้อยเลยทีเดียว และถึงแม้ว่ามัลฟอยจะมีไม้กายสิทธิ์ติดตัวตอนที่เขาออกไปจากบ้านก็ตาม แต่เขากลับไม่ยอมใช้มันเสกคาถาขึ้นมาป้องกันตัวเขาจากสายฝนที่กระหน่ำลงมาราวกับเขาต้องการจะให้ร่างกายของเขานั้นเปียกปอนไปตลอดทางที่เขาต้องเดินกลับมาที่นี่!
               แต่ความหนาวเหน็บและเปียกปอนของร่างกายก็ไม่อาจเทียบได้กับความหนาวเหน็บในจิตใจของเด็กหนุ่มได้เลย หลังจากที่เขารู้แล้วว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมเช่นใดต่อไป ถึงกระนั้นความหนาวเหน็บและหวาดกลัวต่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะมนุษย์หมาป่านั้นก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการที่เฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นที่รักของเขาต้องมาทนทุกข์ทรมานหลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป และเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้เดรโกตัดสินใจที่จะกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันโหดร้ายต่อ ทั้งหมดเป็นเพราะเขาต้องการจะปกป้องผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักให้ปลอดภัย!
               และถึงแม้ว่าร่างกายของเด็กหนุ่มจะต้องหนาวเหน็บและเปียกปอนมากเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อเขานำร่างสูงของตัวเองกลับมาถึงตัวบ้าน ท่ามกลางสายฝนหนาวเหน็บที่สาดซัดลงมา เสียงเรียกชื่อของเขาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของเฮอร์ไมโอนี่นั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด!
               ในวินาทีที่เดรโก มัลฟอยพาร่างสูงของตัวเองกลับมายืนอยู่หน้าธรณีประตูบ้านของเฟรย่านั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาในห้องรับแขกพอดี และในวินาทีที่เด็กหนุ่มได้สบตาเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขานั้น เขารู้สึกราวกับว่าความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลของเขามลายหายไปในพริบตา ราวกับว่าในตอนนี้เดรโกได้พบกับความหวังเพียงหนึ่งเดียวในการใช้ชีวิตต่อไปของเขาแล้ว และสิ่งนั้นก็ไม่ใช่หนทางที่จะรักษาเขาให้รอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าแต่อย่างใด แต่มันกลับเป็นการปรากฎตัวของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก ในโลกใบนี้มีเพียงเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์คนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตของเขามีค่าที่จะอยู่ต่อไป!
               “เดรโก!” เสียงเรียกชื่อเขาที่ฟังดูร้อนใจของเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขาดังขึ้นขณะที่ร่างบางนั้นรุดเข้ามาหาเขา และเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่อเด็กหนุ่มได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงที่เขาหลงรัก ได้ยินเสียงเธอเรียกเขาด้วยความห่วงใย เดรโกก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ายิ่งนักที่เขาตัดสินใจกลับมา ราวกับการเห็นหน้าเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้งเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าเหลือเกินสำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้ของเด็กหนุ่ม และมันต้องคุ้มค่าพอกับการที่เขาเลือกที่จะกลับมาเผชิญชะตากรรมที่โหดร้ายต่อไปเป็นแน่!
               เมื่อคิดได้เช่นนั้นมัลฟอยก็ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความรู้สึกราวกับเขาเพิ่งยกภูเขาออกจากอก ราวกับว่าเขาไม่มีเรื่องใดที่ต้องห่วงกังวลอีกต่อไปแล้ว ใบหน้าและแววตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองมาทางเขาด้วยความเป็นห่วงรวมถึงเสียงของเธอที่เรียกชื่อเขาด้วยความกังวลเป็นสิ่งสุดท้ายที่เดรโกรับรู้ได้ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะดับวูบลง! ร่างใหญ่ของเขาซบลงบนร่างเล็กของเด็กสาวที่รุดเข้ามาดูเขาด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ!
 
               ……………………………………………………………
              
               มัลฟอยหมดสติไปไม่นานหลังจากที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้ามายังห้องรับแขก และแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามอย่างสุดความสามารถในการประคองร่างสูงของเดรโกไว้ในอ้อมแขน แต่เนื่องจากเด็กหนุ่มนั้นตัวใหญ่กว่าเธอมาก เด็กสาวจึงไม่สามารถประคองร่างใหญ่ของเขาไว้ได้นาน ตรงกันข้ามร่างเล็กของเธอนั้นแทบจะลงไปกองอยู่ที่พื้นพร้อมกับมัลฟอยเมื่อเด็กหนุ่มไม่มีแรงพอที่จะประคองร่างสูงของเขาให้ยืนอยู่อีกต่อไป! และก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะคิดได้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อไป ร่างสูงอีกร่างก็เดินเข้ามาในห้อง!
               ร่างที่ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องรับแขกต่อจากเฮอร์ไมโอนี่ก็คือร่างของหญิงสาวผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ หญิงสาวมองภาพเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกใจเพียงชั่วครู่ก่อนที่หล่อนจะรุดเข้ามาช่วยประคองร่างที่หมดสติของเด็กหนุ่มเอาไว้
               แต่ในวินาทีแรกที่เฟรย่าแตะตัวเดรโก หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความร้อนอันมาจากผิวเนื้อของเด็กหนุ่มเช่นเดียวกับที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลสัมผัสได้เมื่อเธอพยายามประคองร่างของเดรโกไปพร้อม ๆ กับใช้มือแตะใบหน้าของเขาและเรียกชื่อเขาไปด้วย หากแต่เมื่อมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่สัมผัสใบหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอนั้น เธอกลับพบว่ามันร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กสาวก็รีบหันไปทางเฟรย่าเพื่อขอความช่วยเหลือ
               “เขามีไข้สูง” นั่นเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินเฟรย่าพูดขณะที่ทั้งสองพยายามจะประคองร่างที่เปียกโชกและร้อนรุ่มของมัลฟอยเอาไว้ และถึงแม้ว่าเด็กสาวจะยังไม่ได้พูดอะไรออกมา หญิงสาวผมดำก็รู้ดีจากการสบดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่ว่าเธอต้องการขอร้องให้หล่อนช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่อยู่ในฐานะเจ้านายของเธอ!
               และเมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงพูดขึ้น
               “ฉันว่าเราพาเขาขึ้นไปบนห้องก่อนดีกว่า” เฟรย่าพูดสั้น ๆ หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็สัมผัสได้ถึงความห่วงกังวลที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของหล่อนได้ และในวินาทีต่อมาหญิงสาวก็โบกไม้กายสิทธิ์เพื่อร่ายคาถาสำหรับยกร่างของมัลฟอยขึ้น เพื่อที่จะพาเขาขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาซึ่งตอนนี้เป็นที่พักชั่วคราวของเด็กทั้งสอง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองดูเฟรย่าที่กำลังช่วยเหลือเดรโกด้วยสายตาที่เป็นห่วงก่อนที่เธอจะเดินตามหญิงสาวกลับไปยังห้องใต้หลังคาด้วยหันใจที่ร้อนรน
               ไม่นานนักพวกเขาก็ขึ้นมายังห้องใต้หลังคา เฟรย่าใช้เวทย์มนต์วางร่างที่ไร้สติสัมปชัญญะของเดรโกลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลพร้อม ๆ กับที่เฮอร์ไมโอนี่รีบรุดไปยังข้างเตียงในทันที หลังจากที่เฟรย่าวางเดรโกลงแล้วเธอก็ร่ายคาถาอีกครั้งเพื่อทำให้ร่างกายและเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มแห้ง และถึงแม้ว่าคาถานี้จะส่งเสียงดังพอสมควรแต่มันก็ไม่สามารถปลุกเด็กหนุ่มที่กำลังหมดสติให้ตื่นขึ้นมาได้แต่อย่างใด
               เมื่อแน่ใจว่าร่างกายของเด็กหนุ่มไม่ได้เปียกชื้นอีกต่อไปแล้วหญิงสาวก็นั่งลงบนเตียงที่เดรโกกำลังนอนอยู่ หล่อนใช้มืออังหน้าผากของเขาเพื่อวัดไข้ก่อนจะสำรวจร่างกายส่วนอื่น ๆ ของเขาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า และเมื่อหล่อนทำเช่นนั้นเฟรย่าก็พบว่ามัลฟอยนั้นเก็บไม้กายสิทธิ์ไว้ในเสื้อคลุม แม้ว่าจะแปลกใจอยู่บ้างว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ของเขาร่ายคาถาเพื่อป้องกันตัวเองจากสายฝนในตอนที่เขาเดินกลับมาที่นี่ หากแต่หญิงสาวก็ไม่มีเวลาจะมาคิดหาคำตอบให้กับคำถามนี้ เพราะสิ่งที่หล่อนควรทำเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือรักษาเด็กหนุ่มตรงหน้าจากอาการเจ็บป่วยอะไรก็ตามที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ เพราะถึงแม้ว่าเฟรย่าจะไม่สามารถรักษาเดรโกให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ แต่อย่างน้อยหล่อนก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องทรมานด้วยโรคแทรกซ้อนอื่นใดอีก เพราะลำพังแค่การต้องกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวก็คงหนักหนาสาหัสสำหรับเด็กหนุ่มมากพอแล้ว
               เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลังจากที่ไม่พบร่องรอยการบาดเจ็บที่มองเห็นได้ภายนอกบนร่างที่กำลังนอนหมดสติอยู่นั้น เฟรย่าจึงร่ายคาถาเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง และเมื่อผลของคาถาแสดงว่าเดรโก มัลฟอยไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หญิงสาวจึงหันไปสนใจแผลที่ไหล่ซ้ายของเด็กหนุ่มแทน
               แม่มดสาวร่ายคาถาเพื่อให้ฉีกเสื้อคลุมและเสื้อของเด็กหนุ่มในบริเวณดังกล่าวออกเผยให้เห็นไหล่ซ้ายมีผ้าพันแผลปิดบังร่องรอยการถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายของเขาเอาไว้ เฟรย่าร่ายคาถาอีกครั้งเพื่อทำให้ผ้าพันแผลนั้นหายไปก่อนจะลงมือสำรวจบาดแผลของเดรโกอย่างระวังโดยมีเฮอร์ไมโอนี่ที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง
               หลังจากสำรวจบาดแผลตรงหน้าได้ไม่นาน หญิงสาวผมดำก็แน่ใจว่าบาดแผลของเดรโกนั้นไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด มันแค่เปียกชื้นเนื่องจากเขาเดินตากฝนมาเป็นเวลานานเท่านั้น ดังนั้นเฟรย่าจึงลงความเห็นว่าที่เด็กหนุ่มหมดสติไปนั้นน่าจะเป็นเพราะความดื้อดึงของเขาเองในการที่เขาเดินฝ่าสายฝนกลับมาจนทำให้ร่างกายของเขาเปียกชื้นและหนาวเหน็บจนเขาหมดสติไป ส่วนไข้ที่ขึ้นสูงของเขานั้นก็มาจากการที่ร่างกายของเขาหนาวเย็นเกินไปจนเป็นไข้มากกว่าจะเป็นผลข้างเคียงของการถูกมนุษย์หมาป่าทำร้าย ซึ่งถ้าพิจารณาจากเวลาที่เขาถูกทำร้ายแล้ว ผลข้างเคียงของการถูกร้ายไม่น่าจะคงอยู่จนถึงตอนนี้ ตรงกันข้ามมันจะแสดงออกมาอีกครั้งก็ต่อเมื่อถึงคืนวันเพ็ญครั้งต่อไปเท่านั้น!
               เมื่อเห็นว่าอาการของเด็กหนุ่มที่ชื่อ เดรโก มัลฟอยในตอนนี้นั้นไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก อย่างน้อย ๆ ก็ในตอนนี้ เฟรย่าจึงหันไปพูดกับเด็กสาวที่เฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ 
               “เขาไม่เป็นไรมากจ้ะ แค่ไข้ขึ้นสูงเพราะตากฝนมาเท่านั้น” หล่อนพูดเพื่อจะให้เฮอร์ไมโอนี่สบายใจหากแต่หลังจากพูดจบแล้วหญิงสาวก็ยังเห็นแววห่วงกังวลที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวอยู่ดี
               “แล้ว……” เฮอร์ไมโอนี่พูดเพียงเท่านั้นก่อนที่เธอจะชี้มืออย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไปที่บาดแผลของเดรโก และนี่เป็นอีกครั้งที่เด็กสาวได้เห็นรอยแผลอันเกิดจากกรงเล็บของมนุษย์หมาป่าบนร่างของมัลฟอย แม้เธอจะเคยเห็นเรือนร่างของเด็กหนุ่มมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ก็มีไม่กี่ครั้งที่เธอได้เห็นบาดแผลนี้ของเขายกเว้นแค่ตอนที่เขาให้เธอทำแผลให้เท่านั้น เพราะปกติเด็กหนุ่มจะปกปิดมันไว้ด้วยผ้าพันแผลตลอดราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เดรโกรังเกียจ
               แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องรังเกียจมัน! เพราะมันเปรียบเสมือนคำสาปร้ายสำหรับเขา เพราะบาดแผลนี้ที่ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานกับความหวาดกลัวที่จะต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า แต่ถึงกระนั้น ถึงมัลฟอยจะมองบาดแผลนี้ของเขาว่ามันเป็นคำสาปร้ายที่เขาต้องแบกรับไปชั่วชีวิตก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นมัน เธอกลับนึกถึงเหตุการณ์ในครานั้นที่เดรโกเข้าไปช่วยเธอไว้ได้ทันท่วงที แม้ว่าหลังจากที่เธอได้รับการช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มแล้วนั้นมันจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายกับเธอตามมาก็ตาม แต่เด็กสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าถ้าหากตอนนั้นมัลฟอยไม่ได้ไปช่วยเธอหรือเอาตัวของเขาบังเธอไว้ล่ะก็ คนที่กำลังทุกข์ทรมานจากการโดนมนุษย์หมาป่าทำร้ายอยู่ในตอนนี้ก็คงต้องเป็นเธออย่างแน่อน!
               แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้ปล่อยให้ความคิดของเธอให้ล่องลอยกลับไปยังคืนที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนอย่างไม่มีวันหวนกลับไปมากกว่านั้น เสียงของเฟรย่าก็ดังขึ้น
               “แผลของเขาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจ้ะ แต่เราคงต้องทำแผลให้เขาใหม่ ว่าแต่เขามียาที่เขาใช้ประจำติดมาด้วยหรือเปล่าจ๊ะ” เสียงของหญิงสาวราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล และดูเหมือนว่าเฮอร์ไมโอนี่ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่คำพูดดังกล่าวของเฟรย่าจะแทรกซึมเข้าสู่ความนึกคิดของเธอ หากแต่เมื่อเด็กสาวรับรู้ถึงสิ่งที่หญิงสาวผมดำต้องการสื่อออกมาแล้วนั้น เธอก็รีบตอบออกไป
               “มีค่ะ มันอยู่ในกระเป๋า” เธอพูดก่อนจะหันไปมองรอบห้องเพื่อหากระเป๋าหนังที่มัลฟอยพกมาไอซ์แลนด์ด้วยซึ่งมันบรรจุข้าวของทั้งของเขาและเธอเอาไว้ และเมื่อเด็กสาวเห็นมัน เธอจึงเดินไปหยิบกระเป๋าใบดังกล่าวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างเพื่อส่งมันให้กับเฟรย่า
               “เดรโกใส่ของที่จำเป็นไว้ในนี้ค่ะ” เด็กสาวกล่าวพลางยื่นมันให้เฟรย่า และเมื่อหญิงสาวรับมาหล่อนก็รู้ว่ามันเป็นกระเป๋าที่ถูกร่ายคาถาขยายพื้นที่เอาไว้ หญิงสาวเงยหน้ามองใบหน้าที่ดูซีดเซียวและร้อนรนของเด็กสาวตรงหน้าแวบหนึ่งก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหนังไปใบนั้นเพื่อหยิบสิ่งที่หล่อนต้องการออกมา
               แต่ในวินาทีที่เฟรย่าสอดมือเข้าไปในกระเป๋าใบนั้นหล่อนก็รู้สึกว่ามือของหล่อนร้อนวาบราวกับถูกไฟลน หญิงสาวชักมือกลับออกมาทันที! ท่ามกลางสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองมาอย่างสงสัย หากแต่เด็กสาวก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา กระเป๋าใบนี้ถูกร่ายคาถาป้องกันไว้ทำให้เฟรย่าไม่สามารถนำของที่อยู่ข้างในออกมาได้ และเมื่อเห็นเช่นนั้นหลังจากที่หญิงสาวจึงชักมือกลับออกมา หล่อนก็ตัดสินใจยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นเพื่อร่ายคาถาเพื่อทำลายคาถาป้องกันที่ร่ายไว้บนกระเป๋าใบนี้ และเมื่อคาถาแรกที่เฟรย่าร่ายไม่เป็นผล หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงลองร่ายคาถาที่สองซึ่งมีอานุภาครุนแรงกว่าคาถาแรกหลายเท่านัก หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินของหญิงสาวก็ทอประกายที่แสดงถึงประหลาดใจออกมาเมื่อหล่อนพบว่าแม้แต่คาถาแก้เวทย์มนต์ป้องกันคาถาที่สองของหล่อนนั้นก็ไม่เป็นผลเช่นกัน! กระเป๋าหนังสีดำใบนั้นยังนอนสงบนิ่งอยู่ในมือของหล่อนโดยที่มนตราป้องกันของมันไม่ได้ถูกทำลายลงแต่อย่างใด!
               เพราะเหตุนี้เฟรย่าจึงทราบทันทีว่ากระเป๋าใบนี้ถูกร่ายมาตราโบราณสำหรับป้องกันไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ไม่ว่าหล่อนหรือใครก็ตามที่ไม่ใช่เจ้าของ ๆ มันจะไม่สามารถหยิบฉวยสิ่งของที่มันบรรจุอยู่ออกไปได้ และเมื่อเห็นเช่นนั้นแม่มดสาวผมดำจึงทราบทันทีว่ากระเป๋าชิ้นนี้คงเป็นสมบัติอีกชิ้นหนึ่งของตระกูลมัลฟอยเป็นแน่ เพราะตัวคาถาที่ถูกร่ายกำกับไว้นั้นเป็นคาถาโบราณที่เก่าแก่และทรงพลังมากกว่าที่พ่อมดหนุ่มอย่างเดรโก มัลฟอยจะสามารถร่ายออกมาด้วยตัวเองได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเพียงตัวเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะเปิดกระเป๋าใบนี้เพื่อหยิบของที่ต้องการออกมา หากแต่ตอนนี้เขากำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียง และในขณะเดียวกันเฟรย่าก็ต้องใช้ยาที่ถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าเพื่อมารักษาเขา
               แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หญิงสาวก็รู้ดีว่าไม่ว่าหล่อนจะจำเป็นต้องใช้ของในกระเป๋าใบนี้มากเพียงใด หล่อนไม่อาจจะทำลายมนตราโบราณที่ถูกร่ายไว้บนกระเป๋าใบนี้ได้ และเมื่อเห็นเช่นนั้นหล่อนจึงวางมันลงที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่ที่ดูราวกับว่าเธอกำลังรอให้เฟรย่าพูดอะไรบางอย่างออกมาอย่างใจจดใจจ่อ
               “มีเวทย์มนต์ป้องกันกำกับอยู่ที่กระเป๋าใบนี้ ฉันไม่สามารถทำลายมนต์นี้ได้” หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด ราวกับว่ามันรบกวนจิตใจหล่อนอยู่ไม่น้อยเมื่อต้องค้นพบว่ามีข้อจำกัดทางเวทย์มนต์บางอย่างที่หล่อนไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีราวกับต้องการจะพูดอะไรขึ้นมา
               “แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ” เด็กสาวพูดขึ้นอย่างร้อนใจ ดวงตาสีน้ำตาลที่มองไปทางเด็กหนุ่มผมลอนด์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย
               “เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ้ะ ฉันสามารถปรุงยาสำหรับรักษาอาการของเขาได้” เฟรย่าพูดขึ้น “ฉันหมายถึงฉันสามารถปรุงยาสำหรับลดไข้และยาสำหรับรักษาบาดแผลภายนอกของเขาได้น่ะจ้ะ เพียงแต่ถ้าฉันรู้ซักนิดว่าก่อนหน้านี้เขาใช้ยาอะไรอยู่” หญิงสาวผมดำพูดอย่างฉะฉานหากแต่ดวงตาสีน้ำเงินของหล่อนนั้นส่อแววไม่แน่ใจออกมา
               “ถ้าหนูจำไม่ผิด ยาที่เดรโกใช้มีส่วนผสมของต้นอะโคไนซ์ค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบในทันที พลางคิดในใจว่าโชคดีที่เด็กหนุ่มเคยใช้ให้เธอทำแผลของเขาอยู่บ้างเธอถึงรู้ถึงตัวยาที่เดรโกใช้สำหรับรักษาบาดแผลของเขา
               “นับว่าเป็นตัวเลือกที่ฉลาดทีเดียว ฉันพอรู้แล้วล่ะว่ายาที่เขาใช้คือยาตัวไหน ฉันจะรีบไปปรุงยาสำหรับรักษาบาดแผลและยาลดไข้มาให้เขานะจ๊ะ และในช่วงที่รอฉันตอนนี้เธอช่วยเช็ดตัวเขาหน่อยแล้วกันเผื่อว่าไข้เขาจะลดลงบ้าง อุปกรณ์ที่เธอต้องการอยู่ในตู้ในห้องครัวจ้ะ ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาให้เธอรีบไปตามฉันทันทีเลยนะ ฉันจะอยู่ในห้องทำงาน ทางเข้าจะซ่อนอยู่หลังม่านลูกปัดในห้องพยากรณ์จ๊ะ เธอเรียกฉันจากตรงประตูห้องก็ได้” เฟรย่าแจกแจงอย่างละเอียดในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ก็เพิ่งเข้าใจทุกอย่างในตอนนี้เอง ทางเข้าห้องทำงานของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ซ่อนอยู่หลังม่านลูกปัดผืนนั้นแสดงว่ามันก็ต้องอยู่ติดกับห้องพยากรณ์ มิน่าล่ะเธอถึงได้ยินเสียงของเดรโกดังมาจากในห้องหากแต่ในตอนนั้นเด็กสาวไม่รู้ว่าทางเข้าห้องทำงานของเฟรย่าอยู่ตรงไหน เธอถึงตัดสินใจเดินตามเสียงของเด็กหนุ่มไปอีกทางโดยใช้ทางเดินที่ตัดผ่านสวนสมุนไพรของบ้านแทน
               เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเข้าใจในทันทีว่า ตอนที่เธอไม่ประสบความสำเร็จจากการหาทางเดินตัดสวนสมุนไพรของบ้านไปยังปีกตะวันตกได้นั้นและเธอก็ตัดสินใจเดินกลับมาทางเดิมซึ่งมันทำให้เธอก็บังเอิญเจอกับเฟรย่าที่ห้องรับแขกพอดีและในตอนนั้นหญิงสาวบอกเธอว่าเดรโกเพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อครู่ นั่นก็แสดงว่าเด็กหนุ่มที่เดิมอยู่ในห้องทำงานซึ่งติดกับห้องพยากรณ์ต้องเดินออกมาทางห้องพยากรณ์เพื่อผ่านห้องรับแขกก่อนออกจากบ้านไป และในวินาที่เธอมาถึงห้องรับแขกและเจอเฟรย่าอยู่ที่นั่นเสียงร้องของเดรโกเพิ่งหยุดลงไม่นานนัก นั่นหมายความว่าเด็กสาวคลาดกับเด็กหนุ่มที่กำลังออกจากบ้านไปเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น! และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าหากเธอไปถึงที่ห้องรับแขกเร็วกว่านี้ เธอจะได้เจอกับมัลฟอยก่อนที่เขาจะออกไปจากบ้านหรือเปล่านะ และถ้าหากเธอเจอเขาในตอนนั้นแล้วเด็กหนุ่มยังจะดึงดันที่จะออกจากบ้านจนเขาต้องมีสภาพเช่นนั้นในตอนกลับมาหรือเปล่า!
               แต่ถึงจะเฝ้าคิดและใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้เหล่านี้เพียงใด เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่เธอคิดนั้นมันไม่สามารถเกิดขึ้นในความเป็นจริงได้ พอ ๆ กับที่เด็กสาวรู้ดีว่าเธอไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้ ไม่ว่าจะเป็นในวินาทีที่เธอเดินเข้าไปที่ห้องรับแขกช้าไปเพียงเสี้ยววินาที หรือในตอนที่เธอเลือกที่จะผิดสัญญาที่เธอได้ให้ไว้กับเด็กหนุ่มที่จนทำให้เขาต้องออกไปตามหาเธอที่ป่าดำจนกระทั่งเขาถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายและต้องมามีสภาพเช่นในตอนนี้!
               แม้เฮอร์ไมโอนี่จะรู้ดีว่าการที่เดรโกถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายนั้นไม่ใช่ความผิดของเธอเพียงคนเดียวเช่นเดียวกับที่มันอาจจะไม่ใช่ความผิดของใครเลย หรือถ้าจะโทษก็คงต้องโทษโชคชะตาที่เล่นตลกกับชะตาชีวิตของพวกเขาทั้งสองถึงเพียงนี้ หากแต่ในคืนนั้นเด็กสาวก็ยอมรับว่าถ้าหากเดรโกไม่ตามเธอไปและเอาตัวของเขามาบังเธอไว้ล่ะก็ คนที่ต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายในตอนนี้อาจจะเป็นเธอแทนเด็กหนุ่มก็เป็นได้! และการที่เธอรอดจากคำสาปร้ายของการเป็นมนุษย์หมาป่ามาได้นั่นก็เพราะเด็กหนุ่มผู้ที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียงในตอนนี้ และถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยต้องการให้มัลฟอยมาแบกรับชะตากรรมที่ราวกับคำสาปร้ายในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าที่เดรโกต้องเป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะเขาต้องการปกป้องเธอซึ่งเป็นผู้หญิงที่เขารัก!
               เมื่อเขาทำเพื่อเธอขนาดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเคยทำเรื่องเลวร้ายที่ไม่อาจจะลบเลือนได้ลงไปกับเธอหลังจากเขาได้ช่วยเหลือเธอไว้ก็ตาม แต่เขาก็ยอมเอาตัวเองมาเสี่ยงเพื่อเธอ เขายอมเอาตัวของเขามาบังเธอไว้และเอาร่างกายของเขารับคำสาปร้ายนี้แทนเธอ และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงคิดว่ามันคงถึงเวลาที่เธอควรจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม! เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กสาวจึงเรียกร่างสูงของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านไว้ก่อนที่หล่อนจะเดินลงบันไดห้องใต้หลังคาไป
               “เฟรย่าคะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น ขณะที่หญิงสาวผู้มีท่าทีรีบเร่งมองเธอด้วยความสงสัย “หนูมีเรื่องจะขอร้องคุณค่ะ”
 
