Group Blog
 
All Blogs
 
เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 35 การตัดสินใจ


               คุยกันก่อนอ่านนะคะ
               มาลงแล้วนะคะ อาจจะใช้เวลาเขียนนานหน่อยสำหรับตอนนี้แต่บอกเลยค่ะว่าตอนนี้เป็นตอนที่เขียนยากมาก ๆ ตอนนึงเลยค่ะ แต่เราก็หวังว่าเพื่อน ๆ จะสนุกกับการอ่านตอนใหม่นี้นะคะ ถ้าอ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงมาคอมเม้นมาคุยกันหรือมาคุยกับเราในทวิตเตอร์ได้นะคะ ที่ @little_piksi ค่ะ

               ***Chapter 35 การตัดสินใจ: Decision***

 
               
 
Come feed the rain
'Cause I'm thirsty for your love
Dancing underneath the skies of lust
Yeah feed the rain
'Cause without your love, my life
Ain't nothing but this carnival of rust
 
Carnival of Rust—Poets of the Fall
 
               ‘ เดรโก ’ เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอย่างแผ่วเบายิ่งนัก หากแต่เขากลับได้ยินมันอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มหันหลังกลับไปทันที!
               แต่สิ่งที่มัลฟอยพบหลังจากหันหลังกลับไปแล้วกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่างบางของเจ้าของเสียงยืนอยู่ใกล้เขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามสิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นมีเพียงทางเดินว่างเปล่าที่ทอดยาวอยู่ระหว่างป่าสนทั้งสองด้านและความเงียบงันเท่านั้น
               เดรโกไม่แน่ใจว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรเมื่อหันกลับไปแล้วไม่พบร่างเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขายืนอยู่ตรงหน้าทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าการได้ยินเสียงเฮอร์ไมโอนี่เรียกชื่อของเขาเมื่อครู่เป็นแค่การที่เขาหูฝาดไปเท่านั้น เพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีทางจะมาอยู่ที่นี่ได้ รวมถึงเด็กสาวน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกจากบ้านมาและเขาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ หากแต่ถ้าเด็กหนุ่มบอกว่าเขาไม่รู้สึกผิดหวังเลยที่ไม่เห็นเด็กสาวผู้เป็นที่รักปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาและพยายามจะฉุดรั้งหรือห้ามปรามในสิ่งที่เขากำลังจะทำลงไปนี้เขาก็คงต้องโกหกเป็นแน่! และเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ การที่เขาหวังให้เฮอร์ไมโอนี่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อห้ามปรามเขาไม่ให้กระโดดลงไปสู่หน้าผาเบื้องล่างนั้นอาจจะสะท้อนความปรารถนาส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มออกมาก็เป็นได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นมัลฟอยจึงนึกขึ้นได้ว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้อยากทำในสิ่งที่เขาตัดสินใจว่าจะทำลงไปเมื่อครู่เท่าไหร่นัก! เพราะในใจลึก ๆ แล้วเด็กหนุ่มก็หวัง ไม่ใช่สิ เขาปรารถนาให้เฮอร์ไมโอนี่ปรากฎตัวขึ้นดังที่เขาได้ยินเสียงเธอเมื่อครู่เพื่อห้ามปรามเขาไม่ให้คิดสั้นและจบชีวิตลงเพียงเท่านี้ ไม่เพียงเท่านั้นเดรโกยังหวังอย่างสุดหัวใจว่าเด็กสาวจะบอกว่าเขาชีวิตของเขามีค่าพอที่จะอยู่ต่อไป เป็นเพราะเธอต้องการเขา เป็นเพราะเขามีค่าสำหรับเธอ!
               เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม้เด็กหนุ่มจะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงได้ก็ตาม แต่การที่เขาได้คิดตรึกตรองในแง่มุมนี้ทำให้มัลฟอยสามารถยับยั้งตัวเองจากการตัดสินใจที่จะจบชีวิตของตัวเองลงไปชั่วครู่ อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ได้ตัดสินใจที่จะกระโดดหน้าผาลงไปพร้อมกับที่เขามีภาพความทรงจำของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอยู่เต็มหัวอีกต่อไป เพราะตอนนี้มีความคิดใหม่ที่แล่นผ่านเข้ามาในหัวสมองของเดรโก มันไม่ใช่ภาพความทรงจำที่เต็มไปด้วยความสุขดังที่เขาเคยคิดก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นภาพของความเป็นจริง ภาพของเด็กสาวเพียงคนเดียวที่เขารักต่อจากวินาทีนี้เป็นต้นไป และภาพของเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเธอต่อไปหากเขาตัดสินใจจบชีวิตลงที่หน้าผาแห่งนี้
               เฮอร์ไมโอนี่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเมื่อเขาตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงนั้นเป็นสิ่งที่มัลฟอยไม่ได้ตรึกตรองให้ดีก่อนที่เขาจะตัดสินใจกระโดดหน้าผาแห่งนี้เลย!
               แน่นอนว่าหลังจากที่เดรโกตาย สัญญาทาสชั่วนิรันดร์ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็จะจบสิ้นลง และเฮอร์ไมโอนี่ก็จะเป็นอิสระจากเขาตลอดกาล ถึงแม้เด็กหนุ่มจะรู้ว่าทาสสาวของเขาโหยหาและต้องการอิสรภาพจากสัญญาทาสที่ผูกมัดให้เธออยู่กับเขามากเพียงใดก็ตาม แต่มัลฟอยกลับคิดว่าการกระทำเช่นนั้นกลับไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวเฮอร์ไมโอนี่มากเท่าไรนัก เพราะแม้ว่าเด็กสาวจะหลุดพ้นจากการเป็นทาสของเขาแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องเผชิญกับอันตรายอื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นอันตรายจากพ่อของเขา หรือแม้กระทั่งจากจอมมารเอง แม้ว่าก่อนหน้านี้เดรโกจะคิดว่าการอยู่ข้างกายเขาเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเฮอร์ไมโอนี่หลังจากที่เขาต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าไปแล้ว แต่อันตรายดังกล่าวนั้นไม่อาจเทียบเท่าอันตรายที่มาจากพ่อของเขาได้เลย เพราะถ้าหากนายลูเซียสรู้ว่าเดรโกเสียชีวิตอยู่ที่เกาะแห่งนี้ แน่นอนว่าพ่อของเขาต้องรีบรุดมาที่นี่และจับเฮอร์ไมโอนี่กลับไปกักขัง และถึงแม้ว่าเด็กสาวจะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ก่อนที่พ่อของเขาจะมาถึง แต่เธอก็คงไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือของทั้งผู้เสพความตายหรือแม้กระทั่งจอมมารได้เป็นแน่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เธอไม่มีไม้กายสิทธิ์ไว้ป้องกันตัวแบบนี้!
               และเหตุการณ์อาจจะเลวร้ายมากไปกว่านั้นหากพ่อของเขารับรู้ถึงการตายของเขาแล้ว พ่อที่คงจะเสียใจอย่างมากอาจจะเอาความทุกข์ใจของเขาไปลงที่เฮอร์ไมโอนี่ และโทษว่าเธอเป็นสาเหตุการตายของเดรโกดังที่พ่อเคยกล่าวหาเด็กสาวมาแล้วว่าเธอมายั่วยวนเขาจนกระทั่งเขายอมให้เธอขึ้นมานอนบนห้องนอนของเขาที่คฤหาสน์ในครานั้น รวมถึงครั้งที่พ่อกล่าวหาว่าเธอเป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายอีกด้วย และถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นแล้วเดรโกพนันได้เลยว่าโทษทัณฑ์ที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้รับนั้นต้องรุนแรงมากกว่าครั้งที่ผ่านมาหลายต่อหลายเท่าเป็นแน่! เพราะแค่ในครั้งนั้นพ่อยังเลือกที่จะทรมานเด็กสาวด้วยคาถากรีดแทงเพียงเพราะพ่อรู้ว่าเธอเป็นต้นเหตุที่เขาถูกมนุษย์หมาป่าทำร้าย และถ้าหากครั้งนี้พ่อคิดว่าลูกชายเพียงคนเดียวของพ่อต้องตายเพราะมีเลือดสีโคลนอย่างเฮอร์ไมโอนี่เป็นต้นเหตุแล้วล่ะก็ โทษทัณฑ์ที่เด็กสาวต้องรับนั้นจะหนักหนาเพียงใดเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่อยากจะจินตนาการถึงมันเลย!
               เมื่อคิดถึงสิ่งที่ทาสสาวของเขาต้องเผชิญหากเขาด่วนจากโลกนี้ไปแล้ว เดรโกก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา และความหนาวเหน็บนี้ไม่ได้มาจากอุณหภูมิรอบกายเด็กหนุ่มที่ลดลงอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด หากแต่มาจากความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ผู้หญิงที่เขารักต้องเผชิญหากเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพื่อปกป้องเธออีกต่อไป! แน่นอนว่าพ่อของเขาคงไม่ฆ่าเธอในทันทีเพราะจอมมารต้องการเก็บเธอไว้เป็นเหยื่อล่อ หากแต่ กว่าที่จะถึงตอนนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่เขารักจะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรกัน เธอคงจะไม่ต่างจากพวกลองบอตท่อมที่ถูกทรมานด้วยคาถากรีดแทงจนเสียสติเป็นแน่!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโกก็รู้สึกว่าความกลัวต่อการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าของเขานั้นยังไม่เลวร้ายเท่ากับความกลัวในการที่ได้รู้ว่าเด็กสาวที่เขารักจะต้องตกนรกทั้งเป็นหลังจากที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว!
               และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้มัลฟอยรู้สึกว่าโขดหินและพื้นน้ำเบื้องล่างนั้นไม่ได้ดูเชิญชวนให้เขากระโดดลงไปหามันเพื่อพ้นจากความทรมานที่จะเกิดขึ้นกับเขาในอนาคตอีกต่อไป ตรงกันข้ามตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามีความกลัวที่มากกว่านี้ ความกลัวที่มากกว่าความเจ็บปวดทรมานจากการกลายร่างเป็นหมาป่าหรือมากกว่าแม้กระทั่งความตายของตัวเขาเองก็คือความทุกข์ทรมานของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโก มัลฟอยจึงหันหลังให้กับหน้าผาเบื้องหน้าที่ก่อนหน้านี้เขาเคยมองว่าเป็นทางหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของเขาและตัดสินใจเดินกลับไปยังเส้นทางเดิมที่เขาได้เดินมา แววตาสีเงินที่เคยดูโศกเศร้าบัดนี้กลับมีแววมุ่งมั่นฉายออกมา เพราะในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่อยู่ในห้วงคำนึงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ และสิ่ง ๆ นั้นก็คือความปลอดภัยของเด็กสาวเพียงคนเดียวที่เขารัก!
              
               ……………………………………………………………
 
               ทางด้านเฮอร์ไมโอนี่นั้นยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ความเป็นห่วงเป็นใยที่เธอมีต่อเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เพราะตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้วหากแต่ไม่มีวี่แววว่ามัลฟอยจะกลับมาแต่อย่างใด เด็กสาวที่เมื่อครู่ข่มใจขึ้นไปทำความสะอาดห้องใต้หลังคาจนเสร็จแล้วบัดนี้กำลังนั่งรอเด็กหนุ่มผมบลอนด์อยู่ในห้องรับแขกอย่างร้อนรน เด็กสาวชะเง้อมองไปด้านนอกตัวบ้านทุก ๆ ห้านาที หากแต่ก็ไม่มีภาพใด ๆ สามารถปรากฎขึ้นสู่สายตาของเธอได้เนื่องจากสายฝนที่กำลังกระหน่ำลงมาอย่างหนัก และเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความกังวล เขาไปอยู่ที่ไหนของเขากันนะ!
               ในตอนแรกเด็กสาวคิดว่าจะขอร้องเฟรย่าให้ออกไปตามหาเดรโกกับเธอ หากแต่ฝนกลับกระหน่ำลงมาเสียก่อนทำให้เธอไม่กล้ารบกวนหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านให้ออกไปข้างนอกกับเธอในสภาพอากาศเช่นนั้น และถึงแม้ว่าเธอจะเป็นห่วงเด็กหนุ่มมากเพียงใดก็ตามเด็กสาวก็ทำได้แค่มานั่งรอเขาในห้องรับแขกซึ่งเป็นห้องแรกที่ผู้ที่เข้าบ้านมาภายในบ้านจะต้องเดินผ่านเข้ามา แต่เป็นเพราะสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ท่าทีว่าจะหยุดทำให้ความเป็นห่วงของเด็กสาวที่เดิมมีมากอยู่แล้วกลับยิ่งเพิ่มพูนมากกว่าเดิม แม้เฮอร์ไมโอนี่จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าเดรโกมีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่และเขาคงจะไม่เป็นอะไรอย่างที่เฟรย่าบอกเธอ เพียงแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจเข้าใจตัวเองได้เลยว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นห่วงเด็กหนุ่มคนนี้มากถึงขนาดนี้!
               ยิ่งเห็นสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก็ยิ่งทำให้เฮอร์ไมโอนี่ร้อนใจจนแทบจะทนไม่ไหว ขณะที่กำลังคิดว่าเธอจะลองไปขอร้องให้เฟรย่าช่วยออกไปตามหาเด็กหนุ่มกับเธออีกครั้งอยู่นั้นเอง หญิงสาวผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องรับแขก เฮอร์ไมโอนี่หันไปด้านหลังทันทีเมื่อเธอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้อง
               “คุณเฟรย่าคะ คือ หนู ……” เด็กสาวเอ่ยปากแต่ไม่ทันที่เธอจะพูดจบหญิงสาวตรงหน้าก็ขัดขึ้น
               “ฉันรู้จ้ะว่าเธอจะพูดอะไร เพียงแต่ตอนนี้ฝนหนักมาก มันคงไม่สะดวกเท่าไหร่” เฟรย่าพูดขึ้นเรียบ ๆ และเมื่อหล่อนเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้ากำลังจะทักท้วงขึ้นมา หล่อนก็พูดขึ้นอีกครั้ง
               “เอาอย่างนี้ละกันนะจ๊ะ ถ้าฝนหยุดตกแล้วเขายังไม่กลับมาเราค่อยออกไปตามหาเขาด้วยกันดีไหมจ๊ะ” หญิงสาวเสนอ และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะร้อนใจมากเพียงใด เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ได้ หลังจากที่ได้ยินเฟรย่าพูดออกมาเช่นนั้น เด็กสาวจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ ขณะที่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาโบราณที่แขวนอยู่บนฝาผนังก่อนจะพูดขึ้น
               “นี่ก็ใกล้ได้เวลาน้ำชาแล้ว เธอไปช่วยฉันชงชาได้ไหมจ๊ะ” เฟรย่าถาม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลำบากใจ เธอไม่ได้อยากจะดื่มชาในตอนนี้เลย เพราะสิ่งที่เด็กสาวต้องการทำมากที่สุดในตอนนี้คือออกไปตามหาเดรโกเพื่อแน่ใจว่าเขาจะปลอดภัย หากแต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงและแววตาของผู้เป็นเจ้าของบ้านยามที่หล่อนพูดประโยคต่อไปออกมาแล้วเด็กสาวก็ไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญชวนของหญิงสาวได้
               “ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นห่วงเขามาก เพียงแต่เรายังทำอะไรไม่ได้มากนักในตอนนี้หรอกนะ อีกอย่างฉันก็ยืนยันกับเธอว่าเกาะแห่งนี้ไม่มีอะไรที่พอจะทำอันตรายเพื่อนของเธอได้ แน่นอนว่าฉันเองก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน เพียงแต่ฉันคิดว่าเราควรจะรออีกซักนิด” เฟรย่าพูดอย่างมีเหตุผล พลางมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยดวงตาสีราวกับทะเลสาบที่ลึกลับของเธอ และเมื่อเห็นว่าตัวเธอเองไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้ เด็กสาวจึงพยักหน้าอย่างยินยอมก่อนที่เธอจะเดินตามเฟรย่าเข้าไปในครัว
              
