Group Blog
 
All Blogs
 
เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 36 ทางเบี่ยง

               คุยกันก่อนอ่าน
 
               ไม่มีถ้อยคำไหนนอกจากจะบอกว่าขอโทษมาก ๆ ที่หายไปนาน แต่ตอนนี้กลับมาแล้วและพยายามจะมาต่อให้จบนะคะ สำหรับตอนใหม่นี้เราเพิ่งตรวจไปได้รอบเดียว แต่อยากลงแล้ว ถ้าผิดพลาดประการใดบอกกันได้นะคะ ไว้ถ้าว่างจะมาตรวจอีกรอบค่ะ ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ อ่านเสร็จช่วยเม้นแสดงความคิดเห็นหรือให้กำลังใจไรท์ด้วยน้า
ใครที่เล่นทวิตเตอร์มาคุยกับเราได้ที่ @little_piksi นะคะ

***Chapter 36 ทางเบี่ยง: Detour***
 

 
They say it's what you make, I say it's up to fate
It's woven in my soul, I need to let you go
Your eyes, they shine so bright, I wanna save that light
I can't escape this now, unless you show me how
 
Demons – Imagine Dragons
 
               ถึงแม้ว่าเดรโกจะไม่อยากละจากความอบอุ่นที่เขารู้สึกว่าเขาสัมผัสได้แค่ยามที่มีร่างเล็กของผู้หญิงที่เขารักอยู่แนบอกก็ตาม แต่เมื่อเสียงประตูเหล็กของห้องใต้หลังคาที่ทั้งสองมาอาศัยอยู่ชั่วคราวดังขึ้น เด็กหนุ่มก็รู้ทันทีที่ว่าเขาจำต้องพรากจากความอบอุ่นที่มาจากร่างบางของเฮอร์ไมโอนี่ไปชั่วขณะเมื่อเด็กสาวผละออกจากอ้อมกอดของเขาอย่างทันท่วงทีก่อนที่ประตูเหล็กบานนั้นจะส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดขึ้นอีกครั้ง
               สิ้นเสียงดังกล่าว ประตูเหล็กซึ่งเปรียบเสมือนกำแพงขวางกั้นระหว่างเขาและเฮอร์ไมโอนี่กับโลกแห่งความจริงที่เด็กหนุ่มจำต้องเผชิญก็เปิดขึ้น เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งที่กำลังจ้องมองมายังเด็กทั้งสองบนเตียงด้วยสายตาที่ไม่ได้บ่งบอกแววใด ๆ ไปมากกว่าความประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
               และขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่นั่งอยู่ไม่ได้ห่างจากมัลฟอยไปเสียเท่าไหร่บนเตียงนอนกำลังขยับตัวอย่างอึดอัดราวกับเธอเพิ่งถูกจับได้ว่าทำผิดกฎของโรงเรียนอยู่เข้าเต็ม ๆ  เฟรย่าก็พูดขึ้น
               “เธอฟื้นแล้วเหรอ คุณมัลฟอย ฉันหวังว่าเธอคงจะกินยาที่ฉันเตรียมมาให้แล้วสินะ” เฟรย่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ขณะที่เด็กหนุ่มที่กำลังอยู่บนเตียงพยายามลุกขึ้นมานั่งให้เรียบร้อยก่อนจะตอบเธอออกไป
               “ผมกินแล้ว” เขากล่าวพลางสบดวงตาสีน้ำเงินของเฟรย่าด้วยความรู้สึกอึดอัดเมื่อเขานึกถึงการเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายระหว่างเขาและหญิงสาวซึ่งในตอนนั้นหล่อนเป็นคนบอกเขาเองว่าหล่อนไม่สามารถรักษาเขาได้และเขาจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวต่อจากนี้
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจของเด็กหนุ่มก็แกว่งวูบด้วยความกลัวเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าเฟรย่าอาจจะบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการรักษาของเขาให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังในระหว่างที่เขาหมดสติอยู่ หรือไม่แน่เด็กสาวที่เขารักอาจจะเป็นคนถามหล่อนขึ้นมาเองก็ได้เพราะเขารู้ดีว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นมีนิสัยที่แก้ไม่หายคือการชอบตั้งคำถามในทุก ๆ เรื่องราวกับว่ามันฝังรากลึกในตัวของเด็กสาวไปเสียแล้ว และถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่ถามเฟรย่าออกไปถึงผลการรักษาของเขาและถ้าหากหล่อนบอกความจริงกับเธอไปล่ะว่าหล่อนซึ่งเป็นแม่มดที่ศึกษาการรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายมามากกว่าใครในโลกนี้ไม่สามารถรักษาเขาได้ และเขาจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวในคืนวันเพ็ญที่กำลังจะถึงนี้เล่า ความรู้สึกที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อเขานั้นจะเปลี่ยนไปในทางทิศทางใดกัน เพราะเด็กหนุ่มรู้อยู่เต็มอกว่าเด็กสาวไม่ได้รักเขา และอาจจะไม่มีวันรักเขาได้เนื่องจากการกระทำเลวร้ายของเขาเอง แต่เมื่อเธอรู้ความจริงว่าเดรโกจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าหลังจากนี้แล้ว สายตาที่เคยมองเขาซึ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกลัวหรือรังเกียจหรือไม่!
               หลังจากที่เขาปล่อยให้จิตใจของตนเองล่องลอยไปกับความคิดที่ไม่น่ารื่นรมย์ดังกล่าวแล้วนั้น เดรโกก็รู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดขึ้นตามไรผมของเขาเมื่อเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เยื้องย่างเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาและเฮอร์ไมโอนี่ ดวงตาสีเงินของเขาซึ่งเงยหน้ามองหญิงสาวผมดำนั้นฉายแววหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
               หากแต่ประโยคที่เด็กหนุ่มได้ยินว่ามันถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาวตรงหน้านั้นไม่ใช่ความจริงที่เขาอยากจะหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด หากแต่เป็นคำพูดที่แสนจะธรรมดาเกินกว่าที่จะออกมาจากริมฝีปากของเฟรย่าในยามนี้ได้
               “เธอรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงและแววตาราวกับว่าสิ่งเดียวที่หล่อนสนใจในตอนนี้ก็คือสุขภาพของเด็กหนุ่มเพียงเท่านั้น และมันต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่เดรโกจะตอบคำถามนั้นของหล่อนออกมาได้
               “ผมดีขึ้นแล้ว” เขาตอบออกไป และสิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มที่ดูลึกลับและเยือกเย็นของอีกฝ่าย รอยยิ้มที่สามารถตีความหมายเผิน ๆ ได้ว่าหล่อนพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน หากแต่ถ้ามองลึกเข้าไปในดวงตาสีราวกับทะเลสาบของเฟรย่าแล้ว เดรโกสาบานว่ามันมีความหมายมากกว่านั้นแฝงอยู่ในรอยยิ้มรวมถึงดวงตาของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านที่กำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ใน ณ ขณะนี้
               “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” เฟรย่าตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ขัดกับรอยยิ้มลึกลับของเธอ ก่อนที่จะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่
               มัลฟอยรู้สึกราวกับหัวใจของเขาจะหยุดเต้นเมื่อขณะที่เขารอฟังสิ่งที่เฟรย่าจะพูดออกมาต่อ
               “ฉันทำอาหารเย็นไว้ให้เธอทั้งสองคนแล้ว เธอคิดว่าเธอพอจะลงไปที่ห้องอาหารไหวไหม คุณมัลฟอย” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าที่ราบเรียบราวกับสิ่งที่เธอสนใจอย่างเดียวในตอนนี้คือการแน่ใจว่าเด็กทั้งมองจะอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเย็นหรือไม่เท่านั้น
               เด็กหนุ่มผมบลอนด์รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของหญิงสาวเป็นครั้งที่สอง หากแต่เขาก็เลือกที่จะตอบออกไปอย่างรวดเร็วมากกว่าครั้งแรกมากนักว่า “ผมคิดว่าผมลุกไหว”
               ทันทีที่พูดจบเด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็พยายามจะลุกขึ้นจากเตียง ขณะที่เด็กสาวข้างกายเขารุดเข้ามาประคองเขาทันที โดยมีเฟรย่ามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความพอใจ แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ก็ตาม
               “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ถึงยังไงเธอก็ต้องระวังหน่อยนะ คุณมัลฟอย เธอเพิ่งหายจากไข้มา เธอไม่ควรจะออกไปทำอะไรเสี่ยง ๆ ตอนนี้” หญิงสาวเตือนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่บอกเขาว่าหล่อนหมายความตามที่พูดจริง ๆ และเมื่อมัลฟอยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยอันแสนจะลึกลับของหล่อนแล้วนั้น เขาก็เข้าใจทันทีว่าเฟรย่าต้องการจะบอกอะไรกับเขา
               หญิงสาวรู้ดีว่าหล่อนรักษาเขาไม่ได้ เพราะว่าอาการของเขานั้นเกินขอบเขตที่หล่อนจะรักษาได้ไปเสียแล้ว พอ ๆ กับที่หล่อนรู้ดีว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เดรโกก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาสามารถออกจากบ้านหลังนี้ ออกจากเกาะกริมซีย์ และเดินทางกลับไปที่อังกฤษ ไปที่คฤหาสน์ของเขาได้ในทันที เพราะการอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้สร้างประโยชน์ให้แก่เด็กหนุ่มแต่อย่างใด แต่ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วนั้น เขาคงยังไม่สามารถออกจากที่นี่ในตอนนี้ได้เป็นแน่ และมันก็เป็นเพราะความดื้อดึงของเขาเองที่ยอมให้ตัวเองเดินตากฝนมาตลอดระยะทางจากหน้าผากลับมาที่บ้านหลังนี้ และในสภาพร่างกายที่เพิ่งฟื้นไข้ของเขาในตอนนี้ ยังไม่นับอาการเริ่มต้นของคนที่กำลังจะกลายเป็นมนุษย์หมาป่าอีก มันออกจะไม่ฉลาดเท่าไหร่ที่เขาจะเดินทางกลับอังกฤษในตอนนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ในวันนี้แน่นอน และเฟรย่าก็ฉลาดพอที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาโดยหลีกเลี่ยงการทำให้เฮอร์ไมโอนี่ล่วงรู้ถึงความจริงอันโหดร้ายที่ว่าหล่อนไม่สามารถรักษาเดรโกได้ออกไป
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วเด็กหนุ่มก็เบาใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเด็กสาวที่เขารักจะล่วงรู้ข่าวร้ายจากเฟรย่า อย่างน้อย ๆ ก็ก่อนที่เขาจะเป็นคนบอกเธอด้วยตัวของเขาเอง หากแต่เดรโกก็ไม่อาจจะตอบตัวเองได้เหมือนกันว่าเขาจะมีความกล้าพอที่จะบอกเฮอร์ไมโอนี่ถึงข่าวร้ายที่เขาเพิ่งได้รับออกไปหรือไม่
 