               ……………………………………………………………
 
               เดรโก มัลฟอยตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนงงและปวดระบมที่ศีรษะ ร่างกายของเขาปวดร้าวราวกับมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ เด็กหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาที่หนังอึ้งของเขาออกและเมื่อเขาทำเช่นนั้นภาพแรกที่เขาเห็นก็คือภาพเพดานที่เลือนลางและผนังห้องสีเขียวที่คุ้นตาซึ่งทำให้เขาคิดว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในคฤหาสน์ของเขา และเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงฝันร้ายที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น
               แต่เมื่อเด็กหนุ่มลืมเปลือกตาหนัก ๆ ของเขาขึ้นเต็มที่พร้อมกับกระพริบมันแรง ๆ เพื่อไล่ความง่วงงุนออกไป เดรโกกลับพบว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงนอนในห้องของเขาหรือห้องนอนของเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นทาสสาวและคนรักของเขาที่คฤหาสน์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขาควรที่จะอยู่ที่บ้านของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ผู้เป็นแม่มดที่เก่งกาจซึ่งเขาเคยเชื่อว่าหล่อนเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถจะรักษาเขาจากการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ต่างหากล่ะ เพราะสิ่งสุดท้ายที่เดรโกจำได้หลังจากที่เขากลับมาถึงบ้านของเฟรย่าแล้ว ก่อนที่เขาจะหมดสติไปก็คือใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเฮอร์ไมโอนี่พร้อมกับเสียงเรียกชื่อเขาที่ฟังดูห่วงใยและร้อนรนในคราเดียวกัน!
               มัลฟอยผงกศีรษะที่หนักอึ้งและสับสนราวกับมันเต็มไปด้วยหมอกควันของเขาขึ้นมาช้า ๆ พลางมองไปรอบ ๆ อย่างแปลกใจ แม้ว่าเดรโกจะจำได้ว่าเขากลับมาถึงบ้านของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก่อนหน้านี้ก็ตาม และตอนนี้เขาก็ควรจะนอนอยู่ในห้องใต้หลังคาอันเป็นที่พักชั่วคราวของเขากับเฮอร์ไมโอนี่ระหว่างที่พวกเขาอยู่ที่นี่ หากแต่ห้อง ๆ นี้กลับดูไม่เหมือนห้องใต้หลังคาห้องเดิมที่เขาจำได้สักนิด แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหาคำตอบได้ว่าห้อง ๆ นี้ไม่เหมือนเดิมอย่างไรได้นั้น สายตาของเขาก็ไปสะดุดกับร่าง ๆ หนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอนของเขา ร่างบางนั้นดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเดรโกตื่นขึ้นมาแล้วเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอนั่งก้มหน้าราวกับกำลังอ่านหนังสืออยู่หากแต่บนตักของเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่มีหนังสือวางอยู่แต่อย่างใด และเมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกจึงเลือกที่จะเฝ้ามองใบหน้าของเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจของเขามากกว่าที่จะไปหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับห้องที่เขากำลังพักอยู่ในตอนนี้ และสิ่งที่เด็กหนุ่มได้เห็นก็คือเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเฮอร์ไมโอนี่ ปอยผมสีน้ำตาลหยักศกของเธอตกระใบหน้างามที่มัลฟอยหลงรัก ดวงตาสีน้ำตาลอันแสนจะอบอุ่นของเธอซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาและแพขนตางาม เด็กหนุ่มสำรวจใบหน้าของเด็กสาวที่เขารักอยู่เพียงครู่เดียวก็รู้ว่าเธอคงจะหลับไประหว่างที่เธอนั่งเฝ้าเขาเช่นเดียวกับที่เขาก็เคยนอนหลับไประหว่างที่เขากำลังเฝ้ามองเธอหลับในตอนที่พวกเขายังอยู่ที่คฤหาสน์ด้วยกัน
               แม้ว่าเด็กหนุ่มจะดีใจมากเพียงใดที่เขาได้เห็นหน้าเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง รวมถึงได้การได้รับรู้ความจริงที่ว่าเธอมานั่งเฝ้าไข้เขาจนหลับไปนั้นทำให้เดรโกรู้ว่าเด็กสาวก็เป็นห่วงเขาไม่น้อยเหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ต้องการที่จะปลุกเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นที่รักของเขาตื่นจากหลับใหลขึ้นมาแต่อย่างใด  ตรงกันข้ามเขาอยากจะปล่อยให้เธอหลับต่อไปอีกซักหน่อย
               เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ ออกแรงดันร่างของตัวเองขึ้นจากที่นอนทั้ง ๆ ที่เขารู้สึกปวดร้าวและเหนื่อยอ่อนไปทั้งสรรพางค์กาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามออกแรงดันร่างกายที่เหนื่อยล้าของตัวเองขึ้นจากเตียงให้มาอยู่ในท่านั่ง และเมื่อเขาทำเช่นนั้นแล้วเดรโกก็รู้สึกปวดร้าวไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณไหล่ซ้ายและศีรษะของเขา และเมื่อเขาก้มลงมองไปยังไหล่ซ้ายของตัวเองเด็กหนุ่มจึงรู้ตัวว่าเขากำลังเปลือยท่อนบนอยู่! ผ้าพันแผลที่ปกปิดบาดแผลอันเกิดจากการกรงเล็บของมนุษย์หมาป่าบนร่างกายของเขานั้นดูปกติดี และมันดูราวกับว่ามีคนมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาใหม่ และแน่นอนว่าคน ๆ นั้นก็คงจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กสาวที่ผล็อยหลับไประหว่างที่กำลังเฝ้าไข้เขาในตอนนี้นี่เอง!
               เมื่อเห็นว่าบาดแผลภายนอกไม่ได้เป็นอะไรมาก มัลฟอยก็พยายามจะลุกขึ้นเพื่อหาอะไรมาสวมใส่ และในวินาทีที่เด็กหนุ่มกำลังจะลุกขึ้นเพื่อลงจากเตียงนั้นเองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็ลืมตาขึ้น และเมื่อเธอเห็นว่าเดรโกตื่นขึ้นมาแล้วนั้น ดวงตาสีน้ำตาลตู่สวยของเธอก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับที่เธอพูดออกมาอย่างร้อนใจ
               “อย่าเพิ่งลุกขึ้นมา” เฮอร์ไมโอนี่ร้องห้ามก่อนจะรุดมานั่งบนเตียงที่เด็กหนุ่มกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่มือเล็กของเด็กสาวเอื้อมเข้ามาหมายจะแตะไหล่ของเด็กหนุ่มไว้ในเชิงห้ามปราม หากแต่เมื่อเธอทำเช่นนั้นก็กลับกลายเป็นว่ามือเล็กของเธอแตะไปโดนไหล่และร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มเข้า
               เฮอร์ไมโอนี่ใบหน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด เธอรีบชักมือกลับทันทีเมื่อเห็นว่ามัลฟอยไม่ได้พยายามลุกขึ้นมาจากเตียงอีกต่อไปแล้ว แต่ความพยายามที่จะลุกขึ้นมาของเขาก่อนหน้านั้นทำให้ผ้าห่มที่ปกปิดร่างของเด็กหนุ่มเลิกลงมาจนร่างกายท่อนบนอันเปลือยเปล่าของเขาปรากฎต่อสายตาของเฮอร์ไมโอนี่!
               เด็กสาวรีบแสร้งมองไปทางอื่นอย่างจงใจ ราวกับเธอไม่ต้องการจะจ้องมองร่างเปลือยท่อนบนของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอไปมากกว่านี้ เพราะถึงแม้ว่าเธอจะเคยเห็นร่างกายท่อนบนของเขามาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านี่ที่เด็กหนุ่มหมดสติเธอก็เป็นคนลงมือเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เดรโกเองหลังจากที่เฟรย่าช่วยเธอใช้คาถาถอดเสื้อชิ้นบนและเสื้อคลุมของเขาออก หากแต่ตอนที่เธอเปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จเฟรย่าก็กลับไปที่ห้องทำงานของหล่อนแล้วและเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าเธอไม่ควรจะไปรบกวนหญิงสาวให้กลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อร่ายคาถาสวมใส่เสื้อผ้ากลับคืนให้เดรโก แต่ในขณะเดียวกันลำพังแรงของเด็กสาวคงไม่สามารถยกร่างสูงใหญ่ของมัลฟอยขึ้นเพื่อแต่งตัวให้เขาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงตัดสินใจปล่อยให้มัลฟอยเปลือยท่อนบนต่อไปและใช้ผ้าห่มคลุมร่างเปลือยท่อนบนของเขาไว้แทน แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ การได้เห็นผิวเนื้อที่เปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มตรงหน้าตอนที่เขาหลับนั้นมันไม่น่าลำบากใจเท่ากับที่เธอต้องมาเห็นในตอนที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วแม้แต่น้อย! เพราะมันทำให้เด็กสาวรู้สึกเขินอายรวมถึงอึดอัดได้ไม่ยากเลยทีเดียว!
               แต่เฮอร์ไมโอนี่คงลืมคิดไปว่าตัวเธอเองเคยเห็นรวมถึงสัมผัสผิวเนื้อของเดรโกมามากกว่านี้แล้ว รวมถึงเขาเองก็เคยเห็นและสัมผัสร่างกายของเธอมาทุกส่วนสัดแล้วเช่นกัน!
               เด็กสาวเบือนหน้าของเธอไปที่อื่นราวกับว่าเธอต้องการจะซ่อนแก้มร้อนผ่าวที่น่าจะขึ้นสีของเธอจากสายตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า ซึ่งถ้าปกติมัลฟอยคงจะต้องล้อเธอหรือไม่ก็แกล้งเธอด้วยการดึงร่างบางนั้นมาสวมกอดแนบอกเป็นแน่ หากแต่ในวันนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้เขากลับไม่อยากจะทำอย่างที่เคยทำแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มตัดสินใจพูดขึ้น
               “เธอช่วยหยิบเสื้อผ้าของฉันให้หน่อยได้ไหม” มัลฟอยกล่าวเรียบ ๆ และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังหาทางซ่อนใบหน้าร้อนผ่าวของเธอจากสายตาของเขาอยู่พอดีก็รีบพยักหน้าและเดินไปหยิบเสื้อผ้าของเขาที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าก่อนจะยื่นมันให้เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง
               “เธอเป็นยังไงบ้าง” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยความเป็นห่วง ขณะที่มัลฟอยรับเสื้อและเสื้อคลุมมาใส่อย่างลวก ๆ เด็กหนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาทาสสาวของเขาแต่อย่างใด เพราะในตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีก้อนแข็ง ๆ มาจุกที่ลำคอของเขา เดรโกไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบเธอออกไปว่าอย่างไร เพราะถ้าเฮอร์ไมโอนี่ต้องการคำตอบแค่เพียงอาการที่น่าจะมาจากการที่เขาเดินตากฝนกลับมาตลอดทางเขาก็คงตอบเธอออกไปได้ว่า เขารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้และปวดเมื่อยเนื้อตัวเท่านั้น หากแต่ถ้าเธอถามไปถึงอาการอื่นของเขารวมถึงการรักษาของเขากับเฟรย่าแล้วล่ะก็ เขาจะสามารถตอบเธอออกไปได้หรือไม่ว่าต่อไปเขาจะต้องมีชะตากรรมเป็นเช่นไร ในตอนนี้เดรโกเองก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้กับตัวของเขาเองได้ด้วยซ้ำ
               แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะตัดสินใจได้ว่าเขาควรจะตอบคำถามของเด็กสาวตรงหน้าออกไปอย่างไร เสียงเตียงที่ยวบลงทำให้มัลฟอยรู้ว่าร่างบางตรงหน้านั้นได้ลงมานั่งบนเตียงที่เขากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่แล้ว และกว่าที่เดรโกจะรู้ตัวอีกทีมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ก็ทาบลงมาบนหน้าผากของเขาเพื่อวัดไข้
               “ตัวเธอยังร้อนอยู่นะ” เด็กสาวพึมพำ “แต่ก็ดีกว่าตอนที่เธอกลับมาถึงที่นี่มาก ตอนนั้นเธอมีไข้ขึ้นสูงมากทีเดียว แต่ตอนนี้ไข้ลดลงเยอะแล้ว” เธอพูดต่อไป ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นนิ่งเงียบ ดวงตาสีซีดของมัลฟอยเงยขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวที่เขาหลงรักที่มองมาทางเขาด้วยความห่วงใยมากกว่าอะไรทั้งหมด และเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่อเขาสัมผัสถึงความห่วงใยที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อเขาอย่างไม่ปิดบังหรือมีอย่างอื่นเคลือบแฝง เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะคว้าร่างบางนั้นมากอดทันที
               “เดร….” เด็กสาวพูดได้เพียงเท่านั้นเมื่อจู่ ๆ มัลฟอยก็คว้าร่างของเธอมากอด หากแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เธอปล่อยให้เด็กหนุ่มผมบลอนด์กอดเธอแต่โดยดีและในขณะเดียวกันมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ก็ยกขึ้นโอบกอดร่างสูงของเดรโกไว้อย่างหลวม ๆ เธอสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังของเดรโกนั้นสั่นเทา หากแต่เด็กสาวก็ไม่อยากที่จะถามอะไรเขาออกไป
               พวกเขาโอบกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ร่างสูงของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเดรโก มัลฟอยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ออกจากอ้อมกอดของเขาแต่อย่างใด และในครั้งนี้เด็กสาวเองก็ไม่ได้ขัดขืนหรือปฏิเสธอ้อมกอดของเดรโกเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ มือเล็กของเด็กสาวลูบแผ่นหลังของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธออย่างปลอบโยนก่อนที่เธอจะตัดสินใจถามขึ้น
               “เธอหายไปไหนมาเหรอ เดรโก” เธอถามขึ้นเบา ๆ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบเธอเฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจพูดต่อ
               “เธอรู้รึเปล่าว่าฉันตกใจแค่ไหนที่ฉันรู้ว่าเธอออกไปบ้านไปน่ะ” เธอตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงหรือถามถึงเรื่องเสียงกรีดร้องของเขาที่เธอได้ยินก่อนที่เด็กหนุ่มจะหายตัวไป แม้ว่าเด็กสาวอยากจะรู้รวมถึงเป็นห่วงเขามากเพียงใดก็ตามแต่เธอก็เป็นห่วงความรู้สึกของเดรโกด้วยเช่นกัน
               และเมื่อได้ยินคำถามนั้นของเด็กสาวที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขาในตอนนี้ มัลฟอยก็กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก แม้ว่าคำถามนี้จะไม่ใช่คำถามที่ตอบได้ยากนักสำหรับเด็กหนุ่ม หากแต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังได้อย่างไร เขาจะเล่าให้เธอฟังได้อย่างไรว่าหลังจากนี้ ในคืนวันเพ็ญที่จะถึงนี้เขาจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว! และเมื่อถึงตอนนั้น เมื่อเธอรู้เรื่องนี้แล้ว เธอยังจะต้องการหรือแม้กระทั่งยินยอมที่จะอยู่เคียงข้างเขาเหมือนดังที่เธอเคยให้สัญญาไว้หรือเปล่านะ!
               มัลฟอยรู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลอาบแผ่นหลังและหน้าผากของเขาพร้อมกับที่เขารู้สึกถึงความกลัวที่เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายของเขา! ใช่แล้ว! เด็กหนุ่มกลัว! เขากลัวการที่เขาจะต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า เขากลัวการที่เขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะผู้ต้องคำสาปไปตลอดชีวิตของเขา หากแต่เด็กหนุ่มก็มีความกลัวที่มากกว่าการจะต้องกลายร่างเป็นหมาป่า และสิ่งที่เดรโก มัลฟอยกลัวมากกว่าอะไรทั้งหมดในชีวิตของเขาก็คือการที่เขาจะต้องสูญเสียผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก เขากลัวว่าเขาจะต้องสูญเสียเฮอร์ไมโอนี่ไปและจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดโดยปราศจากผู้หญิงที่เป็นเสมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตอันมืนมนของเขา!
               และเมื่อเดรโกรู้ว่าเขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามนี้ของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังรอฟังคำตอบของเขาอยู่ไปได้ พอ ๆ กับที่เขาก็รู้ดีว่าตัวเขาเองไม่ต้องการจะบอกความจริงทั้งหมดให้เด็กสาวรู้มากเพียงใด เด็กหนุ่มจึงกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอย่างยากลำบาก ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างที่เขาสามารถพูดได้ออกไป
               “ฉันขอโทษ” เขาพูดออกมาเพียงเท่านั้น และเมื่อเดรโกสัมผัสว่าเฮอร์ไมโอนี่น่าจะยังไม่คลายความสงสัยที่มีลงจากความเงียบงันที่ปกคลุมรอบกายพวกเขาทั้งสองอยู่นั้น มัลฟอยจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
               “ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวน่ะ แต่จริง ๆ ฉันควรจะบอกเธอก่อน เธอจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” เขาพูดออกมาอย่างระมัดระวัง และแม้ว่าแววความสงสัยจะยังไม่จางหายไปจากดวงตาสีน้ำตาลที่เด็กหนุ่มหลงรักก็ตาม แต่เด็กสาวก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา แน่นอนว่าเธอเป็นห่วงเขา แม้ว่าเขาจะเคยทำเรื่องที่ไม่อาจอภัยกับเธอลงไปก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มตรงหน้ายามที่เขาหายไป อันที่จริงเธอเป็นห่วงเขาตั้งแต่เขาออกจากห้องใต้หลังคาแห่งนี้เพื่อไปทำการรักษาแล้ว หรือแท้ที่จริงแล้วเธออาจจะเป็นห่วงเขามาตั้งแต่คืนก่อนที่เธอจะตัดสินใจขโมยไม้กายสิทธิ์ของเขาไปด้วยซ้ำ! แต่ความห่วงหาที่เฮอร์ไมโอนี่เคยมีต่อมัลฟอยก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่อาจจะเทียบได้กับความห่วงหาจนแทบจะเรียกได้ว่าร้อนรนเธอมีในตอนที่เขาหายไปเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เด็กสาวได้ล่วงรู้แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเด็กหนุ่มบ้าง รวมถึงเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องมาพบเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ถึงที่เกาะแห่งนี้ และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอคิดไปเองว่าการหายตัวไปของเดรโกในครั้งนี้อาจจะเกี่ยวกับการรักษาของเขากับเฟรย่าหรือเปล่านะ และการที่จู่ ๆ เด็กหนุ่มหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรแบบนี้มันจะหมายความว่าการรักษาของเขานั้นไม่ประสบความสำเร็จอย่างนั้นหรือ
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอแห้งผากขึ้นมา ก็ตัดสินใจถามเดรโกออกไป
               “แล้วที่เธอไปรักษากับเฟรย่ามาเป็นยังไงบ้างเหรอ” เธอถามอย่างระมัดระวัง ขณะที่ฝ่ายที่ถูกถามนั้นรู้สึกถึงความกลัวที่แล่นเข้าจับขั้วหัวใจของเขา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตอนนี้เขาโชคดีเหลือเกินที่ตอนนี้พวกเขากำลังกอดกันอยู่ไม่เช่นนั้นเด็กสาวในอ้อมกอดของเขาคงต้องได้เห็นความกลัวที่ฉายชัดออกมาทั้งทางสีหน้าและแววตาของเขาเป็นแน่!
               ในขณะที่เดรโกกำลังคิดหาคำตอบมาตอบคำถามนี้ของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีหนทางใดที่จะตอบเด็กสาวออกไปได้นอกจากบอกความจริงกับเธออยู่นั้น สายตาของมัลฟอยก็เหลือบไปเห็นผนังของห้องใต้หลังคาแห่งนี้ซึ่งเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเปลี่ยนไปจากในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง เพราะในตอนแรกผนังของห้องที่เขาจะต้องพักอาศัยในระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่นั้นเต็มไปด้วยรอยเล็บของมนุษย์หมาป่า หากแต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนเป็นผนังที่ปูวอลเปเปอร์สีเขียวแทน และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เด็กหนุ่มคิดว่าเขาอยู่ที่คฤหาสน์ของเขาในตอนที่เพิ่งจะรู้สึกตัว เพราะเท่าที่เขาจำได้ตอนที่เขาออกจากห้องใต้หลังคาแห่งนี้เพื่อไปรักษากับเฟรย่านั้นผนังเหล่านี้ยังคงเต็มไปด้วยรอบเล็บของมนุษย์หมาป่าอยู่เลย
               และเมื่อเห็นเช่นนั้นมัลฟอยก็คลายอ้อมกอดของเขาที่กอดรัดร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้ สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องที่ผนังรอบห้องอย่างประหลาดใจ ขณะที่เด็กสาวมองตามสายตาของเขาไปจนเห็นว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ เธอก็พูดขึ้น
               “คือฉันขอร้องเฟรย่าให้ร่ายมนต์เพื่อให้มันเป็นแบบนี้เองน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เธอจะทำให้เขาได้ และถึงแม้การกระทำครั้งนี้ของเธอจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ก็ตามแต่มันกลับเป็นสิ่งที่มีความหมายเป็นอย่างมากสำหรับเด็กหนุ่มตรงหน้าเธอ
               “เธอทำเพื่อฉันอย่างนั้นเหรอ” เดรโกมองเฮอร์ไมโอนี่ราวกับเขาแปลกใจในสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก ก่อนที่เด็กสาวจะตอบออกมา
               “ฉันคิดว่ามันคงจะทำให้เธอไม่สบายใจฉันก็เลย…” เด็กสาวพูดออกมาเพียงเท่านั้นเพราะในวินาทีต่อมามือใหญ่ของเดรโกก็เข้ามาสัมผัสใบหน้าของเด็กสาวที่เขาแสนรักก่อนที่เดรโกจะก้มลงและจูบเธอที่ริมฝีปาก
               จูบครั้งนี้ของเด็กหนุ่มผมบลอนด์นั้นรวดเร็วหากแต่แผ่วเบา แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะตกใจอยู่บ้างที่จู่ ๆ เขาเข้ามาจูบเธอหากแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนเขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็กสาวกับตอบแทนจูบที่แสนหวานของเด็กหนุ่มด้วยการจูบเขาตอบอย่างนุ่มนวลขณะที่เธอยกมือทั้งสองขึ้นเพื่อโอบรอบคอเดรโกราวกับเธอต้องการรั้งใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น
               ทั้งสองจูบกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มัลฟอยจะเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมา หากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ผละออกมาจากร่างงามตรงหน้าในทันที ตรงกันข้ามเขากลับใช้หน้าผากของเขาแตะหน้าผากมนของเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่ดูอบอุ่นมากกว่าดวงตาคู่ใดที่เขาเคยเห็นมา
               แต่จู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็รั้งหน้าของเธอห่างออกมาจากเดรโก เด็กสาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อแตะหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้น
               “ไข้ลดแล้วนี่” เธอพึมพำ
               “เพราะฉันได้ยาดีต่างหากล่ะ” เด็กหนุ่มพูด “สงสัยต่อไปถ้าฉันเป็นไข้เธอคงต้องรักษาฉันด้วยวิธีนี้แล้วล่ะ ฉันถึงจะได้หายไวแบบนี้” เขาพูดพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม ขณะที่เด็กสาวที่เพิ่งถูกเขาขโมยจูบไปนั้นหน้าเริ่มขึ้นสีอีกครั้ง
               “เดรโก!” เธอท้วงออกมาพลางตีเขาบา ๆ แต่เด็กหนุ่มกลับไม่รู้เจ็บซักนิด ตรงกันข้ามมือใหญ่ของเขากลับคว้ามือเล็กที่หมายจะตีเขาซ้ำเอาไว้ก่อนจะยกขึ้นมันขึ้นมาจูบพลางมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาด้วยแววตาราวกับว่าเธอเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขาก่อนจะจับมือเธอมาแนบใบหน้าของเขาพลางพูดขึ้น
               “ฉันดีใจที่เธอเป็นห่วงฉันนะ” เดรโกพูดพลางมองเด็กสาวตรงหน้าเขาด้วยแววตาที่ล้ำลึกจนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงความร้อนวูบวาบที่แก้มของเธอ
               “ฉันรักเธอ” เขาบอกรักเธอออกไป ก่อนจะคว้าร่างเล็กของเธอมากอดอีกครั้ง
               และแม้ว่านี้จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เดรโกบอกรักเธอแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมาจากปากของทาสสาวและคนรักของเขาก็ตาม แต่เดรโกกลับไม่ใส่ใจเลยว่าเด็กสาวตรงหน้าจะรู้สึกกับเขาอย่างไรหรือแม้กระทั่งเธอจะสามารถรักเขาตอบได้หรือเปล่า เพราะในตอนนี้แค่เขารู้แล้วว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นห่วงเขาจากใจจริง แค่นี้มันก็มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับเขาแล้ว เธอไม่จำเป็นจะต้องรักเขาก็ได้ แต่การที่เธอยอมมาอยู่เคียงข้างเขา การที่เธอห่วงใยและยอมทำเพื่อเขาขนาดนี้มันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว เพราะสิ่งที่เขาได้รับในตอนนี้มันเพียงพอแล้วสำหรับการที่เขาจะเผชิญชะตาชีวิตที่โหดร้ายต่อไปได้! แม้เขาจะไม่รู้ก็ตามว่าเฮอร์ไมโอนี่ยังจะอยากอยู่เคียงข้างเขาต่อไปหรือไม่หลังจากเธอรู้ความจริงว่าเขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าหลังจากนี้ แต่ถึงกระนั้น เมื่อเวลานั้นมาถึงเดรโกก็จะพยายามทำทุกทางเพื่อเหนี่ยวรั้งเธอไว้ให้อยู่ข้างกายเขา และแน่นอนมันจะต้องมาจากความเต็มใจของเธอเองด้วยเช่นกัน เพราะเดรโกไม่ต้องการที่จะฝืนใจเธอหรือใช้กำลังกักขังเธอเยี่ยงทาสของเขาอีกต่อไปแล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะยังไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทำอย่างที่หวังได้หรือไม่ หากแต่เขาก็จะพยายามอย่างดีที่สุด เพราะมัลฟอยรู้ดีว่าถ้าหากขาดเฮอร์ไมโอนี่ไปแล้วชีวิตของเขาที่เหลืออยู่ก็คงจะไม่มีความหวังและความหมายอะไรทั้งสิ้น เพราะในตอนนี้เด็กสาวที่เขากำลังโอบกอดอยู่แนบอกนี้เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในการชีวิตต่อไปของเขา ยิ่งเมื่อเขาได้รู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ก็เป็นห่วงเขาเหมือนกันและการที่เธอยอมทำอะไรบางอย่างให้เขาโดยที่เขาไม่ได้เรียกร้องแต่อย่างใดนั้นทำให้เด็กหนุ่มมีความหวังขึ้นมามากทีเดียวว่าเธออาจจะยอมอยู่ข้างกายเขาต่อไปหลังจากเธอได้รับรู้ชะตากรรมที่เขาจะต้องเผชิญต่อจากนั้นแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นมัลฟอยก็ไม่อยากจะบอกเฮร์ไมโอนี่ถึงผลการรักษาของเขาออกไปในตอนนี้ ในเวลาที่พวกเขาทั้งสองกำลังโอบกอดกันอย่างมีความสุขอยู่ และในเวลาที่เขาเพิ่งได้รับรู้ถึงความห่วงใยและความใส่ใจที่เด็กสาวที่มีต่อเขาอย่างในตอนนี้!
               แน่นอนว่าวันหนึ่งในอนาคตเฮอร์ไมโอนี่จะต้องรู้เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของเขาต่อไป หากแต่เดรโกก็ยังไม่อยากให้มันเป็นวันนี้ แต่เด็กหนุ่มหวัง เขาหวังอย่างสุดหัวใจว่าเมื่อถึงวันที่เฮอร์ไมโอนี่ได้รับรู้เรื่องดังกล่าวแล้ว ความห่วงใยที่เธอมีต่อเขาจะมากพอที่จะทำให้เธอยอมใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวเช่นเขาต่อไปได้!
 