               ……………………………………………………………
               ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในครัว เฟรย่าก็สะบัดไม้กายสิทธิ์ของหล่อนเพื่อเสกคาถาให้อุปกรณ์สำหรับชงชาลอยหวือมารออยู่ตรงเคาเตอร์ครัว หญิงสาวสะบัดไม้กายสิทธิ์อีกครั้งเพื่อเติมน้ำลงในกาและสั่งให้มันลอยไปอยู่บนเตาที่บัดนี้ติดไฟแล้ว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยืนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ในครัวราวกับเธอกำลังรอคำสั่งจากเฟรย่าว่าต้องการจะให้เธอทำอะไรต่อไป และไม่ทันที่เด็กสาวจะได้ถามอะไรออกไปหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เอ่ยปากขึ้น
               “เธอช่วยหยิบใบชาในกล่องนั้นกับถ้วยชาออกมาหน่อยได้ไหมจ๊ะ” หล่อนเอ่ย และเฮอร์ไมโอนี่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเอื้อมไปหยิบของบนชั้นตามที่เฟรย่าต้องการแม้ในใจจะสงสัยอยู่มากก็ตามว่าทำไมเฟรย่าถึงต้องใช้ให้เธอหยิบของเหล่านี้ให้ทั้ง ๆ ที่หล่อนสามารถใช้คาถาเรียกของนำมันมาได้อย่างง่ายดาย แต่เด็กสาวก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรออกไป เธอส่งกล่องบรรจุใบชาให้หญิงสาวผมดำและวางถ้วยน้ำชาลงบนเคาเตอร์ครัวตามที่เฟรย่าบอก ก่อนที่หญิงสาวจะยื่นมือมารับกล่องบรรจุใบชาและใส่มันลงไปในกาน้ำที่เริ่มเดือด
               และราวกับว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านล่วงรู้ถึงความคิดของเฮอร์ไมโอนี่เมื่อหล่อนพูดขึ้น
               “ฉันขอโทษนะจ๊ะที่อาจจะใช้เธอให้ช่วยทำโน่นทำนี่มากไปหน่อย แต่ฉันเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องโบกไม้กายสิทธิ์เพื่อจัดการงานทุกอย่างหรอกจริงไหม เราควรจะทำอะไรด้วยตัวเองบ้างเหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าเธอก็คงจะเห็นด้วยกับที่ฉันพูดไม่น้อยใช่ไหมจ๊ะ เพราะฉันเห็นว่าเธอไม่ได้ใช้ไม้กายสิทธิ์ร่ายเวทย์มนต์อะไรเลยตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่” เฟรย่าพูดเสียงเรียบ ขณะที่เด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากหล่อนนั้นหายใจกระตุก แน่นอนว่าคำพูดของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์นั้นต้องไม่ใช่แค่การชวนคุยเรื่องสัพเพเหระแต่เพียงเท่านั้นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหญิงสาวหันมามองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยดวงตาสีน้ำเงินอันลึกลับของหล่อน ราวกับหล่อนต้องการจะบอกเด็กสาวว่าหล่อนสงสัยหรือแม้กระทั่งล่วงรู้ถึงเหตุผลที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ใช้เวทย์มนต์เลยตั้งแต่เธอมาเป็นแขกที่บ้านหลังนี้ ซึ่งก็เป็นเพราะว่าเธอไม่มีไม้กายสิทธิ์อยู่กับตัว ตรงกันข้ามไม้ของเธอในตอนนี้ถูกเก็บไว้คฤหาสน์มัลฟอยต่างหาก!
               แม้จะตกใจเพียงใดก็ตามที่อยู่ ๆ เฟรย่าก็พูดถึงสิ่งที่หล่อนได้สังเกตเห็นหรืออาจจะถึงขั้นล่วงรู้ออกมาตรง ๆ แบบนี้ หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็พยายามรักษาสีหน้าของเธอให้เรียบเฉยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และอาจจะเป็นเพราะเด็กสาวได้ชื่อว่าเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่นเธอจึงรีบหาคำตอบมาตอบเฟรย่าออกไปได้อย่างรวดเร็ว
               “คือหนูก็คิดแบบนั้นแหละค่ะ หนูถึงไม่ชอบใช้เวทย์มนต์บ่อยเกินไป เพราะว่าสำหรับงานบางอย่างการลงมือทำเองก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่คะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบอย่างชาญฉลาด ก่อนที่หญิงสาวตรงหน้าจะยิ้มให้กับคำตอบของเธอ หากแต่รอยยิ้มนั้นของเฟรย่าช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูเยือกเย็นและไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อยในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่ และเพราะรอยยิ้มนั้นเองที่ทำให้เด็กสาวเตรียมตัวตั้งรับคำถามต่อ ๆ ของเฟรย่าที่ดูราวกับจะเป็นคำถามที่ต้องการล้วงความลับที่เธอกำลังปิดบังอยู่ออกมาก็ไม่ปาน แต่กลับกลายเป็นว่าหญิงสาวกลับไม่ได้ถามอะไรเฮอร์ไมโอนี่ออกมาอีกเลย ตรงกันข้ามหล่อนกลับหันไปสนใจการชงชาตรงหน้าราวกับว่าสำหรับหล่อนแล้วมันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
               เมื่อชาในกาได้ที่แล้ว เฟรย่าก็พูดขึ้น “ถือนี่ไว้หน่อยจ้ะ” หล่อนพูดพลางส่งช้อนสำหรับใช้คนชามาให้เธอ เฮอร์ไมโอนี่รับมันมาถือไว้ในมือขวาที่เธอถนัดก่อนที่เฟรย่าจะพูดต่อ
               “เอาถ้วยชามาสิจ๊ะ” หญิงสาวกล่าวเรียบ ๆ ราวกับหล่อนเปลี่ยนจากหญิงสาวที่สงสัยในตัวเฮอร์ไมโอนี่และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเดรโกมากกว่าอะไรทั้งหมด ไปเป็นหญิงสาวที่ใส่ใจแค่เรื่องการชงชายามบ่ายเท่านั้น และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กสาวก็ยื่นถ้วยชาในมือซ้ายไปข้างหน้าเพื่อรอให้เฟรย่ารินชาจากกาให้ และในขณะนั้นเอง จะด้วยความตั้งใจหรือความบังเอิญก็ตาม ในวินาทีที่หญิงสาวผมดำเอียงกาน้ำชาที่กำลังเดือดปุด ๆ มาทางเฮอร์ไมโอนี่ น้ำชาร้อน ๆ ที่กำลังพุ่งออกมาจากกานั้นกลับหกรดลงบนมือของเด็กสาวแทนที่จะเป็นถ้วยชาที่รอรับอยู่!
               เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนัง! และท่ามกลางความตกใจนั้นเองเด็กสาวก็รีบถอดถุงมือหนังที่เธอสวมไว้ออกทันที!
               “ตายแล้ว! ขอฉันดูหน่อยจ้ะ” เฟรย่าพูดขึ้นหลังจากวางกาน้ำชาเจ้าปัญหาลง และรวดเร็วกว่าความคิดมือของหญิงสาวก็คว้ามือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ที่ปราศจากถุงมือขึ้นมาดู สัญลักษณ์ตราทาสอันแสดงถึงความเป็นเจ้าของซึ่งเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยมีต่อเฮอร์ไมโอนี่ปรากฎชัดแก่สายตาของเฟรย่าท่ามกลางแสงสลัวภายในห้องครัว!
              
               ……………………………………………………………
 
               เกิดความเงียบงันขึ้นทันทีหลังจากที่เฟรย่าได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่บนอุ้งมือของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งเธอพยายามจะปิดบังมันมาตลอด มันไม่ใช่คำสาปตามที่เด็กสาวบอกหล่อนในตอนแรกแต่อย่างใด หากแต่มันกลับเลวร้ายยิ่งกว่านั้นเพราะมันคือสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ซึ่งมีอำนาจผูกมัดเด็กสาวไว้กับผู้เป็นเจ้านายของเธอตลอดกาล! สัญลักษณ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ปรากฎชัดอยู่บนมือของเฮอร์ไมโอนี่นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเจ้านายของเธอนั้นคือใคร!
               แม้จะรู้สึกเจ็บปวดที่ฝ่ามือมากเพียงใดก็ตามแต่เด็กสาวกลับรู้สึกตกใจมากกว่าอะไรทั้งหมดที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ได้ล่วงรู้ความลับที่เธอพยายามจะปกปิดมาตลอดตั้งแต่เธอเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้ หรือแท้ที่จริงแล้วเธอและมัลฟอยพยายามจะปกปิดมันมาตั้งแต่พวกเขาออกจากอังกฤษมาด้วยซ้ำว่าเธอเป็นทาสของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอย!
               ขณะที่มือของหญิงสาวผมดำกำลังสำรวจมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่อยู่นั้น เด็กสาวมองเห็นแววบางอย่างในดวงตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบของเฟรย่า แววตานั้นไม่ได้แสดงออกถึงความแปลกใจ หากแต่มันกลับทอประกายราวกับผู้ชนะ! ราวกับมันเป็นดวงตาของคนที่เพิ่งค้นพบว่าสิ่งที่ตนเข้าใจมาโดยตลอดนั้นถูกต้อง! เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงเตรียมที่จะหาคำพูดมาอธิบายในสิ่งที่เฟรย่าเพิ่งค้นพบ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถคิดออกก็ตามว่าเธอจะหาคำพูดใดมาอธิบายสิ่งที่มันก็ได้เล่าเรื่องราวของตัวเองจนหมดสิ้นแล้วว่าเธอเป็นทาสของเดรโก มัลฟอย!
               แต่เมื่อเฟรย่าเงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาสีน้ำตาลที่ดูตื่นตระหนกของเฮอร์ไมโอนี่นั้น มันกลับไม่มีแววสงสัยใคร่รู้เจืออยู่ในดวงตาเรียวสวยของหญิงสาวเลย พอ ๆ กับที่หล่อนไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเด็กสาวออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ตรงกันข้ามหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านกลับสะบัดไม้กายสิทธิ์อีกครั้งนึงเพื่อร่ายคาถารักษาแผลจากน้ำร้อนลวกให้เธอ
               เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงคลื่นความเย็นที่เข้าสัมผัสผิวหนัง ราวกับมีคนเอามือของเธอจุ่มลงในถังน้ำแข็ง แต่ความรู้สึกดังกล่าวก็ไม่ได้หนาวเย็นจนบาดผิวเนื้อ หากแต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นราวกับมีมือล่องหนมาทาตัวยาเย็น ๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่มือของเธอในตอนนี้ และในไม่ช้าอาการปวดแสบปวดร้อนที่มือของเธอก็จางหายไปราวกับมันไม่เคยปรากฎมาก่อน ขณะที่เฟรย่าร่ายคาถาอีกครั้งเพื่อทำให้น้ำชาที่หกอยู่หายวับไปก่อนที่หญิงสาวจะร่ายคาถาเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเสกให้ผ้าพันแผลปรากฎขึ้นบนมือข้างที่บาดเจ็บของเฮอร์ไมโอนี่
               “เธอควรจะพันแผลไปไว้ซักพัก ไม่นานก็จะหายจ้ะ” หญิงสาวบอกเรียบ ๆ โดยที่ท่าทีของหล่อนปราศจากความสงสัยใคร่รู้หรือความปรารถนาจะซักถามอะไรเพิ่มเติมเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ ราวกับว่าก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้เพิ่งค้นพบความจริงว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นทาสของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยแต่อย่างใด และในขณะที่หญิงสาวสามารถรักษาสีหน้าของหล่อนให้เรียบเฉยได้อย่างน่าทึ่งอยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะกำมือข้างที่มีผ้าพันแผลพันไว้ราวกับว่าเธอต้องการจะซ่อนตราทาสบนมือนี้จากใครก็ตามที่สามารถจะมองทะลุผ้าพันแผลเข้าไปเห็นมันได้ หากแต่เด็กสาวก็รู้ดีกว่าไม่ว่าเธอรวมถึงเดรโกจะพยายามจะซ่อนมันมากเท่าไหร่ก็ตาม มันก็ไม่สามารถลบล้างความจริงที่ว่าเธอได้ตกเป็นทาสของเดรโกไปได้ พอ ๆ กับที่ไม่ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะปรารถนามากเพียงใดก็ตามเธอก็ไม่สามารถจะทำให้เฟรย่าลืมเลือนในสิ่งที่หล่อนได้ล่วงรู้ไปได้เลย!
               เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นในห้องครัวราวกับว่าอากาศในห้องนั้นหนักอึ้งขึ้นมาชั่วขณะ ในขณะที่เฟรย่าหันกลับไปสนใจชาที่เธอชงค้างไว้นั้นเด็กสาวก็ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกมา
               “คือ หนู…..” ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดจบ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
               ทั้งหญิงสาวผมดำและเด็กสาวผมสีน้ำตาลหันไปทางห้องรับแขกซึ่งเป็นที่มาของเสียงแทบจะในทันที! แม้ว่าจากมุมที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นจะไม่สามารถมองเห็นประตูหน้าบ้านได้ชัดก็ตาม แต่เสียงฝนที่กำลังเทกระหน่ำลงมาซึ่งดังขึ้นมาอย่างชัดเจนอยู่ชั่วขณะบวกกับเสียงประตูหน้าบ้านที่เปิดออกทำให้ทั้งสองแน่ใจว่ามีใครบางคนเพิ่งเดินผ่านธรณีประตูเข้ามาในตัวบ้าน และก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่น่าจะเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้ในยามนี้ และเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่เฮอร์ไมโอนี่รอคอยการกลับมาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ!
               “เดรโก!” เด็กสาวพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่เธอจะรีบรุดออกจากห้องครัวไป!
 