               ‘อย่างน้อย ๆ ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้น’ เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่มบลอนด์ราวกับมันต้องการช่วยกลบความกลัวและความกังวลอันมากมายมหาศาลของเขาต่อการเปิดเผยความจริงที่โหดร้ายนี้ให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักรู้ ซึ่งความกลัวในตรงนี้อาจจะมีมากกว่าความกลัวในการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าของเขาเองด้วยซ้ำ!
               เพราะถึงแม้ว่าเดรโกจะรู้ดีว่าเฮอร์ไมโอนี่เคยให้สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปก็ตาม ถ้าหากเขารักษาสัญญาของเขาเช่นกัน แต่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเขาจะรู้สึกหรือควรทำเช่นไร หากแววตาอันอ่อนโยนที่เด็กสาวเคยใช้มองเขานั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจเดียดฉันท์!
               แต่ก่อนที่มัลฟอยจะได้มีโอกาสปล่อยให้จินตนาการในแง่ร้ายของเขาโลดแล่นไปมากกว่านั้น เสียงอ่อนโยนของเด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขาก็ดังขึ้น หากแต่มันช่างแผ่วเบาและฟังดูลังเลยิ่งนัก
               “เดรโก….” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นขณะที่มือเล็กของเธอเลื่อนมาแตะแขนของเขาราวกับเธอต้องการช่วยให้เขาลุกขึ้นยืนอย่างที่เขาตั้งใจจะทำก่อนหน้านี้ แต่เด็กหนุ่มกลับนิ่งเฉยต่อเสียงเรียกนั้นของเด็กสาว ตรงกันข้ามเขากลับเลือกที่จะนั่งอยู่บนเตียงอย่างเดิมและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ดูยากจะอ่านของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์
               “ครับ” เขาตอบเพียงเท่านั้น ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยมากที่สุดเท่าที่เขาจะบังคับให้มันเป็นได้ และเมื่อได้ยินคำตอบของเขาแล้วเฟรย่าก็พยักหน้าอย่างพอใจ
               “ฉันจะลงไปรอพวกเธอที่ห้องอาหารแล้วกันนะ เราจะได้ทานอาหารเย็นพร้อมกัน” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่ารื่นเริง ราวกับว่าการทานมื้อเย็นของพวกเขานั้นเป็นการมาอยู่พร้อมหน้ากันของครอบครัวก็ไม่ปาน
               หลังจากพูดจบร่างสูงของผู้เป็นเจ้าของบ้านก็หันหลังกลับไปยังทิศทางเดียวกับที่เธอเพิ่งเดินมา หากแต่ขณะที่หญิงสาวผมดำกำลังเดินผ่านโต๊ะหนังสือที่เป็นเครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้นในห้องไปนั้น ร่างนั้นก็หยุดชะงัก สายตาของเฟรย่าปรายไปมองหนังสือเล่มหนึ่งในบรรดาหลายเล่มที่เดรโกซื้อให้เฮอร์ไมโอนี่ตอนที่พวกเขาไปแวะค้างคืนที่เมืองดัลวิกซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะตัวนั้น มือเรียวของหญิงสาวผมดำเลื่อนไปสัมผัสปกหนังสืออย่างแผ่วเบาก่อนที่หล่อนจะหันมาพูดกับเด็กสาวที่บัดนี้นั่งอยู่บนเตียงข้าง ๆ เดรโก
               “เธอเลือกได้ดีนะ” หญิงสาวพูดเพียงเท่านั้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่มีท่าทีแปลกใจกับคำพูดนั้นของเฟรย่าไม่น้อยเลือกที่จะตอบถ้อยคำนั้นออกไปสั้น ๆ ว่า
               “ขอบคุณค่ะ” และเมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก็หันมาส่งยิ้มที่แสนจะลึกลับให้กับเด็กทั้งสองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะพาร่างสูงระหงเดินลงจากห้องใต้หลังคาไป
 