               ……………………………………………………………
 
               หลังจากที่ทั้งสองสวมกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาวในอ้อมแขนของเดรโกก็ผละออกจากอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม เขามองเธออย่างสงสัยหากแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าราวกับเธอเพิ่งนึกบางอย่างได้ เด็กสาวลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก แม้ว่าเดรโกจะไม่เห็นว่าเธอเดินไปทำอะไรตรงนั้นแต่ไม่นานนักเด็กสาวก็หันกลับมาพร้อมกับถาดบรรจุถ้วยยา
               “ฉันลืมให้เธอกินยาเลย” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางยกถาดบรรจุถ้วยยาสองถ้วยมาให้เขา เด็กสาวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง เธอวางถ้วยยาลงบนเตียงก่อนจะเปิดฝาของยาถ้วยแรกออก มีควันสีขาวลอยกรุ่นขึ้นมาบอกให้รู้ว่ายาถ้วยนี้ถูกต้มขึ้นไม่นานนัก หรือไม่ถ้วยยาถ้วยนี้ก็มีเวทย์มนต์ที่ทำให้ยาในถ้วยร้อนอยู่เสมอกำกับอยู่ และเมื่อเห็นสีและได้กลิ่นยาถ้วยแรกแล้วมัลฟอยก็รู้ทันทีว่ามันเป็นยาขนานเดียวกับที่สเนปปรุงให้เขา หากแต่ที่เด็กหนุ่มสงสัยคือยาทั้งหมดที่อาจารย์วิชาปรุงยาเตรียมไว้ให้เขาสำหรับการเดินทางครั้งนี้ควรจะอยู่ในกระเป๋าหนังที่เขาพกมาใช้ในการเดินทาง ซึ่งกระเป๋าใบดังกล่าวมีการลงมนตราและคาถาป้องกันการโจรกรรมทุกรูปแบบไว้ทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยิบของสิ่งใดก็ตามออกมาจากกระเป๋าได้ยกเว้นเขาซึ่งเป็นเจ้าของ ๆ มันเท่านั้นไม่ใช่หรือ และเมื่อเห็นเดรโกว่ามีสีหน้าสงสัย เฮอร์ไมโอนี่จึงพูดขึ้นหลังจากที่เธอยื่นยาถ้วยแรกให้เขา
               “ยาถ้วยนี้เฟรย่าปรุงขึ้นมาให้เธอน่ะ เป็นเพราะพวกเราไม่สามารถเอายาที่เธอพกมาออกมาจากกระเป๋าได้” เฮอร์ไมโอนี่บอกตามตรง ขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเธอพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะยกถ้วยยาในมือขึ้นดื่มให้หมดในรวดเดียว และเมื่อลิ้นของเขาได้สัมผัสรสชาติที่เหมือนน้ำฟักทองเก็บค้างปีของมันเดรโกก็รู้ทันทีว่ามันเป็นยาขนานเดียวกับที่สเนปเคยปรุงให้เขาอย่างแน่นอน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกก็รู้สึกทึ่งกับความสามารถในการปรุงยาของเฟรย่าไม่น้อย แน่นอนว่าเด็กหนุ่มรู้ดีว่าอาจารย์วิชาปรุงยาของเขาอย่างสเนปนั้นเชี่ยวชาญศาสตร์ในการปรุงยาเพียงใด หากแต่สำหรับเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ผู้นี้ มัลฟอยพูดได้เลยว่า หล่อนน่าจะมีความสามารถทางด้านการปรุงยาไม่น้อยไปว่าเซเวอรัส สเนปเลย จนกระทั่งเด็กหนุ่มไม่สามารถจะตัดสินได้เลยว่าใครเหนือกว่าใครในเรื่องของการปรุงยา เพราะแม้ว่าเฟรย่าจะไม่รู้ว่าปกติเดรโกกินยาขนานใดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเขาก็ตาม แต่หล่อนก็สามารถปรุงมันออกมาได้อย่างไร้ที่ติจนแทบจะเรียกได้ว่าถ้าหากเขาไม่รู้มาก่อนเขาคงคิดว่ายาถ้วยนี้เป็นยาที่อาจารย์วิชาปรุงยาของเขาปรุงมาให้เขาสำหรับใช้เดินทางในครั้งนี้เป็นแน่
 
               ‘ แต่ถึงหล่อนจะมีความสามารถในการปรุงยาเพียงใด หล่อนก็ไม่สามารถช่วยให้นายรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้หรอกนะ ’ เสียงเล็กนั้นดังขึ้นในหัวอีกครั้ง แต่มัลฟอยพยายามจะไม่สนใจมัน เขาพยายามจะไม่ให้ความใส่ใจกับความจริงอันโหดร้ายที่เขาจะต้องเผชิญต่อจากนี้ไป อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ตอนที่เขาเพิ่งมีช่วงเวลาที่มีความสุขกับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักแบบนี้!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโกจึงวางถ้วยยาในมือลงก่อนที่จะรับยาถ้วยที่สองมาจากเฮอร์ไมโอนี่ และเมื่อเด็กสาวเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความสงสัยของเด็กหนุ่มตรงหน้าเธอจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
               “ยาลดไข้น่ะ เฟรย่าปรุงมาให้เธอ” เด็กสาวพูดเมื่อเห็นว่ามัลฟอยรับยาถ้วยนั้นไปถือและมองมันอย่างสงสัย เด็กหนุ่มพยักหน้าทีนึงก่อนจะพูดขึ้น
               “จริง ๆ ฉันไม่จำเป็นต้องกินแล้วมั้ง ก็ฉันมียาดีอยู่แล้วนี่นา” เขาหยอก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างรู้ทัน
               “ยังไงก็ต้องกินนะ ไม่งั้นจะหายได้ยังไง” เด็กสาวพูดขึ้น และเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นที่รักของเขา เดรโกก็ยิ้มออกมา
               “เธอเป็นห่วงฉันอย่างนั้นเหรอ เฮอร์ไมโอนี่” เขาถามพลางมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยดวงตาสีเงินที่ทอประกาย แม้ว่าเด็กหนุ่มจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าเด็กสาวเป็นห่วงเขาไม่มากก็น้อยโดยดูจากท่าทีรวมถึงสีหน้าและแววตาของเธอ ถ้าเขาไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปเดรโกก็คิดว่าเขาเห็นแววความห่วงใยฉายชัดอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรัก แต่เขาก็รู้ดีว่าเฮอร์ไมโอนี่คงจะไม่ยอมรับเรื่องนี้ออกมาง่าย ๆ
               และเมื่อเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่ยอมตอบคำถามของเขาออกมา หากแต่ใบหน้าที่ขึ้นสีของเธอก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนพอแล้วสำหรับเด็กหนุ่ม เขาก็เลื่อนมือข้างที่ว่างไปกุมมือเล็กอันแสนจะอบอุ่นของเธอไว้ก่อนจะพูดขึ้น
               “ฉันดีใจนะที่เธอเป็นห่วงฉัน” เดรโกพูดขึ้นพลางจ้องมองเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของผู้หญิงคนเดียวที่เขาหลงรัก ดวงตาของเด็กหนุ่มแสดงออกถึงความรู้ดีใจออกมาอย่างชัดเจนหากแต่มันกลับแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า และแน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่สามารถสังเกตเห็นได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงที่แสดงออกมาทางแววตาสีเงินที่เธอคุ้นเคยของมัลฟอยแต่ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ไม่ได้ติดใจจนจะเอ่ยปากถามเขาออกไป ตรงกันข้ามเธอกลับพูดขึ้น
               “รีบดื่มเถอะ เดี๋ยวยาจะเย็นหมดนะ” เธอเตือน ก่อนที่เด็กหนุ่มตรงหน้าจะยกถ้วยยาในมือขึ้นดื่มจนหมดในครั้งเดียว เขาทำหน้าเหยเกเนื่องจากยาถ้วยนี้ไม่ได้มีรสชาติดีไปกว่าถ้วยแรกเลยแม้แต่น้อย หลังดื่มเสร็จมัลฟอยยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดริมฝีปากก่อนที่จะวางถ้วยยาในมือลงในถาด และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็จัดแจงยกมันไปเก็บบนโต๊ะก่อนที่เธอจะเดินกลับมาที่เตียงที่เด็กหนุ่มกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่อีกครั้ง ในคราวนี้ในมือของเธอถือน้ำหนึ่งแก้วอยู่
               เด็กสาวยื่นแก้วน้ำในมือให้เด็กหนุ่มตรงหน้า เขามองเธอก่อนจะรับมันมาดื่มพลางคิดว่าทำไมเธอถึงต้องดีกับเขาเช่นนี้นะ เพราะมีหลายครั้งแล้วที่ดูเหมือนว่าเฮอร์ไมโอนี่จะใส่ใจและดูแลเขาอย่างดีเหลือเกิน และเมื่อลองคิดให้ดีแล้วเด็กหนุ่มก็พบว่าเด็กสาวตรงหน้าดูจะใส่ใจและคอยดูแลเขาเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายแล้วด้วยซ้ำ! ที่เธอทำลงไปทั้งหมดนี่มันคืออะไรกัน เธอทำดีกับเขาเพราะว่าเธอแค่สงสารเขาเท่านั้นหรือ หรือว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น
               แม้ในใจจะนึกสงสัยอยู่มากก็ตาม แต่เดรโกก็ไม่กล้าที่จะคิดหาคำตอบในเรื่องนี้รวมถึงเขาก็ไม่กล้าถามเธอออกไปโดยตรงด้วย และเหตุผลที่เขาไม่ต้องการที่จะทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเขากลัวว่าเขาจะไม่สามารถค้นหาคำตอบของคำถามดังกล่าวได้ แต่เขากลัวว่าคำตอบที่เด็กสาวให้เขาออกมานั้นจะไม่เป็นอย่างที่เขาหวังไว้ เขากลัวเหลือเกินว่า ถ้าเขาถามเธอออกไปว่าเธอรู้สึกกับเขาอย่างไร คำตอบที่เขาได้รับมาจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะได้ยิน เขาไม่อยากจะได้ยินหรือรับรู้เลยว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้รักเขา หรือการที่เธอยอมมาทำดีกับเขาเป็นเพียงเพราะเธอสงสารเขามากกว่าที่จะรู้สึกอะไรกับเขา แม้เด็กหนุ่มจะรู้ดีว่าตัวเขานั้นหวังอยู่ตลอดให้เฮอร์ไมโอนี่รักเขาตอบบ้าง อย่างน้อย ๆ แค่เพียงเศษเสี้ยวเดียวของความรักที่เขามีให้เธอก็ยังดี แต่ถึงกระนั้นเดรโกก็กลัวเหลือเกินว่าเขาจะต้องผิดหวังหากเขาถามเธอออกไปและเด็กสาวไม่ได้ให้คำตอบที่เขาต้องการออกมา
               แม้ว่าความกลัวนี้ของเขาจะดูไม่สมเหตุสมผลนักก็ตามเพราะก่อนหน้านี้มัลฟอยเองก็รู้อยู่แล้วว่าคำตอบของเฮอร์ไมโอนี่ต่อการที่เขาสารภาพรักเธอนั้นคืออะไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาคำตอบของเด็กสาวต่อการสารภาพความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอนั้นมีเพียงความเงียบงันเท่านั้น ทุกครั้งที่เขาบอกรักเธอ ยกเว้นเพียงครั้งที่เธอจงใจบอกรักเขาเพื่อขโมยไม้กายสิทธิ์ของเขาและหนีไปเท่านั้น มีเพียงความเงียบมาตลอด แม้ว่าในภายหลังมานี้เธอจะไม่ได้ปฏิเสธเขาออกมาตรง ๆ ว่าเธอไม่ได้รักเขาเหมือนเช่นที่เขารักเธอแถมเด็กสาวยังแสดงถึงความห่วงใยที่เธอมีต่อเขาออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม หากแต่เธอก็จะนิ่งเงียบทุกครั้งที่เขาพูดคำว่ารักกับเธอออกไป ซึ่งมันก็เป็นคำตอบที่มัลฟอยเข้าใจดี ว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้รักเขาเช่นเดียวกับที่เขารักเธอเลยแม้แต่น้อย
               อันที่จริงเขาทำใจและยอมรับเรื่องนี้มาได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เด็กหนุ่มไม่สนใจอีกต่อไปว่าผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก ผู้หญิงที่เปรียบเสมือนแสงสว่างและความหมายเดียวของการมีชีวิตอยู่ของเขาจะรักเขาตอบหรือเปล่า คราบใดที่เธอยินยอมอยู่เคียงข้างเขามันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา หากแต่การที่จู่ ๆ มัลฟอยกลับรู้สึกหวาดกลัวความจริงที่ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะสามารถรักเขาได้ในครั้งนี้นั้นอาจจะมาจากการที่เขาเพิ่งเผชิญหน้ากับความผิดหวังครั้งใหญ่มา และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเดรโกจึงไม่ต้องการจะมาพบเจอผิดหวังในเรื่องที่สองอีก อย่างน้อย ๆ เด็กหนุ่มก็คิดว่าเขาคงไม่สามารถจะรับความผิดหวังในเรื่องใดได้อีกแล้วในตอนนี้ หลังจากที่เขาได้ล่วงรู้แล้วว่าไม่มีหนทางใดในการที่เขาจะรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้!
               เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อความคิดของเขาวนเวียนกลับไปคิดถึงชะตากรรมอันเลวร้ายที่เขาต้องเผชิญหลังจากนี้ไป หากแต่ขณะที่เดรโกกำลังตกอยู่ในภวังค์อยู่นั้น เขากลับไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กสาวที่เขารักได้เดินกลับไปที่โต๊ะวางของในห้องอีกครั้ง เธอหยิบอะไรบางอย่างมาจากลิ้นชักโต๊ะใบนั้นและเดินกลับมาที่เตียงที่เจ้านายของเธอกำลังนอนอยู่
               และสิ่งที่อยู่ในมือของเฮอร์ไมโอนี่นั้นคือไม้กายสิทธิ์ของเขานั่นเอง! ในแวบแรกภาพที่เดรโกเห็นนั้นดูราวกับว่าเด็กสาวกำลังชี้ไม้มาทางเขาเพื่อที่จะร่ายคาถาใส่เขา! เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ในวินาทีต่อมาเธอกลับหมุนไม้ในมือหนึ่งครั้งก่อนจะยื่นไม้กายสิทธิ์ฝั่งที่เป็นด้ามจับมาให้เขา!
               เดรโกรับไม้ของเขามาถือ พลางมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
               “เราต้องเอามันออกมาตอนที่เราถอดเสื้อคลุมของเธอออกเพื่อทำแผลให้เธอ” เด็กสาวอธิบายเรียบ ๆ พลางมองที่บาดแผลที่ไหล่ซ้ายของเด็กหนุ่มซึ่งบัดนี้ซ่อนอยู่ใต้เสื้อนอกของเขา ก่อนที่มัลฟอยจะถามขึ้น
               “ทำไมเธอไม่ใช้มันหนีไปจากที่นี่เสียล่ะ” เขาถามออกมาตามตรง ดวงตาสีเงินของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่
               “เธอก็รู้ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้” เธอตอบ หากแต่น้ำเสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปากคู่สวยนั้นกลับฟังดูแปลกแปร่งยิ่งนักราวกับว่าเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพูดมันออกมา
               “เธอหมายความว่ายังไง” เดรโกถามพลางยื่นมือใหญ่ของเขาไปกุมมือเล็กของเด็กสาวตรงหน้าเพื่อดึงให้ร่างเล็กของเธอกลับมานั่งลงบนเตียงอีกครั้ง หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระทึก หรือว่าเธอจะไม่ต้องการจากเขาไปแล้ว หรือว่าในตอนนี้เธอจะต้องการอยู่เคียงข้างเขาจริง ๆ แล้ว มัลฟอยไม่กล้าคิดเลยว่าสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดจะสามารถเป็นจริงได้ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความอึดอัดใจ
               “ฉันรู้ดีกว่าฉันไม่มีทางหนีไปได้ไกล” เธอตอบ “เพราะถ้าเธอไม่ปลดปล่อยฉันให้เป็นอิสระด้วยตัวเธอเอง เธอก็สามารถตามฉันกลับมาได้ทุกเมื่อ ใช่ไหมล่ะ” เด็กสาวพูดถึงสิ่งที่เธออ่านเจอมาจากหนังสือความลับของศาสตร์มืดที่สุดเกี่ยวกับสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ออกมา ขณะที่หัวใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าของเธอกระตุกด้วยความเจ็บปวดเมื่อได้รู้ความจริงที่ว่าการที่เฮอร์ไมโอนี่อยู่ข้างกายเขามาตลอดนั้นไม่ใช่เพราะความต้องการของเธอเองเลย หากแต่เป็นเพราะเธอไม่มีทางเลือกต่างหาก!
               แต่ถึงจะผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับมากเพียงใดก็ตาม เดรโกก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่หลังจากที่เธอพยายามดูแลเขาอย่างดีและไม่นึกรังเกียจเขาหลังจากที่เธอรู้ว่าเขาอาจจะต้องมีชะตากรรมเช่นไรต่อจากนี้ไป ตรงกันข้ามมือใหญ่ของเด็กหนุ่มกลับบีบมือเล็กของเด็กสาวแน่น ดวงตาสีเงินของเขาฉายแววเจ็บปวดออกมายามมองดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรัก
               “เธอก็รู้ว่านั่นไม่ใช่วิธีที่ฉันอยากจะใช้เพื่อรั้งเธอให้อยู่กับฉัน” เดรโกพูดออกมา น้ำเสียงของเขาฟังดูปวดร้าว “อย่างน้อยในตอนนี้ฉันก็ไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้” เขาพูดพลางลูบตราทาสบนมือของเฮอร์ไมโอนี่ผ่านถุงมือหนังที่เด็กสาวเพิ่งใส่กลับเข้าไปใหม่อย่างแผ่วเบา หากแต่คราวนี้เด็กสาวตรงหน้ากลับไม่สะดุ้งกับสัมผัสของเขาแต่อย่างใด ราวกับว่าเธอไม่ได้กลัวอีกแล้วว่าเดรโกจะลงโทษเธอด้วยการกดตราทาสบนมือ ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มไม่ได้ใช้วิธีนี้เพื่อลงโทษเธอตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงที่ไอซ์แลนด์แล้ว หรืออันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใช้มันเลยหลังจากค่ำคืนที่เขาทำสัญญาทาสกับเธอ
               ในขณะที่เจ้านายของเธอยกมือเล็กของเธอขึ้นมาและพรมจูบลงบนตราทาสที่แสดงถึงความเป็นเจ้าชีวิตของเขาที่มีต่อเธอผ่านถุงมือที่ปกปิดมันไว้อยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็นึกอะไรบางอย่างออกมาได้ เพราะการที่มัลฟอยทำแบบนี้เองที่ทำให้เด็กสาวจำเรื่องที่เกิดขึ้นในครัวก่อนหน้านี้ได้ เรื่องที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ล่วงรู้ความลับของเธอรวมถึงความสัมพันธ์ในฐานะเจ้านายและทาสระหว่างเธอและเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยเข้า และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะเอ่ยปากบอกเรื่องนี้กับเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอนั้น มัลฟอยก็ชิงพูดขึ้นก่อน
               “ฉันรักเธอ” เขาพูดถ้อยคำนั้นออกมาอย่างหนักแน่น พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวตรงหน้า มีแววลำบากใจฉายอยู่ในดวงตาคู่สวยของเฮอร์ไมโอนี่หากแต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
               “ฉันไม่ควรพูดเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ออกไปเลยใช่ไหม” เด็กสาวถามเมื่อเธอรู้สึกว่ามือใหญ่ของเดรโกเลื่อนมาสัมผัสใบหน้าเธออย่างรักใคร่ “ฉันแค่อยากบอกให้เธอรู้ว่า เหตุผลที่ฉัน…. ที่ฉันไม่ได้ทำอย่างที่ฉันเคยทำก่อนหน้านี้ก็เพราะฉันได้ให้สัญญากับเธอไว้” เธออธิบาย มีแววหนักใจเจืออยู่ในน้ำเสียงของเฮอร์ไมโอนี่หากแต่มัลฟอยพยายามไม่สนใจมัน เนื่องจากเขากำลังตั้งใจฟังคำพูดต่อไปของเธออยู่อย่างใจจดใจจ่อ
               “และฉันก็ตั้งใจจะรักษาสัญญาของฉัน” เด็กสาวพูดออกมา แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำบอกรักอย่างที่เด็กหนุ่มหวัง หรืออาจจะไม่กล้าหวังที่จะได้ยินก็ตาม หากแต่สิ่งที่เขาได้รับในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา แค่เฮอร์ไมโอนี่ตั้งใจที่จะทำตามสัญญาของเธอที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับมัลฟอย เธอไม่ต้องรักเขาก็ได้ เพียงแค่เธออยู่เคียงข้างเขาโดยไม่ทิ้งเขาไปไหน เขาต้องการเพียงเท่านั้น
               และทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่พูดจบเด็กหนุ่มก็รั้งร่างบางของเด็กสาวมาโอบกอดอีกครั้ง หากแต่คราวนี้กลับไม่ใช่การที่ทั้งเขาและเธอต่างสวมกอดกันเฉกเช่นตอนที่ทั้งคู่กอดกันเมื่อเดรโกฟื้นขึ้นมาใหม่ ๆ เพราะในครานี้เด็กหนุ่มรั้งร่างของเด็กสาวลงมาซบอยู่ที่แผ่นอกแข็งแกร่งของเขาแทน มือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้โอบกอดเขาอยู่แต่อย่างใด หากแต่มันแนบอยู่ที่แผ่นอกของเด็กหนุ่มตรงหน้า โดยมีเพียงมือใหญ่ของเดรโกที่กอดรัดร่างบางเอาไว้อย่างแนบแน่นจนร่างของทั้งสองแนบชิดกันจนทำให้เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจอีกฝ่าย มือใหญ่ของเด็กหนุ่มลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยผมหยักศกสีน้ำตาลของเด็กสาวอย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาก้มลงไปจูบเธอที่หน้าผากพลางมองเธอด้วยแววตาที่แสดงถึงความรัก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มบาง ๆ ให้เขา แม้ว่าเด็กสาวจะไม่ได้บอกว่าเธอรักเขาตอบดังเช่นที่เขารักเธอ หากแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนต่ออ้อมกอดนี้ของเขาเช่นกัน ร่างบางของเธอบัดนี้แนบชิดกับอกแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอ จมูกของเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของเขาพอ ๆ กับที่เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ มาจากร่างกายและเส้นผมของเธอ
               เดรโกรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แล่นผ่านร่างของเขาอย่างน่าประหลาด แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรรวมถึงเขาไม่สามารถพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำได้ว่าเขามีความสุขดีหลังจากที่เขาต้องเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ หากแต่เมื่อมีเฮอร์ไมโอนี่มาอยู่เคียงข้างเขาเช่นนี้แล้ว เดรโกกลับรู้สึกว่าเขาไม่ต้องการสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ราวกับว่าทั้งจิตใจและร่างกายของเขาสามารถสงบลงได้เมื่อเขาได้อยู่กับผู้หญิงคนนี้และได้รับความอบอุ่นที่เธอถ่ายทอดมาให้ เพราะเด็กสาวคนนี้เปรียบเสมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดมนของเขา เธอเป็นเหมือนความอบอุ่นต่อชีวิตที่หนาวเหน็บของเขา และเป็นดังสายน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจที่แห้งเหือดของเขาในตอนนี้
               แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่อาจแน่ใจได้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเขากับเธอหลังจากที่เขาต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขามั่นใจได้ ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็พร้อมจะเผชิญหน้ามันต่อไป เพราะถ้ามีเฮอร์ไมโอนี่อยู่เคียงข้างแล้วไม่ว่าต่อให้เขาต้องเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายเพียงใดเขาก็พร้อมที่จะยอมรับมัน และที่ยิ่งไปกว่านั้น มีอีกสิ่งหนึ่งที่เดรโกมั่นใจจนถึงมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะต้องทำให้ได้ นั่นก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะปกป้องผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักจากภัยอันตรายใด ๆ ก็ตามที่จะมาทำร้ายเธอ แม้ว่าภัยร้ายที่ว่านั้นจะมาจากตัวเขาเองก็ตาม!
 