               ……………………………………………………………
 
               กว่าจะกลับมาถึงบ้านซึ่งเป็นที่พักของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์และเป็นที่พักชั่วคราวของเขาในตอนนี้ได้นั้น เดรโก มัลฟอยก็เปียกโชกไปทั้งตัว เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกเนื่องจากเขาเดินตากฝนมาตลอดทางที่กลับจากหน้าผามาจนถึงบ้านหลังนี้ซึ่งกินระยะทางไกลไม่น้อยเลยทีเดียว และถึงแม้ว่ามัลฟอยจะมีไม้กายสิทธิ์ติดตัวตอนที่เขาออกไปจากบ้านก็ตาม แต่เขากลับไม่ยอมใช้มันเสกคาถาขึ้นมาป้องกันตัวเขาจากสายฝนที่กระหน่ำลงมาราวกับเขาต้องการจะให้ร่างกายของเขานั้นเปียกปอนไปตลอดทางที่เขาต้องเดินกลับมาที่นี่!
               แต่ความหนาวเหน็บและเปียกปอนของร่างกายก็ไม่อาจเทียบได้กับความหนาวเหน็บในจิตใจของเด็กหนุ่มได้เลย หลังจากที่เขารู้แล้วว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมเช่นใดต่อไป ถึงกระนั้นความหนาวเหน็บและหวาดกลัวต่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะมนุษย์หมาป่านั้นก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการที่เฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นที่รักของเขาต้องมาทนทุกข์ทรมานหลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป และเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้เดรโกตัดสินใจที่จะกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันโหดร้ายต่อ ทั้งหมดเป็นเพราะเขาต้องการจะปกป้องผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักให้ปลอดภัย!
               และถึงแม้ว่าร่างกายของเด็กหนุ่มจะต้องหนาวเหน็บและเปียกปอนมากเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อเขานำร่างสูงของตัวเองกลับมาถึงตัวบ้าน ท่ามกลางสายฝนหนาวเหน็บที่สาดซัดลงมา เสียงเรียกชื่อของเขาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของเฮอร์ไมโอนี่นั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด!
               ในวินาทีที่เดรโก มัลฟอยพาร่างสูงของตัวเองกลับมายืนอยู่หน้าธรณีประตูบ้านของเฟรย่านั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาในห้องรับแขกพอดี และในวินาทีที่เด็กหนุ่มได้สบตาเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขานั้น เขารู้สึกราวกับว่าความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลของเขามลายหายไปในพริบตา ราวกับว่าในตอนนี้เดรโกได้พบกับความหวังเพียงหนึ่งเดียวในการใช้ชีวิตต่อไปของเขาแล้ว และสิ่งนั้นก็ไม่ใช่หนทางที่จะรักษาเขาให้รอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าแต่อย่างใด แต่มันกลับเป็นการปรากฎตัวของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก ในโลกใบนี้มีเพียงเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์คนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตของเขามีค่าที่จะอยู่ต่อไป!
               “เดรโก!” เสียงเรียกชื่อเขาที่ฟังดูร้อนใจของเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขาดังขึ้นขณะที่ร่างบางนั้นรุดเข้ามาหาเขา และเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่อเด็กหนุ่มได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงที่เขาหลงรัก ได้ยินเสียงเธอเรียกเขาด้วยความห่วงใย เดรโกก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ายิ่งนักที่เขาตัดสินใจกลับมา ราวกับการเห็นหน้าเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้งเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าเหลือเกินสำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้ของเด็กหนุ่ม และมันต้องคุ้มค่าพอกับการที่เขาเลือกที่จะกลับมาเผชิญชะตากรรมที่โหดร้ายต่อไปเป็นแน่!
               เมื่อคิดได้เช่นนั้นมัลฟอยก็ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความรู้สึกราวกับเขาเพิ่งยกภูเขาออกจากอก ราวกับว่าเขาไม่มีเรื่องใดที่ต้องห่วงกังวลอีกต่อไปแล้ว ใบหน้าและแววตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองมาทางเขาด้วยความเป็นห่วงรวมถึงเสียงของเธอที่เรียกชื่อเขาด้วยความกังวลเป็นสิ่งสุดท้ายที่เดรโกรับรู้ได้ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะดับวูบลง! ร่างใหญ่ของเขาซบลงบนร่างเล็กของเด็กสาวที่รุดเข้ามาดูเขาด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ!
 