               ……………………………………………………………
 
               หลังจากที่แน่ใจว่าเฟรย่าออกไปจากห้องรวมถึงแน่ใจว่าประตูห้องปิดสนิทแล้วนั้นเดรโกก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังพยายามจะทำอะไรเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกายเขาก็รีบเข้ามาประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ทันที และแม้ว่ามัลฟอยจะต้องการแสดงออกว่าเขาแข็งแรงพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือของเฮอร์ไมโอนี่แต่อย่างใด และแม้ว่าเด็กสาวจะเห็นว่าเด็กหนุ่มสามารถลุกขึ้นยืนได้โดยไม่มีอาการโงนเงนแล้วก็ตาม แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาออกมา
               “เธอโอเคมั๊ย” เฮอร์ไมโอนี่ถาม เดรโกยิ้มให้กับคำพูดนั้นของเธอ
               “ฉันไม่เป็นไร เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดพลางยิ้มให้เธอเพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นไรจริง ๆ หากแต่รอยยิ้มที่เขาไม่แน่ใจว่ามันแนบเนียนเท่าไหร่ของเขานั้นอาจจะไม่พอที่จะทำให้เด็กสาวตรงหน้าเบาใจลงเท่าไหร่นัก เพราะเธอยังคงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงอยู่
               “แต่ไข้เธอเพิ่งลดนะ แล้วก็.....” ไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดจบ เดรโกก็พูดขึ้น
               “ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มผมบลอนด์กล่าว และเมื่อเขาเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อคำพูดของเขาเท่าไหร่นัก เขาจึงพูดต่อ “หรือจะต้องให้ฉันพิสูจน์ว่าฉันแข็งแรงดีด้วยการจูบเธออีกรอบ”
               เมื่อเขาพูดเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าขึ้นสีอีกครั้งก็ยกมือขึ้นมาตีแขนเขา “เดรโก!” หากแต่ไม่ทันที่เด็กสาวจะทำอะไรไปมากกว่านั้น มัลฟอยก็คว้าร่างบางของเธอเข้ามาโอบกอดไว้อีกครั้ง พลางจ้องลึกเข้าไปดวงตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรักคู่นั้น
               “ฉันดีใจนะที่เธอเป็นห่วงฉันขนาดนี้” เด็กหนุ่มพูด
               “เธอก็รู้ว่าฉันเป็นห่วงเธอ เดรโก ฉัน……” เฮอร์ไมโอนี่ชะงักไปก่อนที่เธอจะพูดจบ ราวกับว่าเด็กสาวไม่แน่ใจว่าเธอควรจะพูดคำพูดต่อไปออกมาดีหรือไม่ หากแต่เมื่อเธอเห็นดวงตาสีเงินของฝ่ายตรงข้ามที่จ้องมองมาทางเธอและพบว่ามันแสดงออกถึงความรักที่เด็กหนุ่มมีต่อเธอออกมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วนั้น เด็กสาวพูดตัดสินใจพูดออกมา
               “ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่ตอนเธอหายไป เธอก็น่าจะรู้” เฮอร์ไมโอนี่อ้อมแอ้มพูดออกมา ขณะที่เธอรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวเพียงแค่เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอจ้องมองเธอเท่านั้น และเธอก็เลือกที่จะแสร้งมองไปที่อื่นแทนที่จะสบสายตาที่แสดงถึงความรักของฝ่ายตรงข้ามออกมาอย่างไม่มีปิดปัง
               หากแต่ถ้าเฮอร์ไมโอนี่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินคู่นั้นของเดรโกนานกว่านี้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว เด็กสาวก็คงสามารถเห็นร่องรอยแห่งความกังวลใจที่ปรากฎชัดในแววตาของเด็กหนุ่ม อย่างที่เรียกได้ว่ามันชัดเจนไม่แพ้ตอนที่เขาใช้มันแสดงถึงความรักที่มีต่อเธอออกมาเลย
               แม้จะไม่เห็นแววตาที่แสดงถึงความกังวลออกมาอย่างชัดเจนของร่างตรงหน้าก็ตาม แต่เด็กสาวผู้กำลังตกอยู่ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไป เพราะเมื่อเฮอร์ไมโอนี่เห็นว่าเดรโกไม่โต้ตอบในสิ่งที่เธอพูดออกมา ดวงตาสีน้ำตาลของเธอจึงเงยขึ้นมาสบตาร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไรออกไปนั้น เด็กหนุ่มก็ชิงพูดสิ่งที่เป็นการตอบคำถามของเธอออกมาเสียก่อน
               “ฉันขอโทษ เฮอร์ไมโอนี่ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ทำให้เธอเป็นห่วงแบบนั้นอีก” เดรโกพูดออกมาอย่างราบเรียบ พลางยิ้มบาง ๆ ให้เธอ หากแต่ในขณะที่กำลังพยายามทำท่าทีให้ปกติมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้อยู่นั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดขึ้นตามไรผมสีบลอนด์ของเขายามที่เขาต้องโกหกเด็กสาวตรงหน้าออกไปอีกครั้ง เพราะถึงแม้ว่ามัลฟอยจะให้สัญญากับผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดไปเพิ่มไปอีกข้อก็ตาม แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะสามารถรักษาสัญญานี้ไว้ได้นานเท่าไหร่!
               และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้มีท่าทีติดใจอะไรกับท่าทางของเด็กหนุ่ม หรืออย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ได้ติดใจพอที่จะถามออกมาแล้วนั้น เขาก็รีบพูดขึ้น
               “ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย แล้วเราค่อยลงไปกินข้าวกันดีไหม” มัลฟอยพูดขึ้นอย่างราบเรียบ ขณะที่เด็กสาวที่อยู่ในฐานะคนรักและทาสของเขาพยักหน้าให้ ก่อนจะตั้งท่าเดินไปหยิบเสื้อผ้าของเดรโกและของเธอที่เธอจัดวางไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องนี้หลังจากที่พวกเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน แต่เดรโกกลับห้ามเขาไว้ก่อน
               “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันทำเอง” เขาพูดออกไป และเมื่อเด็กสาวผมสีน้ำตาลหันกลับมามองเขาอย่างไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มจึงอธิบายให้เธอฟัง ขณะที่เขาเดินไปหาเธอที่หน้าตู้เสื้อผ้า เขาจ้องลึกเข้าในแววตาสีน้ำตาลที่เขาหลงรักก่อนจะพูดออกมา
               “ฉันไม่อยากให้เธอต้องมารับใช้ฉันเหมือน……” เดรโกชะงักที่คำพูดนั้น “เหมือนคนรับใช้ฉันอีกต่อไปแล้ว เพราะในตอนนี้ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นคนรับใช้หรือแม้กระทั่งทาสของฉันอีกต่อไปแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสายตาที่บอกว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมาเป็นอย่างดี
               “ฉันต้องการให้เธอเป็นคนรักของฉัน” เขาพูดออกไปอีกครั้ง แม้ว่าคำพูดนี้จะแสดงถึงความปรารถนาที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเด็กหนุ่มก็ตาม หากแต่เขากลับรู้สึกว่าเขาพูดมันออกมาให้อีกฝ่ายได้ยินบ่อยเหลือเกินตั้งแต่พวกเขาออกเดินทางมาด้วยกัน ราวกับว่าตัวเด็กหนุ่มเองไม่สามารถเก็บความปรารถนานี้ไว้ในใจได้อีกต่อไปแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ในตอนที่เขาเพิ่งค้นพบว่าเขาจะต้องเผชิญชะตากรรมที่มืดมนไปตราบจนตลอดชีวิตของเขา
               เด็กสาวตรงหน้าไม่พูดอะไรออกมา หากแต่เธอมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาที่เกือบจะแสดงออกว่าเธอเห็นใจเขาเพียงเท่านั้น
               “ฉันรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้” เด็กหนุ่มพูดออกมาสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามจะบังคับให้มันฟังดูไม่สั่นเครือ หากแต่เขาก็ไม่สามารถบังคับตัวได้นานนัก จนในที่สุดเขาเลือกที่จะคว้าร่างตรงหน้ามากอดอีกครั้งเพื่อซ่อนใบหน้าที่แทบจะแตกสลายไปด้วยความเศร้าของเขาไม่ให้เธอเห็น
               แต่ถึงเดรโกจะทำเช่นนั้น มันก็ไม่อาจจะซ่อนร่างใหญ่ที่สั่นเทาของเขาจากสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังโอบกอดเขาตอบได้ อย่างน้อย ๆ เธอก็ได้รับรู้ถึงความโศกเศร้าและสิ้นหวังของเด็กหนุ่มตรงหน้า และได้รับรู้ว่านี่เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงนั้นไม่สามารถทนรับต่อความเศร้าไว้ได้จนเขาต้องปลอดปล่อยมันออกมา ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางความเงียบอยู่เนิ่นนาน หากแต่เด็กสาวกลับไม่ได้พูดอะไรออกมามากไปกว่าการใช้มือเล็กของเธอลูบแผ่นหลังที่สั่นเทาของเด็กหนุ่มตรงหน้า และหลังจากผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง หลังจากเดรโกรู้สึกว่าความเศร้าเริ่มจางหายไปบ้าง และเขาเริ่มกลับมาควบคุมสติได้แล้วนั้น อยู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็ทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาโดยการเอ่ยปากพูดออกมา
               “ฉันก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” เสียงนุ่มนวลของเด็กสาวล่องลอยไปกระทบประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่มที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเท่าไหร่นัก แม้ว่านี่จะไม่ใช่การบอกรักเขาตอบอย่างที่เขาปรารถนาจะได้ยินมาตลอดตั้งแต่เขารู้ตัวว่าเขาหลงรักเด็กสาวเลือดสีโคลนคนนี้เข้าจนหมดหัวใจแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ คำพูดนี้ของเฮอร์ไมโอนี่มันก็พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจที่เหือดแห้งของเขาให้เต้นต่อไปได้อีกหน่อย หรืออย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้เด็กหนุ่มเชื่อว่าตัวเขาคิดไม่ผิดที่เลือกที่จะกลับมาเพื่อเผชิญหน้าอุปสรรคนานัปประการที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของเขา รวมทั้งของเธอด้วย เพราะถึงอย่างไรก็ตาม ถ้อยคำที่ใกล้เคียงกับการบอกรักมากที่สุดเท่าที่เดรโกเคยได้รับจากเฮอร์ไมโอนี่ในครี้งนี้มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือการปกป้องผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงที่จะเข้ามาทำร้ายเธอ แม้ว่ามันจะรวมถึงอันตรายที่มาจากตัวเขาเองด้วยก็ตาม!
 