               ……………………………………………………………
 
               คุยกันหลังอ่านนะคะ
            เป็นยังไงบ้างคะ สำหรับตอนนี้ เราใส่ฉากหวาน ๆ ลงไปเพื่อที่จะชดเชยที่ดราม่ามาหลายตอนแล้ว แต่บอกเลยนะคะว่าตอนต่อไปมีทั้งฉากหวานและเซอร์ไพร์สรออยู่ค่ะ ยังไงรอติดตามกันนะคะ
 




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2563    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2563 0:54:51 น.
Counter : 942 Pageviews.  

เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 34 ชะตากรรม

***Chapter 34 ชะตากรรม: Destiny***
 

              
               “ถ้าเป็นเช่นนั้น  ถ้าหากเชื้อมนุษย์หมาป่าแพร่ไปตามร่างกายรวมทั้งกระแสเลือดของเธอหมดแล้ว  มันก็ไม่มีหนทางใดที่ฉันจะช่วยเธอได้” สิ้นคำพูดของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ เดรโก มัลฟอยก็รู้สึกราวกับเลือดในกายของเขาจับแข็งขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่าอุณหภูมิในห้องลดลงอย่างฮวบฮาบขณะที่เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอันล้ำลึกของแม่มดผู้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า
               เดรโกรู้สึกถึงความเงียบที่น่าอึดอัดซึ่งเกิดขึ้นในห้องที่คับแคบแห่งนี้ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนกระทั่งเฟรย่าทำแผลของเขาจนเสร็จเดรโกจึงกลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผากก่อนจะเอ่ยปากออกมา
               “แล้วคุณจะเริ่มทดสอบ…” เขากล่าวก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่งราวกับเขาไม่สามารถหาคำพูดที่ถูกต้องเพื่อพูดออกมาได้ “อาการของผมเมื่อไหร่” เขาถามออกไปในที่สุด ขณะที่เฟรย่ายิ้มเยือกเย็นให้เขาหากแต่ดวงตาที่มีสีเหมือนทะเลสาบของหล่อนกลับมีแววกังวลซ่อนอยู่
               “ฉันมีสมุนไพรสำหรับใช้ทำตัวยาในการทดสอบพร้อมแล้ว เพียงแค่ต้องใช้เวลาปรุงประมาณไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น” หล่อนกล่าวขึ้นพร้อมกับที่หญิงสาวละมือจากบาดแผลของเขาซึ่งหมายความว่าหล่อนทำแผลให้เขาเสร็จแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้นเดรโกก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังเปลือยท่อนบนอยู่ เด็กหนุ่มรีบคว้าเสื้อคลุมของเขามาสวมขณะที่เฟรย่าพูดขึ้น
               “ฉันต้องใช้เวลาปรุงยาสักครู่ เธอจะกลับไปรอฉันที่ห้องนอนหรือจะไปเดินเล่นในเรือนกระจกของฉันก่อนก็ได้ ไว้เสร็จแล้วฉันจะไปเรียกเธออีกที” หญิงสาวกล่าว ขณะที่มัลฟอยพยักหน้าอย่างรับรู้ ในตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าเขาอยากกลับไปที่ห้องพักเพื่อไปอยู่กับเฮอร์ไมโอนี่ เพียงแต่เมื่อคิดอีกครั้งเด็กหนุ่มก็พบว่าตัวเขาเองไม่ได้อยากกลับไปที่ห้องที่เต็มไปด้วยรอยเล็บของมนุษย์หมาป่าในทันทีหลังจากที่เขาเพิ่งได้ยินสิ่งที่แทบจะเรียกได้ว่าข่าวร้ายสำหรับเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วเดรโกจึงเอ่ยปากบอกเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ออกไป
               “ผมขอไปเดินเล่นที่สวนของคุณก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มกล่าว ขณะที่เฟรย่าพยักหน้าในเชิงอนุญาต
               “เธอไปเถอะแต่ระวังอย่าเข้าไปในส่วนที่มีรั้วกั้นแล้วกัน ตรงนั้นเป็นที่เก็บพืชที่มีอันตราย” หล่อนเตือนพลางชี้ไปทางประตูที่เปิดออกไปสู่เรือนกระจกของหล่อน และเมื่อเฟรย่าพูดจบเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเดินออกไปจากห้องทำงานของหญิงสาวด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
 
……………………………………………………………
 
               ขณะที่เดรโกกำลังเดินอยู่ในเรือนกระจกอย่างไม่มีจุดหมายอยู่นั้น ทางด้านเฮอร์ไมโอนี่ก็กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดห้องนอนซึ่งจะเป็นที่พักของพวกเขาในระหว่างที่เด็กหนุ่มต้องรักษาตัวอยู่ที่นี่ แม้ว่าเด็กสาวจะบอกเจ้านายของเธอในตอนแรกว่ามันเป็นแค่งานปัดกวาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่เธอคิดในตอนแรกเลย เพราะเธอพบว่ามีฝุ่นอีกจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ในห้องและหลบรอดคาถาทำความสะอาดของเฟรย่าในตอนแรกไปได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงจำเป็นต้องถอดถุงมือที่เดรโกให้ออกก่อนที่เธอจะเริ่มใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำและเช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ของห้อง
               เมื่อทำงานไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว เด็กสาวก็นำผ้าขี้ริ้วที่เริ่มสกปรกไปซักในถังน้ำพลางคิดถึงตอนที่เธอเป็นคนรับใช้ของคฤหาสน์มัลฟอย ในตอนนั้นเธอถูกใช้ให้ทำความสะอาดห้องต่าง ๆ ในคฤหาสน์ที่กว้างขวางแห่งนั้น ซึ่งถ้าเทียบกับตอนนั้นแล้วการทำความสะอาดห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากอย่างห้องใต้หลังคาแห่งนี้นับว่าไม่ใช่งานที่หนักแต่อย่างใด เพียงแต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่เหมือนกัน
               เมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงละมือจากงานที่ทำอยู่ เธอวางผ้าขี้ริ้วลงในถังน้ำ และก้มมองมือที่สกปรกและเต็มไปด้วยคราบดำ ๆ ที่มีจากฝุ่นของตัวเอง
               แต่ถึงมือของเธอจะสกปรกอย่างไรมันก็ไม่อาจจะลบเลือนหรือปิดบังสัญญาทาสที่เดรโกได้ทำไว้กับเธอได้ ร่องรอยของเวทย์มนต์ในครั้งนั้นยังคงเด่นชัดอยู่บนฝ่ามือของเธอในรูปของตัวอักษรย่อชื่อของเด็กหนุ่มซึ่งบ่งบอกว่าใครที่เป็นเจ้านายผู้ครอบครองชีวิตของเธอ
               และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่จ้องมองสัญญาทาสบนมือของตัวเองอยู่นั้น เสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นมาในหัวของเธอ
 
               ‘เธอไม่ได้แค่เคยเป็นคนรับใช้ของคฤหาสน์มัลฟอยหรอก แต่เธอยังคงเป็นคนรับใช้ของพวกเขาอยู่ เธอยังคงเป็นทาสของเด็กหนุ่มที่ชื่อ เดรโก มัลฟอย อยู่ดี และมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป’
 
               เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นก่อนจะจางหายไป พร้อมกับทิ้งความรู้สึกหนักอึ้งเอาไว้ในอกของเด็กสาวที่ชื่อเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวกำมือของเธอทันทีราวกับว่าเธอไม่ต้องการจะมองเห็นตราสัญญาทาสอันเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของที่เด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยมีต่อร่างกายและชีวิตของเธอบนมือของตัวเองอีกต่อไป เฮอร์ไมโอนี่ทรุดลงอย่างเหนื่อยล้า แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวเหนื่อยล้านั้นไม่ใช่การทำความสะอาดห้องใต้หลังคาแห่งนี้แต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่นานก่อนหน้านี้ ภาพที่เดรโกทำร้ายเธอผุดขึ้นมาในหัวสลับกับภาพที่เขาบอกรักเธอ ภาพที่เขาทำสัญญาทาสกับเธอแวบขึ้นมาในสมองของเธอก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพที่เขาโอบกอดเธอไว้และขอไม่ให้เธอทิ้งเขาไปไหน
               เด็กสาวถอยหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แววตาสีน้ำตาลของเธอเต็มไปด้วยความสับสบ แม้ว่าเธอจะให้คำมั่นสัญญากับเดรโกไปแล้วว่าเธอจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปแลกกับการที่เขาก็ได้ให้คำมั่นสัญญากับเธอว่าเขาจะไม่ล่วงเกินเธอโดยเธอไม่ยินยอมก็ตาม แต่เด็กสาวก็ไม่อาจจะตอบตัวเองได้ว่าทำไมเธอถึงได้ให้สัญญากับเขาไปแบบนั้น แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีกว่าการที่เธอยอมตกลงอยู่เคียงข้างเขาในวันนี้นั้นไม่ได้เป็นเพียงเพราะสัญญาทาสที่เขาทำไว้กับเธอ หรือว่าคำมั่นสัญญาที่เธอได้ให้ไว้กับเขาแต่เพียงเท่านั้น เด็กสาวรู้ดีว่ามันจะต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น เพียงแต่เธอก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นเพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้เธอปรารถนาที่จะอยู่เคียงข้างเดรโกในยามที่เขาต้องได้รับทุกข์ทรมานเช่นนี้
               เมื่อไม่สามารถหาคำตอบให้กับอารมณ์และความคิดที่สับสนของตัวเองได้แล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็ถอนหายใจขึ้นอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ ห้อง เด็กสาวเดินไปที่หน้าต่างซึ่งสามารถมองเห็นสวนที่ตั้งอยู่ใจกลางบ้านหลังนี้และบางส่วนของเรือนกระจกของเฟรย่าได้ และในขณะที่กำลังมองไปยังส่วนดังกล่าวของบ้านอยู่นั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็อดคิดสงสัยไม่ได้เลยว่าการรักษาของเดรโกจะเป็นอย่างไรบ้างนะ และเขาจะสามารถรอดพ้นจากคำสาปร้ายของการเป็นมนุษย์หมาป่าได้หรือไม่ แม้ว่าเด็กสาวจะมองไม่เห็นร่างของเจ้านายของเธอผ่านทางหน้าต่างห้องใต้หลังคาแห่งได้ก็ตาม แต่แววตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองไปยังทิศทางของห้องทำงานของเฟรย่านั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงหาและความกังวลใจราวกับว่าชะตากรรมของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยนั้นเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้
 
……………………………………………………………
 
ทางด้านเดรโกนั้นเมื่อเขาเข้ามาในเรือนกระจกของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์แล้วเขาก็เดินอย่างไร้จุดหมายไปท่ามกลางต้นไม้นานาพรรณที่เรียงรายอยู่ในเรือนกระจกแห่งนี้ แม้ว่าพืชพรรณในเรือนกระจกแห่งนี้นั้นล้วนแต่เป็นสมุนไพรที่หายากซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาโรคทั้งสิ้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าพืชพรรณที่กำลังเรียงรายอยู่รอบกายของเขานั้นจะสามารถรักษาเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้หรือไม่ อีกทั้งตอนนี้เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถเข้ารับการรักษาดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะถ้ายึดตามคำพูดที่เฟรย่าได้บอกเขาไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น ถ้าหากเชื้อมนุษย์หมาป่าแพร่กระจายไปทั่วร่างกายเขาแล้วก็คงไม่มีหนทางใดที่เขาจะสามารถหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้อีกต่อไป! 
               เมื่อคิดเช่นนั้นเดรโกก็รู้สึกราวกับเขาจมลงไปในทะเลสาบกลางฤดูหนาว แม้ว่าเรือนกระจกส่วนที่เขายืนอยู่ดูเหมือนจะถูกร่ายคาถาปรับอุณหภูมิเพื่อให้พืชที่ไม่ทนอากาศหนาวเจริญเติบโตได้ก็ตามแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก ดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย่อหยิ่งในตอนนี้นั้นกลับเต็มไปด้วยความหมองเศร้า แม้ว่าเฟรย่าจะบอกว่ายังมีความหวังสำหรับเขาอยู่ก็ตาม หากแต่หล่อนก็ได้พูดไว้ว่าความหวังนั้นริบหรี่ยิ่งนักไม่ใช่หรือ และถ้าหากหล่อนทำการทดสอบแล้วพบว่าเชื้อหมาป่าได้แพร่กระจายไปทั่วร่างของเขาแล้วล่ะ เขาจะไม่มีทางรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้เลยใช่หรือไม่!
               แน่นอนว่ามัลฟอยรู้คำตอบของคำถามนี้ดี เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าหาก เฟรย่า ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายมากที่สุดในโลกเวทย์มนต์ไม่สามารถจะหาทางรักษาเขาได้ ก็คงไม่มีใครบนโลกนี้รักษาเขาได้อย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นเขาคงต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ไปกับการเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนรังเกียจและหวาดกลัวแน่นอน!
               ขณะที่กำลังเดินอย่างไร้จุดหมายอยู่ท่ามกลางพืชพรรณจำนวนมากและปล่อยสมองและความคิดของเขาให้วนเวียนอยู่กับชะตากรรมของตัวเองต่อจากนี้อยู่นั้น มัลฟอยก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้เดินเข้ามาถึงด้านในของเรือนกระจกซึ่งเฟรย่าเตือนไม่ให้เขาไปแตะต้องอะไรในบริเวณนั้นเข้าเสียแล้ว ในขณะที่กำลังเดินเรื่อยเปื่อยอยู่โดยที่ยังคงจำคำเตือนของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ขึ้นใจอยู่นั้นเอง สายตาของเดรโกก็เหลือบไปเห็นดอกกุหลาบสีขาวที่กำลังชูช่ออยู่ท่ามกลางพืชพรรณอื่น ๆ อย่างโดดเด่น และถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ในหัวสมองของเด็กหนุ่มจะเต็มไปด้วยความกังวลต่อชะตากรรมที่เขาต้องเผชิญหลังจากนี้ก็ตาม แต่อาจจะเป็นเพราะความงดงามอย่างน่าประหลาดของดอกกุหลาบดอกนี้ที่ไม่เหมือนดอกไม้ดอกใดที่เขาเคยพบเจอมาก่อนทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะหยุดเพื่อชื่นชมความงามของมัน และจากสายตาของมัลฟอยที่พิจารณาดูแล้วนั้นเขาก็พบว่าดอกกุหลาบดอกนี้มีลักษณะพิเศษที่ต่างดอกไม้ปกติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกลีบที่ละมุน สีขาวบริสุทธิ์เปล่งประกายเหลือบสีเงินออกมาอย่างที่ดอกไม้ปกติไม่สามารถทำได้ ถ้าเด็กหนุ่มเดาไม่ผิดดอกไม้ชนิดนี้ต้องเป็นกุหลาบที่หายากยิ่งชนิดหนึ่งที่เขาเคยอ่านเจออย่างแน่นอน
               กุหลาบเหมันต์!
               มันเป็นกุหลาบชนิดเดียวที่สามารถขึ้นในฤดูหนาวท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวจัดได้ แม้ว่ามันจะไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรคเป็นพิเศษเท่าที่เขารู้ก็ตาม หากแต่มันก็นับว่าเป็นกุหลาบที่หายากมากที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากมันจะขึ้นเฉพาะในบางพื้นที่และสภาพอากาศเท่านั้นแล้ว ความงดงามของมันยังเป็นที่ร่ำลืออีกด้วย เดรโกเพียงแค่เคยได้ยินเรื่องราวของกุหลาบชนิดนี้มาจากความหายาก ความล้ำค่า และความงดงามของมันเท่านั้น หากแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพืชชนิดนี้กับตาของตัวเอง และมันก็ช่างงดงามสมคำร่ำลือจริง ๆ  กลีบสีขาวนุ่มละมุนที่สะท้อนประกายสีเงินออกมานั้นช่างดูงดงามยิ่งนักจนเด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปใกล้เพื่อสัมผัสกลีบของมันอย่างแผ่วเบา
               แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำเช่นนั้นเดรโกก็นึกถึงคำเตือนของเฟรย่าได้ ว่าเขาไม่ควรจะแตะต้องพืชชนิดใดก็ตามที่อยู่ในบริเวณนี้ และถึงแม้ว่ามัลฟอยจะรู้ดีว่ากุหลาบเหมันต์ไม่มีพิษอะไรที่เขาสมควรจะระวังพอ ๆ กับที่มันไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรคก็ตาม เดรโกก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำให้กลีบที่บอบบางนั้นต้องบอบช้ำเพราะสัมผัสของเขา ตรงกันข้ามเขาเลือกที่จะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อสูดกลิ่นจากดอกไม้ดอกนั้นแทน และเมื่อเขาทำเช่นนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมละมุนของมันที่แผ่กระจายผ่านกลีบที่ชูชันออกมา และอาจจะเป็นเพราะความงามของมันบวกกับความหายากและกลิ่นหอมละมุนนี้ทำให้เด็กหนุ่มนึกอยากจะพาเฮอร์ไมโอนี่มาชมความงดงามของดอกไม้ชนิดนี้ด้วยตาของเธอเอง แน่นอนว่าเด็กสาวต้องตื่นเต้นเป็นแน่ถ้าหากเธอได้เห็นดอกไม้หายากที่ถูกจัดอันดับไว้ว่างดงามที่สุดในหนังสือ ‘ไม้ดอกนานาชนิดในโลกเวทย์มนต์’ อย่างกุหลาบเหมันต์ดอกนี้!
               แต่เมื่อคิดอีกทีแล้ว เดรโกก็คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าหากเขาสามารถมอบกุหลาบดอกนี้ให้เป็นของขวัญแก่เด็กสาวที่เขารักได้ แม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถมอบมันให้เธอได้เนื่องจากมันไม่ใช่สิ่งของในครอบครองของเขาก็ตาม เพียงแต่ความงดงามและกลิ่นหอมละมุนของมันกลับเรียกร้องให้เดรโกนึกอยากจะนำดอกไม้ที่งดงามและล้ำค่านี้ไปมอบให้กับเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นที่รักของเขา ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าการมอบของขวัญล้ำค่ามากกว่ากุหลาบเหมันต์ดอกนี้ให้เธอนั้นจะไม่อาจชดเชยสิ่งที่เขาทำต่อเด็กสาวลงไปได้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีสิทธิที่จะทำบางอย่างให้ผู้หญิงที่เขารักบ้างไม่ใช่หรือ
               และเมื่อคิดเช่นนั้นเดรโกจึงคิดจะไปบอกเฟรย่าว่าเขาอยากจะพาเฮอร์ไมโอนี่มาชมความงามของดอกกุหลาบเหมันต์ดอกนี้หรือแม้กระทั่งความจริงที่ว่าเขาต้องการนำมันไปมอบให้เด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขา หากแต่เมื่อนึกถึงตรงนี้มัลฟอยจึงคิดได้ว่ามันไม่เหมาะที่เขาจะถามเฟรย่าอย่างที่คิดออกไป เพราะเดรโกคงไม่สามารถเอ่ยปากขอกุหลาบดอกนี้ไปให้คนรักโดยที่ไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ของทั้งสองให้แม่มดผู้เป็นเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ และถึงแม้ว่าเขาจะสามารถบอกได้ว่าเฟรย่านั้นคงกำลังสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฮอร์ไมโอนี่อยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มก็ยังต้องพยายามปกปิดความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับเด็กสาวไม่ให้เฟรย่าล่วงรู้อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันท์คนรักหรือความสัมพันธ์ของเจ้านายและทาสก็ตาม
               เมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโกที่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะนำของขวัญอันล้ำค่านี้ไปมอบให้กับเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นคนรักของเขา และเมื่อเป็นเช่นนั้นมัลฟอยก็ตัดสินใจละสายตาจากกุหลาบงดงามดอกนี้ไป ตอนแรกเขาตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านแต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ทำเช่นนั้นเขาก็กลับเห็นร่างสูงของเฟรย่าที่กำลังเดินมาทางเขาพอดี
               เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เดินเข้ามาถึงตัวเดรโกในเวลาไม่นานและเมื่อหล่อนได้เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังยืนชมความงามของกุหลาบเหมันต์อยู่นั้นเธอก็ส่งยิ้มบาง ๆ มาให้เขา
               “ฉันเห็นว่าเธอคงชื่นชอบพรรณไม้ของฉัน โดยเฉพาะกุหลาบดอกนี้” หล่อนพูด และแม้ว่าในใจของเดรโกนั้นกลับคิดว่าเขาคงไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงามของพรรณไม้ที่เธอปลูกในสถานการณ์เช่นนี้หรอกหากไม่เพราะเขาบังเอิญมาพบดอกกุหลาบเหมันต์เข้าเสียก่อน หากแต่เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะไม่ตอบแบบนั้นออกไป ตรงกันข้ามเขากลับพยักหน้าให้หญิงสาวอย่างเห็นด้วย ขณะที่เฟรย่าเคลื่อนกายเข้ามาใกล้เขา
               “มันช่างเป็นดอกไม้ที่งดงามยิ่งนัก เธอว่าไหม” หล่อนพูดพลางเชยชมดอกกุหลาบดังกล่าว ก่อนจะหันมาหาเขา “มันดึงดูดสายตาของทุกคนให้เข้ามาหามัน” เฟรย่าพูดลอย ๆ
               “นับว่าคุณมีของล้ำค่าอยู่ในครอบครองทีเดียว” เดรโกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่สายตาของเด็กหนุ่มที่กำลังมองกุหลาบล้ำค่าดอกนี้อยู่ไม่อาจจะรอดพ้นการรับรู้ของเฟรย่าไปได้เลย
               “เธอเป็นแขกของฉัน คุณ มัลฟอย ถ้าเธอต้องการฉันสามารถยกกุหลาบดอกนี้ให้เธอได้นะ” หญิงสาวพูดขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้ามองเธอด้วยสายตาราวกับเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน
               “คุณหมายความว่ายังไง” เดรโกถามขึ้นอย่างระมัดระวัง และเมื่อเห็นเช่นนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงเสริมขึ้นพลางมองเขาด้วยดวงตาสีน้ำเงินลึกลับของเธอ
               “ฉันก็แค่เดาว่าเธอน่าจะอยากนำมันไปให้เพื่อนของเธอก็เท่านั้นเอง” เฟรย่าพูดโดยเน้นคำว่า ‘ เพื่อนของเธอ ’ ราวกับเธอต้องการบ่งบอกให้เด็กหนุ่มตรงหน้ารู้ว่าเธอสงสัยความสัมพันธ์ของทั้งสอง ขณะที่เดรโกมีสีหน้าครุ่นคิด แม้ว่าข้อเสนอของเฟรย่าจะเป็นสิ่งที่เย้ายวนมากก็ตาม ถ้าคิดจากความเป็นไปได้ในการที่เขาจะได้มีโอกาสได้เจอกุหลาบเหมันต์อันเป็นดอกไม้ที่หายากเป็นและล้ำค่าเป็นอย่างยิ่งนี้รวมทั้งการที่ผู้เป็นเจ้าบ้านเสนอมันให้โดยไม่ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยนแล้วนั้นมันก็คุ้มค่าไม่น้อยเลยที่เดรโกจะตอบรับข้อเสนอนี้ หากแต่ ถ้าพิจารณาจากการที่เฟรย่าอาจจะใช้ข้อเสนอนี้เป็นการทดสอบความสัมพันธ์ของทั้งสองที่เธออาจจะกำลังสงสัยอยู่หรืออาจจะถึงขั้นล่วงรู้แล้วก็ได้ว่าเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่เป็นอะไรกันแล้วนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ควรจะตอบรับข้อเสนอที่เชิญชวนนี้ของเฟรย่า เพราะการที่เขาตอบตกลงมันอาจจะเป็นการทำให้หญิงสาวมั่นใจมากขึ้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฮอร์ไมโอนี่นั้นห่างไกลจากความเป็นเพื่อนไปมากมายแล้ว และอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้มัลฟอยคิดว่าเขาไม่ควรจะตอบรับข้อเสนอนี้ของเฟรย่าก็คือ เขาไม่ต้องการจะทำลายดอกไม้ที่งดงามดอกนี้แม้ว่าเขาจะมีความตั้งใจที่จะนำมันไปมอบให้คนรักของเขาก็ตาม เพราะถึงอย่างไร ดอกไม้ที่งดงามดอกนี้ก็ควรจะได้เบ่งบานอยู่บนต้นของมันต่อไปมากกว่าที่จะต้องถูกตัดเพียงเพื่อมอบเป็นของขวัญเท่านั้น
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงได้ตอบหญิงสาวออกไป “ขอบคุณ เพียงแต่ผมอยากจะให้ดอกไม้ที่งดงามดอกนี้อยู่บนต้นของมันมากกว่า” เขาตอบออกไปขณะที่เฟรย่าส่งรอยยิ้มที่ยากจะอ่านมาให้เขา
               “นั่นนับว่าสมเหตุสมผลทีเดียว” หญิงสาวพูด “อันที่จริงที่ฉันมาที่นี่เพื่อจะบอกเธอว่าน้ำยาที่ฉันเตรียมไว้ให้เธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
               ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นเดรโกก็รู้สึกราวกับร่างของเขาชาวาบด้วยความกลัว เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะที่เลือกตอบเฟรย่าออกไปด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามทำให้มันฟังดูเรียบเฉยที่สุด
               “ถ้าอย่างนั้นผมก็ควรจะกลับที่ห้องทำงานของคุณใช่ไหม” เขาถามออกไปอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงของเขาขาดหายไปชั่วขณะ
               “ใช่ เพราะเมื่อเธอดื่มยาชนิดนี้เข้าไปแล้ว เธอจะมีอาการราวกับตอนที่เธอจะกลายร่างจริง ๆ ดังนั้นที่นี่คงไม่เหมาะเท่าไหร่” หญิงสาวอธิบาย “และอีกอย่างฉันก็ไม่อยากจะให้พืชพรรณที่ฉันปลูกไว้ได้รับความเสียหายด้วย” เธอพูดติดตลก หากแต่เดรโกไม่รู้สึกถึงอารมณ์ขันของประโยคนั้นของหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าความกลัวได้แล่นเข้าจับขั้วหัวใจของเขาแล้ว เขารู้สึกว่าการเดินกลับไปที่ห้องทำงานของเฟรย่านั้นเป็นการเดินไปสู่ลานประหารหรือไม่ก็สถานที่ที่ชะตากรรมของเขาจะถูกตัดสิน!
 