               ……………………………………………………………
              
               มัลฟอยหมดสติไปไม่นานหลังจากที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้ามายังห้องรับแขก และแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามอย่างสุดความสามารถในการประคองร่างสูงของเดรโกไว้ในอ้อมแขน แต่เนื่องจากเด็กหนุ่มนั้นตัวใหญ่กว่าเธอมาก เด็กสาวจึงไม่สามารถประคองร่างใหญ่ของเขาไว้ได้นาน ตรงกันข้ามร่างเล็กของเธอนั้นแทบจะลงไปกองอยู่ที่พื้นพร้อมกับมัลฟอยเมื่อเด็กหนุ่มไม่มีแรงพอที่จะประคองร่างสูงของเขาให้ยืนอยู่อีกต่อไป! และก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะคิดได้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อไป ร่างสูงอีกร่างก็เดินเข้ามาในห้อง!
               ร่างที่ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องรับแขกต่อจากเฮอร์ไมโอนี่ก็คือร่างของหญิงสาวผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ หญิงสาวมองภาพเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกใจเพียงชั่วครู่ก่อนที่หล่อนจะรุดเข้ามาช่วยประคองร่างที่หมดสติของเด็กหนุ่มเอาไว้
               แต่ในวินาทีแรกที่เฟรย่าแตะตัวเดรโก หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความร้อนอันมาจากผิวเนื้อของเด็กหนุ่มเช่นเดียวกับที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลสัมผัสได้เมื่อเธอพยายามประคองร่างของเดรโกไปพร้อม ๆ กับใช้มือแตะใบหน้าของเขาและเรียกชื่อเขาไปด้วย หากแต่เมื่อมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่สัมผัสใบหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอนั้น เธอกลับพบว่ามันร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กสาวก็รีบหันไปทางเฟรย่าเพื่อขอความช่วยเหลือ
               “เขามีไข้สูง” นั่นเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินเฟรย่าพูดขณะที่ทั้งสองพยายามจะประคองร่างที่เปียกโชกและร้อนรุ่มของมัลฟอยเอาไว้ และถึงแม้ว่าเด็กสาวจะยังไม่ได้พูดอะไรออกมา หญิงสาวผมดำก็รู้ดีจากการสบดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่ว่าเธอต้องการขอร้องให้หล่อนช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่อยู่ในฐานะเจ้านายของเธอ!
               และเมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงพูดขึ้น
               “ฉันว่าเราพาเขาขึ้นไปบนห้องก่อนดีกว่า” เฟรย่าพูดสั้น ๆ หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็สัมผัสได้ถึงความห่วงกังวลที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของหล่อนได้ และในวินาทีต่อมาหญิงสาวก็โบกไม้กายสิทธิ์เพื่อร่ายคาถาสำหรับยกร่างของมัลฟอยขึ้น เพื่อที่จะพาเขาขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาซึ่งตอนนี้เป็นที่พักชั่วคราวของเด็กทั้งสอง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองดูเฟรย่าที่กำลังช่วยเหลือเดรโกด้วยสายตาที่เป็นห่วงก่อนที่เธอจะเดินตามหญิงสาวกลับไปยังห้องใต้หลังคาด้วยหันใจที่ร้อนรน
               ไม่นานนักพวกเขาก็ขึ้นมายังห้องใต้หลังคา เฟรย่าใช้เวทย์มนต์วางร่างที่ไร้สติสัมปชัญญะของเดรโกลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลพร้อม ๆ กับที่เฮอร์ไมโอนี่รีบรุดไปยังข้างเตียงในทันที หลังจากที่เฟรย่าวางเดรโกลงแล้วเธอก็ร่ายคาถาอีกครั้งเพื่อทำให้ร่างกายและเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มแห้ง และถึงแม้ว่าคาถานี้จะส่งเสียงดังพอสมควรแต่มันก็ไม่สามารถปลุกเด็กหนุ่มที่กำลังหมดสติให้ตื่นขึ้นมาได้แต่อย่างใด
               เมื่อแน่ใจว่าร่างกายของเด็กหนุ่มไม่ได้เปียกชื้นอีกต่อไปแล้วหญิงสาวก็นั่งลงบนเตียงที่เดรโกกำลังนอนอยู่ หล่อนใช้มืออังหน้าผากของเขาเพื่อวัดไข้ก่อนจะสำรวจร่างกายส่วนอื่น ๆ ของเขาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า และเมื่อหล่อนทำเช่นนั้นเฟรย่าก็พบว่ามัลฟอยนั้นเก็บไม้กายสิทธิ์ไว้ในเสื้อคลุม แม้ว่าจะแปลกใจอยู่บ้างว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ของเขาร่ายคาถาเพื่อป้องกันตัวเองจากสายฝนในตอนที่เขาเดินกลับมาที่นี่ หากแต่หญิงสาวก็ไม่มีเวลาจะมาคิดหาคำตอบให้กับคำถามนี้ เพราะสิ่งที่หล่อนควรทำเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือรักษาเด็กหนุ่มตรงหน้าจากอาการเจ็บป่วยอะไรก็ตามที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ เพราะถึงแม้ว่าเฟรย่าจะไม่สามารถรักษาเดรโกให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ แต่อย่างน้อยหล่อนก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องทรมานด้วยโรคแทรกซ้อนอื่นใดอีก เพราะลำพังแค่การต้องกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวก็คงหนักหนาสาหัสสำหรับเด็กหนุ่มมากพอแล้ว
               เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลังจากที่ไม่พบร่องรอยการบาดเจ็บที่มองเห็นได้ภายนอกบนร่างที่กำลังนอนหมดสติอยู่นั้น เฟรย่าจึงร่ายคาถาเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง และเมื่อผลของคาถาแสดงว่าเดรโก มัลฟอยไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หญิงสาวจึงหันไปสนใจแผลที่ไหล่ซ้ายของเด็กหนุ่มแทน
               แม่มดสาวร่ายคาถาเพื่อให้ฉีกเสื้อคลุมและเสื้อของเด็กหนุ่มในบริเวณดังกล่าวออกเผยให้เห็นไหล่ซ้ายมีผ้าพันแผลปิดบังร่องรอยการถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายของเขาเอาไว้ เฟรย่าร่ายคาถาอีกครั้งเพื่อทำให้ผ้าพันแผลนั้นหายไปก่อนจะลงมือสำรวจบาดแผลของเดรโกอย่างระวังโดยมีเฮอร์ไมโอนี่ที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง
               หลังจากสำรวจบาดแผลตรงหน้าได้ไม่นาน หญิงสาวผมดำก็แน่ใจว่าบาดแผลของเดรโกนั้นไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด มันแค่เปียกชื้นเนื่องจากเขาเดินตากฝนมาเป็นเวลานานเท่านั้น ดังนั้นเฟรย่าจึงลงความเห็นว่าที่เด็กหนุ่มหมดสติไปนั้นน่าจะเป็นเพราะความดื้อดึงของเขาเองในการที่เขาเดินฝ่าสายฝนกลับมาจนทำให้ร่างกายของเขาเปียกชื้นและหนาวเหน็บจนเขาหมดสติไป ส่วนไข้ที่ขึ้นสูงของเขานั้นก็มาจากการที่ร่างกายของเขาหนาวเย็นเกินไปจนเป็นไข้มากกว่าจะเป็นผลข้างเคียงของการถูกมนุษย์หมาป่าทำร้าย ซึ่งถ้าพิจารณาจากเวลาที่เขาถูกทำร้ายแล้ว ผลข้างเคียงของการถูกร้ายไม่น่าจะคงอยู่จนถึงตอนนี้ ตรงกันข้ามมันจะแสดงออกมาอีกครั้งก็ต่อเมื่อถึงคืนวันเพ็ญครั้งต่อไปเท่านั้น!
               เมื่อเห็นว่าอาการของเด็กหนุ่มที่ชื่อ เดรโก มัลฟอยในตอนนี้นั้นไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก อย่างน้อย ๆ ก็ในตอนนี้ เฟรย่าจึงหันไปพูดกับเด็กสาวที่เฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ 
               “เขาไม่เป็นไรมากจ้ะ แค่ไข้ขึ้นสูงเพราะตากฝนมาเท่านั้น” หล่อนพูดเพื่อจะให้เฮอร์ไมโอนี่สบายใจหากแต่หลังจากพูดจบแล้วหญิงสาวก็ยังเห็นแววห่วงกังวลที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวอยู่ดี
               “แล้ว……” เฮอร์ไมโอนี่พูดเพียงเท่านั้นก่อนที่เธอจะชี้มืออย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไปที่บาดแผลของเดรโก และนี่เป็นอีกครั้งที่เด็กสาวได้เห็นรอยแผลอันเกิดจากกรงเล็บของมนุษย์หมาป่าบนร่างของมัลฟอย แม้เธอจะเคยเห็นเรือนร่างของเด็กหนุ่มมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ก็มีไม่กี่ครั้งที่เธอได้เห็นบาดแผลนี้ของเขายกเว้นแค่ตอนที่เขาให้เธอทำแผลให้เท่านั้น เพราะปกติเด็กหนุ่มจะปกปิดมันไว้ด้วยผ้าพันแผลตลอดราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เดรโกรังเกียจ
               แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องรังเกียจมัน! เพราะมันเปรียบเสมือนคำสาปร้ายสำหรับเขา เพราะบาดแผลนี้ที่ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานกับความหวาดกลัวที่จะต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า แต่ถึงกระนั้น ถึงมัลฟอยจะมองบาดแผลนี้ของเขาว่ามันเป็นคำสาปร้ายที่เขาต้องแบกรับไปชั่วชีวิตก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นมัน เธอกลับนึกถึงเหตุการณ์ในครานั้นที่เดรโกเข้าไปช่วยเธอไว้ได้ทันท่วงที แม้ว่าหลังจากที่เธอได้รับการช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มแล้วนั้นมันจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายกับเธอตามมาก็ตาม แต่เด็กสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าถ้าหากตอนนั้นมัลฟอยไม่ได้ไปช่วยเธอหรือเอาตัวของเขาบังเธอไว้ล่ะก็ คนที่กำลังทุกข์ทรมานจากการโดนมนุษย์หมาป่าทำร้ายอยู่ในตอนนี้ก็คงต้องเป็นเธออย่างแน่อน!
               แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้ปล่อยให้ความคิดของเธอให้ล่องลอยกลับไปยังคืนที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนอย่างไม่มีวันหวนกลับไปมากกว่านั้น เสียงของเฟรย่าก็ดังขึ้น
               “แผลของเขาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจ้ะ แต่เราคงต้องทำแผลให้เขาใหม่ ว่าแต่เขามียาที่เขาใช้ประจำติดมาด้วยหรือเปล่าจ๊ะ” เสียงของหญิงสาวราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล และดูเหมือนว่าเฮอร์ไมโอนี่ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่คำพูดดังกล่าวของเฟรย่าจะแทรกซึมเข้าสู่ความนึกคิดของเธอ หากแต่เมื่อเด็กสาวรับรู้ถึงสิ่งที่หญิงสาวผมดำต้องการสื่อออกมาแล้วนั้น เธอก็รีบตอบออกไป
               “มีค่ะ มันอยู่ในกระเป๋า” เธอพูดก่อนจะหันไปมองรอบห้องเพื่อหากระเป๋าหนังที่มัลฟอยพกมาไอซ์แลนด์ด้วยซึ่งมันบรรจุข้าวของทั้งของเขาและเธอเอาไว้ และเมื่อเด็กสาวเห็นมัน เธอจึงเดินไปหยิบกระเป๋าใบดังกล่าวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างเพื่อส่งมันให้กับเฟรย่า
               “เดรโกใส่ของที่จำเป็นไว้ในนี้ค่ะ” เด็กสาวกล่าวพลางยื่นมันให้เฟรย่า และเมื่อหญิงสาวรับมาหล่อนก็รู้ว่ามันเป็นกระเป๋าที่ถูกร่ายคาถาขยายพื้นที่เอาไว้ หญิงสาวเงยหน้ามองใบหน้าที่ดูซีดเซียวและร้อนรนของเด็กสาวตรงหน้าแวบหนึ่งก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหนังไปใบนั้นเพื่อหยิบสิ่งที่หล่อนต้องการออกมา
               แต่ในวินาทีที่เฟรย่าสอดมือเข้าไปในกระเป๋าใบนั้นหล่อนก็รู้สึกว่ามือของหล่อนร้อนวาบราวกับถูกไฟลน หญิงสาวชักมือกลับออกมาทันที! ท่ามกลางสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองมาอย่างสงสัย หากแต่เด็กสาวก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา กระเป๋าใบนี้ถูกร่ายคาถาป้องกันไว้ทำให้เฟรย่าไม่สามารถนำของที่อยู่ข้างในออกมาได้ และเมื่อเห็นเช่นนั้นหลังจากที่หญิงสาวจึงชักมือกลับออกมา หล่อนก็ตัดสินใจยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นเพื่อร่ายคาถาเพื่อทำลายคาถาป้องกันที่ร่ายไว้บนกระเป๋าใบนี้ และเมื่อคาถาแรกที่เฟรย่าร่ายไม่เป็นผล หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงลองร่ายคาถาที่สองซึ่งมีอานุภาครุนแรงกว่าคาถาแรกหลายเท่านัก หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินของหญิงสาวก็ทอประกายที่แสดงถึงประหลาดใจออกมาเมื่อหล่อนพบว่าแม้แต่คาถาแก้เวทย์มนต์ป้องกันคาถาที่สองของหล่อนนั้นก็ไม่เป็นผลเช่นกัน! กระเป๋าหนังสีดำใบนั้นยังนอนสงบนิ่งอยู่ในมือของหล่อนโดยที่มนตราป้องกันของมันไม่ได้ถูกทำลายลงแต่อย่างใด!
               เพราะเหตุนี้เฟรย่าจึงทราบทันทีว่ากระเป๋าใบนี้ถูกร่ายมาตราโบราณสำหรับป้องกันไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ไม่ว่าหล่อนหรือใครก็ตามที่ไม่ใช่เจ้าของ ๆ มันจะไม่สามารถหยิบฉวยสิ่งของที่มันบรรจุอยู่ออกไปได้ และเมื่อเห็นเช่นนั้นแม่มดสาวผมดำจึงทราบทันทีว่ากระเป๋าชิ้นนี้คงเป็นสมบัติอีกชิ้นหนึ่งของตระกูลมัลฟอยเป็นแน่ เพราะตัวคาถาที่ถูกร่ายกำกับไว้นั้นเป็นคาถาโบราณที่เก่าแก่และทรงพลังมากกว่าที่พ่อมดหนุ่มอย่างเดรโก มัลฟอยจะสามารถร่ายออกมาด้วยตัวเองได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเพียงตัวเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะเปิดกระเป๋าใบนี้เพื่อหยิบของที่ต้องการออกมา หากแต่ตอนนี้เขากำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียง และในขณะเดียวกันเฟรย่าก็ต้องใช้ยาที่ถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าเพื่อมารักษาเขา
               แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หญิงสาวก็รู้ดีว่าไม่ว่าหล่อนจะจำเป็นต้องใช้ของในกระเป๋าใบนี้มากเพียงใด หล่อนไม่อาจจะทำลายมนตราโบราณที่ถูกร่ายไว้บนกระเป๋าใบนี้ได้ และเมื่อเห็นเช่นนั้นหล่อนจึงวางมันลงที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่ที่ดูราวกับว่าเธอกำลังรอให้เฟรย่าพูดอะไรบางอย่างออกมาอย่างใจจดใจจ่อ
               “มีเวทย์มนต์ป้องกันกำกับอยู่ที่กระเป๋าใบนี้ ฉันไม่สามารถทำลายมนต์นี้ได้” หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด ราวกับว่ามันรบกวนจิตใจหล่อนอยู่ไม่น้อยเมื่อต้องค้นพบว่ามีข้อจำกัดทางเวทย์มนต์บางอย่างที่หล่อนไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีราวกับต้องการจะพูดอะไรขึ้นมา
               “แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ” เด็กสาวพูดขึ้นอย่างร้อนใจ ดวงตาสีน้ำตาลที่มองไปทางเด็กหนุ่มผมลอนด์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย
               “เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ้ะ ฉันสามารถปรุงยาสำหรับรักษาอาการของเขาได้” เฟรย่าพูดขึ้น “ฉันหมายถึงฉันสามารถปรุงยาสำหรับลดไข้และยาสำหรับรักษาบาดแผลภายนอกของเขาได้น่ะจ้ะ เพียงแต่ถ้าฉันรู้ซักนิดว่าก่อนหน้านี้เขาใช้ยาอะไรอยู่” หญิงสาวผมดำพูดอย่างฉะฉานหากแต่ดวงตาสีน้ำเงินของหล่อนนั้นส่อแววไม่แน่ใจออกมา
               “ถ้าหนูจำไม่ผิด ยาที่เดรโกใช้มีส่วนผสมของต้นอะโคไนซ์ค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบในทันที พลางคิดในใจว่าโชคดีที่เด็กหนุ่มเคยใช้ให้เธอทำแผลของเขาอยู่บ้างเธอถึงรู้ถึงตัวยาที่เดรโกใช้สำหรับรักษาบาดแผลของเขา
               “นับว่าเป็นตัวเลือกที่ฉลาดทีเดียว ฉันพอรู้แล้วล่ะว่ายาที่เขาใช้คือยาตัวไหน ฉันจะรีบไปปรุงยาสำหรับรักษาบาดแผลและยาลดไข้มาให้เขานะจ๊ะ และในช่วงที่รอฉันตอนนี้เธอช่วยเช็ดตัวเขาหน่อยแล้วกันเผื่อว่าไข้เขาจะลดลงบ้าง อุปกรณ์ที่เธอต้องการอยู่ในตู้ในห้องครัวจ้ะ ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาให้เธอรีบไปตามฉันทันทีเลยนะ ฉันจะอยู่ในห้องทำงาน ทางเข้าจะซ่อนอยู่หลังม่านลูกปัดในห้องพยากรณ์จ๊ะ เธอเรียกฉันจากตรงประตูห้องก็ได้” เฟรย่าแจกแจงอย่างละเอียดในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ก็เพิ่งเข้าใจทุกอย่างในตอนนี้เอง ทางเข้าห้องทำงานของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ซ่อนอยู่หลังม่านลูกปัดผืนนั้นแสดงว่ามันก็ต้องอยู่ติดกับห้องพยากรณ์ มิน่าล่ะเธอถึงได้ยินเสียงของเดรโกดังมาจากในห้องหากแต่ในตอนนั้นเด็กสาวไม่รู้ว่าทางเข้าห้องทำงานของเฟรย่าอยู่ตรงไหน เธอถึงตัดสินใจเดินตามเสียงของเด็กหนุ่มไปอีกทางโดยใช้ทางเดินที่ตัดผ่านสวนสมุนไพรของบ้านแทน
               เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเข้าใจในทันทีว่า ตอนที่เธอไม่ประสบความสำเร็จจากการหาทางเดินตัดสวนสมุนไพรของบ้านไปยังปีกตะวันตกได้นั้นและเธอก็ตัดสินใจเดินกลับมาทางเดิมซึ่งมันทำให้เธอก็บังเอิญเจอกับเฟรย่าที่ห้องรับแขกพอดีและในตอนนั้นหญิงสาวบอกเธอว่าเดรโกเพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อครู่ นั่นก็แสดงว่าเด็กหนุ่มที่เดิมอยู่ในห้องทำงานซึ่งติดกับห้องพยากรณ์ต้องเดินออกมาทางห้องพยากรณ์เพื่อผ่านห้องรับแขกก่อนออกจากบ้านไป และในวินาที่เธอมาถึงห้องรับแขกและเจอเฟรย่าอยู่ที่นั่นเสียงร้องของเดรโกเพิ่งหยุดลงไม่นานนัก นั่นหมายความว่าเด็กสาวคลาดกับเด็กหนุ่มที่กำลังออกจากบ้านไปเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น! และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าหากเธอไปถึงที่ห้องรับแขกเร็วกว่านี้ เธอจะได้เจอกับมัลฟอยก่อนที่เขาจะออกไปจากบ้านหรือเปล่านะ และถ้าหากเธอเจอเขาในตอนนั้นแล้วเด็กหนุ่มยังจะดึงดันที่จะออกจากบ้านจนเขาต้องมีสภาพเช่นนั้นในตอนกลับมาหรือเปล่า!
               แต่ถึงจะเฝ้าคิดและใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้เหล่านี้เพียงใด เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่เธอคิดนั้นมันไม่สามารถเกิดขึ้นในความเป็นจริงได้ พอ ๆ กับที่เด็กสาวรู้ดีว่าเธอไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้ ไม่ว่าจะเป็นในวินาทีที่เธอเดินเข้าไปที่ห้องรับแขกช้าไปเพียงเสี้ยววินาที หรือในตอนที่เธอเลือกที่จะผิดสัญญาที่เธอได้ให้ไว้กับเด็กหนุ่มที่จนทำให้เขาต้องออกไปตามหาเธอที่ป่าดำจนกระทั่งเขาถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายและต้องมามีสภาพเช่นในตอนนี้!
               แม้เฮอร์ไมโอนี่จะรู้ดีว่าการที่เดรโกถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายนั้นไม่ใช่ความผิดของเธอเพียงคนเดียวเช่นเดียวกับที่มันอาจจะไม่ใช่ความผิดของใครเลย หรือถ้าจะโทษก็คงต้องโทษโชคชะตาที่เล่นตลกกับชะตาชีวิตของพวกเขาทั้งสองถึงเพียงนี้ หากแต่ในคืนนั้นเด็กสาวก็ยอมรับว่าถ้าหากเดรโกไม่ตามเธอไปและเอาตัวของเขามาบังเธอไว้ล่ะก็ คนที่ต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายในตอนนี้อาจจะเป็นเธอแทนเด็กหนุ่มก็เป็นได้! และการที่เธอรอดจากคำสาปร้ายของการเป็นมนุษย์หมาป่ามาได้นั่นก็เพราะเด็กหนุ่มผู้ที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียงในตอนนี้ และถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยต้องการให้มัลฟอยมาแบกรับชะตากรรมที่ราวกับคำสาปร้ายในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าที่เดรโกต้องเป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะเขาต้องการปกป้องเธอซึ่งเป็นผู้หญิงที่เขารัก!
               เมื่อเขาทำเพื่อเธอขนาดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเคยทำเรื่องเลวร้ายที่ไม่อาจจะลบเลือนได้ลงไปกับเธอหลังจากเขาได้ช่วยเหลือเธอไว้ก็ตาม แต่เขาก็ยอมเอาตัวเองมาเสี่ยงเพื่อเธอ เขายอมเอาตัวของเขามาบังเธอไว้และเอาร่างกายของเขารับคำสาปร้ายนี้แทนเธอ และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงคิดว่ามันคงถึงเวลาที่เธอควรจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม! เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กสาวจึงเรียกร่างสูงของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านไว้ก่อนที่หล่อนจะเดินลงบันไดห้องใต้หลังคาไป
               “เฟรย่าคะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น ขณะที่หญิงสาวผู้มีท่าทีรีบเร่งมองเธอด้วยความสงสัย “หนูมีเรื่องจะขอร้องคุณค่ะ”
 