               ……………………………………………………………
 
               หลังจากต้องใช้เวลาสักครู่เพื่อสงบสติอารมณ์และเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ในไม่ช้าเด็กทั้งสองก็ลงไปปรากฏตัวที่ห้องอาหารก่อนที่เฟรย่าจะขึ้นมาตามทั้งสองเสียก่อน และวินาทีแรกที่ทั้งสองก้าวลงมาจากห้องใต้หลังคาสิ่งที่ทั้งเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่สัมผัสได้นั้นก็คือกลิ่นหอมอบอวลที่ลอยมาจากห้องอาหาร
               บนโต๊ะอาหารที่เฮอร์ไมโอนี่เคยใช้มันทานอาหารกลางวันกับเฟรย่าก่อนหน้านี้นั้นเต็มไปด้วยจานอาหารนานาชนิดที่ส่งกลิ่นหอมฉุย สำหรับหญิงสาวผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นกำลังง่วงอยู่กับการเสกให้จานอาหารจานแล้วจานเล่าลอยมาวางบนโต๊ะอย่างประณีต และเมื่อเฟรย่าสังเกตเห็นการมาถึงของแขกทั้งสองแล้วนั้น หล่อนก็รีบพูดขึ้นหลังจากสะบัดไม้กายสิทธิ์ให้จานเปล่าทั้งสามใบร่อนลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล
               “ฉันว่าจะไปตามพวกเธออยู่พอดีเลย นั่งลงสิจ๊ะ” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แลดูเชิญชวนและลึกลับในคราเดียวกัน และถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่รู้อยากอาหารเท่าใดนักก็ตาม แต่เดรโกก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับว่าการได้กลิ่นอาหารหอมฉุยเหล่านี้มันทำให้เขาเพิ่งนึกได้ตอนนี้เขารู้สึกหิวเพียงใดหลังจากไม่มีอาหารตกถึงท้องเขามาตั้งแต่หลังมื้อเช้าแล้ว
               และเมื่อไม่เห็นทางเลือกใดนอกจากจะรักษาร่างกายของเขาให้แข็งแรงเพื่อปกป้องผู้หญิงที่เขารักต่อไป เดรโกก็เลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งขณะที่เฮอร์ไมโอนี่นั่งหมิ่น ๆ ลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เขา เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเหยือกน้ำที่เฟรย่าเสกให้มาเทเครื่องดื่มลงในแก้วของเธอก่อนที่มันจะลอยไปเทเครื่องดื่มให้แก้วของเดรโกต่อ ขณะที่เด็กหนุ่มสำรวจอาหารที่อยู่ตรงหน้า
               “ฉันทำซันเดย์โรสไว้ให้พวกเธอด้วยนะจ๊ะ เผื่อว่าพวกเธอจะคิดถึงอาหารอังกฤษขึ้นมา” เฟรย่าพูดอย่างเชื้อเชิญ ก่อนจะร่ายเวทมนตร์ให้เมนูดังกล่าวลอยมาวางตรงหน้าเด็กทั้งสอง ขณะที่เด็กหนุ่มผู้ซึ่งไม่แน่ใจว่าวันนี้เป็นวันไหนของสัปดาห์กันแน่มองอาหารตรงหน้าราวกับว่ามันเป็นแค่เครื่องมือฟื้นฟูกำลังวังชามากกว่าสิ่งที่จะให้ความสุขในการลิ้มรส ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมา
               “ขอบคุณครับ” เขาพูดเพียงแค่นั้น ก่อนที่จะลงมือกินซันเดย์โรสของเขา แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาจากที่นั่งข้าง ๆ แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมามากนัก อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ต่อหน้าเจ้าของบ้านผมดำที่กำลังมองทั้งสองด้วยสายที่แทบจะเรียกได้ว่าประเมิน แต่เมื่อเห็นว่าร่างข้าง ๆ ยังคงส่งสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงมาทางเขาอยู่ดี เด็กหนุ่มจึงหันไปพูดกับทาสสาวและคนรักของเขา
               “ทานกันเถอะ” เขาพูดกับเฮอร์ไมโอนี่เพียงเท่านั้น และเมื่อเห็นเช่นนั้นทั้งเด็กทั้งสองซึ่งอยู่ในฐานะแขกของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็ลงมือกินอาหารมื้อเย็นกันเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาของแม่มดผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งจ้องมองจากอีกฝั่งของโต๊ะอาหารมายังทั้งสองด้วยแววตาราวกับว่าหล่อนกำลังจับตาดูพวกเขาอย่างใกล้ชิดก็ไม่ปาน
 