               และเมื่อเห็นท่าทีเคร่งเครียดจนเกือบจะเรียกได้ว่าหวาดกลัวของเด็กหนุ่มตรงหน้า หญิงสาวจึงเอ่ยปากถามขึ้น “เธอต้องการให้ฉันเรียกเพื่อนของเธอมาอยู่ด้วยไหม”
               สิ้นคำถามของหญิงสาว หัวใจของเด็กหนุ่มก็แกว่งวูบอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความกลัว แต่มันกลับเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความห่วงหาอาธรและความอัดอั้นตันใจ
               แน่นอนว่าเขาอยากให้เฮอร์ไมโอนี่มาอยู่ด้วย เขาอยากจะให้เธออยู่ข้างกายเขาในทุกเรื่องที่เขาต้องเผชิญ โดยเฉพาะเรื่องที่หนักหนาสาหัสอย่างที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ หากแต่ ในขณะเดียวกันเดรโกก็ไม่อยากจะให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักจะต้องมาเห็นเขาในสภาพที่ใกล้เคียงกับการกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายแบบนั้น! แม้เขาจะแน่ใจว่าปฏิกิริยาของเด็กสาวที่มีต่ออาการของเขาคงจะเป็นความเป็นห่วงมากกว่าความรังเกียจเดียดฉันท์ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เดรโกก็ไม่ต้องการจะให้เฮอร์ไมโอนี่มาเห็นหรือแม้กระทั่งรับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาต่อไปนี้เลย! แม้ว่าก้นบึ้งของหัวใจของเขาจะเรียกร้องให้เด็กสาวมาอยู่เคียงข้างมากแค่ไหนก็ตาม มัลฟอยก็ไม่อาจจะทนให้เธอมาเห็นเขาในสภาพที่ต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสได้เช่นกัน!
 
               ‘ นายตัดสินใจถูกแล้วที่ทำแบบนี้ เพราะนายน่าจะทำใจให้ชินกับการไม่มีเธอเอาไว้นะ เพราะถ้านายต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าจริง ๆ นายก็คงต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีเธอ
 
               เสียงเล็ก ๆ กระซิบขึ้นในหัวของเดรโก และเด็กหนุ่มก็ไม่อาจเถียงได้เลยว่าสิ่งที่มันพูดนั้นไม่เป็นความจริง แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะยอมรับมันมากเพียงใดก็ตาม เพราะเขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่า ถ้าหากวันนั้นมาถึงจริง ๆ ถ้าหากถึงวันที่เขาต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวจริง ๆ ล่ะก็ เขาคงไม่อาจจะปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่อยู่ข้างกายเขาต่อไปได้เป็นแน่ และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่รู้ว่าเมื่อถึงวันนั้นแล้วเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไรก็ตามแต่เขาก็ไม่อาจจะเอาชีวิตของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักมาเสี่ยงได้ เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเฮอร์ไมโอนี่แล้วล่ะก็ เขาคงต้องสูญเสียความหวังเพียงอย่างเดียวในการมีชีวิตอยู่ของเขาเป็นแน่!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเอ่ยคำตอบของเขาต่อคำถามของเฟรย่าออกไปแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่หัวใจของเขาต้องการก็ตาม
               “ผมว่าไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เธอจัดที่พักต่อไปเถอะ ผมไม่อยากจะรบกวนเธอ” เดรโกพูด ขณะที่เฟรย่ามองเขาด้วยสายตาประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
               “ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับไปที่ห้องทำงานของฉันกันเถอะ เราจะได้เริ่มกันเสียที” หญิงสาวกล่าว และเด็กหนุ่มก็พยักหน้าน้อย ๆ ราวกับไม่เต็มใจเท่าไหร่ก่อนจะเดินตามร่างสูงของเฟรย่าไปสู่การทดสอบที่จะตัดสินชะตากรรมชั่วชีวิตของเขา!
 
……………………………………………………………
 
               เดรโกไม่แน่ใจว่าเขาพาขาที่หนักอึ้งของตัวเองเดินกลับมาที่ห้องทำงานของเฟรย่าได้อย่างไร หากแต่สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้เมื่อก้าวกลับเข้ามาในห้องทำงานแห่งนี้ก็คือกลิ่นสมุนไพรที่ฉุนจมูกก่อนที่เขาจะเห็นหม้อยาใบย่อม ๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเฟรย่า ควันสีขาวที่กำลังลอยขึ้นมาจากหม้อนั้นบอกเขาว่ายาหม้อนี้เพิ่งถูกต้มขึ้นใหม่ ๆ และเมื่อเฟรย่าทำท่าทางบอกให้เขาไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่เขาเคยนั่งเมื่อครู่ เดรโกก็นั่งลงด้วยความกระวนกระวาย ก่อนที่เฟรย่าจะเดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ หญิงสาวตักยาในหม้อใส่แก้วใบหนึ่งก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มซึ่งรับมาด้วยท่าทีกังวล หากแต่ก่อนที่เดรโกจะตัดสินใจยกแก้วในมือขึ้นจรดริมฝีปากนั้น เฟรย่าก็ยกมือห้ามเขาไว้ก่อน
               หญิงสาวพูดขึ้นขณะที่เด็กหนุ่มเงยหน้ามองหล่อนด้วยความสงสัย
               “เดี๋ยวก่อน” ทันทีที่พูดจบ หล่อนก็ร่ายคาถาขึ้นบทหนึ่งซึ่งเดรโกรู้ว่ามันเป็นคาถาป้องกัน โดยที่หล่อนเจาะจงร่ายคาถาไปยังชั้นวางของที่ตั้งสูงตระหง่านรอบห้องราวกับว่าหล่อนต้องการปกป้องขวดยาอันมีค่าของตนให้รอดพ้นจากอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และเมื่อร่ายคาถาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็หันมาพยักหน้าให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า
               “เชิญเลย คุณมัลฟอย” เฟรย่ามองมาที่เขาก่อนที่สายตาของเธอจะเลื่อนไปยังถ้วยที่เด็กหนุ่มถืออยู่ในมือ ในขณะเดียวกันนั้นมัลฟอยก็เลื่อนสายตาของเขาตามสายตาของหญิงสาวไปยังสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะเทยาในถ้วยนี้ทิ้งมากแค่ไหนก็ตาม แต่มัลฟอยก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการดื่มมันได้พอ ๆ กับที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมหลังจากที่เขาได้ดื่มมันไปได้เช่นเดียวกัน! หลังจากใช้เวลาจ้องมองถ้วยยาตรงหน้าด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมอยู่ครู่หนึ่ง เดรโกก็ตัดสินใจยกถ้วยยาในมือขึ้นจรดริมฝีปาก และดื่มมันหมดในทีเดียว!
 
               ความขื่นคอเป็นความรู้สึกแรกที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้เมื่อของเหลวในถ้วยไหลผ่านลำคอของเขา แต่หลังจากเขาดื่มไปครู่หนึ่งแล้วมัลฟอยก็พบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของเขาแต่อย่างใด ในตอนแรกเดรโกได้แต่สงสัยว่าผลของยาชนิดนี้คืออะไรกันนะ หลังจากที่เขาไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรในตัวเขาที่เปลี่ยนแปลงไปเลยนอกจากต่อมรับรสของเขาที่เหมือนจะไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะหลังจากดื่มยาที่มีรสชาติเหลือประมาณขนานนี้เข้าไป  แต่ในไม่กี่วินาทีต่อมานั้นเอง เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความปวดร้าวซึ่งแล่นผ่านไปทั่วสรรพางค์กายของเขา มัลฟอยรู้สึกราวกับเส้นเลือดของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่กระดูกของเขาปวดร้าวราวกับมันโดนบิดด้วยแรงมหาศาล! ร่างของเด็กหนุ่มหดเกร็งด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ฟันกรามที่ขบแน่นของเขาจะยอมจำนนและส่งเสียงร้องด้วยความทรมานออกมา และในวินาทีต่อไปร่างสูงของเดรโก มัลฟอยก็ล้มลงไปที่พื้นและดิ้นทุรนทุรายยด้วยความเจ็บปวดขณะที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เฝ้ามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่แสดงถึงความรู้สึกใด ๆ
              
……………………………………………………………
 
               ในขณะที่เด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยกำลังทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวดอยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังทำความสะอาดห้องใต้หลังคาจนเกือบเสร็จแล้วนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น
               เด็กสาวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ มือเล็กของเธอปล่อยอุปกรณ์ทำความสะอาดที่กำลังถืออยู่พร้อมกับที่เธอลุกขึ้นเพื่อหาต้นตอของเสียงกรีดร้องนั้น และเมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าเสียงร้องเป็นของเสียงของเดรโก มัลฟอยไม่ผิดแน่ โดยที่ไม่ได้คิดตรึกตรองอะไรให้ดีก่อน เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบลงจากห้องใต้หลังคาเพื่อมุ่งไปยังต้นตอของเสียงร้องนั้น!
               เด็กสาวเดินลงบันไดห้องใต้หลังคาที่สูงชันอย่างรีบเร่ง ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังห้องที่เหมือนห้องพยากรณ์ซึ่งเป็นที่ ๆ เดรโกพบเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เป็นครั้งแรก เฮอร์ไมโอนี่เรียกชื่อเจ้านายของเธออย่างตื่นตระหนกเมื่อเธอเข้าไปยังห้องพยากรณ์ที่เล็กแคบซึ่งเป็นที่ ๆ เธอคิดว่าเดรโกน่าจะอยู่ที่นั่น หากแต่เมื่อเด็กสาวพบว่าห้องนั้นว่างเปล่าเธอก็ร้อนรนมากกว่าเดิม และเนื่องมาจากเธอไม่รู้ว่าประตูซึ่งเชื่อมต่อไปยังห้องทำงานของเฟรย่าอยู่เบื้องหลังพรมลายทอผืนใหญ่ในห้อง เด็กสาวจึงรีบเดินออกจากห้องพยากรณ์และรุดหน้าไปยังส่วนอื่นของบ้าน
               เฮอร์ไมโอนี่เดินกลับที่ห้องรับแขกเพื่อฟังต้นตอของเสียงพลางเรียกชื่อเดรโกไปด้วย และเมื่อเธอพบว่าเสียงร้องนั้นน่าจะมาจากปีกซ้ายของบ้าน เด็กสาวจึงรุดหน้าไปยังห้องครัวซึ่งมีประตูที่สามารถเปิดออกไปยังสวนซึ่งตั้งอยู่ใจกลางบ้านได้ เพราะเธอจำได้ว่าเฟรย่าบอกเธอว่าปีกซ้ายของบ้านเป็นห้องทำงานและเรือนเพาะชำของหล่อน และมันก็เป็นทิศทางเดียวกับที่เสียงร้องของเดรโกดังขั้นมา มันจึงทำให้เฮอร์ไมโอนี่มั่นใจว่าเดรโกน่าจะอยู่ที่นั่น และทางที่จะไปยังปีกซ้ายของบ้านได้เท่าที่เด็กสาวรู้ก็คือต้องเดินตัดสวนสมุนไพรใจกลางบ้านไป
               อาจจะเป็นเพราะความเป็นห่วงเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอหรือเป็นเพราะความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะทราบได้ที่ทำให้เธอรีบรุดไปยังสวนใจกลางบ้าน และเมื่อเท้าก้าวแรกของเด็กสาวแตะลงบนพื้นดินนอกบ้านซึ่งเป็นอาณาเขตของสวนเฮอร์ไมโอนี่ก็สัมผัสได้ถึงความหลากหลายของพืชพรรณต่าง ๆ ที่เธอไม่เคยรู้สึกยามเธอมองมาจากในตัวบ้านหรือจากห้องใต้หลังคา เด็กสาวเดินตรงเข้าสู่แมกไม้อันหนาทึบอย่างร้อนใจหากแต่ระมัดระวัง ในขณะที่เสียงร้องของเดรโกยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งยิ่งทำให้เธอร้อนใจเข้าไปใหญ่ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงความเจ็บที่แล่บแปล๊บขึ้นมาเมื่อมีกิ่งไม้มาข่วนแขนเธอ หากแต่เธอไม่มีเวลามาหยุดสนใจมัน ตรงกันข้ามเด็กสาวกลับเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามต้นตอของเสียงนั้นให้เร็วขึ้นเพียงเพื่อที่จะมาพบว่าเธอเจอกับทางตัน!
               ตรงใจกลางสวนนั้นมีแมกไม้และเถาวัลย์ขนาดใหญ่ซึ่งพันต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ติดกันไว้อย่างหนาแน่นราวกับตาข่ายขนาดใหญ่ เพราะไม่มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่ตอนนี้เธอเลยไม่สามารถพาตัวเองผ่านตาข่ายเถาวัลย์ขนาดยักษ์ที่กำลังขวางกั้นเธอกับทางเดินไปหาต้นตอของเสียงนั้นได้! ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าข้างหน้าของเธอคือทางตัน เธอก็ได้ยินเสียงร้องของเด็กหนุ่มดังขั้นก่อนที่มันจะเงียบลง!
               “เดรโก!” ชื่อของเจ้านายของเธอหลุดออกมาจากปากของหญิงสาวอย่างร้อนใจ “เดรโก!!!” เด็กสาวตะโกนก้องโดยที่เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงเรียกของเธอหรือไม่!
 
               ……………………………………………………………
 
               ในขณะที่ใจของเฮอร์ไมโอนี่รุ่มร้อนด้วยความเป็นห่วงอยู่นั้น เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็ยืนจ้องมองเดรโก มัลฟอยที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งเฉย หญิงสาวโบกไม้กายสิทธิ์เบา ๆ เพื่อให้เสื้อคลุมและเสื้อผ้าท่อนบนของมัลฟอยหายวับไป และเมื่อเธอทำเช่นนั้นมันก็เผยให้เห็นเส้นสีดำที่กระจายตัวอยู่ทั่วร่างกายของเด็กหนุ่มราวกับเลือดในกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีดำและปรากฎขึ้นบนผิวสีซีดของเขา ดวงตาของเจ้าของร่างเบิกกว้างเมื่อเขาเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขา เพียงแต่เดรโกไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะเอ่ยปากถามเฟรย่าในเรื่องนี้ เพราะแค่การพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองกรีดร้องหรือลุกขึ้นมาทำลายข้าวของรอบข้างเพราะความทรมานอย่างแสนสาหัสนี้มันก็หนักหนาสำหรับเขาอยู่แล้ว! แต่ท่ามกลางความทรมานนั้นเด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาหูฝาดไปหรือเปล่า แต่เขารู้สึกราวกับเขาได้ยินเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ร้องเรียกชื่อของเขาด้วยความร้อนรน!
               เฮอร์ไมโอนี่ แค่เขาคิดถึงชื่อของเด็กสาวอันเป็นที่รักของเขา เดรโกก็รู้สึกถึงความห่วงหาที่แล่นเข้าเกาะกุมหัวใจของเขาพร้อมกับความเจ็บปวด แม้ว่าเขาจะต้องการให้ผู้หญิงที่เขารักมาอยู่เคียงเขามากเพียงใดก็ตาม แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เธอมาเห็นเขาในสภาพนี้!
               อาจจะเป็นเพราะเดรโกกำลังทรมานทั้งทางร่างกายและสับสนทางจิตใจอยู่ก็เป็นได้ เด็กหนุ่มจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าเส้นสีดำที่เปรียบเสมือนเชื้อของมนุษย์หมาป่านั้นได้แผ่กระจายไปทั่วร่างของเขาจนกระทั่งจรดปลายนิ้วแล้ว!
               เด็กหนุ่มไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเวลานานแค่ไหนแล้วที่เขาต้องทนกับความเจ็บปวดราวกับร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เช่นนี้ และเมื่อวินาทีที่ความเจ็บปวดได้จบลงแล้วนั้นเด็กหนุ่มก็ดูราวกับจะไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน เพราะสิ่งเดียวที่เขาทำได้หลังจากรู้สึกว่าความเจ็บปวดค่อย ๆ คลายตัวจนเขาไม่ต้องกรีดร้องออกมาอีกแล้วนั้นก็คือการนอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบในห้องทำงานของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ขณะที่เจ้าของห้องนั้นกำลังมองมาทางเขาด้วยแววตาที่ยากจะอ่าน
               เมื่อรู้สึกแน่ชัดว่าความเจ็บปวดได้จบลงแล้ว พร้อมกับที่เขาสามารถปรับลมหายใจได้แล้วนั้นมัลฟอยก็พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้นห้องที่เย็นเฉียบ เด็กหนุ่มรู้สึกมึนงงเล็กน้อยขณะที่เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่มันก็ใช้เวลาไม่นานในการที่เขาจะประคองตัวเองให้กลับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเคยนั่งอยู่เมื่อครู่ได้ และเมื่อเขาทำเช่นนั้นได้แล้วมัลฟอยก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาไม่ได้เปลือยท่อนบนอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามเสื้อผ้าและเสื้อคลุมที่เขาใส่อยู่ก่อนหน้านี้กลับมาอยู่ที่เดิมอย่างที่มันควรจะเป็นซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมาจากการที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เสกมันกลับมาหลังจากที่หล่อนเป็นคนใช้เวทย์มนต์ทำให้มันหายไป แต่ในขณะที่เสื้อผ้าของเขากลับมาแล้วนั้น เดรโกก็สังเกตเห็นว่าร่องรอยสีดำที่ปรากฎขึ้นบนร่างของเขาซึ่งเดิมกระจายไปจนถึงนิ้วมือของเขาก่อนหน้านี้ได้จางหายไปราวกับมันไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้นอยู่มาก่อน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างของแม่มดที่อยู่ตรงหน้าเพื่อสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้น
               แต่ก่อนที่เขาจะได้มีโอกาสเอ่ยปากถามอะไรเฟรย่าออกไปสายตาของเขาก็สบเขากับดวงตาสีน้ำเงินของหญิงสาวซึ่งตอนนี้กำลังมองเขาด้วยความอึดอัด
               “ผม…..” มัลฟอยเอ่ยปากพูดแต่คำพูดของเขาก็หายไปราวกับว่าเขาไม่สามารถจะหาเสียงของตัวเองเจอ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีก้อนบางอย่างมาจุกที่ลำคอของเขาทำให้เขาไม่สามารถพูดประโยคในใจออกไปได้จนจบ
               แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้พยายามพูดออกไปเป็นครั้งที่สองนั้น เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของร่างสูงตรงหน้า และในคราวนี้ดวงตาสีทะเลสาบของเฟรย่าก็สะท้อนแววของความเห็นใจจนเกือบจะเรียกได้ว่าสงสารออกมาพร้อมกับที่หล่อนเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
               “ฉันเสียใจด้วยคุณมัลฟอย” น้ำเสียงของหล่อนแห้งผาก “แต่ว่าตอนนี้เชื้อหมาป่าได้กระจายไปทั่วร่างของเธอแล้ว ฉันไม่สามารถช่วยเธอได้จริง ๆ” หญิงสาวกล่าวออกมาขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าของเธอนั้นฟังคำพูดที่เปรียบเสมือนคำตัดสินชะตากรรมของด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
               เดรโก มัลฟอยรู้สึกราวกับโลกของเขาได้พังทลายลงต่อหน้า!
 
               ……………………………………………………………
              
               เสียงของเฟรย่าซึ่งพูดประโยคที่ตัดสินชะตาชีวิตของเดรโกนั้นดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มราวกับเสียงสะท้อน หากแต่ในขณะเดียวกันก็ดูราวกับว่าเสียงดังกล่าวไม่สามารถสะท้อนไปถึงเด็กหนุ่มได้เพราะหลังจากที่ได้ยินประโยคดังกล่าวแล้วนั้น เดรโก มัลฟอยก็นั่งนิ่งไม่ไหวติงไปครู่หนึ่งราวกับว่าเขาต้องใช้เวลาในการรอให้คำพูดนั้นแทรกซึมเข้าสู่สมองของเขา
               แต่แท้ที่จริงแล้ว มัลฟอยรู้ถึงความหมายของคำพูดนั้นของเฟรย่าดี เขารับรู้ได้แม้กระทั่งความหนักอึ้งของมันที่แทบจะบดขยี้สติสัมปชัญญะของเขาให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามาหามัลฟอยราวกับคลื่นที่ถาโถม ความผิดหวัง ความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด ความกลัว จนเด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรจะจัดการกับความรู้สึกอะไรก่อนดี เพราะเขาเพิ่งได้รับรู้ตอนนี้เองว่ามนุษย์สามารถรับรู้ความรู้สึกที่มากมายขนาดนี้พร้อมกันได้ด้วยหรือ  
               และเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้านั่งนิ่งไม่ไหวติงและไม่มีท่าทีตอบสนองกับสิ่งที่หล่อนได้พูดออกไป เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์จึงเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง
               “คุณมัลฟอย” และเมื่อหล่อนทำเช่นนั้นเฟรย่าก็ได้ยินเด็กหนุ่มตอบมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
               “ผมไม่มีหวังเลยใช่ไหม” เขาพูดพร้อมกับก้มลงมองมือซีดเซียวของเขาราวกับว่าเขาต้องการหาร่องรอยคำสาปที่เพิ่งปรากฏทั่วผิวเนื้อของเขาเมื่อครู่ หากแต่ตอนนี้เดรโกไม่สามารถมองเห็นอะไรไปมากกว่าผิวหนังที่ซีดเซียวของเขาเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่า เขาไม่มีทางรอดพ้นคำสาปร้ายของการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้ แม้ว่าผิวพรรณที่เขาเห็นตอนนี้จะเป็นเนื้อหนังของมนุษย์ก็ตามแต่มันก็ต้องกลายเป็นเนื้อหนังของสัตว์ร้ายในคืนวันเพ็ญที่กำลังจะถึงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
               ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์นั้น มัลฟอยได้ยินเสียงของเฟรย่าพูดขึ้นราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล
               “ฉันเสียใจด้วย” หญิงสาวพูดได้เพียงเท่านั้น เพราะจู่ ๆ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ลุกพรวดพราดขึ้น แม้ว่าร่างสูงจะเซไปเล็กน้อยจากการลุกขึ้นอย่างกระทันหัน แต่เมื่อแน่ใจว่าเขายืนอย่างมั่นคงบนพื้นห้องได้แล้ว มัลฟอยก็ตัดสินใจเดินออกจากห้องไป!
               เมื่อเห็นว่าร่างสูงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์รุดออกจากห้องไป เฟรย่าก็เดินตามเขาออกไปติด ๆ พร้อมกับเรียกชื่อของเขา หากแต่เด็กหนุ่มไม่เหลือบมองมาทางหล่อนแม้แต่น้อยขณะที่เขาก้าวยาว ๆ ผ่านห้องพยากรณ์ไปยังห้องรับแขกและเมื่อหญิงสาวตัดสินใจเรียกชื่อเขาอีกครั้ง หล่อนก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มตอบออกมาอย่างเลือนลางว่า “ผมอยากอยู่คนเดียว” ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะเดินออกจากประตูบ้านและหายลับไป โดยที่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นได้แต่ยืนมองเขาอย่างจนใจ
 