               ……………………………………………………………
 
               เดรโก มัลฟอยตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนงงและปวดระบมที่ศีรษะ ร่างกายของเขาปวดร้าวราวกับมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ เด็กหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาที่หนังอึ้งของเขาออกและเมื่อเขาทำเช่นนั้นภาพแรกที่เขาเห็นก็คือภาพเพดานที่เลือนลางและผนังห้องสีเขียวที่คุ้นตาซึ่งทำให้เขาคิดว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในคฤหาสน์ของเขา และเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงฝันร้ายที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น
               แต่เมื่อเด็กหนุ่มลืมเปลือกตาหนัก ๆ ของเขาขึ้นเต็มที่พร้อมกับกระพริบมันแรง ๆ เพื่อไล่ความง่วงงุนออกไป เดรโกกลับพบว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงนอนในห้องของเขาหรือห้องนอนของเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นทาสสาวและคนรักของเขาที่คฤหาสน์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขาควรที่จะอยู่ที่บ้านของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ผู้เป็นแม่มดที่เก่งกาจซึ่งเขาเคยเชื่อว่าหล่อนเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถจะรักษาเขาจากการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ต่างหากล่ะ เพราะสิ่งสุดท้ายที่เดรโกจำได้หลังจากที่เขากลับมาถึงบ้านของเฟรย่าแล้ว ก่อนที่เขาจะหมดสติไปก็คือใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเฮอร์ไมโอนี่พร้อมกับเสียงเรียกชื่อเขาที่ฟังดูห่วงใยและร้อนรนในคราเดียวกัน!
               มัลฟอยผงกศีรษะที่หนักอึ้งและสับสนราวกับมันเต็มไปด้วยหมอกควันของเขาขึ้นมาช้า ๆ พลางมองไปรอบ ๆ อย่างแปลกใจ แม้ว่าเดรโกจะจำได้ว่าเขากลับมาถึงบ้านของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก่อนหน้านี้ก็ตาม และตอนนี้เขาก็ควรจะนอนอยู่ในห้องใต้หลังคาอันเป็นที่พักชั่วคราวของเขากับเฮอร์ไมโอนี่ระหว่างที่พวกเขาอยู่ที่นี่ หากแต่ห้อง ๆ นี้กลับดูไม่เหมือนห้องใต้หลังคาห้องเดิมที่เขาจำได้สักนิด แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหาคำตอบได้ว่าห้อง ๆ นี้ไม่เหมือนเดิมอย่างไรได้นั้น สายตาของเขาก็ไปสะดุดกับร่าง ๆ หนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอนของเขา ร่างบางนั้นดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเดรโกตื่นขึ้นมาแล้วเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอนั่งก้มหน้าราวกับกำลังอ่านหนังสืออยู่หากแต่บนตักของเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่มีหนังสือวางอยู่แต่อย่างใด และเมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกจึงเลือกที่จะเฝ้ามองใบหน้าของเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจของเขามากกว่าที่จะไปหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับห้องที่เขากำลังพักอยู่ในตอนนี้ และสิ่งที่เด็กหนุ่มได้เห็นก็คือเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเฮอร์ไมโอนี่ ปอยผมสีน้ำตาลหยักศกของเธอตกระใบหน้างามที่มัลฟอยหลงรัก ดวงตาสีน้ำตาลอันแสนจะอบอุ่นของเธอซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาและแพขนตางาม เด็กหนุ่มสำรวจใบหน้าของเด็กสาวที่เขารักอยู่เพียงครู่เดียวก็รู้ว่าเธอคงจะหลับไประหว่างที่เธอนั่งเฝ้าเขาเช่นเดียวกับที่เขาก็เคยนอนหลับไประหว่างที่เขากำลังเฝ้ามองเธอหลับในตอนที่พวกเขายังอยู่ที่คฤหาสน์ด้วยกัน
               แม้ว่าเด็กหนุ่มจะดีใจมากเพียงใดที่เขาได้เห็นหน้าเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง รวมถึงได้การได้รับรู้ความจริงที่ว่าเธอมานั่งเฝ้าไข้เขาจนหลับไปนั้นทำให้เดรโกรู้ว่าเด็กสาวก็เป็นห่วงเขาไม่น้อยเหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ต้องการที่จะปลุกเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นที่รักของเขาตื่นจากหลับใหลขึ้นมาแต่อย่างใด  ตรงกันข้ามเขาอยากจะปล่อยให้เธอหลับต่อไปอีกซักหน่อย
               เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ ออกแรงดันร่างของตัวเองขึ้นจากที่นอนทั้ง ๆ ที่เขารู้สึกปวดร้าวและเหนื่อยอ่อนไปทั้งสรรพางค์กาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามออกแรงดันร่างกายที่เหนื่อยล้าของตัวเองขึ้นจากเตียงให้มาอยู่ในท่านั่ง และเมื่อเขาทำเช่นนั้นแล้วเดรโกก็รู้สึกปวดร้าวไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณไหล่ซ้ายและศีรษะของเขา และเมื่อเขาก้มลงมองไปยังไหล่ซ้ายของตัวเองเด็กหนุ่มจึงรู้ตัวว่าเขากำลังเปลือยท่อนบนอยู่! ผ้าพันแผลที่ปกปิดบาดแผลอันเกิดจากการกรงเล็บของมนุษย์หมาป่าบนร่างกายของเขานั้นดูปกติดี และมันดูราวกับว่ามีคนมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาใหม่ และแน่นอนว่าคน ๆ นั้นก็คงจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กสาวที่ผล็อยหลับไประหว่างที่กำลังเฝ้าไข้เขาในตอนนี้นี่เอง!
               เมื่อเห็นว่าบาดแผลภายนอกไม่ได้เป็นอะไรมาก มัลฟอยก็พยายามจะลุกขึ้นเพื่อหาอะไรมาสวมใส่ และในวินาทีที่เด็กหนุ่มกำลังจะลุกขึ้นเพื่อลงจากเตียงนั้นเองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็ลืมตาขึ้น และเมื่อเธอเห็นว่าเดรโกตื่นขึ้นมาแล้วนั้น ดวงตาสีน้ำตาลตู่สวยของเธอก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับที่เธอพูดออกมาอย่างร้อนใจ
               “อย่าเพิ่งลุกขึ้นมา” เฮอร์ไมโอนี่ร้องห้ามก่อนจะรุดมานั่งบนเตียงที่เด็กหนุ่มกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่มือเล็กของเด็กสาวเอื้อมเข้ามาหมายจะแตะไหล่ของเด็กหนุ่มไว้ในเชิงห้ามปราม หากแต่เมื่อเธอทำเช่นนั้นก็กลับกลายเป็นว่ามือเล็กของเธอแตะไปโดนไหล่และร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มเข้า
               เฮอร์ไมโอนี่ใบหน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด เธอรีบชักมือกลับทันทีเมื่อเห็นว่ามัลฟอยไม่ได้พยายามลุกขึ้นมาจากเตียงอีกต่อไปแล้ว แต่ความพยายามที่จะลุกขึ้นมาของเขาก่อนหน้านั้นทำให้ผ้าห่มที่ปกปิดร่างของเด็กหนุ่มเลิกลงมาจนร่างกายท่อนบนอันเปลือยเปล่าของเขาปรากฎต่อสายตาของเฮอร์ไมโอนี่!
               เด็กสาวรีบแสร้งมองไปทางอื่นอย่างจงใจ ราวกับเธอไม่ต้องการจะจ้องมองร่างเปลือยท่อนบนของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอไปมากกว่านี้ เพราะถึงแม้ว่าเธอจะเคยเห็นร่างกายท่อนบนของเขามาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านี่ที่เด็กหนุ่มหมดสติเธอก็เป็นคนลงมือเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เดรโกเองหลังจากที่เฟรย่าช่วยเธอใช้คาถาถอดเสื้อชิ้นบนและเสื้อคลุมของเขาออก หากแต่ตอนที่เธอเปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จเฟรย่าก็กลับไปที่ห้องทำงานของหล่อนแล้วและเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าเธอไม่ควรจะไปรบกวนหญิงสาวให้กลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อร่ายคาถาสวมใส่เสื้อผ้ากลับคืนให้เดรโก แต่ในขณะเดียวกันลำพังแรงของเด็กสาวคงไม่สามารถยกร่างสูงใหญ่ของมัลฟอยขึ้นเพื่อแต่งตัวให้เขาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงตัดสินใจปล่อยให้มัลฟอยเปลือยท่อนบนต่อไปและใช้ผ้าห่มคลุมร่างเปลือยท่อนบนของเขาไว้แทน แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ การได้เห็นผิวเนื้อที่เปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มตรงหน้าตอนที่เขาหลับนั้นมันไม่น่าลำบากใจเท่ากับที่เธอต้องมาเห็นในตอนที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วแม้แต่น้อย! เพราะมันทำให้เด็กสาวรู้สึกเขินอายรวมถึงอึดอัดได้ไม่ยากเลยทีเดียว!
               แต่เฮอร์ไมโอนี่คงลืมคิดไปว่าตัวเธอเองเคยเห็นรวมถึงสัมผัสผิวเนื้อของเดรโกมามากกว่านี้แล้ว รวมถึงเขาเองก็เคยเห็นและสัมผัสร่างกายของเธอมาทุกส่วนสัดแล้วเช่นกัน!
               เด็กสาวเบือนหน้าของเธอไปที่อื่นราวกับว่าเธอต้องการจะซ่อนแก้มร้อนผ่าวที่น่าจะขึ้นสีของเธอจากสายตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า ซึ่งถ้าปกติมัลฟอยคงจะต้องล้อเธอหรือไม่ก็แกล้งเธอด้วยการดึงร่างบางนั้นมาสวมกอดแนบอกเป็นแน่ หากแต่ในวันนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้เขากลับไม่อยากจะทำอย่างที่เคยทำแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มตัดสินใจพูดขึ้น
               “เธอช่วยหยิบเสื้อผ้าของฉันให้หน่อยได้ไหม” มัลฟอยกล่าวเรียบ ๆ และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังหาทางซ่อนใบหน้าร้อนผ่าวของเธอจากสายตาของเขาอยู่พอดีก็รีบพยักหน้าและเดินไปหยิบเสื้อผ้าของเขาที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าก่อนจะยื่นมันให้เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง
               “เธอเป็นยังไงบ้าง” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยความเป็นห่วง ขณะที่มัลฟอยรับเสื้อและเสื้อคลุมมาใส่อย่างลวก ๆ เด็กหนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาทาสสาวของเขาแต่อย่างใด เพราะในตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีก้อนแข็ง ๆ มาจุกที่ลำคอของเขา เดรโกไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบเธอออกไปว่าอย่างไร เพราะถ้าเฮอร์ไมโอนี่ต้องการคำตอบแค่เพียงอาการที่น่าจะมาจากการที่เขาเดินตากฝนกลับมาตลอดทางเขาก็คงตอบเธอออกไปได้ว่า เขารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้และปวดเมื่อยเนื้อตัวเท่านั้น หากแต่ถ้าเธอถามไปถึงอาการอื่นของเขารวมถึงการรักษาของเขากับเฟรย่าแล้วล่ะก็ เขาจะสามารถตอบเธอออกไปได้หรือไม่ว่าต่อไปเขาจะต้องมีชะตากรรมเป็นเช่นไร ในตอนนี้เดรโกเองก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้กับตัวของเขาเองได้ด้วยซ้ำ
               แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะตัดสินใจได้ว่าเขาควรจะตอบคำถามของเด็กสาวตรงหน้าออกไปอย่างไร เสียงเตียงที่ยวบลงทำให้มัลฟอยรู้ว่าร่างบางตรงหน้านั้นได้ลงมานั่งบนเตียงที่เขากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่แล้ว และกว่าที่เดรโกจะรู้ตัวอีกทีมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ก็ทาบลงมาบนหน้าผากของเขาเพื่อวัดไข้
               “ตัวเธอยังร้อนอยู่นะ” เด็กสาวพึมพำ “แต่ก็ดีกว่าตอนที่เธอกลับมาถึงที่นี่มาก ตอนนั้นเธอมีไข้ขึ้นสูงมากทีเดียว แต่ตอนนี้ไข้ลดลงเยอะแล้ว” เธอพูดต่อไป ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นนิ่งเงียบ ดวงตาสีซีดของมัลฟอยเงยขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวที่เขาหลงรักที่มองมาทางเขาด้วยความห่วงใยมากกว่าอะไรทั้งหมด และเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่อเขาสัมผัสถึงความห่วงใยที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อเขาอย่างไม่ปิดบังหรือมีอย่างอื่นเคลือบแฝง เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะคว้าร่างบางนั้นมากอดทันที
               “เดร….” เด็กสาวพูดได้เพียงเท่านั้นเมื่อจู่ ๆ มัลฟอยก็คว้าร่างของเธอมากอด หากแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เธอปล่อยให้เด็กหนุ่มผมบลอนด์กอดเธอแต่โดยดีและในขณะเดียวกันมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ก็ยกขึ้นโอบกอดร่างสูงของเดรโกไว้อย่างหลวม ๆ เธอสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังของเดรโกนั้นสั่นเทา หากแต่เด็กสาวก็ไม่อยากที่จะถามอะไรเขาออกไป
               พวกเขาโอบกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ร่างสูงของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเดรโก มัลฟอยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ออกจากอ้อมกอดของเขาแต่อย่างใด และในครั้งนี้เด็กสาวเองก็ไม่ได้ขัดขืนหรือปฏิเสธอ้อมกอดของเดรโกเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ มือเล็กของเด็กสาวลูบแผ่นหลังของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธออย่างปลอบโยนก่อนที่เธอจะตัดสินใจถามขึ้น
               “เธอหายไปไหนมาเหรอ เดรโก” เธอถามขึ้นเบา ๆ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบเธอเฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจพูดต่อ