               ……………………………………………………………
 
 
               ในเวลาไม่นานนักทั้งเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่ก็อิ่มหนำกับอาหารมื้อเย็นแบบฉบับอังกฤษฝีมือเฟรย่า ถึงแม้ว่าทั้งสองจะออกจากอังกฤษอันเป็นบ้านเกิดของทั้งคู่มาได้เพียงไม่กี่วันก็ตาม แต่การได้มากินอาหารต้นตำรับอังกฤษแบบนี้มันก็ทำให้เดรโกรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมาไม่น้อย แม้เด็กหนุ่มจะรู้ดีว่ามีอุปสรรคหลายอย่างที่เขาต้องเผชิญเมื่อเขากลับไปถึงคฤหาสน์ของเขาก็ตาม
               ขณะที่ในใจของเด็กหนุ่มครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องประสบพบเจอเมื่อเขาและเฮอร์ไมโอนี่เดินทางกลับไปยังคฤหาสน์ของเขาอยู่นั้น ทำให้เสียงของเฟรย่าที่เอ่ยถามทั้งสองว่าต้องการกินของหวานหรือไม่นั้นเหมือนจะลอยมาจากที่ไกลแสนไกล ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงเด็กสาวที่เรียกชื่อเขา
               “เดรโก.....เดรโก…..” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยขึ้นเบา ๆ เด็กหนุ่มหันไปหาเธอทันที
               “เฟรย่าถามน่ะว่าเธออยากจะกินของหวานหรือเปล่า” เธอกระซิบ และมันต้องใช้เวลาอยู่หลายวินาทีแน่ ๆ กว่าที่คำพูดนั้นจะซึมซับเข้าสู่สมองของเดรโกที่คิดเรื่องอื่นอยู่ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเด็กหนุ่มรู้ตัว เขาก็ตอบเด็กสาวออกไปในทันที
               “แล้วเธออยากกินหรือเปล่าล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
               “ฉันอิ่มแล้วแหละ แล้วเธอล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ และหลังจากคิดอยู่ไม่นานเขาก็หันไปตอบคำถามนั้นกับผู้เป็นเจ้าของบ้านแทน
               “ผมก็อิ่มแล้ว ขอบคุณนะ พวกเราขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อน” เขากล่าวตัดบท ราวกับว่าการพักผ่อนเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ แต่ก่อนที่เด็กทั้งสองจะลุกจากโต๊ะอาหารและเดินออกจากห้องไปนั้น เฟรย่าก็รั้งพวกเขาไว้ก่อนเมื่อหล่อนพูดขึ้น
               “ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย คุณมัลฟอย” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านพูดขึ้น
               ตรงกันข้ามกับหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้าน เด็กหนุ่มผมบลอนด์กลับคิดว่าเขากับเฟรย่านั้นไม่เหลืออะไรให้ต้องพูดคุยกันอีกแล้ว และมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะต้องไปคุยกับหล่อนเป็นการส่วนตัวอีก นับตั้งแต่หล่อนบอกว่าอาการของเขาหมดทางรักษาแล้ว และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงพูดออกไป
               “ผมไม่คิดว่า…..” ไม่ทันที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์จะได้พูดจนจบ หญิงสาวผมดำก็ขัดขึ้นเสียก่อน
               “ถ้าคุณจะกรุณา คุณมัลฟอย ฉันสัญญาว่าฉันจะรบกวนเวลาคุณไม่นาน” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่หนักแน่น แววตาสีน้ำเงินที่เหมือนกับทะเลสาบหล่อนที่มองเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นราวกับจะบอกว่าสิ่งที่หล่อนต้องการจะพูดกับเขาเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
               และเมื่อเห็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะจินตนาการไม่ออกเลยว่ามีเรื่องอะไรที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ต้องการจะพูดคุยกับเขาอีก เดรโกก็ตัดสินใจหันไปบอกเด็กสาวข้างกาย
               “เธอขึ้นไปรอบนห้องก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะตามไป” เขาหันไปพูดกับเฮอร์ไมโอนี่ที่มองเขาด้วยสายที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ หากแต่เธอก็ยอมทำตามแต่โดยดี
               และเมื่อเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าพยักหน้าตอบตกลงกับคำขอของเขาแล้วนั้น เดรโกก็หันกลับไปทางร่างสูงของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก่อนจะพูดขึ้น
               “ตกลงครับ” เด็กหนุ่มพูดออกมา และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฟรย่าจึงผายมือในเชิงเชื้อเชิญเขาพร้อมกับพูดขึ้น
               “เชิญที่ห้องทำงานฉัน คุณมัลฟอย” หญิงสาวกล่าว ขณะที่เดรโกพยักหน้าและเดินตามเฟรย่าไปติด ๆ หากแต่ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องอาหารไปนั้นเด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเด็กสาวผู้เป็นที่รักที่กำลังจะเดินออกจากห้องอาหารไปเพื่อค้นพบว่าอีกฝ่ายเองก็หันกลับมามองทางเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน
 