               ในขณะที่หญิงสาวผมดำกำลังคิดว่าหล่อนควรจะตามเดรโก มัลฟอยออกไปหรือเปล่านั้นร่างอีกร่างหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นในห้องรับแขก
               เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์รุดเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก และทันทีที่เด็กสาวเห็นเฟรย่าเธอก็รีบถามขึ้นมา
               “เดรโกล่ะค่ะ เขาเป็นอะไรหรือเปล่า” เด็กสาวถามด้วยท่าทีร้อนรน ขณะที่เฟรย่าตอบออกไปด้วยท่าทีที่หล่อนพยายามจะทำให้ดูสงบนิ่ง
               “เขาเพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อครู่น่ะ” หญิงสาวกล่าว
               “ออกไปข้างนอกเหรอคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความแปลกใจ “แต่เมื่อกี๊หนูได้ยินเสียงเดรโกเขา….” เด็กสาวพูดเพียงเท่านั้นราวกับว่าข้อความที่เธอต้องการเอ่ยต่อไปนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนเธอไม่อยากจะพูดออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ตามเฟรย่าก็เข้าใจดีว่าเด็กสาวตรงหน้าเธอต้องการจะสื่ออะไร เพราะยังไม่ทันที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดคำถามของเธอจนจบ เฟรย่าก็ตอบออกมา
               “เขาไม่เป็นอะไรแล้วจ้ะ เขาแค่บอกว่า เขาอยากอยู่คนเดียวเท่านั้น” หญิงสาวพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง หากแต่ท่าทีสุขุมของเธอนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ความสงสัยของเด็กสาวตรงหน้าคลายลงได้ และนั่นไม่ใช่เพราะว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในชั้นของเธอ เพียงแต่เป็นเพราะว่าเธอรู้ดีว่าเดรโกกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรบ้าง และเด็กหนุ่มก็ไม่เข้มแข็งพอ ไม่ใช่สิ คงไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่เข้มแข็งพอจะเผชิญชะตากรรมที่เดรโกอาจจะต้องเผชิญตามลำพังได้แน่ ดังนั้นการที่เฟรย่าบอกว่าเด็กหนุ่มต้องการจะอยู่คนเดียวนั้นมันจึงดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่
               หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เด็กสาวไม่รู้ ซึ่งนั่นก็คือผลจากการทดสอบที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นั่นเอง!
               และเพราะเป็นเช่นนั้น เพราะเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างขั้นตอนการรักษาของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอบ้าง เธอจึงถามออกไป
               “เกิดอะไรขึ้นคะ” สิ้นคำถามของเด็กสาว ก็เกิดความเงียบขึ้น เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์มองเด็กสาวตรงหน้าเธออย่างประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หล่อนจะตอบออกไป
               “ฉันว่าเรื่องนี้รอให้เขาบอกเธอเองจะดีกว่านะ” หญิงสาวตอบหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และเมื่อหล่อนเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าทำท่าจะถามอะไรต่อไป หล่อนจึงรีบพูดขึ้นมาว่า
               “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ฉันว่าจะทำอาหารกลางวันซักหน่อย เธอมาช่วยฉันหน่อยจะได้ไหม” เฟรย่าถามขึ้นท่ามกลางสีหน้าที่งงงวยของเฮอร์ไมโอนี่
               “แต่….เดรโก” เด็กสาวพยายามท้วงขึ้น
               “ฉันว่าเขาคงไปได้ไม่ไกลหรอก ฉันเลยไม่เห็นประโยชน์ในการออกไปตามเขา” หญิงสาวพูดเสียงเย็น “ตรงกันข้ามฉันคิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงกลับมา และเมื่อถึงตอนนั้นฉันว่าเราน่าจะทำอาหารกลางวันไว้รอเขากลับมาทานจะดีกว่ามั๊ย” ผู้เป็นเจ้าของบ้านโน้มน้าว หากแต่ดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่ยังแสดงถึงความเป็นห่วงที่มีต่อเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยอยู่
               “แต่….หนูว่า” เด็กสาวพยายามพูด ขณะที่เฟรย่าจ้องมองเธอด้วยดวงตาสีน้ำเงินที่ล้ำลึกของหล่อน
               “เกาะนี้ไม่กว้างเท่าไหร่นักและก็ไม่มีส่วนไหนที่เป็นอันตราย อย่างที่ฉันได้บอกเธอไปแล้วฉันคิดว่าไม่นานเพื่อนของเธอก็คงกลับมาเอง แต่ถ้าหากเธออยากจะตามเขาออกไปฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับผายมืออย่างเชื้อเชิญ หากแต่เมื่อเธอทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่กลับยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ว่าเธออยากจะตามเดรโกออกไปแค่ไหนก็ตามแต่เด็กสาวก็เพิ่งนึกได้ว่าเธอไม่มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่ ตรงกันข้ามกับเด็กหนุ่มที่น่าจะพกไม้ของเขาไปด้วย ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเขาก็ตามเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าเดรโกคงไม่น่าจะเป็นอันตรายใด ๆ ตรงกันข้ามกับเธอ เพราะเมื่อเธอไม่มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวเธอก็ไม่ต่างกับมักเกิ้ลธรรมดา ๆ เท่านั้น และ การออกไปตามหาเดรโกในตอนนี้นอกจากมันอาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรขึ้นแล้ว แต่มันอาจจะทำให้ตัวเธอเองเดือดร้อนขึ้นมาด้วยซ้ำ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นคำแนะนำของเฟรย่าก็ดูจะสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที
               หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ไม่นาน เด็กสาวก็ตัดสินใจพูดออกไป
               “หนูคิดว่าหนูรอเดรโกอยู่ที่นี่จะดีกว่าค่ะ” เธอตอบออกไปสั้น ๆ ขณะที่ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะพูดขึ้น
               “ถ้าอย่างนั้นเธอคงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าฉันจะขอแรงเธอมาช่วยเตรียมอาหารกลางวันน่ะจ้ะ” หญิงสาวกล่าว และในเมื่อเธอไม่มีเหตุผลดี ๆ ที่จะปฏิเสธการร้องขอจากผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ เด็กสาวจึงหยักหน้าก่อนตอบออกไป
               “ได้ค่ะ” สิ้นเสียงตอบรับของเด็กสาว เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็ส่งรอยยิ้มลึกลับที่แฝงด้วยความพอใจมาให้เฮอร์ไมโอนี่พร้อมกับพูดขึ้น
               “ดีจ้ะ งั้นเรามาเริ่มกันเลยแล้วกัน” หญิงสาวผมดำพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่หล่อนจะเดินนำเด็กสาวตรงหน้าเข้าครัวไป
 
               ……………………………………………………………
 
               ในตอนแรกที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์บอกว่าจะให้เฮอร์ไมโอนี่ช่วยเตรียมอหารกลางวันนั้น เด็กสาวคิดว่าเฟรย่าคงจะลงมือทำอาหารตามแบบฉบับไอซ์แลนด์อย่างที่เธอเคยได้ลิ้มรสมาบ้างแล้วในตอนที่เธอพักอยู่ที่โรงแรมก่อนจะข้ามฟากมาที่เกาะนี้ หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าอาหารที่หญิงสาวผู้เป็นชาวไอซ์แลนด์โดยกำเนิดนั้นตั้งใจจะทำเป็นอาหารแบบฉบับอังกฤษ ราวกับว่าเฟรย่าต้องการให้เด็กทั้งสองผู้เป็นแขกของเธอได้ลิ้มรสอาหารแบบเดียวกับประเทศบ้านเกิดที่พวกเขาจากมา แต่เมื่อนำความจริงที่ว่าสามีของเฟรย่าเป็นชาวอังกฤษมาพิจารณาแล้วนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่แปลกใจนักที่หญิงสาวสามารถทำอาหารอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ แน่นอนว่าหล่อนคงเคยทำอาหารตามแบบฉบับอังกฤษให้สามีของหล่อนทานตอนที่เขามีชีวิตอยู่เป็นแน่
               แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้มีโอกาสพิจารณาเกี่ยวกับตัวเฟรย่าไปมากกว่านั้น เสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้น
               “เธอช่วยหั่นผักพวกนี้ได้ไหมจ๊ะ” หล่อนถามขึ้น และทันใดนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอถอดถุงมือของเธอทิ้งไว้ที่ห้องพัก เพราะในตอนที่เธอได้ยินเสียงของเดรโกดังขึ้นเธอกำลังทำความสะอาดห้องใต้หลังคาอยู่ เธอจึงต้องถอดถุงมือของเธอออกและวางมันทิ้งไว้ที่ห้องใต้หลังคา
               “เอ่อ หนู” เด็กสาวอ้ำอึ้ง ขณะที่หญิงสาวมองเธอด้วยท่าทีสงสัย แต่ไม่นานนักเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดวิธีแก้ปัญหาในครั้งนี้ออก “คือหนูเพิ่งทำความสะอาดห้องมาน่ะค่ะ หนูขอไปล้างมือก่อนได้ไหมคะ” เฮอร์ไมโอนี่รีบพูดออกไปและเมื่อเห็นว่าเฟรย่าพยักหน้าในเชิงเข้าใจ เด็กสาวก็รีบรุดออกจากห้องครัวไป
               เฮอร์ไมโอนี่รีบขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาก่อนเพื่อหยิบถุงมือที่เดรโกซื้อให้มา โดยเด็กสาวเลือกคู่ที่เป็นถุงมือหนังซึ่งเปิดบริเวณนิ้วก่อนที่เธอจะรุดไปยังห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดมือของเธอรวมทั้งถุงมือคู่นี้ด้วย
               หลังจากล้างมือเสร็จแล้วและกำลังทำความสะอาดถุงมืออยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็เหลือบไปเป็นเงาของตัวเองในกระจกเหนืออ่างล้างหน้า ใบหน้าที่จ้องกลับมานั้นช่างซีดเซียว ดวงตาสีน้ำตาที่เคยสดใสในตอนนี้กลับแฝงไว้ด้วยความกังวล เด็กสาวก้มลงมองสัญญาทาสบนมือของตัวเองอย่างสับสน ตัวอักษร D. M. ปรากฎชัดบนอุ้งมือเล็กของเธอ แม้ว่าตอนนี้เธอได้คิดหาทางเอาตัวรอดและปกปิดความลับที่เธอเป็นทาสของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยได้แล้วก็ตาม แต่เธอจะสามารถปกปิดมันได้นานเพียงใดกันเชียว และถึงเธอจะปิดบังเรื่องนี้จากเฟรย่าต่อไปได้ แต่ถึงอย่างไรเด็กสาวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเดรโกนั้นไม่ใช่เพียงแค่คู่รักหรือศัตรูธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่มันกลับเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนจนแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยกันแน่ แน่นอนว่าเธอยังคงจำทุกสิ่งที่เขาไว้ทำกับเธอได้ แต่ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเขา ในวินาทีที่เธอได้ยินเสียงของเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดนั้นเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับหลังจากที่เขาเคยทำให้เธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมาก่อนแล้ว ตรงกันข้ามเมื่อเธอรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังทุกข์ทรมานอยู่นั้น เธอกลับห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกเป็นห่วงเขาได้เลย!
               เฮอร์ไมโอนี่ยังจำได้ดีถึงความรู้สึกสิ้นหวังที่เธอไม่สามารถหาตัวเขาเจอในยามที่เขากรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานได้ หัวใจของเธอเจ็บปวดราวกับมันถูกบีบรัดเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้นของเดรโกราวกับว่าความเจ็บปวดทรมานของเด็กหนุ่มได้ถ่ายทอดมาที่เธอด้วย และเป็นเพราะเหตุใดเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะทราบได้ หากแต่เด็กสาวกลับอดไม่ได้เลยที่จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างสุดหัวใจ!
               แถมในตอนนี้เขายังออกจากบ้านไปโดยที่ไม่รู้ว่าไปไหนอีกด้วย และถึงแม้ว่าเฟรย่าจะบอกว่าไม่น่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับเดรโกก็ตามแต่มันก็ไม่อาจทำให้เฮอร์ไมโอนี่คลายความกังวลที่มีต่อเขาไปได้เลย ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกกังวลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำเมื่อเธอรู้ว่าเขาออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวกันแบบนี้! เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ทำไมเขาถึงออกจากบ้านไปโดยที่ไม่บอกอะไรเธอเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกกล่าวเธอแทบจะทุกครั้งเมื่อเขาต้องไปที่อื่น เด็กสาวคิดอย่างกังวล
               แต่สิ่งที่มารบกวนจิตใจเฮอร์ไมโอนี่นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ความห่วงกังวลที่มีต่อเด็กหนุ่มที่อยู่ในฐานะเจ้านายของเธอเท่านั้น หากแต่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เขาเคยทำร้ายเธอสารพัดรวมทั้งเขาได้ทำการร่ายมาตราเพื่อกักขังเธอให้เป็นทาสของเขาแบบนี้อีกด้วย และถึงเฮอร์ไมโอนี่จะรู้ว่าเวทย์มนต์ของสัญญาทาสชั่วนิรันดร์นั้นมีผลแค่ทางร่างกายแต่มันไม่สามารถทำให้จิตใจของทาสเปลี่ยนมาภักดีต่อผู้เป็นเจ้านายได้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นห่วงเป็นใยเด็กหนุ่มที่เคยทำร้ายเธอมากถึงขนาดนี้!
               แต่ก่อนที่จะปล่อยใจของตัวเองให้ครุ่นคิดไปไกลกว่านี้แล้วนั้นเด็กสาวก็ต้องดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ความคิดเมื่อเธอนึกได้ว่าเธอต้องกลับเข้าไปยังห้องครัว เฮอร์ไมโอนี่เช็ดมือและถุงมือหนังของเธอให้แห้ง เธอสวมมันไว้บนมือข้างที่มีตราทาสอยู่ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปที่ครัว
               เมื่อเฮอร์ไมโอนี่กลับมา เฟรย่าก็ไม่ได้ถามที่เธอหายไปนานแต่อย่างใดตรงกันข้ามหญิงสาวกลับบอกวิธีการหั่นผักที่หล่อนเตรียมไว้ให้เฮอร์ไมโอนี่อย่างละเอียด แต่เมื่อเด็กสาวกำลังจะลงมือหั่นผักตามที่หล่อนบอก ใบหน้างามของหญิงสาวก็แสดงถึงความสงสัยออกมาเมื่อหล่อนเห็นมือที่สวมถุงมือของเด็กสาว
               แต่ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าบ้านจะได้ถามอะไรออกไปเฮอร์ไมโอนี่ก็เอ่ยปากอธิบายขึ้นก่อน
               “พอดีหนูมีแผลเป็นบนมือข้างนี้น่ะค่ะ หนูเลยใส่ถุงมือปิดมันไว้” เด็กสาวกล่าวคำแก้ตัวที่เธอคิดมาก่อนหน้านี้ และลงมือหั่นผักต่อ หากแต่ความสงสัยของเฟรย่าไม่ได้หยุดอยู่ที่คำอธิบายของเฮอร์ไมโอนี่แต่เพียงเท่านั้น เมื่อหญิงสาวเอ่ยปากถามขึ้น
               “เธอเป็นแผลเป็นมาจากอะไรเหรอจ๊ะ” เฟรย่าถามขึ้น และครั้งนี้ก็เป็นคำถามที่เด็กสาวไม่ได้คิดคำตอบเอาไว้ก่อน เธอจึงตัดสินใจตอบสิ่งแรกที่คิดได้ออกไป
               “หนูเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ มันเกิดมาจาก…..คำสาปค่ะ” เมื่อคำพูดนั้นหลุดจากปากของเด็กสาวออกมา เฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าเธอไม่น่าตอบอะไรแบบนี้ออกไปเลย แต่มันเป็นสิ่งแรกที่เธอนึกได้ เมื่อพูดจบเธอก็กลับไปสนใจวัตถุดิบสำหรับทำอาหารต่อราวกับว่าผักที่เธอกำลังหั่นดูน่าสนใจมากกว่าอะไรทั้งหมดสำหรับเธอ แต่เด็กสาวกลับไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่เธอกำลังมุ่งความสนใจไปยังงานที่อยู่ตรงหน้าอยู่นั้นเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ได้ขยับตัวเข้ามาใกล้เธอ ดวงตาสีน้ำเงินลึกลับของหญิงสาวจ้องมองมาที่เฮอร์ไมโอนี่ด้วยความสงสัยก่อนที่หล่อนจะพูดออกมา
               “ถ้าเป็นรอยแผลที่มาจากคำสาปล่ะก็ฉันคิดว่าฉันน่าจะพอช่วยเธอได้นะ ขอฉันดูหน่อยได้ไหม…..” หล่อนพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า แต่ไม่ทันที่มือของหญิงสาวจะได้แตะต้องตัวเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวก็ชักมือข้างที่สวมถุงมือของเธอไปหลบไว้เบื้องหลังทันที
               ในตอนนั้นเองเฮอร์ไมโอนี่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเธอทำพลาดไปเสียแล้ว เธอไม่ควรจะร้อนตัวขนาดนี้ เพราะในตอนนี้เฟรย่าคงกำลังสงสัยในท่าทีของเธอเข้าเสียแล้ว และเมื่อเด็กสาวเงยหน้าขึ้นเธอก็พบว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังจ้องมองอากัปกริยาของเธอด้วยแววตาประหลาดใจ และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบพูดออกไป
               “หนูไม่อยากรบกวนคุณน่ะค่ะ” เด็กสาวพูดโดยที่หวังว่าเฟรย่าจะเชื่อคำแก้ตัวในครั้งนี้ของเธอ และแม้ว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านจะมองเธอด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความสงสัยแคลงใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่หล่อนก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ตรงกันข้ามหล่อนกลับพยักหน้าเบา ๆ อย่างเข้าใจก่อนจะพูดออกมาว่า
               “ถ้าเธอต้องการอย่างนั้นก็ได้จ้ะ” เฟรย่าพูดพลางหันกลับไปสนใจอาหารที่ปรุงค้างไว้ต่อ และเมื่อเห็นว่าสายตาของหญิงสาวไม่ได้จับจ้องมาที่เธอแล้วเด็กสาวก็แอบถอนใจออกมาเบา ๆ อย่างโล่งอกก่อนจะหันไปลงมือเตรียมอาหารต่อ
 
               ……………………………………………………………
 
               กว่าที่แม่มดทั้งสองจะช่วยกันเตรียมอาหารจนเสร็จก็ใกล้เวลาบ่ายโมงแล้ว หากแต่เดรโกยังไม่กลับมาแต่อย่างใด เมื่ออาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ช่วยเฟรย่านำอาหารทั้งหมดขึ้นไปวางบนโต๊ะพร้อมกับที่เธอชะโงกไปทางประตูบ้านเป็นระยะ ๆ และหวังว่าจะได้เห็นเดรโกเดินกลับเข้ามา
               แต่หลังจากที่โต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังไม่กลับมา ซึ่งมันทำให้เฮอร์ไมโอนี่ร้อนใจและเป็นห่วงมาก ในตอนแรกเธอตั้งใจที่จะรอให้เขามากินอาหารพร้อมกัน ซึ่งที่จริงแล้วจะเรียกว่าตั้งใจก็ไม่ถูกเท่าไหร่นักเพราะสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ทำคือเธอไม่ยอมแตะอาหารก่อนเท่านั้น แต่หลังจากรอไปได้ประมาณสิบนาที เฟรย่าก็บอกเด็กสาวว่าพวกเขาควรกินอาหารกลางวันได้แล้ว
               “แต่…” เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าจะขัดขึ้น หากแต่เฟรย่ากลับชิงพูดขึ้นก่อน
               “ฉันว่าเธอไม่ต้องห่วงเพื่อนของเธอหรอก ถ้าเขาหิวเขาก็คงกลับมาเองแหละจ้ะ” เฟรย่าพูดขึ้นเรียบ ๆ หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบของหล่อนนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความกังวล และเมื่อหญิงสาวเห็นว่าเด็กสาวยังไม่ยอมแตะต้องอาหารของเธอเสียที เธอจึงพูดขึ้น
               “เอาอย่างนี้ละกัน ฉันจะเก็บอาหารส่วนของเขาไว้ดีไหม” หญิงสาวพูดพร้อมกับสะบัดไม้กายสิทธิ์หนึ่งครั้งเพื่อให้อาหารส่วนหนึ่งลอยเข้าไปเก็บที่ตู้ เมื่อจัดการร่ายมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้วเฟรย่าก็หันมามองเด็กสาวตรงหน้าก่อนจะพูดขึ้น
               “เราลงมือทานกันได้แล้วใช่ไหมจ๊ะ” หญิงสาวถาม ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่มีทางเลือกจะพยักหน้าและเริ่มลงมือทานอาหารของเธอ
 
               ……………………………………………………………
 
               เดรโกไม่ได้กลับมาตลอดมื้ออาหาร หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จเฟรย่าก็ขอแรงให้เฮอร์ไมโอนี่ช่วยเก็บกวาดและล้างจาน แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องขอแรงให้เธอช่วยเรื่องการทำความสะอาดด้วยเพราะเฟรย่าสามารถเก็บกวาดห้องครัวให้สะอาดเอี่ยมได้ในพริบตาเพียงแค่เธอสะบัดไม้กายสิทธ์เท่านั้น หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรออกไปจนกระทั่งหญิงสาวขอให้เธอช่วยล้างจานชามในที่อยู่ในอ่าง
               “เอ่อ….หนู” เด็กสาวพูดไม่ออกขึ้นมากระทันหันราวกับว่าเธอไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าเฟรย่าจะใช้ให้เธอทำงานที่เสี่ยงต่อการเปิดเผยตราทาสของเธอให้หล่อนเห็นอีกครั้ง และเมื่อคิดถึงตรงนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกราวกับว่าเฟรย่านั้นกำลังสงสัยหรืออาจจะถึงขั้นถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเธอกับเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยเข้าเสียแล้ว หล่อนจึงพยายามขอร้องให้เด็กสาวทำอะไรที่ต้องเปิดเผยฝ่ามือข้างที่มีตราทาสอยู่แบบนี้
               ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังคิดว่าเธอจะหาทางรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร เฟรย่าก็ยิ้มให้เธอก่อนพูดขึ้น
               “จริงสินะ ฉันลืมไปเลย” หล่อนกล่าวก่อนจะตวัดไม้กายสิทธิ์เพื่อเสกถุงมือยางแบบที่ใช้สำหรับทำความสะอาดออกมา
               “เธอควรใส่ถุงมือนี่ก่อนนะ” เฟรย่าพูดพลางยื่นถุงมือคู่ดังกล่าวมาให้เด็กสาวตรงหน้า เฮอร์ไมโอนี่รับมาก่อนจะขอบคุณหล่อนไปเบา ๆ และทันทีที่เธอรับถุงมือมาแล้ว เด็กสาวก็รีบหันหลังให้เฟรย่าเพื่อสวมถุงมือคู่ดังกล่าวทับถุงมือหนังที่ปกปิดตราทาสของเธอไว้ และที่เธอต้องหันหลังให้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นก็เป็นเพราะว่าเธอไม่ต้องการให้เฟรย่าเห็นการกระทำที่แปลกประหลาดของเธอในครั้งนี้ เพราะคงไม่มีคนสติดีคนไหนเลือกที่จะสวมถุงมือทับถึงสองชั้นเป็นแน่! หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นเนื่องจากเธอต้องการจะปกปิดตราทาสอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเจ้าของที่เด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยมีต่อเธอไม่ให้หญิงสาวหรือแม้กระทั่งใครก็ตามสามารถรับรู้ได้! แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของเธอนั้นได้ตกอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของหญิงสาวผมดำทั้งสิ้น หากแต่เมื่อมองจากมุมที่เฟรย่ายืนอยู่แล้วนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่หล่อนจะเห็นสิ่งที่เด็กสาวได้บอกหล่อนไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็นแผลเป็นที่มาจากคำสาป และหญิงสาวคงไม่สามารถคาดเดาได้เป็นแน่ว่าสิ่งที่อยู่บนมือของเฮอร์ไมโอนี่นั้นจะเป็นตราทาสที่แสดงถึงความเป็นทาสของเธอต่อเด็กหนุ่มที่เป็นทั้งเจ้านายและคนรักของเธอด้วย!
               หลังจากสวมถุงมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก็หันหลังกลับมาเพื่อที่จะพบว่าเฟรย่าได้ละสายตาไปจากเธอและเดินออกจากห้องครัวไปแล้ว และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่ได้คอยอยู่จับตาดูเธอแล้วนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย พลางคิดว่า อาจจะเป็นเพราะเธอคิดมากไปเองก็ได้ที่คิดว่าเฟรย่านั้นกำลังสงสัยหรือล่วงรู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเธอกับเดรโกเข้า
               เดรโก เมื่อคิดถึงชื่อของเด็กหนุ่ม ความห่วงหาก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ในทันที เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงฝาผนัง มันบอกเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววว่ามัลฟอยจะกลับมาเสียที ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังคิดว่าเธอควรจะชวนเฟรย่าออกไปตามหาเขาพร้อมกับเธอดีหรือไม่อยู่นั้น ฝนก็เทกระหน่ำลงมา!
               เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แถมมันยังตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเด็กสาวแทบจะไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกบ้านอย่างชัดเจนได้ และยิ่งเห็นเช่นนั้นหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ก็หนักอึ้งด้วยความกังวลที่มีต่อเด็กหนุ่มซึ่งเป็นทั้งเจ้านายและคนรักของเธอ
               ‘เธอไปอยู่ที่ไหนนะ เดรโก’ เด็กสาวคิดด้วยความเป็นห่วงกังวลอย่างสุดหัวใจ
 
               ……………………………………………………………
 
               ทางด้านมัลฟอยนั้น เขาไม่แน่ใจว่าเขาเดินออกมาจากบ้านของเฟรย่าได้นานแค่ไหน รวมทั้งเขากำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางใดด้วย เด็กหนุ่มทำได้แค่เดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ในอกของเขาจะอัดแน่นด้วยความรู้สึกต่าง ๆ นานา ทั้งผิดหวัง สิ้นหวัง หวาดกลัว และแม้กระทั่งโกรธแค้นต่อโชคชะตาที่เล่นตลกจนชีวิตของเขาต้องพลิกผันถึงเพียงนี้ หากแต่ในหัวของเขากลับว่างเปล่าราวกับว่าตอนนี้เขาไม่ต้องการจะรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่สนใจแล้วว่าทางที่เขากำลังเดินไปนั้นมันจะนำเขาไปสู่จุดหมายปลายทางที่ใด
               เดรโกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกเดินอย่างไร้จุดหมายมาเป็นเวลานานเท่าใดแล้ว แต่เมื่อเด็กหนุ่มรู้สึกตัวอีกทีเขาก็พบว่าเขาได้เดินมาถึงริมหน้าผาแห่งหนึ่ง เบื้องล่างหน้าผาแห่งนั้นเป็นท้องทะเลสีคราม กลิ่นไอทะเลที่ถูกลมแรงหอบมาพัดมาแตะจมูกเดรโกอย่างแผ่วเบา เด็กหนุ่มหยุดอยู่ริมหน้าผาก่อนจะจ้องมองลงไปที่ผืนน้ำเบื้องล่าง
               แม้ว่าวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าของเขานั้นจะงดงามเพียงใดก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะมาชื่นชมมันเลยซักนิดเดียว! เพราะแม้ว่าเบื้องหน้าของเขาจะเป็นธรรมชาติที่สงบสุขและสวยงามของเกาะกริมซีย์ในไอซ์แลนด์ก็ตาม แต่ในใจของเดรโกตอนนี้กลับไม่ได้สงบเหมือนกับท้องทะเลสีครามเบื้องหน้าของเขาเลย ตรงกันข้ามมันกลับปั่นป่วนรุ่มร้อนเนื่องมากจากความจริงที่เขาเพิ่งได้ค้นพบ ความจริงที่เป็นราวกับมือใหญ่มหาศาลที่ตรงเข้ามาบดขยี้ความหวังที่เหลือเพียงน้อยนิดของเขา ความจริงที่ว่าเขาไม่มีทางอื่นใดเลยที่จะหลีกหนีคำสาปร้ายของการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้!
               และเมื่อนึกได้เช่นนั้น หัวใจของเด็กหนุ่มก็เจ็บปวดราวกับมีคนร่ายคาถากรีดแทงใส่มัน มัลฟอยทรุดตัวลงบนพื้นหญ้าริมหน้าผา เขารู้สึกน้ำใสเย็นที่กำลังไหลเอ่อดวงตาของเขา แม้ว่าจะพยายามกลั้นมันไม่ให้มันไหลออกมาแล้วก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถปิดกลั้นน้ำตารวมถึงความเจ็บปวดสิ้นหวังที่กำลังเกาะกินทั้งร่างกายและจิตใจของเขาในตอนนี้ได้เลย ทำไม ทำไมเขาต้องมาประสบชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ด้วย ทำไม!
               “ทำไมมมมมมมมมมมม!” มัลฟอยได้ยินเสียงตนเองตะโกนก้องไปยังท้องฟ้าเบื้องบนราวกับเขาต้องการไถ่ถามว่าเพราะเหตุใดเขาถึงต้องมาประสบกับชะตากรรมมี่ต้องคำสาปเช่นนี้! ทั้งที่ในใจเด็กหนุ่มก็รู้ว่าเขาไม่มีทางได้รับคำตอบว่าทำไมเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับเขา พอ ๆ กับที่เขาก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้เหมือนกันว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป
 
               ‘นายจะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อนายก็รู้ว่านายต้องกลายเป็นตัวอะไรในคืนวันเพ็ญต่อไป แล้วนายยังจะทำอะไรกับมันได้อีก’’ เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่มราวกับต้องการย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับชะตากรรมเท่านั้น!
 