               “เธอรู้รึเปล่าว่าฉันตกใจแค่ไหนที่ฉันรู้ว่าเธอออกไปบ้านไปน่ะ” เธอตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงหรือถามถึงเรื่องเสียงกรีดร้องของเขาที่เธอได้ยินก่อนที่เด็กหนุ่มจะหายตัวไป แม้ว่าเด็กสาวอยากจะรู้รวมถึงเป็นห่วงเขามากเพียงใดก็ตามแต่เธอก็เป็นห่วงความรู้สึกของเดรโกด้วยเช่นกัน
               และเมื่อได้ยินคำถามนั้นของเด็กสาวที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขาในตอนนี้ มัลฟอยก็กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก แม้ว่าคำถามนี้จะไม่ใช่คำถามที่ตอบได้ยากนักสำหรับเด็กหนุ่ม หากแต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังได้อย่างไร เขาจะเล่าให้เธอฟังได้อย่างไรว่าหลังจากนี้ ในคืนวันเพ็ญที่จะถึงนี้เขาจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว! และเมื่อถึงตอนนั้น เมื่อเธอรู้เรื่องนี้แล้ว เธอยังจะต้องการหรือแม้กระทั่งยินยอมที่จะอยู่เคียงข้างเขาเหมือนดังที่เธอเคยให้สัญญาไว้หรือเปล่านะ!
               มัลฟอยรู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลอาบแผ่นหลังและหน้าผากของเขาพร้อมกับที่เขารู้สึกถึงความกลัวที่เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายของเขา! ใช่แล้ว! เด็กหนุ่มกลัว! เขากลัวการที่เขาจะต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า เขากลัวการที่เขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะผู้ต้องคำสาปไปตลอดชีวิตของเขา หากแต่เด็กหนุ่มก็มีความกลัวที่มากกว่าการจะต้องกลายร่างเป็นหมาป่า และสิ่งที่เดรโก มัลฟอยกลัวมากกว่าอะไรทั้งหมดในชีวิตของเขาก็คือการที่เขาจะต้องสูญเสียผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก เขากลัวว่าเขาจะต้องสูญเสียเฮอร์ไมโอนี่ไปและจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดโดยปราศจากผู้หญิงที่เป็นเสมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตอันมืนมนของเขา!
               และเมื่อเดรโกรู้ว่าเขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามนี้ของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังรอฟังคำตอบของเขาอยู่ไปได้ พอ ๆ กับที่เขาก็รู้ดีว่าตัวเขาเองไม่ต้องการจะบอกความจริงทั้งหมดให้เด็กสาวรู้มากเพียงใด เด็กหนุ่มจึงกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอย่างยากลำบาก ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างที่เขาสามารถพูดได้ออกไป
               “ฉันขอโทษ” เขาพูดออกมาเพียงเท่านั้น และเมื่อเดรโกสัมผัสว่าเฮอร์ไมโอนี่น่าจะยังไม่คลายความสงสัยที่มีลงจากความเงียบงันที่ปกคลุมรอบกายพวกเขาทั้งสองอยู่นั้น มัลฟอยจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
               “ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวน่ะ แต่จริง ๆ ฉันควรจะบอกเธอก่อน เธอจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” เขาพูดออกมาอย่างระมัดระวัง และแม้ว่าแววความสงสัยจะยังไม่จางหายไปจากดวงตาสีน้ำตาลที่เด็กหนุ่มหลงรักก็ตาม แต่เด็กสาวก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา แน่นอนว่าเธอเป็นห่วงเขา แม้ว่าเขาจะเคยทำเรื่องที่ไม่อาจอภัยกับเธอลงไปก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มตรงหน้ายามที่เขาหายไป อันที่จริงเธอเป็นห่วงเขาตั้งแต่เขาออกจากห้องใต้หลังคาแห่งนี้เพื่อไปทำการรักษาแล้ว หรือแท้ที่จริงแล้วเธออาจจะเป็นห่วงเขามาตั้งแต่คืนก่อนที่เธอจะตัดสินใจขโมยไม้กายสิทธิ์ของเขาไปด้วยซ้ำ! แต่ความห่วงหาที่เฮอร์ไมโอนี่เคยมีต่อมัลฟอยก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่อาจจะเทียบได้กับความห่วงหาจนแทบจะเรียกได้ว่าร้อนรนเธอมีในตอนที่เขาหายไปเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เด็กสาวได้ล่วงรู้แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเด็กหนุ่มบ้าง รวมถึงเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องมาพบเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ถึงที่เกาะแห่งนี้ และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอคิดไปเองว่าการหายตัวไปของเดรโกในครั้งนี้อาจจะเกี่ยวกับการรักษาของเขากับเฟรย่าหรือเปล่านะ และการที่จู่ ๆ เด็กหนุ่มหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรแบบนี้มันจะหมายความว่าการรักษาของเขานั้นไม่ประสบความสำเร็จอย่างนั้นหรือ
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอแห้งผากขึ้นมา ก็ตัดสินใจถามเดรโกออกไป
               “แล้วที่เธอไปรักษากับเฟรย่ามาเป็นยังไงบ้างเหรอ” เธอถามอย่างระมัดระวัง ขณะที่ฝ่ายที่ถูกถามนั้นรู้สึกถึงความกลัวที่แล่นเข้าจับขั้วหัวใจของเขา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตอนนี้เขาโชคดีเหลือเกินที่ตอนนี้พวกเขากำลังกอดกันอยู่ไม่เช่นนั้นเด็กสาวในอ้อมกอดของเขาคงต้องได้เห็นความกลัวที่ฉายชัดออกมาทั้งทางสีหน้าและแววตาของเขาเป็นแน่!
               ในขณะที่เดรโกกำลังคิดหาคำตอบมาตอบคำถามนี้ของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีหนทางใดที่จะตอบเด็กสาวออกไปได้นอกจากบอกความจริงกับเธออยู่นั้น สายตาของมัลฟอยก็เหลือบไปเห็นผนังของห้องใต้หลังคาแห่งนี้ซึ่งเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเปลี่ยนไปจากในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง เพราะในตอนแรกผนังของห้องที่เขาจะต้องพักอาศัยในระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่นั้นเต็มไปด้วยรอยเล็บของมนุษย์หมาป่า หากแต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนเป็นผนังที่ปูวอลเปเปอร์สีเขียวแทน และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เด็กหนุ่มคิดว่าเขาอยู่ที่คฤหาสน์ของเขาในตอนที่เพิ่งจะรู้สึกตัว เพราะเท่าที่เขาจำได้ตอนที่เขาออกจากห้องใต้หลังคาแห่งนี้เพื่อไปรักษากับเฟรย่านั้นผนังเหล่านี้ยังคงเต็มไปด้วยรอบเล็บของมนุษย์หมาป่าอยู่เลย
               และเมื่อเห็นเช่นนั้นมัลฟอยก็คลายอ้อมกอดของเขาที่กอดรัดร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้ สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องที่ผนังรอบห้องอย่างประหลาดใจ ขณะที่เด็กสาวมองตามสายตาของเขาไปจนเห็นว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ เธอก็พูดขึ้น
               “คือฉันขอร้องเฟรย่าให้ร่ายมนต์เพื่อให้มันเป็นแบบนี้เองน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เธอจะทำให้เขาได้ และถึงแม้การกระทำครั้งนี้ของเธอจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ก็ตามแต่มันกลับเป็นสิ่งที่มีความหมายเป็นอย่างมากสำหรับเด็กหนุ่มตรงหน้าเธอ
               “เธอทำเพื่อฉันอย่างนั้นเหรอ” เดรโกมองเฮอร์ไมโอนี่ราวกับเขาแปลกใจในสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก ก่อนที่เด็กสาวจะตอบออกมา
               “ฉันคิดว่ามันคงจะทำให้เธอไม่สบายใจฉันก็เลย…” เด็กสาวพูดออกมาเพียงเท่านั้นเพราะในวินาทีต่อมามือใหญ่ของเดรโกก็เข้ามาสัมผัสใบหน้าของเด็กสาวที่เขาแสนรักก่อนที่เดรโกจะก้มลงและจูบเธอที่ริมฝีปาก
               จูบครั้งนี้ของเด็กหนุ่มผมบลอนด์นั้นรวดเร็วหากแต่แผ่วเบา แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะตกใจอยู่บ้างที่จู่ ๆ เขาเข้ามาจูบเธอหากแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนเขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็กสาวกับตอบแทนจูบที่แสนหวานของเด็กหนุ่มด้วยการจูบเขาตอบอย่างนุ่มนวลขณะที่เธอยกมือทั้งสองขึ้นเพื่อโอบรอบคอเดรโกราวกับเธอต้องการรั้งใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น
               ทั้งสองจูบกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มัลฟอยจะเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมา หากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ผละออกมาจากร่างงามตรงหน้าในทันที ตรงกันข้ามเขากลับใช้หน้าผากของเขาแตะหน้าผากมนของเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่ดูอบอุ่นมากกว่าดวงตาคู่ใดที่เขาเคยเห็นมา
               แต่จู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็รั้งหน้าของเธอห่างออกมาจากเดรโก เด็กสาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อแตะหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้น
               “ไข้ลดแล้วนี่” เธอพึมพำ
               “เพราะฉันได้ยาดีต่างหากล่ะ” เด็กหนุ่มพูด “สงสัยต่อไปถ้าฉันเป็นไข้เธอคงต้องรักษาฉันด้วยวิธีนี้แล้วล่ะ ฉันถึงจะได้หายไวแบบนี้” เขาพูดพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม ขณะที่เด็กสาวที่เพิ่งถูกเขาขโมยจูบไปนั้นหน้าเริ่มขึ้นสีอีกครั้ง
               “เดรโก!” เธอท้วงออกมาพลางตีเขาบา ๆ แต่เด็กหนุ่มกลับไม่รู้เจ็บซักนิด ตรงกันข้ามมือใหญ่ของเขากลับคว้ามือเล็กที่หมายจะตีเขาซ้ำเอาไว้ก่อนจะยกขึ้นมันขึ้นมาจูบพลางมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาด้วยแววตาราวกับว่าเธอเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขาก่อนจะจับมือเธอมาแนบใบหน้าของเขาพลางพูดขึ้น
               “ฉันดีใจที่เธอเป็นห่วงฉันนะ” เดรโกพูดพลางมองเด็กสาวตรงหน้าเขาด้วยแววตาที่ล้ำลึกจนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงความร้อนวูบวาบที่แก้มของเธอ
               “ฉันรักเธอ” เขาบอกรักเธอออกไป ก่อนจะคว้าร่างเล็กของเธอมากอดอีกครั้ง
               และแม้ว่านี้จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เดรโกบอกรักเธอแต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมาจากปากของทาสสาวและคนรักของเขาก็ตาม แต่เดรโกกลับไม่ใส่ใจเลยว่าเด็กสาวตรงหน้าจะรู้สึกกับเขาอย่างไรหรือแม้กระทั่งเธอจะสามารถรักเขาตอบได้หรือเปล่า เพราะในตอนนี้แค่เขารู้แล้วว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นห่วงเขาจากใจจริง แค่นี้มันก็มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับเขาแล้ว เธอไม่จำเป็นจะต้องรักเขาก็ได้ แต่การที่เธอยอมมาอยู่เคียงข้างเขา การที่เธอห่วงใยและยอมทำเพื่อเขาขนาดนี้มันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว เพราะสิ่งที่เขาได้รับในตอนนี้มันเพียงพอแล้วสำหรับการที่เขาจะเผชิญชะตาชีวิตที่โหดร้ายต่อไปได้! แม้เขาจะไม่รู้ก็ตามว่าเฮอร์ไมโอนี่ยังจะอยากอยู่เคียงข้างเขาต่อไปหรือไม่หลังจากเธอรู้ความจริงว่าเขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าหลังจากนี้ แต่ถึงกระนั้น เมื่อเวลานั้นมาถึงเดรโกก็จะพยายามทำทุกทางเพื่อเหนี่ยวรั้งเธอไว้ให้อยู่ข้างกายเขา และแน่นอนมันจะต้องมาจากความเต็มใจของเธอเองด้วยเช่นกัน เพราะเดรโกไม่ต้องการที่จะฝืนใจเธอหรือใช้กำลังกักขังเธอเยี่ยงทาสของเขาอีกต่อไปแล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะยังไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทำอย่างที่หวังได้หรือไม่ หากแต่เขาก็จะพยายามอย่างดีที่สุด เพราะมัลฟอยรู้ดีว่าถ้าหากขาดเฮอร์ไมโอนี่ไปแล้วชีวิตของเขาที่เหลืออยู่ก็คงจะไม่มีความหวังและความหมายอะไรทั้งสิ้น เพราะในตอนนี้เด็กสาวที่เขากำลังโอบกอดอยู่แนบอกนี้เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในการชีวิตต่อไปของเขา ยิ่งเมื่อเขาได้รู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ก็เป็นห่วงเขาเหมือนกันและการที่เธอยอมทำอะไรบางอย่างให้เขาโดยที่เขาไม่ได้เรียกร้องแต่อย่างใดนั้นทำให้เด็กหนุ่มมีความหวังขึ้นมามากทีเดียวว่าเธออาจจะยอมอยู่ข้างกายเขาต่อไปหลังจากเธอได้รับรู้ชะตากรรมที่เขาจะต้องเผชิญต่อจากนั้นแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นมัลฟอยก็ไม่อยากจะบอกเฮร์ไมโอนี่ถึงผลการรักษาของเขาออกไปในตอนนี้ ในเวลาที่พวกเขาทั้งสองกำลังโอบกอดกันอย่างมีความสุขอยู่ และในเวลาที่เขาเพิ่งได้รับรู้ถึงความห่วงใยและความใส่ใจที่เด็กสาวที่มีต่อเขาอย่างในตอนนี้!
               แน่นอนว่าวันหนึ่งในอนาคตเฮอร์ไมโอนี่จะต้องรู้เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของเขาต่อไป หากแต่เดรโกก็ยังไม่อยากให้มันเป็นวันนี้ แต่เด็กหนุ่มหวัง เขาหวังอย่างสุดหัวใจว่าเมื่อถึงวันที่เฮอร์ไมโอนี่ได้รับรู้เรื่องดังกล่าวแล้ว ความห่วงใยที่เธอมีต่อเขาจะมากพอที่จะทำให้เธอยอมใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวเช่นเขาต่อไปได้!
 