               ……………………………………………………………
 
               หลังจากที่ทั้งเขาและเฟรย่าเข้ามาอยู่ในห้องทำงานของหญิงสาวเรียบร้อยแล้วนั้น เฟรย่าก็เลือกที่จะร่ายคาถากันรบกวนขึ้น ขณะที่เดรโกขมวดคิ้วให้กับการกระทำนั้น เพราะเด็กหนุ่มจำได้ว่าในตอนที่เฟรย่าให้เขาดื่มยาเพื่อทดสอบว่าพิษหมาป่ากระจายไปทั่วร่างของเขาแล้วหรือยังนั้นหญิงสาวไม่ได้เดือดร้อนที่จะร่ายคาถากันรบกวนเลยสักนิด แม้หล่อนจะรู้ดีกว่า เขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรหลังจากดื่มยาขนานนั้นเข้าไป ซึ่งคำตอบก็คือเด็กหนุ่มต้องทนทุกข์ทรมานและกรีดร้องอย่างทุรนทุรายจากความเจ็บปวดประหนึ่งเขาได้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาเข้าจริง ๆ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของตำรับยาขนาดนั้นก็เลือกที่จะไม่ร่ายคาถากันรบกวนที่สามารถป้องกันไม่ให้เสียงร้องของเราเล็ดลอดออกไปจากห้องทำงานแห่งนี้ไปได้แต่อย่างใด แล้วทำไมตอนนี้หล่อนถึงอยากจะร่ายคาถากันรบกวนเพื่อปกป้องการพูดคุยที่ไม่น่าจะส่งเสียงรบกวนใด ๆ มากไปกว่าเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดทรมานที่เขาต้องเผชิญก่อนหน้านี้กันเล่า!
               แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ถามอะไรออกไปนั้น หญิงสาวผมดำผู้เป็นเจ้าของบ้านก็พูดขึ้น
               “เชิญนั่งก่อนสิ” เฟรย่าผายมือไปยังเก้าอี้ตัวเดิมที่เด็กหนุ่มเคยนั่งมาก่อนในตอนที่เขาได้รับฟังข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเขาจากปากของหล่อนเอง และเมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุยกับแม่มดผมดำคนนี้เท่าไหร่อยู่แล้วก็เลือกที่จะปฏิเสธคำเชิญนั้น
               “ไม่ล่ะ ขอบคุณ” เขาพูด หากแต่เฟรย่ากลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม ราวกับว่าการนั่งลงของเขานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการพูดคุยกันครั้งนี้ระหว่างเขาและหล่อน
               “กรุณานั่งลงก่อน คุณมัลฟอย” แม้ว่าน้ำเสียงที่เฟรย่าเอ่ยออกมาจะหนักแน่น หากแต่แววตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบของหล่อนที่ปรกติจะดูลึกลับนั้น ครานี้มันกลับเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจจนเดรโกรู้สึกถึงความอึอดอัดที่แผ่ออกมาจากสายตาที่หล่อนใช้มองเขา และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจยอมทำตามคำขอเล็ก ๆ ของแม่มดผู้เป็นเจ้าของบ้านแต่โดยดี
               หลังจากแน่ใจว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นแขกนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว เฟรย่าจึงเดินอ้อมไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทำงานของหล่อนด้วยท่าทีชดช้อย หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว แม่มดสาวก็เอนกายมาด้านหน้าราวกับหล่อนไม่ต้องการให้มีพื้นที่ขวางกั้นระหว่างเขาและพ่อมดหนุ่มตรงหน้ามากนัก ก่อนจะเงยหน้ามองร่างตรงหน้าด้วยสายตาที่ผสมปนเปไประหว่างความอึดอัดและความเห็นอกเห็นใจ หากแต่หญิงสาวก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาในทันที
               “คุณเป็นคนบอกว่าคุณมีเรื่องจะต้องคุยกับผมเองนะ” เดรโกพูดทำลายความเงียบออกมาเมื่อเขาเห็นว่าแม่มดสาวตรงหน้าไม่ยอมเอ่ยปากพูดธุระของหล่อนออกมาเสียที เฟรย่าหลบตาเขาก่อนด้วยท่าทีลำบากใจก่อนจะพูดขึ้น
               “ใช่ คุณมัลฟอย ฉันมีเรื่องพูดกับเธอเป็นการส่วนตัว” หล่อนพูด
               “คุณเลยต้องร่ายคาถากันรบกวนขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ คุณมีอะไรจะคุยกับผมกันแน่คุณถึงกลัวว่าจะมีใครมาแอบฟังแบบนี้” เด็กหนุ่มถามออกมาตามตรง แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าคนที่เฟรย่าไม่ต้องการจะให้มารบกวนหรือมารับรู้บทสนทนานี้ระหว่างเขาและหล่อนนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฮอร์ไมโอนี่ที่เป็นมนุษย์อีกเพียงคนเดียวในบ้านเท่านั้น หากแต่เฟรย่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องป้องกันไม่ให้เฮอร์ไมโอนี่ล่วงรู้การพูดคุยระหว่างพวกเขากัน ในเมื่อสักวันหนึ่งเด็กสาวก็ต้องรู้อยู่ดีกว่าการรักษาของเฟรย่านั้นไม่ได้ผล สักวันหนึ่งเด็กสาวก็ต้องรู้อยู่ดีว่าเขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
               แทนที่จะแม่มดสาวจะตอบคำถามนั้นของเด็กหนุ่มออกมาตรง ๆ เฟรย่ากลับพูดออกมาเรียบ ๆ ว่า
               “ฉันอยากพูดเกี่ยวกับการรักษาของเธอ ฉัน…..” ไม่ทันที่เฟรย่าจะพูดจบ พ่อมดหนุ่มตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก่อนหน้าเกือบจะล้มลง
               “ผมไม่มีอะไรต้องพูดกับคุณแล้ว ในเมื่อคุณพูดออกมาแล้วว่าคุณไม่สามารถรักษาผมได้” เดรโกพูดขึ้นโดยที่เขาต้องพยายามอย่างยิ่งไม่ให้เสียงของเขาสั่น
 
               และไม่มีใครในโลกที่รักษาเขาได้ และเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในฐานะสัตว์ร้ายไปตลอด!
 