               ‘ใช่ ฉันก็คงต้องทำอย่างนั้นแหละ’ มัลฟอยคิดอย่างสิ้นหวัง ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีเรี่ยวแรงจะไปโต้เถียงกับเสียงในหัวของเขาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามเขาควรยอมรับเสียทีว่าเขาต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในฐานะสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว
 
               ‘จริง ๆ คำถามที่นายควรตอบตัวเองให้ได้ก่อนก็คือ นายจะอยู่กับสัตว์ร้ายในตัวนายได้ยังไง และนายจะเป็นยังไงต่อเมื่อนายกลายร่างแล้วต่างหาก’ เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นอีกครั้ง
 
               และเพราะคำถามนี้นี่เองที่มัลฟอยรู้สึกราวกับถูกความเป็นจริงที่มีอนุภาพราวกับลำแสงสะกดนิ่งอัดเข้าใส่ร่างของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอเมื่อเขาไม่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้
               ใช่สิ แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อเขาต้องกลายร่างแล้ว นั่นต่างหากที่เป็นสิ่งที่เขาควรหาคำตอบ แน่นอนว่ามัลฟอยรู้ว่าเขาต้องกลายร่างในคืนวันเพ็ญที่จะถึงนี้ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกเพียง 6 วันเท่านั้น แต่คำถามที่เขาต้องตอบในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะหลีกเลี่ยงคำสาปร้ายนี้ไปได้อย่างไร เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีแล้วว่าเขาไม่สามารถหลีกหนีมันไปได้ เพราะแม้กระทั่งเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ที่ ตามคำพูดของสเนปแล้ว ‘มาไกลที่สุดในเส้นทางของการรักษามนุษย์หมาป่า’ ไม่สามารถช่วยเขาได้ เขาก็คงหมดหนทางในการหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าจริง ๆ ดังนั้นคำถามที่เขาควรจะต้องตอบตัวเองให้ได้ในตอนนี้ก็คือ เขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อกับคำสาปร้ายนี้ได้อย่างไร!
               เมื่อคิดถึงตรงนี้ เดรโกก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เนื่องมาจากความจริงที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเขาได้ทราบก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่ว่าน้ำยาระงับหมาป่าซึ่งทำให้มนุษย์หมาป่าที่กลายร่างแล้วไม่ดุร้ายเหมือนมนุษย์หมาป่าปกตินั้นไม่สามารถใช้กับเขาได้เนื่องจากเขาเป็นคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าข่วน ไม่ได้ถูกกัดเหมือนมนุษย์หมาป่าทั่วไป จึงทำให้สูตรยาที่คิดค้นขึ้นมาสำหรับคนที่กลายร่างจากการถูกกัดไม่สามารถทำให้คนที่กลายเป็นมนุษย์หมาป่าจากการโดนทำร้ายนั้นสงบลงได้ ตรงกันข้ามเมื่อคืนวันเพ็ญมาถึงเขาก็จะต้องกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือดที่อาจจะสังหารใครก็ได้บังเอิญมาพบเขาเข้า ไม่เว้นแม้แต่คนที่เขารู้จัก หรือคนรักของเขาเองก็ตาม!
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจของเดรโกก็แกว่งวูบด้วยความหวาดกลัว หากแต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่ได้หวาดกลัวชะตากรรมอันเลวร้ายของการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าของตนเองแต่เพียงเท่านั้น ตรงกันข้ามเขากลับหวาดกลัวแทนผู้หญิงคนเดียวที่เขารัก ใช่แล้ว เดรโก มัลฟอยหวาดกลัวแทนเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เด็กสาวที่อยู่ในฐานะคนรักและทาสของเขา เพราะถ้าหากเดรโกต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถปกป้องเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่เคียงข้างเขาให้ปลอดภัยได้อย่างไร!
               แน่นอนว่าเมื่อวันนี้มาถึงจริง ๆ เขาก็คงต้องแยกตัวเองออกไปให้ห่างไกลผู้คนที่เขารัก หรือไม่เขาก็คงต้องกักขังตัวเองไว้ในห้องใต้ดินของคฤหาสน์เพื่อไม่ให้เขาไปทำร้ายใครได้ แต่ถ้าหากซักวันนึงมันเกิดความผิดพลาดขึ้นล่ะ ถ้าหากมีวันไหนที่เขาในร่างหมาป่าเกิดหนีรอดไปได้ และถ้าเกิดเขาไปเจอเฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่มีแม้กระทั่งไม้สิทธิ์ไว้ป้องกันตัวเข้า
               เมื่อคิดถึงตรงนี้ เดรโกก็หลับตาลงราวกับเขาต้องการหลีกหนีภาพสยดสยองในจิตนาการของตัวเอง! แน่นอนการอยู่เคียงข้างเขานั้นเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงสำหรับเด็กสาวที่เขารักเมื่อวันที่เขากลายร่างมาถึง และความปลอดภัยของเฮอร์ไมโอนี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับเขา หากแต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการให้เฮอร์ไมโอนี่ปลอดภัยและมีความสุขมากเพียงใดก็ตาม เขาก็รู้ดีกว่าเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หากไม่มีผู้หญิงที่เขารักอยู่เคียงข้าง แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ที่เขายังไม่ต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ มัลฟอยยังรู้สึกเลยว่าชีวิตของเขาไม่สามารถขาดเฮอร์ไมโอนี่ได้ และยิ่งในตอนนี้ที่เขาต้องเผชิญกับนรกที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมแล้วนั้นเขาจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่โดยปราศจากผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักได้เช่นไร!
 
               ‘แต่นายไม่คิดเหรอว่าเธออยากจะอยู่เคียงข้างนายหรือเปล่าน่ะ’ เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นในหัวอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็ตอกย้ำความจริงที่เดรโกไม่อยากจะรับฟังหรือแม้กระทั่งรับรู้เลยแม้แต่น้อย!
 
            ‘ตอนนี้นายยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธออยู่กับนายเพราะความเต็มใจจริง ๆ หรือเปล่า แล้วนายจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะต้องการอยู่กับนายหลังจากที่เธอรู้ว่านายกำลังจะกลายเป็นอะไร’ เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง และแม้ว่าเด็กหนุ่มอยากจะโต้เถียงออกไปเพียงไร เขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่มันพูดนั้นมีความจริงอยู่ไม่น้อย
 
               ใช่แล้ว เดรโกจะรู้ได้อย่างไรว่าเฮอร์ไมโอนี่เต็มใจที่จะอยู่กับเขาหลังจากที่เธอรู้แล้วว่าเฟรย่าไม่มีทางรักษาเขาได้ และในไม่ช้าเขาก็ต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว และเมื่อถึงตอนนั้นสายตาที่เด็กสาวที่เขาหลงรักอย่างหมดหัวใจใช้มองเขานั้นมันจะเปลี่ยนไปหรือเปล่านะ เธอจะกลับไปมองเขาด้วยสายตาราวกับเขาเป็นปีศาจร้ายอย่างที่เธอเคยมองเธอหรือเปล่า! และถ้าเธอทำอย่างนั้นล่ะก็ ถ้าความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่เฮอร์ไมโอนี่มีให้เขาในตอนนี้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเกลียดชังหรือแม้กระทั่งหวาดกลัวเด็กหนุ่มจะทำเช่นไรกัน! แน่นอนว่าถ้าเป็นเช่นนั้นมัลฟอยคงต้องแบกรับความเจ็บปวดมากกว่าการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าหลายเท่าเป็นแน่!
 
               ‘ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ ฉันก็จะปล่อยเธอไป’ เขาคิดอย่างสิ้นหวัง แต่เสียงเล็ก ๆ ในหัวนั่นก็กลับมาทำลายความหวังของเขาด้วยการย้ำเตือนความจริงที่ยากจะหลีกเลี่ยงกับเขาว่า
 
               ‘อย่าลืมสิว่านายทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ เพราะพ่อของนายไม่มีทางยอมแน่ เพราะเขาต้องการใช้เธอเป็นเหยื่อล่อให้แฮร์รี่ พอตเตอร์มาติดกับ’
 
               เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นอย่างรู้ทัน และเมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเดรโกที่ซีดเซียวอยู่แล้วก็กลับขาวซีดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาคิดถึงพ่อรวมถึงสิ่งที่กำลังรอเขาอยู่หลังจากที่เขากลับจากที่นี่ไปแล้ว เขาจะกลับไปบอกพ่อได้อย่างไรกันว่าเฟรย่าไม่สามารถรักษาเขาได้ และเขาต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าในไม่ช้านี้อย่างนั้นน่ะหรือ และเมื่อเขาทำเช่นนั้นออกไป พ่อของเขาจะทำอย่างไรกับการที่ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมัลฟอยต้องมากลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนรังเกียจเช่นนี้ และถ้าเหตุการณ์เลวร้ายมากกว่านั้น ถ้าหากพ่อผิดหวังจากการที่เฟรย่าไม่สามารถรักษาเขาได้ พ่อจะเอาความผิดหวังโกรธแค้นตรงนี้ไปลงกับเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นต้นเหตุให้เขาต้องออกไปจากบ้านในคืนนั้นหรือเปล่านะ
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้เดรโกก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา และเด็กหนุ่มก็แน่ใจว่าความหนาวเย็นที่เขารู้สึกนั้นไม่ได้มาจากการที่สายลมหอบเอาเมฆฝนและอากาศที่เย็นชื้นเข้ามา หากแต่เป็นความรู้สึกหวาดกลัวที่แล่นเข้าเกาะกุมขั้วหัวใจของเขาเมื่อเขาจิตนาการว่าพ่อของเขาจะปฏิบัติกับเฮอร์ไมโอนี่อย่างไรเมื่อพวกเขากลับไปพร้อมกับข่าวร้าย แน่นอนว่าพ่อคงไม่ลงมือฆ่าเด็กสาวเนื่องจากเธอเป็นเหยื่อล่อของจอมมาร หากแต่ก่อนหน้านั้นล่ะ พ่อคงต้องทรมานเธอด้วยคาถากรีดแทงเพื่อเป็นการแก้แค้นแทนเขาอย่างแน่นอน!
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้เดรโกก็ปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของเขาลงอีกครั้งราวกับเขาต้องการหลีกหนีความจริงที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ เด็กหนุ่มยอมรับว่าเขากลัว! เขากลัวอนาคตที่กำลังจะมาถึงเหลือเกิน! ไม่เพียงแค่เขาต้องแบกรับความกลัวของตัวเขาเองเท่านั้น เขายังกังวลไปถึงความปลอดภัยของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอีกด้วยเพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นตกอยู่ในอันตรายทั้งที่มาจากตัวเขาและพ่อของเขา และเด็กหนุ่มก็ไม่อาจจะตอบออกไปอย่างแน่ใจได้เลยว่าเขาจะสามารถปกป้องเด็กสาวที่เขารักจากอันตรายเหล่านั้นได้!
 
               ในขณะที่กำลังกังวลถึงความปลอดภัยของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอยู่นั้น เสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นในหัวของมัลฟอยอีกครั้ง และครั้งนี้มันกลับเตือนให้เขานึกถึงความจริงที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน
 
               ‘จริง ๆ แล้วนายควรจะนึกถึงตัวเองบ้างนะ นายอาจจะปกป้องเฮอร์ไมโอนี่จากตัวนายได้โดยการขังเธอไว้ในห้องนอนตอนนายกลายร่าง แล้วตัวนายล่ะ ในเมื่อยาระงับหมาป่าใช้กับนายไม่ได้ นายก็มีสิทธิ์ที่จะออกไปอาละวาดและฆ่าคนที่ผ่านไปมา และเมื่อถึงตอนนั้นนายจะมั่นใจได้ยังไงว่ากระทรวงจะอยู่เฉยกับเรื่องนี้ถ้านายไปฆ่าคนบริสุทธิ์เข้า’
 
               เสียงนั้นอธิบายยืดยาว และมัลฟอยก็รู้สึกถึงความกลัวที่แล่นเข้าจับขั้วหัวใจและกระจายไปทั่วสรรพางค์กายของเขา! แน่นอนว่ามัลฟอยรู้คำตอบในข้อนี้ดี ถ้าเขาอยากให้เฮอร์ไมโอนี่และพ่อของเขาที่อยู่ในคฤหาสน์ปลอดภัย เขาก็ต้องออกไปข้างนอกในคืนวันเพ็ญ เพราะเขาไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าห้องใต้ดินของคฤหาสน์มัลฟอยจะสามารถกักขังเขาไว้ในยามกลายร่างได้หรือไม่ และถ้ามีครั้งไหนที่เขากลายร่างแล้วบังเอิญไปเจอคนที่เดินผ่านไปมาเข้า ถ้าหากเขาในร่างหมาป่าฆ่าพ่อมดแม่มดหรือแม้กระทั่งมักเกิ้ลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าแล้วล่ะก็ เดรโกมั่นใจว่ากระทรวงจะต้องไม่อยู่เฉยแน่นอน!
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าริมฝีปากของเขาแห้งผากพอ ๆ กับที่เขาร่างกายของเขาสั่นเทาราวกับอากาศรอบกายนั้นหนาวลงอย่างกระทันหัน แต่ถึงกระนั้นมัลฟอยก็รู้ว่าอาการสั่นเทาของเขานั้นมาจากความกลัวไม่ได้มาจากสภาพอากาศรอบตัวแต่อย่างใด เด็กหนุ่มกลัวในสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญหน้าต่อไป เพราะนอกจากเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในฐานะสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวแล้วนั้น ถ้าหากเขาไปฆ่าคนบริสุทธิ์เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ มัลฟอยก็รู้ว่าเขาคงต้องเผชิญชะตากรรมที่ไม่ต่างกับสามีของเฟรย่าเป็นแน่!
 
               และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจิตนาการภาพมือปราบมารกลายคนรุมล้อมเข้ามาพร้อมกับยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นเพื่อยิงลำแสงสีเขียวใส่ร่างของเขาอยู่นั้น เสียงเล็ก ๆ ในหัวนั่นก็ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ในครั้งนี้มันช่างฟังดูเจ้าเล่ห์และเย้ยหยันเสียเหลือเกิน
 
               ‘ในเมื่อนายรู้ว่าจุดจบต้องเป็นยังไงแล้วนายจะดิ้นรนไปทำไมล่ะ ทำไมไม่ตัดวงจรนี้ออกไปเสียล่ะ’
 
               มันพูดเพียงเท่านั้น เพียงแต่มัลฟอยเข้าใจถึงสิ่งที่มันต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดี ถ้าเขารู้ว่าเรื่องมันจะจบอย่างไร เขาจะต้องดิ้นรนให้ทรมานไปทำไมกัน!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้น เขาก้าวไปใกล้หน้าผาเบื้องหน้าอย่างช้า ๆ เบื้องล่างหน้าผาสูงชันที่เขากำลังยืนอยู่นั้นเป็นอ่าวลึกและโขดหินที่ดูแข็งแกร่ง คลื่นลูกแล้วลูกเล่ากำลังพัดกระหน่ำโขดหินเบื้องล่างเนื่องจากท้องทะเลเบื้องหน้าดูแปรปรวนขึ้นมากระทันหัน และเมื่อเดรโกเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบนเขาก็พบว่ามีเมฆดำกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาบดบังท้องฟ้าที่เคยงดงามก่อนหน้านี้  เมฆดำนั้นราวกับชะตากรรมดำมืดที่ทอดเงาเข้ามาบดบังชีวิตของเด็กหนุ่มในตอนนี้ก็ไม่ปาน!
               หลังจากละสายตาจากเมฆดำมืดที่มาพร้อมกับสายลมแรงและเสียงฟ้าร้องที่ดังมาแต่ไกลแล้วนั้น สายตาของเดรโกก็ละกลับมามองพื้นเบื้องล่างอีกครั้ง เขามองผืนน้ำเบื้องล่างที่มีคลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดสาดเข้ามากระทบกับก้อนหินดำมืดที่ดูราวกับกำลังโบกมือเชื้อเชิญเขาอยู่ และแม้ว่าจุดที่มัลฟอยกำลังยืนอยู่นั้นจะอยู่สูงจากพื้นน้ำเบื้องล่างมากจนเขาสามารถพูดได้ว่าแรงกระแทกจากก้อนหินเบื้องล่างหรือแม้กระทั่งกับผืนน้ำสีเข้มนั้นจะคร่าชีวิตใครก็ตามที่กล้าโดดลงไป หากแต่สำหรับเด็กหนุ่มในตอนนี้แล้วนั้นเขากลับรู้สึกว่ามันอยู่ใกล้เขาราวกับเอื้อมมือ ขณะที่ดวงตาสีซีดของมัลฟอยกำลังจ้องมองผืนน้ำเบื้องล่างอย่างประเมิน ถ้อยคำที่เสียงเล็ก ๆ นั้นได้พูดไว้ก็ดังขึ้นในหัวของเขา
 
               ‘ในเมื่อนายรู้ว่าจุดจบต้องเป็นยังไงแล้วนายจะดิ้นรนไปทำไมล่ะ’
 
               นั่นสินะ ในเมื่อเขารู้แล้วว่ามันจะต้องจบอย่างไร แล้วเขาจะดิ้นรนไปทำไมกันนะ ถ้าเขาตัดสินใจตัดวงจรนี้เสียเขาก็จะไม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานอีกต่อไป รวมทั้งผู้หญิงที่เขารักก็จะปลอดภัยขึ้นเช่นเดียวกัน ในเมื่อชีวิตเขาในตอนนี้ไม่มีทางให้เดินต่อไปอีกแล้ว เขาก็ควรตัดสินใจจบมันลง และหากมันจะต้องจบลงที่นี่ ตรงนี้เขาก็คงจะไม่เสียใจแต่อย่างใด เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงที่เขามีต่อเฮอร์ไมโอนี่ให้เธอฟังไปก่อนหน้านี้แล้ว เขาสารภาพรักกับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอย่างหมดหัวใจไปแล้ว แม้ว่าจะเสียดายอยู่ไม่น้อยที่เขาจะไม่มีโอกาสจะได้ยินคำบอกรักเขาจากปากของเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจของเขาอีกต่อไป แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้ยินถ้อยคำนั้นไปตลอดทั้งชีวิตของเขาเลยก็ได้ เพราะเฮอร์ไมโอนี่คงไม่มีวันรักเขาอย่างที่เขารักเธอเป็นแน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะต้องเสียดายทำไมล่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะรักเธอข้างเดียวก็ตาม และถึงแม้ว่าเขาและเธอจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงน้อยนิดเต็มที แต่ความทรงจำเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจของเขาในตอนนี้ได้
               เด็กหนุ่มหลับตาลงและภาพของเด็กสาวเพียงคนเดียวที่เขารักก็ผุดขึ้นมา ภาพเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังยิ้มให้เขาทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับเด็กสาวได้เข้ามาโอบกอดเขาและได้ถ่ายทอดความอบอุ่นของเธอมาสู่ร่างใหญ่ของเขาในตอนนี้ มัลฟอยหลับตาแน่นเพื่อที่จะซึมซับความทรงจำอันสวยงามเกี่ยวกับผู้หญิงที่เขารักเอาไว้ เขาอยากให้ภาพที่เด็กสาวที่เขารักกำลังส่งรอยยิ้มมาให้เขา ภาพที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเขา และภาพที่พวกเขาอยู่ด้วยกันเป็นภาพที่จะติดตรึงอยู่ในใจของเขาก่อนที่เขาจะลาจากโลกนี้ไป และเมื่อพบว่าในหัวของเขานั้นเต็มไปด้วยภาพอันงดงามของผู้หญิงที่เขารักแล้วนั้น เด็กหนุ่มก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าไปข้างหน้า!
               แต่ก่อนที่ร่างสูงของเดรโก มัลฟอยจะก้าวพ้นจากหน้าผาลงไปสู่ผืนน้ำอันมืดมิดเบื้องล่างนั้นเอง เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น แม้ว่ามันจะแผ่วเบาราวกับว่ามันดังอยู่แค่ในสติสัมปชัญญะของเดรโกเพียงเท่านั้น แต่เด็กหนุ่มก็จำได้ดีว่าเสียง ๆ นั้นเป็นเสียงของใคร!
               ‘ เดรโก ’ เสียง ๆ นั้นดังขึ้นเพียงเท่านี้ ก่อนที่มัลฟอยจะหันหลังกลับไป!
 
               ……………………………………………………………
 

คุยกันหลังอ่าน
อ่านแล้วอย่าเพิ่งเกลียดไรเตอร์กันนะคะ ตอนหน้ารับประกันฉากหวาน ๆ หลังจากทำร้ายพระนางของเรามามากพอแล้ว อ่านจบแล้วรู้สึกยังไงมาคุยกันนะคะ
 
 




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2563    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2563 0:51:41 น.
Counter : 547 Pageviews.  

เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 33 การรักษา PART II





เฟรย่าเดินนำเดรโกกลับไปตามทางเดินเดิมที่พวกเขาเดินผ่านเข้ามา เด็กหนุ่มเดินตามหล่อนกลับมาที่ห้องรับแขกอีกครั้งหนึ่ง แต่เฟรย่าก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุดแต่อย่างใดเมื่อหล่อนเดินนำเขาเข้าไปยังห้องที่อยู่ทางด้านขวามือซึ่งเป็นที่ที่เดรโกพบกับหล่อนเป็นครั้งแรก และหลังจากที่เด็กหนุ่มเดินตามแม่มดผมดำผู้กุมชะตาชีวิตของเขาเอาไว้เข้าไปภายในห้องเล็กที่ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าม่านหลากสีสันและเต็มไปด้วยกลิ่นกำยานแล้วนั้น เขาก็พบว่าเฟรย่ายืนรอเขาอยู่ตรงหน้าโต๊ะตัวเดิมที่ถูกปูด้วยผ้าคลุมสีสันสดใสและมีลูกแก้วสำหรับใช้พยากรณ์วางอยู่

ในตอนแรกเดรโกที่คิดว่าเฟรย่าจะให้ห้องนี้เป็นที่สำหรับพูดคุยรวมทั้งรักษาเขาก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เนื่องจากห้องดังกล่าวเป็นห้องที่มีขนาดเล็กและแออัดไปด้วยข้าวของจำนวนมากที่แค่มีพ่อมดแม่มดอยู่ในห้องเพียงสองคนก็สามารถทำให้เกิดความรู้สึกอึกอัดขึ้นได้แล้ว ยังไม่รวมกับกลิ่นกำยานเหม็นฉุนที่เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยถูกโรคกันมันสักเท่าไหร่นัก เพราะมันทำให้อากาศในห้องนั้นดูอับและไม่น่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิม และในขณะที่มัลฟอยกำลังคิดในใจว่าเขาไม่อยากพูดคุยหรือแม้กระทั่งให้เฟรย่าทำการรักษาเขาในห้อง ๆ นี้เลย หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พูดขึ้นพอดี

“เราจะไม่ทำการรักษากันที่นี่หรอก คุณมัลฟอย” หล่อนพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มลึกลับมาให้เขา และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นจนเดรโกลงความเห็นไปแล้วว่าเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์นี้อาจจะอ่านใจได้ เพราะนับตั้งแต่ที่เขามาเหยียบบ้านหลังนี้ ไม่ใช่สิ นับตั้งแต่ที่เขามาเหยียบเกาะกริมซีย์แล้ว ก็มีเรื่องที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้เกิดขึ้นอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนมัลฟอยอดไม่ได้ที่จะสรุปเอาเองในใจว่าเฟรย่านั้นอาจจะมีอำนาจลึกลับที่แม่มดธรรมดาทั่วไปไม่มี และอำนาจเหล่านั้นอาจจะรวมถึงการทำนายอนาคตที่แม่นยำอย่างที่หาตัวจับได้ยาก หรือแม้กระทั่งการอ่านใจคนที่เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าหล่อนน่าจะทำเช่นนั้นได้ เมื่อดูจากการที่หล่อนมักจะตอบคำถามที่เขาเพียงแค่คิดมันอยู่ในใจออกมาดัง ๆ อยู่หลายต่อหลายครั้งซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันมากเกินกว่าที่เขาจะมองว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้น ยามที่เดรโกมองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังส่งรอยยิ้มที่ดูลึกลับมาให้เขาอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็อดที่จะรู้สึกหวาดกลัวหญิงสาวผู้แสนจะลึกลับที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ได้เลย

และในขณะที่มัลฟอยกำลังจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แสดงถึงความหวาดระแวงและไม่วางใจอยู่นั้น เฟรย่าก็ส่งยิ้มให้เขาก่อนจะพูดขึ้น

“เราจะไปพูดคุยกันในห้องทำงานของฉัน ที่นั่นเป็นห้องที่ฉันใช้ปรุงยาและเป็นที่สำหรับเก็บตำหรับตำรามากมาย ซึ่งฉันคิดว่ามันน่าจะสะดวกกว่าที่นี่มาก” หล่อนกล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วพร้อมกับกำลังจะถามขึ้นว่าแล้วทำไมหล่อนถึงพาเขามาที่นี่แทนที่หล่อนจะพาเขาไปที่ห้องทำงานของหล่อนตั้งแต่แรกล่ะ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดออกไปเช่นนั้น เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็พูดขึ้นเสียก่อน ราวกับหล่อนล่วงรู้ในสิ่งที่เดรโกกำลังคิดอยู่ในใจ

“ห้องทำงานของฉันอยู่ทางนี้ เชิญ คุณมัลฟอย” แม่มดผมดำกล่าวก่อนจะผายมือไปทางด้านหลังรวมทั้งขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้เด็กหนุ่มเห็นประตูบานหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังม่านลูกปัดหลากสีที่ใช้ประดับห้อง ซึ่งถ้าหากเฟรย่าไม่ได้ชี้เชิญให้เขามองไปทางนั้น เดรโกก็คิดว่าคงไม่มีวันรู้ว่ามีประตูอยู่ตรงนั้นด้วย ขณะที่เจ้าของบ้านนั้นมองมาทางเขาด้วยท่าทีสุขุมก่อนจะพูดขึ้น

“ได้โปรดตามฉันมา” หล่อนกล่าวอย่างราบเรียบก่อนที่จะหันหลังและเดินผ่านม่านลูกปัดไปยังประตูบานดังกล่าว



หลังจากเดินตามเฟรย่าผ่านประตูไม้ขัดมันบานใหญ่ที่ถูกซ่อนอยู่หลังม่านลูกปัดหลากสีมาแล้วนั้นเดรโกก็พบว่าเขากำลังยืนอยู่ในห้องทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดไม่กว้างขวางนัก แต่เหตุผลที่ทำให้ห้อง ๆ นี้ดูคับแคบอาจเป็นเพราะผนังทั้งสี่ด้านของมันที่เป็นชั้นวางของสูงจรดเพดานและเต็มไปด้วยขวดยาและโหลใส่วัตถุดิบในการปรุงยา ตรงกลางห้องนั้นเป็นโต๊ะสำหรับปรุงยาขนาดกลางที่มีเครื่องมือสำหรับปรุงยาวางอยู่อย่างครบครันพร้อมกับเก้าอี้อีกสองตัว ส่วนผนังด้านที่ตรงข้ามกับประตูที่เปิดเข้ามาสู่ห้องนี้นั้นเป็นประตูไม้ขัดมันแบบเดียวกันซึ่งมัลฟอยไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามันนำไปสู่ที่ใด

และถึงแม้ว่าสภาพรวมทั้งบรรยากาศภายในห้องที่เฟรย่าเรียกว่า ‘ห้องทำงาน’ ของหล่อนนั้นจะดูเหมาะสมกับแม่มดที่มีชื่อเสียงทางด้านการปรุงยาแบบหล่อนก็ตาม หากแต่มัลฟอยกลับไม่รู้สึกดีเลยที่ได้เข้ามาอยู่ในห้องทำงานแห่งนี้ของหล่อน ชั้นวางโหลของดองซึ่งบรรจุส่วนผสมสำหรับการปรุงยาที่วางเรียงรายอยู่สูงจนท่วมศีรษะนั้นมันทำให้เขานึกถึงห้องเก็บวัตถุในการปรุงยาของศาสตราจารย์สเนปที่ฮอกวอตส์ซึ่งเขาเคยมีโอกาสเข้าไปบางครั้งในตอนที่เขายังเป็นนักเรียนอยู่ที่นั่น และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชื่นชอบห้องเก็บวัตถุดิบของสเนปมากเท่าไหร่นัก มัลฟอยก็สามารถพูดได้ว่าเขาชื่นชอบมันมากกว่าห้องทำงานของเฟรย่าห้องนี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่อาจทราบได้ อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มลึกลับของเจ้าของห้องที่ส่งมาให้เขารวมทั้งดวงตาสีน้ำเงินของหล่อนที่มองมาทางเขาอย่างยากจะอ่านก็เป็นได้ที่ทำให้เดรโกไม่อยากจะอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไปนานมากกว่านี้เลย แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่อาจจะไปจากที่นี่ในตอนนี้ได้ เมื่อเขารู้สึกว่าเฟรย่านั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้าง ๆ โต๊ะสำหรับปรุงยาก่อนที่หล่อนจะพูดขึ้น

“นั่งลงบนเก้าอี้นั่น และถอดเสื้อของเธอออก” หล่อนสั่งพลางมองไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากเด็กหนุ่มเท่าไหร่นัก และเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มมองหล่อนอย่างไม่เข้าใจ เฟรย่าจึงพูดต่อ

“เธอต้องถอดเสื้อออก ฉันถึงจะตรวจดูแผลของเธอได้จริงไหม” หญิงสาวพูดอย่างมีเหตุผล และเมื่อได้ยินเช่นนั้นมัลฟอยก็พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่เด็กหนุ่มจะลงมือถอดเสื้อคลุมของเขาออก และวางมันไว้บนโต๊ะโดยที่มีเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์มองมาทางเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

หลังจากถอดเสื้อผ้าท่อนลนจนเหลือเพียงแค่ผ้าพันแผลบริเวณไหล่ซ้ายของเขาไว้แล้วนั้น เดรโกก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะปรุงยาแต่โดยดี ขณะที่เด็กหนุ่มเห็นว่าเฟรย่านั้นเดินเข้ามาใกล้เขาและในวินาทีต่อมาหล่อนก็เข้ามานั่งบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ หญิงสาวมองเขาในเชิงขออนุญาตก่อนที่จะลงมือแกะผ้าพันแผลของเขาออก

มัลฟอยมีสีหน้าที่สงบนิ่งเมื่อเขารู้สึกว่ามืออันเย็นเฉียบของเฟรย่าเลื่อนมาแกะผ้าพันแผลของเขาออกอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าในตอนนี้หัวใจของเด็กหนุ่มจะเต้นรัวราวกับเสียงกลองก็ตาม แต่เขาก็พยายามที่จะรักษาท่าทีที่สงบนิ่งไว้ให้มากที่สุด แต่ถึงกระนั้นความกดดันในการเผชิญหน้าชะตากรรมที่จะตัดสินอนาคตที่เหลืออยู่ของเขาในครั้งนนี้ของเด็กหนุ่มนั้นก็แสดงออกมาทางเม็ดเหงื่อจำนวนมากที่ผุดขึ้นตามไรผมสีบลอนด์ของเขา รวมทั้งความพยายามที่จะเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ภายในซึ่งส่งผลให้เขาเครียดและทำให้ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมเกินกว่าที่ควรจะเป็นนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่บอกเฟรย่าได้เป็นอย่างดีกว่าเดรโก มัลฟอยนั้นอยู่ในสภาวะที่กดดันเพียงใด หากแต่หญิงสาวก็ไม่เลือกที่จะพูดหรือแสดงกริยาใด ๆ อันบ่งบอกว่าหล่อนล่วงรู้ถึงความกดดันรวมถึงความกลัวที่บัดนี้ได้เข้าเกาะกุมหัวใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าออกมา ตรงกันข้ามหล่อนกลับรักษาท่าทีที่เรียบเฉยไม่ต่างจากที่เดรโกกำลังพยายามทำอยู่ขณะที่หล่อนค่อย ๆ คลี่ผ้าผันแผลของเขาออก

แต่หลังจากที่หล่อนแกะผ้าพันแผลออกจากไหล่ของเด็กหนุ่มตรงหน้า และได้เห็นบาดแผลของเขาแล้วนั้น เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็ไม่สามารถรักษาท่าทีที่เรียบเฉยของหล่อนเอาไว้ได้ เพราะทันทีที่รอยแผลซึ่งเป็นผลมาจากการถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายของเดรโกนั้นปรากฎขึ้นสู่สายตาของเฟรย่า ดวงตาสีน้ำเงินของหล่อนก็เบิกกว้าง ริมฝีปากของหล่อนเผยอเล็กน้อยราวกับหล่อนเพิ่งเห็นสิ่งที่ไม่ปกติธรรมดาเข้า

และแน่นอนว่าท่าทางของแม่มดผมดำที่มีต่อบาดแผลของเดรโกก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเด็กหนุ่มผู้มาขอให้หล่อนช่วยรักษาเขาได้เลยแม้แต่น้อย เพราะทุกอริยาบทของเฟรย่าตั้งแต่ตอนที่หล่อนเริ่มแกะผ้าพันแผลของเขาออกนั้นตกอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของเขาทั้งสิ้น และเมื่อเขาได้เห็นท่าทีตกใจของหญิงสาวที่แสดงออกมาแล้วนั้น มัลฟอยจึงถามขึ้น

“มีอะไรอย่างนั้นหรือครับ” เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก ราวกับเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะบังคับไม่ให้มันสั่นเทาขณะที่ดวงตาสีเงินของเขามองไปที่เฟรย่าก่อนจะก้มลงมามองที่บาดแผลของตนเองอย่างหาคำตอบ

และในวินาทีนั้นเอง เมื่อมัลฟอยก้มลงมามองแผลของเขาเอง เด็กหนุ่มก็เข้าใจได้เป็นอย่างดีถึงอาการของเฟรย่าที่หล่อนแสดงออกมาก่อนหน้านี้ เพราะในตอนนี้แผลของเขานั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำมากกว่าขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่คราวก่อนที่เขาทำแผลนั้นบาดแผลของเขายังคงไม่มีสีเข้มเท่านี้เลย หากแต่มันเป็นสีแดงเลือดนกเหมือนบาดแผลใหม่ทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แต่ในตอนนี้ หลังจากผ่านไปเพียงไม่นานเท่านั้นบาดแผลของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำราวกับมันกลายเป็นเนื้อที่ใกล้เน่าเสียแล้ว และเมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกก็อดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนีไปจากภาพที่ไม่น่ามองเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกันมัลฟอยก็รู้ดีว่า ถึงแม้ว่าเขาจะเบือนหน้าหนีจากบาดแผลนี้ในตอนนี้ก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจจะลบล้างรอยแผลนี้ออกไปจากร่างกายของเขาได้พอ ๆ กับที่เขาอาจจะไม่สามารถลบล้างคำสาปที่มาพร้อมกับบาดแผลนี้ไปได้เลย

และเมื่อคิดได้เช่นนั้น โดยไม่ต้องรอคอยคำตอบจากเฟรย่า เดรโกก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ในเมื่อบาดแผลของเขาเริ่มเปลี่ยนสีแล้วแบบนี้มันก็อาจจะสายเกินไปสำหรับหล่อนที่จะช่วยเหลือเขาก็เป็นได้ และถ้าแม้แต่แม่มดที่เก่งกาจอย่างเฟรย่าก็ไม่สามารถช่วยรักษาเขาได้แล้วล่ะก็ เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ในอนาคตนั้นจะเป็นเช่นไร ชะตากรรมของเขาในภายภาคหน้านั้นจะเป็นเช่นไรโดยที่เขาไม่ต้องอาศัยทักษะในการพยากรณ์อย่างเฟรย่าเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากแม่มดผู้เลื่องชื่อแห่งไอซ์แลนด์คนนี้ไม่สามารถช่วยเขาได้แล้วล่ะก็ เดรโกก็จะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาไม่ต่างจากชีวิตที่ต้องคำสาปเป็นแน่!



และในขณะที่เด็กหนุ่มซึ่งในบัดนี้กำลังจินตนาการถึงอนาคตที่เลวร้ายซึ่งกำลังรอคอยเขาอยู่ในภายภาคหน้าพร้อมกับรู้สึกถึงความกลัวที่แล่นเข้าจับขั้วหัวใจของเขาอยู่นั้น มัลฟอยก็ได้ยินเสียงของแม่มดสาวดังขึ้น แม้มันจะเป็นเสียงที่ราวกับมันดังมาจากที่ไกลแสนไกล หากแต่มันก็ดังมากพอที่จะมาปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ฝันร้ายได้เมื่อเฟรย่าถามขึ้น

“เธอถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายมานานหรือยัง” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด และถึงแม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการแปลความหมายของคำถามนั้นรวมทั้งหาคำตอบออกมา ในไม่ช้ามัลฟอยก็เอ่ยปากตอบเฟรย่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก

“ประมาณสัปดาห์หนึ่งได้ครับ” เขาตอบออกไป และสิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็คือสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่มองมาทางเขาอย่างเคร่งขรึมก่อนที่หล่อนจะพูดขึ้น

“ฉันต้องการคำตอบที่ชัดเจน คุณมัลฟอย” เฟรย่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมที่สุดเท่าที่เดรโกเคยได้ยินมา และเมื่อเห็นรวมทั้งสัมผัสได้ถึงบรรยาศอันเคร่งเครียดที่ก่อตัวขึ้นรอบ ๆ พวกเขาในตอนนี้ เดรโกก็ตั้งสติอีกครั้ง เด็กหนุ่มนับคำนวณวันอยู่ในใจก่อนจะตอบออกมา

“แปดวันครับ วันนี้เป็นวันที่แปดนับจากวันที่ผมโดนทำร้าย” เขาตอบออกไป และถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะส่งสายตาที่ดูราวกับจะคาดคั้นว่าคำตอบที่เขาบอกหล่อนมานั้นถูกต้องหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อมัลฟอยจ้องตอบดวงตาสีน้ำเงินของเฟรย่าไปด้วยท่าทีที่แสดงถึงความแน่ใจ หล่อนก็พยักหน้าให้เขาเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วจึงพูดขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็เหลือเวลาอีกเพียงหกวันเท่านั้นก่อนที่จะถึงวันพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไป” หล่อนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่จะเดินไปยังชั้นวางของและเริ่มมองหาอะไรบางอย่าง ขณะที่เดรโกมองตามหล่อนไปด้วยหัวใจที่เต้นรัว

“แล้วผมจะมีโอกาสหายรึเปล่า” เขาถามออกไปดัง ๆ ถึงสิ่งที่เขาต้องการที่จะรู้มากที่สุด เขาต้องการจะรู้ว่าเขายังมีความหวังหลงเหลืออยู่หรือไม่ แล้วถ้าหากมันยังมีความหวังเหลืออยู่สำหรับเขา เขาก็อยากจะรู้ว่ามันริบรี่มากเพียงใด

หลังจากที่ได้ยินคำถามของเด็กหนุ่มที่พูดออกไปแล้ว มือของเฟรย่าที่กำลังเลือกตัวยาบางอย่างจากชั้นของเธอนั้นก็ชะงักอยู่กลางอากาศ หล่อนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับหล่อนต้องตัดสินใจว่าจะบอกความจริงกับเขาออกไปตามตรงดีหรือไม่ แต่หลังจากการรอคอยที่น่าอึดอัดและยาวนานที่สุดในความคิดของเดรโกได้ผ่านไปแล้วนั้น เฟรย่าก็หันกลับมามองเด็กหนุ่ม ดวงตาสีน้ำเงินของหล่อนที่มองมาทางมัลฟอยไม่ได้มีแววเคร่งเครียดเหมือนเมื่อครู่ หากแต่มันกลับเต็มไปด้วยความสงสารเมื่อหล่อนสบดวงตาสีเงินของเดรโกก่อนจะตอบคำถามของเขาออกมา

“ความหวังของเธอยังมีอยู่ เดรโก มัลฟอย หากแต่มันริบหรี่เหลือเกิน” หล่อนพูดออกมาในที่สุด พร้อมกับมองมาทางเด็กหนุ่มด้วยสายตาราวกับหล่อนต้องการบอกให้เขาทำใจยอมรับชะตากรรมที่เขาต้องเผชิญเสียโดยดี หากแต่ถึงเฟรย่าจะบอกเขาเช่นนั้น แม้ว่าหล่อนจะมีท่าทีราวกับมันแทบจะไม่มีความหวังเหลืออยู่สำหรับเขาแล้วก็ตาม แต่เดรโกก็ไม่ย่อท้อแต่อย่างใดเมื่อเขาถามขึ้นอีกครั้ง

“แต่มันก็ยังมีความหวังอยู่ใช่ไหม” มัลฟอยพูดออกไปตามตรง และสิ่งที่เขาได้รับกลับมานั้นก็คือสีหน้าที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจของเฟรย่าขณะที่หล่อนเดินกลับมาหาเขาโดนที่มือทั้งสองข้างนั้นถือขวดยาที่บรรจุของเหลวสีแปลกตาเอาไว้

หล่อนจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

“เธอทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนขึ้นมา” เฟรย่าพูดราวกับหล่อนกำลังรำพึงกับตัวเอง และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเดรโกที่ไม่อาจจะอดทนรออีกต่อไปได้ก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดุดันกว่าเดิมว่า

“บอกผมมาคำเดียว ว่าผมมีหวังที่จะหายหรือเปล่า ผมต้องการเพียงเท่านั้น!” มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นราวกับเขาไม่สามารถที่จะรอต่อไปได้อีกแล้ว และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ที่บัดนี้ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น

“อย่างที่ฉันได้บอกไปแล้ว โอกาสของเธอยังมีเพียงแต่มันริบหรี่มากเท่านั้น” เฟรย่าตอบออกมาก่อนจะละสายตาจากเดรโกและหันไปวางขวดแก้วในมือของหล่อนลงบนโต๊ะสำหรับปรุงยาแทน

“แต่คุณก็จะช่วยรักษาผมใช่ไหม” มัลฟอยถามขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่มดผมดำก็หันมามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ท่าทีของเขาเมื่อครู่นั้นเตือนให้เธอนึกถึงสามีที่ล่วงลับของหล่อนขึ้นมาก่อนที่หล่อนจะตอบออกมา

“แน่นอนว่าฉันจะต้องช่วยเธอ คุณมัลฟอย ในเมื่อฉันตกลงแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือของฉันกับสิ่งสิ่งของที่เธอนำมาแล้วนี่นา ฉันก็จะต้องช่วยเธอให้สุดความสามารถจริงไหม” หล่อนพูด และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเดรโกที่มีท่าผ่อนคลายลงเล็กน้อยจึงถามขึ้นอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะรักษาผมยังไง ด้วยยาพวกนี้อย่างนั้นหรือ” เขาถามออกไปตามตรง เพราะสำหรับเดรโกแล้วในตอนนี้มันไม่ใช่ที่จะมาปิดบังท่าทีและปั้นใบหน้าเพื่อแสร้งว่าเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อในตอนนี้ชะตากรรมของเขาได้ตกอยู่ในมือของแม่มดที่กำลังอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์แล้วนั้น มัลฟอยก็คิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกต่าง ๆ ต่อหน้าเธออีกแล้ว

และทางด้านเฟรย่านั้นหลังจากถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับวิธีการรักษาของหล่อนออกมา แม่มดสาวก็ใช้เวลาคิดอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่หล่อนจะตอบออกไป

“ของพวกนี้ไม่ใช่ยาที่จะใช้รักษาเธอ แต่ฉันแค่หวังว่ามันจะช่วยชะลอการแพร่ของเชื้อมนุษย์หมาป่าได้เท่านั้น” หล่อนพูดพร้อมกับใช้มืดเปิดจุกของขวดแก้วขวดหนึ่ง ขณะที่อีกมือหนึ่งของหล่อนนั้นหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาเพื่อร่ายคาถา และในนาทีต่อกล่องสำหรับปฐมพยาบาลก็ลอยหวือผ่านประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้เข้ามาวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเฟรย่าอย่างรวดเร็ว

“ถ้าคุณจะให้ยาพวกนี้เพื่อสมานแผลภายนอกล่ะก็ ผมเกรงว่าผมจะมียาแล้ว” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพลางนึกไปถึงยาที่สเนปจัดให้เขาหลังจากที่ชายผมดำรู้ว่าเขาถูกตัวอะไรทำร้าย แต่ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้นก็ตาม ในใจลึก ๆ เดรโกก็รู้ดีว่ายาที่สเนปให้เขามานั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นยาที่ดีที่สุดเท่าที่อาจารย์วิชาปรุงยาของเขาจะมาหาให้ได้ก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจจะช่วยรักษาเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้เลยซึ่งมันสามารถบอกได้จากการที่แผลของเขาเริ่มเปลี่ยนสีทั้ง ๆ ที่เขาก็ใส่ยาและทานยาตามที่สเนปสั่งอย่างเคร่งครัด แน่นอนว่าการรักษาที่บาดแปลภายนอกนั้นไม่สามารถช่วยรักษาเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ เช่นเดียวกับสิ่งที่เฟรย่ากำลังจะทำในตอนนี้

และดูราวกับว่าหญิงสาวตรงหน้าของเขาจะมีความสามารถในการอ่านใจคนอย่างที่เด็กหนุ่มเคยได้สงสัยไว้ก่อนหน้านี้จริง ๆ เพราะหลังจากที่เขาคิดว่าการรักษาที่บาดแผลจากภายนอกของหล่อนไม่น่าจะได้ผลนั้น เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็พูดขึ้นทันที

“เธอมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากฉัน เธอก็ควรที่จะเชื่อการรักษาของฉัน คุณมัลฟอย” เฟรย่ากล่าวก่อนจะเริ่มเปิดกล่องปฐมพยาบาลและหยิบผ้าสำสีขึ้นมาและเทน้ำยาจากขวดแก้วขวดหนึ่ลงบนสำลี เมื่อแน่ใจว่าตัวสำลีชุ่มด้วยที่หล่อนต้องการแล้ว หล่อนก็โน้มตัวลงมาและเช็ดมันเข้ากับแผลของเดรโกเบา ๆ

“เธอก็ไม่ได้คิดผิดแต่อย่างใดที่เห็นว่าการรักษาภายนอกนั้นไม่ได้ผล แต่ที่ฉันกำลังทำอยู่ในตอนนี้มันไม่ใช่การรักษาที่แท้จริงหรอก คุณมัลฟอย มันเป็นแค่การป้องกันการติดเชื้อรวมทั้งชะลอการเน่าของแผลเท่านั้น” เฟรย่าพูดขณะที่หล่อนเช็ดสำลีดังกล่าวลงบนแผลของมัลฟอย เด็กหนุ่มกัดฟันเมื่อเขารู้สึกถึงความรู้แสบที่แล่นผ่านบาดแผล

“แล้วถ้าอย่างนั้นการรักษาที่แท้จริงของคุณมันเป็นยังไงกัน” เดรโกถามขึ้นมาพลางเงยหน้ามองเฟรย่าที่มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากบางของหล่อนก่อนที่หล่อนจะตอบคำถามของเขาออกมา

“การรักษาที่แท้จริงของฉันก็คือ ฉันจะปรุงยาให้เธอแขนงหนึ่ง ตัวยานั้นไม่ได้เป็นตัวยาที่จะช่วยทำให้เธอหายจากการเป็นมนุษย์มหาป่า แต่มันจะเป็นตัวยาที่จะไปกระตุ้นเชื้อหมาป่าในตัวเธอให้แสดงอาการออกมา” เฟรย่าพูด และเมื่อหล่อนเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าซึ่งมีสีหน้าตกใจนั้นมีท่าทีว่าจะพูดขัดออกมา หล่อนก็รีบพูดต่อ

“เมื่อเธอดื่มยาดังกล่าวไปแล้ว ร่างกายของเธอจะแสดงอาการออกมาว่าเชื้อของมนุษย์หมาป่านั้นแพร่ไปทั่วร่างกายของเธอแล้วหรือไม่ ถ้าหากเชื้อยังไม่แพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายล่ะก็ ฉันก็พูดได้ว่าเรายังพอมีหวังที่จะรักษาเธอให้หายได้ แม้ว่ามันจะยากลำบากอยู่บ้างก็ตาม” เฟรย่าอธิบายเรียบ ๆ ขณะที่เดรโกที่กำลังตั้งใจฟังนั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจในตอนหลัง เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งขณะที่เฟรย่ากำลังเช็ดบาดแผลและใส่ยาให้เขา จนกระทั่งถึงตอนที่เธอพันผ้าพันแผลให้เขาอยู่นั่น มัลฟอยจึงตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของเขาออกไป

“แล้วถ้าหากเชื้อมนุษย์หมาป่าแพร่กระจายไปทั่วร่างของผมแล้วล่ะครับ” เดรโกถามออกมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเฟรย่าด้วยแววตาที่แสดงถึงความหวาดกลัวและความวิตกกังวลออกมาอย่างชัดเจน และเมื่อเห็นเช่นนั้น มือที่กำลังพันแผลของหญิงสาวก็ชะงักอยู่ชั่วครู่ หล่อนมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงอยู่เลยนอกจากความหวาดกลัวและแววเว้าวอนราวกับเขากำลังขอร้องให้หล่อนช่วยตอบคำถามของเขาออกมาตามตรง และเมื่อเห็นเช่นนั้น เฟรน่าจึงถอนหายใจออกมาก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปด้วยสีหน้าที่หล่อนพยายามบังคับให้มันดูเรียบเฉย หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินของหล่อนกลับฉายแววกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัดยามที่หล่อนพูดออกมา

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าหากเชื้อมนุษย์หมาป่าแพร่ไปตามร่างกายรวมทั้งกระแสเลือดของเธอหมดแล้ว มันก็ไม่มีหนทางใดที่ฉันจะช่วยเธอได้” เฟรย่าตอบออกมาตามตรง ขณะที่เดรโกที่ได้ยินคำตอบนั้นของหล่อนรู้สึกราวกับเลือดของเขาได้จับตัวเป็นก้อนแข็งเมื่อเขาได้ยินคำตอบที่ราวกับคำพิพากษาชะตากรรมของเขาเช่นนี้!







*************************************************




มีความคิดเห็นยังไงกับฟิคเรื่องนี้ช่วยกันติ-ชมเข้ามานะคะ







 

Create Date : 13 เมษายน 2557    
Last Update : 13 เมษายน 2557 7:12:12 น.
Counter : 4784 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.