               ……………………………………………………………
 
               หลังจากที่ทั้งสองสวมกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาวในอ้อมแขนของเดรโกก็ผละออกจากอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม เขามองเธออย่างสงสัยหากแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าราวกับเธอเพิ่งนึกบางอย่างได้ เด็กสาวลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก แม้ว่าเดรโกจะไม่เห็นว่าเธอเดินไปทำอะไรตรงนั้นแต่ไม่นานนักเด็กสาวก็หันกลับมาพร้อมกับถาดบรรจุถ้วยยา
               “ฉันลืมให้เธอกินยาเลย” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางยกถาดบรรจุถ้วยยาสองถ้วยมาให้เขา เด็กสาวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง เธอวางถ้วยยาลงบนเตียงก่อนจะเปิดฝาของยาถ้วยแรกออก มีควันสีขาวลอยกรุ่นขึ้นมาบอกให้รู้ว่ายาถ้วยนี้ถูกต้มขึ้นไม่นานนัก หรือไม่ถ้วยยาถ้วยนี้ก็มีเวทย์มนต์ที่ทำให้ยาในถ้วยร้อนอยู่เสมอกำกับอยู่ และเมื่อเห็นสีและได้กลิ่นยาถ้วยแรกแล้วมัลฟอยก็รู้ทันทีว่ามันเป็นยาขนานเดียวกับที่สเนปปรุงให้เขา หากแต่ที่เด็กหนุ่มสงสัยคือยาทั้งหมดที่อาจารย์วิชาปรุงยาเตรียมไว้ให้เขาสำหรับการเดินทางครั้งนี้ควรจะอยู่ในกระเป๋าหนังที่เขาพกมาใช้ในการเดินทาง ซึ่งกระเป๋าใบดังกล่าวมีการลงมนตราและคาถาป้องกันการโจรกรรมทุกรูปแบบไว้ทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยิบของสิ่งใดก็ตามออกมาจากกระเป๋าได้ยกเว้นเขาซึ่งเป็นเจ้าของ ๆ มันเท่านั้นไม่ใช่หรือ และเมื่อเห็นเดรโกว่ามีสีหน้าสงสัย เฮอร์ไมโอนี่จึงพูดขึ้นหลังจากที่เธอยื่นยาถ้วยแรกให้เขา
               “ยาถ้วยนี้เฟรย่าปรุงขึ้นมาให้เธอน่ะ เป็นเพราะพวกเราไม่สามารถเอายาที่เธอพกมาออกมาจากกระเป๋าได้” เฮอร์ไมโอนี่บอกตามตรง ขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเธอพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะยกถ้วยยาในมือขึ้นดื่มให้หมดในรวดเดียว และเมื่อลิ้นของเขาได้สัมผัสรสชาติที่เหมือนน้ำฟักทองเก็บค้างปีของมันเดรโกก็รู้ทันทีว่ามันเป็นยาขนานเดียวกับที่สเนปเคยปรุงให้เขาอย่างแน่นอน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกก็รู้สึกทึ่งกับความสามารถในการปรุงยาของเฟรย่าไม่น้อย แน่นอนว่าเด็กหนุ่มรู้ดีว่าอาจารย์วิชาปรุงยาของเขาอย่างสเนปนั้นเชี่ยวชาญศาสตร์ในการปรุงยาเพียงใด หากแต่สำหรับเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ผู้นี้ มัลฟอยพูดได้เลยว่า หล่อนน่าจะมีความสามารถทางด้านการปรุงยาไม่น้อยไปว่าเซเวอรัส สเนปเลย จนกระทั่งเด็กหนุ่มไม่สามารถจะตัดสินได้เลยว่าใครเหนือกว่าใครในเรื่องของการปรุงยา เพราะแม้ว่าเฟรย่าจะไม่รู้ว่าปกติเดรโกกินยาขนานใดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเขาก็ตาม แต่หล่อนก็สามารถปรุงมันออกมาได้อย่างไร้ที่ติจนแทบจะเรียกได้ว่าถ้าหากเขาไม่รู้มาก่อนเขาคงคิดว่ายาถ้วยนี้เป็นยาที่อาจารย์วิชาปรุงยาของเขาปรุงมาให้เขาสำหรับใช้เดินทางในครั้งนี้เป็นแน่
 