               ความจริงที่แสนโหดร้ายนั้นผุดขึ้นมาในหัว หากแต่เด็กหนุ่มก็ยั้งตัวเองไม่ให้เปล่งเสียงพูดมันออกมาได้ แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากก็ตาม!
               “เว้นเสียแต่ว่าคุณจะต้องการค่ารักษาผมเพิ่ม ซึ่งผมขอปฏิเสธที่จะให้คุณ เราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว….” เด็กหนุ่มพูดออกมา แต่ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและเดินไปที่ประตูเพื่อที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาต้องมารับรู้ถึงโชคชะตาต้องสาปของเขาแล้วนั้น เสียงอันหนักแน่นหากแฝงไว้ด้วยความกังวลของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ดังขึ้นเพื่อรั้งร่างสูงของเด็กหนุ่มเอาไว้
               “เดรโก ได้โปรดฟังฉันก่อน” หล่อนกล่าว “ที่ฉันอยากจะพูดก็คือ……มันอาจจะมีทางที่จะรักษาเธอได้” เสียงนุ่มของเฟรย่ากล่าวให้กับแผ่นหลังจากเด็กหนุ่มผมบลอนด์ และในวินาทีต่อมาเดรโก มัลฟอยก็หันหลังกลับมาพร้อมกับมือหนึ่งของเขาที่ชี้ไม้กายสิทธิ์มายังแม่มดสาวตรงหน้า!!!
               “อย่าบังอาจมาล้อเล่นกับความรู้สึกของผม!” เด็กหนุ่มเน้นย้ำแต่ละถ้อยคำอย่างหนักแน่นด้วยน้ำเสียงที่เฟรย่าไม่แน่ใจว่ามันเต็มไปด้วยความโกรธ ความเศร้า หรือความสับสนมากกว่ากันแน่ และถึงแม้จะเห็นว่าร่างสูงที่สั่นเทิ้มของเด็กหนุ่มผมบลอนด์กำลังชี้ไม้กายสิทธิ์มาทางหล่อนก็ตาม เฟรย่าก็ไม่ได้ยกไม้ของหล่อนขึ้นมาป้องกันตัวแต่อย่างใด
               “ฉันไม่ได้ต้องการจะล้อเล่นอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวตอบ
               “ก่อนหน้านี้คุณบอกผม......คุณบอกผมว่าผมไม่มีทางรักษาแล้ว……คุณบอกผมว่าผมต้องเป็นมนุษย์หมาป่าไปตลอดชีวิตของผม!!!” เด็กหนุ่มแผดเสียง มือที่ถือไม้กายสิทธิ์ของเขานั้นสั่นเทา ดวงตาสีเงินที่ปรกติแลดูโศกเศร้าและกังวลบัดนี้กลับราวโรจน์ด้วยความโกรธเคืองและสิ้นหวังเมื่อร่างสูงของเดรโก มัลฟอยสืบเท้าเข้ามาใกล้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านอีกก้าวหนึ่งขณะที่มือที่ถือไม้กายสิทธิ์ของเขายังคงชี้ไปที่ร่างสูงของเฟรย่า
               “ตอนนั้นคุณโกหกผมอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ระคนไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง และสิ่งที่เดรโกได้รับตอบกลับมาก็คือสีหน้าและแววตาของหญิงสาวตรงหน้าที่ไม่ได้แสดงอะไรออกมานอกจากความเป็นห่วงและเห็นอกเห็นใจ
               “ฉันเสียใจที่ฉันพูดแบบนั้นออกไป ฉัน…..” ไม่ทันที่เฟรย่าจะพูดจนจบ เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ขัดขึ้นอีกครั้ง
               “บอกผมมาคำเดียว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังหากแต่สั่นเทิ้มในคราเดียวกัน
               “บอกผมมาว่ามีทางที่จะรักษาผมอีกไหม! ไม่ว่าทางไหนก็ตาม บอกผมมา!” เดรโกเค้นถ้อยคำสุดท้ายออกมาริมฝีปากอย่างยากเย็น ราวกับเขามันต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะพูดมันออกมา และมันอาจจะเป็นเพราะ แท้ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าเฟรย่าจะมาบอกว่าหล่อนมีทางรักษาเขา หลังจากที่เขาเคยถามคำถามเดียวกันกับหล่อนไปก่อนหน้านี้และได้คำตอบที่น่าสิ้นหวังกลับมา และเพราะคำตอบนั้นเองที่ทำให้เขาเกือบตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองอยู่ที่นี่เสียแล้ว! แต่พอเขาเอาตัวรอดกลับมาได้ หล่อนกลับมาบอกเขาว่าเขายังมีหวังที่จะหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าอยู่น่ะหรือ หล่อนต้องการเล่นตลกอะไรกัน!!!
 
               เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสอง แม้ในใจของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยจะไม่เชื่อสิ่งที่แม่มดสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านเพิ่งพูดออกมาอย่างสนิทใจก็ตาม หากแต่เมื่อหล่อนเอ่ยปากตอบคำถามอันแสนจะคาดคั้นของเขาออกมา เด็กหนุ่มก็ตั้งใจฟังทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของเฟรย่าเป็นอย่างดี
               “มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาเธอให้หายได้” หล่อนพูดขึ้น “แต่มันเป็นเส้นทางที่ยากละอันตรายมาก”
               “ผมไม่สนเรื่องนั้น ผมขอแค่มันได้ผล” เดรโกขัดขึ้น
               “แน่นอนว่ามันจะได้ผล แต่เธอก็ควรจะสนเรื่องที่ฉันกำลังจะพูดด้วย คุณมัลฟอย เพราะวิธีที่ฉันพูดถึงเป็นเวทมนตร์ขั้นสูงและมันเรียกร้องราคาที่สูงลิ่วในการร่ายมันขึ้นมา” เฟรย่าเสริมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หากแต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ได้สนใจฟังประโยคต่อไปแต่อย่างใด ราวกับว่าเขาสนใจเพียงแค่คำตอบก่อนหน้าของเฟรย่าเพียงเท่านั้น ซึ่งมันเป็นคำตอบที่ว่ายังคงมีทางรักษาเขาอยู่ แม้ว่ามันจะยากลำบากหรือต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตามเขาก็ไม่ลังเลที่จะจ่าย หากมันทำให้เขาสามารถรอดพ้นคำสาปของการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้แล้วนั้น ไม่ว่าจะราคาค่างวดของมันจะสูงเพียงใดก็ตาม มันก็คงคุ้มค่าที่จะแลกกับการที่เขาจะหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าทั้งสิ้น
               และนี่เป็นครั้งแรกที่เดรโกเพิ่งรู้ตัวว่าความปรารถนาที่จะหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าของเขาแรงกล้าเพียงใด แม้ว่าเด็กหนุ่มรู้มาก่อนแล้วว่าในใจของเขานั้นเต็มล้นไปด้วยความปรารถนาประการนี้ หากแต่หลังจากที่เขาต้องผ่านความทรมานจากการผิดหวังมาครั้งหนึ่งแล้ว และพอเขาได้รับการหยิบยื่นโอกาสครั้งที่สองแล้วนั้น เดรโกก็เพิ่งค้บพบว่าความปรารถนาต่อการหายเป็นปรกติของเขานั้นกลับทับทวีคูณขึ้น ราวกับเขาไม่ต้องการที่จะกลับไปอยู่ ณ จุดที่ความหวังทุกอย่างดับสูญลงอย่างที่เขาเคยผ่านมันมาอีกแล้ว และเมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจในทันทีว่า ไม่ว่าเวทมนตร์ที่เฟรย่าบอกเขานี้จะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม เขาก็ยินยอมที่จะจ่ายมัน!
               เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เดรโก มัลฟอยจึงพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งมากกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
               “ผมไม่สนว่ามันจะมีราคาเท่าไหร่ ผมแค่ต้องการหายเท่านั้น” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเรียกได้ว่ากระตือรือร้น พลางมองฝ่ายตรงข้ามด้วยดวงตาสีเงินที่มีเริ่มมีแววแห่งความหวังปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ร่างตรงหน้านั้นตอบแทนแววตาของเขาด้วยสายตาที่แสดงความเห็นอกเห็นใจระคนเศร้าสร้อยก่อนที่หล่อนจะพูดออกมา
               “เธอไม่ใช่คนแรกที่คิดแบบนั้น เดรโก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า และเมื่อหล่อนเห็นท่าทีที่แสดงถึงความไม่เข้าใจของฝ่ายตรงข้าม หล่อนจึงพูดต่อ “ฉันก็เคยคิดแบบเธอ ฉันก็เคยคิดว่ามันจะเป็นราคาที่ฉันจ่ายไหว”
 