               ‘ แต่ถึงหล่อนจะมีความสามารถในการปรุงยาเพียงใด หล่อนก็ไม่สามารถช่วยให้นายรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้หรอกนะ ’ เสียงเล็กนั้นดังขึ้นในหัวอีกครั้ง แต่มัลฟอยพยายามจะไม่สนใจมัน เขาพยายามจะไม่ให้ความใส่ใจกับความจริงอันโหดร้ายที่เขาจะต้องเผชิญต่อจากนี้ไป อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ตอนที่เขาเพิ่งมีช่วงเวลาที่มีความสุขกับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักแบบนี้!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโกจึงวางถ้วยยาในมือลงก่อนที่จะรับยาถ้วยที่สองมาจากเฮอร์ไมโอนี่ และเมื่อเด็กสาวเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความสงสัยของเด็กหนุ่มตรงหน้าเธอจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
               “ยาลดไข้น่ะ เฟรย่าปรุงมาให้เธอ” เด็กสาวพูดเมื่อเห็นว่ามัลฟอยรับยาถ้วยนั้นไปถือและมองมันอย่างสงสัย เด็กหนุ่มพยักหน้าทีนึงก่อนจะพูดขึ้น
               “จริง ๆ ฉันไม่จำเป็นต้องกินแล้วมั้ง ก็ฉันมียาดีอยู่แล้วนี่นา” เขาหยอก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างรู้ทัน
               “ยังไงก็ต้องกินนะ ไม่งั้นจะหายได้ยังไง” เด็กสาวพูดขึ้น และเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นที่รักของเขา เดรโกก็ยิ้มออกมา
               “เธอเป็นห่วงฉันอย่างนั้นเหรอ เฮอร์ไมโอนี่” เขาถามพลางมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยดวงตาสีเงินที่ทอประกาย แม้ว่าเด็กหนุ่มจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าเด็กสาวเป็นห่วงเขาไม่มากก็น้อยโดยดูจากท่าทีรวมถึงสีหน้าและแววตาของเธอ ถ้าเขาไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปเดรโกก็คิดว่าเขาเห็นแววความห่วงใยฉายชัดอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรัก แต่เขาก็รู้ดีว่าเฮอร์ไมโอนี่คงจะไม่ยอมรับเรื่องนี้ออกมาง่าย ๆ
               และเมื่อเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่ยอมตอบคำถามของเขาออกมา หากแต่ใบหน้าที่ขึ้นสีของเธอก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนพอแล้วสำหรับเด็กหนุ่ม เขาก็เลื่อนมือข้างที่ว่างไปกุมมือเล็กอันแสนจะอบอุ่นของเธอไว้ก่อนจะพูดขึ้น
               “ฉันดีใจนะที่เธอเป็นห่วงฉัน” เดรโกพูดขึ้นพลางจ้องมองเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของผู้หญิงคนเดียวที่เขาหลงรัก ดวงตาของเด็กหนุ่มแสดงออกถึงความรู้ดีใจออกมาอย่างชัดเจนหากแต่มันกลับแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า และแน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่สามารถสังเกตเห็นได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงที่แสดงออกมาทางแววตาสีเงินที่เธอคุ้นเคยของมัลฟอยแต่ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ไม่ได้ติดใจจนจะเอ่ยปากถามเขาออกไป ตรงกันข้ามเธอกลับพูดขึ้น
               “รีบดื่มเถอะ เดี๋ยวยาจะเย็นหมดนะ” เธอเตือน ก่อนที่เด็กหนุ่มตรงหน้าจะยกถ้วยยาในมือขึ้นดื่มจนหมดในครั้งเดียว เขาทำหน้าเหยเกเนื่องจากยาถ้วยนี้ไม่ได้มีรสชาติดีไปกว่าถ้วยแรกเลยแม้แต่น้อย หลังดื่มเสร็จมัลฟอยยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดริมฝีปากก่อนที่จะวางถ้วยยาในมือลงในถาด และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็จัดแจงยกมันไปเก็บบนโต๊ะก่อนที่เธอจะเดินกลับมาที่เตียงที่เด็กหนุ่มกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่อีกครั้ง ในคราวนี้ในมือของเธอถือน้ำหนึ่งแก้วอยู่
               เด็กสาวยื่นแก้วน้ำในมือให้เด็กหนุ่มตรงหน้า เขามองเธอก่อนจะรับมันมาดื่มพลางคิดว่าทำไมเธอถึงต้องดีกับเขาเช่นนี้นะ เพราะมีหลายครั้งแล้วที่ดูเหมือนว่าเฮอร์ไมโอนี่จะใส่ใจและดูแลเขาอย่างดีเหลือเกิน และเมื่อลองคิดให้ดีแล้วเด็กหนุ่มก็พบว่าเด็กสาวตรงหน้าดูจะใส่ใจและคอยดูแลเขาเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายแล้วด้วยซ้ำ! ที่เธอทำลงไปทั้งหมดนี่มันคืออะไรกัน เธอทำดีกับเขาเพราะว่าเธอแค่สงสารเขาเท่านั้นหรือ หรือว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น
               แม้ในใจจะนึกสงสัยอยู่มากก็ตาม แต่เดรโกก็ไม่กล้าที่จะคิดหาคำตอบในเรื่องนี้รวมถึงเขาก็ไม่กล้าถามเธอออกไปโดยตรงด้วย และเหตุผลที่เขาไม่ต้องการที่จะทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเขากลัวว่าเขาจะไม่สามารถค้นหาคำตอบของคำถามดังกล่าวได้ แต่เขากลัวว่าคำตอบที่เด็กสาวให้เขาออกมานั้นจะไม่เป็นอย่างที่เขาหวังไว้ เขากลัวเหลือเกินว่า ถ้าเขาถามเธอออกไปว่าเธอรู้สึกกับเขาอย่างไร คำตอบที่เขาได้รับมาจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะได้ยิน เขาไม่อยากจะได้ยินหรือรับรู้เลยว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้รักเขา หรือการที่เธอยอมมาทำดีกับเขาเป็นเพียงเพราะเธอสงสารเขามากกว่าที่จะรู้สึกอะไรกับเขา แม้เด็กหนุ่มจะรู้ดีว่าตัวเขานั้นหวังอยู่ตลอดให้เฮอร์ไมโอนี่รักเขาตอบบ้าง อย่างน้อย ๆ แค่เพียงเศษเสี้ยวเดียวของความรักที่เขามีให้เธอก็ยังดี แต่ถึงกระนั้นเดรโกก็กลัวเหลือเกินว่าเขาจะต้องผิดหวังหากเขาถามเธอออกไปและเด็กสาวไม่ได้ให้คำตอบที่เขาต้องการออกมา
               แม้ว่าความกลัวนี้ของเขาจะดูไม่สมเหตุสมผลนักก็ตามเพราะก่อนหน้านี้มัลฟอยเองก็รู้อยู่แล้วว่าคำตอบของเฮอร์ไมโอนี่ต่อการที่เขาสารภาพรักเธอนั้นคืออะไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาคำตอบของเด็กสาวต่อการสารภาพความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอนั้นมีเพียงความเงียบงันเท่านั้น ทุกครั้งที่เขาบอกรักเธอ ยกเว้นเพียงครั้งที่เธอจงใจบอกรักเขาเพื่อขโมยไม้กายสิทธิ์ของเขาและหนีไปเท่านั้น มีเพียงความเงียบมาตลอด แม้ว่าในภายหลังมานี้เธอจะไม่ได้ปฏิเสธเขาออกมาตรง ๆ ว่าเธอไม่ได้รักเขาเหมือนเช่นที่เขารักเธอแถมเด็กสาวยังแสดงถึงความห่วงใยที่เธอมีต่อเขาออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม หากแต่เธอก็จะนิ่งเงียบทุกครั้งที่เขาพูดคำว่ารักกับเธอออกไป ซึ่งมันก็เป็นคำตอบที่มัลฟอยเข้าใจดี ว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้รักเขาเช่นเดียวกับที่เขารักเธอเลยแม้แต่น้อย
               อันที่จริงเขาทำใจและยอมรับเรื่องนี้มาได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เด็กหนุ่มไม่สนใจอีกต่อไปว่าผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก ผู้หญิงที่เปรียบเสมือนแสงสว่างและความหมายเดียวของการมีชีวิตอยู่ของเขาจะรักเขาตอบหรือเปล่า คราบใดที่เธอยินยอมอยู่เคียงข้างเขามันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา หากแต่การที่จู่ ๆ มัลฟอยกลับรู้สึกหวาดกลัวความจริงที่ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะสามารถรักเขาได้ในครั้งนี้นั้นอาจจะมาจากการที่เขาเพิ่งเผชิญหน้ากับความผิดหวังครั้งใหญ่มา และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเดรโกจึงไม่ต้องการจะมาพบเจอผิดหวังในเรื่องที่สองอีก อย่างน้อย ๆ เด็กหนุ่มก็คิดว่าเขาคงไม่สามารถจะรับความผิดหวังในเรื่องใดได้อีกแล้วในตอนนี้ หลังจากที่เขาได้ล่วงรู้แล้วว่าไม่มีหนทางใดในการที่เขาจะรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้!
               เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อความคิดของเขาวนเวียนกลับไปคิดถึงชะตากรรมอันเลวร้ายที่เขาต้องเผชิญหลังจากนี้ไป หากแต่ขณะที่เดรโกกำลังตกอยู่ในภวังค์อยู่นั้น เขากลับไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กสาวที่เขารักได้เดินกลับไปที่โต๊ะวางของในห้องอีกครั้ง เธอหยิบอะไรบางอย่างมาจากลิ้นชักโต๊ะใบนั้นและเดินกลับมาที่เตียงที่เจ้านายของเธอกำลังนอนอยู่
               และสิ่งที่อยู่ในมือของเฮอร์ไมโอนี่นั้นคือไม้กายสิทธิ์ของเขานั่นเอง! ในแวบแรกภาพที่เดรโกเห็นนั้นดูราวกับว่าเด็กสาวกำลังชี้ไม้มาทางเขาเพื่อที่จะร่ายคาถาใส่เขา! เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ในวินาทีต่อมาเธอกลับหมุนไม้ในมือหนึ่งครั้งก่อนจะยื่นไม้กายสิทธิ์ฝั่งที่เป็นด้ามจับมาให้เขา!
               เดรโกรับไม้ของเขามาถือ พลางมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
               “เราต้องเอามันออกมาตอนที่เราถอดเสื้อคลุมของเธอออกเพื่อทำแผลให้เธอ” เด็กสาวอธิบายเรียบ ๆ พลางมองที่บาดแผลที่ไหล่ซ้ายของเด็กหนุ่มซึ่งบัดนี้ซ่อนอยู่ใต้เสื้อนอกของเขา ก่อนที่มัลฟอยจะถามขึ้น
               “ทำไมเธอไม่ใช้มันหนีไปจากที่นี่เสียล่ะ” เขาถามออกมาตามตรง ดวงตาสีเงินของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่
               “เธอก็รู้ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้” เธอตอบ หากแต่น้ำเสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปากคู่สวยนั้นกลับฟังดูแปลกแปร่งยิ่งนักราวกับว่าเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพูดมันออกมา
               “เธอหมายความว่ายังไง” เดรโกถามพลางยื่นมือใหญ่ของเขาไปกุมมือเล็กของเด็กสาวตรงหน้าเพื่อดึงให้ร่างเล็กของเธอกลับมานั่งลงบนเตียงอีกครั้ง หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระทึก หรือว่าเธอจะไม่ต้องการจากเขาไปแล้ว หรือว่าในตอนนี้เธอจะต้องการอยู่เคียงข้างเขาจริง ๆ แล้ว มัลฟอยไม่กล้าคิดเลยว่าสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดจะสามารถเป็นจริงได้ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความอึดอัดใจ
               “ฉันรู้ดีกว่าฉันไม่มีทางหนีไปได้ไกล” เธอตอบ “เพราะถ้าเธอไม่ปลดปล่อยฉันให้เป็นอิสระด้วยตัวเธอเอง เธอก็สามารถตามฉันกลับมาได้ทุกเมื่อ ใช่ไหมล่ะ” เด็กสาวพูดถึงสิ่งที่เธออ่านเจอมาจากหนังสือความลับของศาสตร์มืดที่สุดเกี่ยวกับสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ออกมา ขณะที่หัวใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าของเธอกระตุกด้วยความเจ็บปวดเมื่อได้รู้ความจริงที่ว่าการที่เฮอร์ไมโอนี่อยู่ข้างกายเขามาตลอดนั้นไม่ใช่เพราะความต้องการของเธอเองเลย หากแต่เป็นเพราะเธอไม่มีทางเลือกต่างหาก!
               แต่ถึงจะผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับมากเพียงใดก็ตาม เดรโกก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่หลังจากที่เธอพยายามดูแลเขาอย่างดีและไม่นึกรังเกียจเขาหลังจากที่เธอรู้ว่าเขาอาจจะต้องมีชะตากรรมเช่นไรต่อจากนี้ไป ตรงกันข้ามมือใหญ่ของเด็กหนุ่มกลับบีบมือเล็กของเด็กสาวแน่น ดวงตาสีเงินของเขาฉายแววเจ็บปวดออกมายามมองดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรัก
               “เธอก็รู้ว่านั่นไม่ใช่วิธีที่ฉันอยากจะใช้เพื่อรั้งเธอให้อยู่กับฉัน” เดรโกพูดออกมา น้ำเสียงของเขาฟังดูปวดร้าว “อย่างน้อยในตอนนี้ฉันก็ไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้” เขาพูดพลางลูบตราทาสบนมือของเฮอร์ไมโอนี่ผ่านถุงมือหนังที่เด็กสาวเพิ่งใส่กลับเข้าไปใหม่อย่างแผ่วเบา หากแต่คราวนี้เด็กสาวตรงหน้ากลับไม่สะดุ้งกับสัมผัสของเขาแต่อย่างใด ราวกับว่าเธอไม่ได้กลัวอีกแล้วว่าเดรโกจะลงโทษเธอด้วยการกดตราทาสบนมือ ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มไม่ได้ใช้วิธีนี้เพื่อลงโทษเธอตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงที่ไอซ์แลนด์แล้ว หรืออันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใช้มันเลยหลังจากค่ำคืนที่เขาทำสัญญาทาสกับเธอ
               ในขณะที่เจ้านายของเธอยกมือเล็กของเธอขึ้นมาและพรมจูบลงบนตราทาสที่แสดงถึงความเป็นเจ้าชีวิตของเขาที่มีต่อเธอผ่านถุงมือที่ปกปิดมันไว้อยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็นึกอะไรบางอย่างออกมาได้ เพราะการที่มัลฟอยทำแบบนี้เองที่ทำให้เด็กสาวจำเรื่องที่เกิดขึ้นในครัวก่อนหน้านี้ได้ เรื่องที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ล่วงรู้ความลับของเธอรวมถึงความสัมพันธ์ในฐานะเจ้านายและทาสระหว่างเธอและเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยเข้า และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะเอ่ยปากบอกเรื่องนี้กับเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอนั้น มัลฟอยก็ชิงพูดขึ้นก่อน
               “ฉันรักเธอ” เขาพูดถ้อยคำนั้นออกมาอย่างหนักแน่น พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวตรงหน้า มีแววลำบากใจฉายอยู่ในดวงตาคู่สวยของเฮอร์ไมโอนี่หากแต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
               “ฉันไม่ควรพูดเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ออกไปเลยใช่ไหม” เด็กสาวถามเมื่อเธอรู้สึกว่ามือใหญ่ของเดรโกเลื่อนมาสัมผัสใบหน้าเธออย่างรักใคร่ “ฉันแค่อยากบอกให้เธอรู้ว่า เหตุผลที่ฉัน…. ที่ฉันไม่ได้ทำอย่างที่ฉันเคยทำก่อนหน้านี้ก็เพราะฉันได้ให้สัญญากับเธอไว้” เธออธิบาย มีแววหนักใจเจืออยู่ในน้ำเสียงของเฮอร์ไมโอนี่หากแต่มัลฟอยพยายามไม่สนใจมัน เนื่องจากเขากำลังตั้งใจฟังคำพูดต่อไปของเธออยู่อย่างใจจดใจจ่อ
               “และฉันก็ตั้งใจจะรักษาสัญญาของฉัน” เด็กสาวพูดออกมา แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำบอกรักอย่างที่เด็กหนุ่มหวัง หรืออาจจะไม่กล้าหวังที่จะได้ยินก็ตาม หากแต่สิ่งที่เขาได้รับในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา แค่เฮอร์ไมโอนี่ตั้งใจที่จะทำตามสัญญาของเธอที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับมัลฟอย เธอไม่ต้องรักเขาก็ได้ เพียงแค่เธออยู่เคียงข้างเขาโดยไม่ทิ้งเขาไปไหน เขาต้องการเพียงเท่านั้น
               และทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่พูดจบเด็กหนุ่มก็รั้งร่างบางของเด็กสาวมาโอบกอดอีกครั้ง หากแต่คราวนี้กลับไม่ใช่การที่ทั้งเขาและเธอต่างสวมกอดกันเฉกเช่นตอนที่ทั้งคู่กอดกันเมื่อเดรโกฟื้นขึ้นมาใหม่ ๆ เพราะในครานี้เด็กหนุ่มรั้งร่างของเด็กสาวลงมาซบอยู่ที่แผ่นอกแข็งแกร่งของเขาแทน มือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้โอบกอดเขาอยู่แต่อย่างใด หากแต่มันแนบอยู่ที่แผ่นอกของเด็กหนุ่มตรงหน้า โดยมีเพียงมือใหญ่ของเดรโกที่กอดรัดร่างบางเอาไว้อย่างแนบแน่นจนร่างของทั้งสองแนบชิดกันจนทำให้เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจอีกฝ่าย มือใหญ่ของเด็กหนุ่มลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยผมหยักศกสีน้ำตาลของเด็กสาวอย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาก้มลงไปจูบเธอที่หน้าผากพลางมองเธอด้วยแววตาที่แสดงถึงความรัก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มบาง ๆ ให้เขา แม้ว่าเด็กสาวจะไม่ได้บอกว่าเธอรักเขาตอบดังเช่นที่เขารักเธอ หากแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนต่ออ้อมกอดนี้ของเขาเช่นกัน ร่างบางของเธอบัดนี้แนบชิดกับอกแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอ จมูกของเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของเขาพอ ๆ กับที่เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ มาจากร่างกายและเส้นผมของเธอ
               เดรโกรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แล่นผ่านร่างของเขาอย่างน่าประหลาด แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรรวมถึงเขาไม่สามารถพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำได้ว่าเขามีความสุขดีหลังจากที่เขาต้องเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ หากแต่เมื่อมีเฮอร์ไมโอนี่มาอยู่เคียงข้างเขาเช่นนี้แล้ว เดรโกกลับรู้สึกว่าเขาไม่ต้องการสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ราวกับว่าทั้งจิตใจและร่างกายของเขาสามารถสงบลงได้เมื่อเขาได้อยู่กับผู้หญิงคนนี้และได้รับความอบอุ่นที่เธอถ่ายทอดมาให้ เพราะเด็กสาวคนนี้เปรียบเสมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดมนของเขา เธอเป็นเหมือนความอบอุ่นต่อชีวิตที่หนาวเหน็บของเขา และเป็นดังสายน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจที่แห้งเหือดของเขาในตอนนี้
               แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่อาจแน่ใจได้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเขากับเธอหลังจากที่เขาต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขามั่นใจได้ ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็พร้อมจะเผชิญหน้ามันต่อไป เพราะถ้ามีเฮอร์ไมโอนี่อยู่เคียงข้างแล้วไม่ว่าต่อให้เขาต้องเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายเพียงใดเขาก็พร้อมที่จะยอมรับมัน และที่ยิ่งไปกว่านั้น มีอีกสิ่งหนึ่งที่เดรโกมั่นใจจนถึงมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะต้องทำให้ได้ นั่นก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะปกป้องผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักจากภัยอันตรายใด ๆ ก็ตามที่จะมาทำร้ายเธอ แม้ว่าภัยร้ายที่ว่านั้นจะมาจากตัวเขาเองก็ตาม!
 
               ……………………………………………………………
 
               คุยกันหลังอ่านนะคะ
            เป็นยังไงบ้างคะ สำหรับตอนนี้ เราใส่ฉากหวาน ๆ ลงไปเพื่อที่จะชดเชยที่ดราม่ามาหลายตอนแล้ว แต่บอกเลยนะคะว่าตอนต่อไปมีทั้งฉากหวานและเซอร์ไพร์สรออยู่ค่ะ ยังไงรอติดตามกันนะคะ
 


Create Date : 26 พฤษภาคม 2563
Last Update : 26 พฤษภาคม 2563 0:54:51 น. 3 comments
Counter : 943 Pageviews.

 
อบอุ่นหัวใจ


โดย: T_T IP: 49.237.12.104 วันที่: 5 มิถุนายน 2563 เวลา:13:20:38 น.  

 
เลิฟมั่กก รอตอนต่อไปปปป 😍


โดย: H IP: 49.48.241.198 วันที่: 6 มิถุนายน 2563 เวลา:21:57:26 น.  

 
รอตอนหน้าไม่ไหวแล้วว


โดย: Pp IP: 110.169.220.156 วันที่: 20 กันยายน 2563 เวลา:11:15:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.