               ……………………………………………………………
 
               เด็กหนุ่มกระพริบตาอย่างสงสัยกับคำพูดของหญิงสาวผมดำ แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป เฟรย่าก็โบกมือให้เขาราวกับหล่อนต้องการให้เขานั่งลงอีกครั้ง และคราวนี้เดรโกเลือกที่จะไม่ปฏิเสธคำเชิญของหล่อนเหมือนครั้งก่อน ๆ อีกแล้ว
               หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ณ ตำแหน่งที่เขาได้ผ่านอารมณ์หลากหลายมาเรียบร้อยแล้วนั้น เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะเอ่ยปากถามขึ้น
               “ผมไม่เข้าใจ เท่าที่คุณบอกผมสามีของคุณถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายไม่ใช่หรือ” เขาถามออกไปตามตรง แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เพียงเฟรย่าเท่านั้นที่บอกเขาเรื่องสามีของหล่อน แต่เขาเองก็ได้ยินเรื่องสามีของเฟรย่ามาจากพ่อของเขารวมถึงสเนปตั้งแต่ก่อนเขาเดินทางมาที่ไอซ์แลนด์นี่แล้ว หากสามีของเฟรย่าเป็นคนที่ต้องการการรักษาแล้วทำไมเฟรย่าถึงพูดราวกับว่าเธอเป็นคนที่ต้องจ่ายราคาอันสูงลิ่วของการใช้เวทมนตร์สำหรับรักษานี้ด้วยล่ะ
               คราวนี้เฟรย่าไม่ได้ตอบเขาออกมาในทันที หญิงสาวสูดลมหายใจลึกและนิ่งเงียบไปคู่หนึ่งราวกับหล่อนต้องการพละกำลังมหาศาลในการทำตอบคำถามนี้ของเด็กหนุ่ม และแม้ว่าจะมีคำถามมากมายผุดขึ้นในใจหลังจากที่เขาเพิ่งค้นพบความจริงเรื่องหนทางใหม่ในการรักษาเขาก็ตาม หากแต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมัลฟอยก็เลือกที่จะตั้งใจฟังแม่มดสาวตรงหน้าตอบเขาออกมาอย่างใจเย็นกว่าที่เขาเป็นก่อนหน้านี้ เดรโกเลือกที่จะรอจนกระทั่งเขาเห็นว่าเฟรย่ามีท่าที่พร้อมที่จะเอ่ยปากเล่าเรื่องทุกอย่างออกมา
               “อันดับแรกฉันต้องขอโทษเธอนะ ที่ฉันไม่ได้บอกความจริงกับเธอทั้งหมดก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นฉันไม่คิดว่าวิธีการรักษานี้มันเป็นทางที่เป็นไปได้สำหรับเธอ” เฟรย่าค่อย ๆ อธิบาย “และถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงคิดว่าหนทางนี้ไม่ได้เป็นไปได้ขึ้นมาเท่าไหร่หรอกนะ แต่หลังจากที่ฉันลองทบทวนดูแล้ว ฉันคิดว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทางเลือกนี้ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเลือกมันด้วยตัวเธอเอง” หญิงสาวอธิบายให้กับสีหน้าที่ดูไม่เข้าใจนักของเด็กหนุ่มผมบลอนด์
               “ตกลงผมมีความหวังที่จะหายใช่ไหม” เขาถามขึ้นอีกครั้งราวกับว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาให้ความสนใจในตอนนี้
               แทนคำตอบ เฟรย่ายิ้มบาง ๆ ให้เขา หากแต่ในสายตาของเดรโกแล้วนั้นมันกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน
               “มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายซึ่งเชื้อหมาป่ากระจายไปทั่วร่างแล้วอย่างเธอได้ แต่อย่างที่ฉันบอกเธอไปก่อนหน้านี้ เวทมนตร์แขนงนี้เป็นมนตร์โบราณที่เรียกร้องราคาที่สูงลิ่ว มันเป็นมนตร์ของพวกวีล่าที่ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่พ่อมดแม่มดทั่วไป มันสามารถรักษาเธอได้แต่มันมีราคาที่ต้องจ่าย”
               แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจถึง ‘ราคา’ ที่มนตราโบราณนี้เรียกร้องก็ตาม แต่เด็กหนุ่มพอจะเดาได้ว่าเขาคงต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อแลกกับการรักษาในครั้งนี้ของเขา และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องจ่ายนั้นคงไม่ใช่แค่ทองหรือวัตถุเวทมนตร์ล้ำค่าที่ตระกูลของเขามีอยู่อย่างเหลือเฟือเป็นแน่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์คงไม่ได้มีท่าทีลำบากใจต่อการใช้มนตร์โบราณในการรักษาเขารวมถึงหล่อนคงไม่จำเป็นต้องเก็บงำวิธีการรักษานี้ไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายแบบนี้เป็นแน่
               แม้ว่าจะสงสัยเป็นอย่างมากถึง ‘ราคา’ ที่เขาจะต้องจ่ายในการรับการรักษาครั้งนี้มากเพียงใดก็ตาม แต่ก็มีรายละเอียดที่เด็กหนุ่มรู้สึกแคลงใจมากกว่าเรื่องนี้ และความสงสัยแคลงใจของเขานั้นมันมากเกินกว่าที่เขาจะเก็บงำไว้ได้
               “เดี๋ยวนะครับ ที่คุณบอกว่ามนตร์นี้สามารถรักษาคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้าย และเชื้อหมาป่าได้กระจายไปทั่วร่างแล้วอย่างผมได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็ควรจะรักษาสามีของคุณได้สิ” เขาถามออกไปตามตรง และสิ่งที่เด็กหนุ่มได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มที่ดูโศกเศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นจากหญิงสาวที่แลดูชาญฉลาดและลึกลับอย่างเฟรย่า แววตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบของหล่อยทอประกายเศร้าออกมามากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเห็นแม้กระทั่งตอนที่หล่อนพูดถึงสามีที่เสียชีวิตไปของหล่อนก่อนหน้านี้ก่อนที่หล่อนจะตัดสินใจตอบเขาออกมา
               “ก็เพราะราคาสูงลิ่วที่ต้องจ่ายในการร่ายมนตร์นี้น่ะสิ คุณมัลฟอย” หล่อนกลับมาเรียกชื่อสกุลของเขาอีกครั้ง ราวกับจู่ ๆ ความสนิทสนมของทั้งสองได้มลายหายไป
               “ผู้ที่ต้องจ่ายราคาที่ว่านี้ ไม่ใช่ตัวผู้รับการรักษา แต่เป็นพ่อมดหรือแม่มดอีกคนหนึ่งที่ต้องเป็นคนทำ ในกรณีของสามีฉัน มีแค่ฉันเท่านั้นที่สามารถจะเสียสละเพื่อให้เขาหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ แต่ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะทำมันลงไป ฉันไม่พร้อมที่จะเสียสละสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉันเพื่อรักษาเขา เราเลยไม่เคยได้ทำการร่ายมนตร์นี้เพื่อรักษาเขากันจริง ๆ” เฟรย่าสารภาพ หากแต่คำสารภาพนั้นยังไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มผมบลอนด์เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเท่าไหร่นักเมื่อเขาถามขึ้นอีกครั้ง
               “ผมไม่เข้าใจ สิ่งที่คุณต้องสละเพื่อรักษาสามีของคุณมันคืออะไรกันแน่” เดรโกถาม สิ้นคำถามของเด็กหนุ่ม เฟรย่าก็เงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาคู่สวยที่มีน้ำตารื้น
               “สิ่งที่มนตราบทนี้เรียกร้องคือเวทมนตร์ของพ่อมดหรือแม่มดอีกคนหนึ่ง คุณมัลฟอย เพื่อแลกกับการแก้คำสาปมนุษย์หมาป่า มนตราโบราณนี้ต้องการพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของผู้ที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดหรือทางวิญญาณกับผู้ได้รับการรักษา และหลังจากที่การรักษาสำเร็จลงพ่อมดหรือแม่มดที่เป็นผู้เสียสละพลังเวทมนตร์จะถูกดูดกลืนเวทมนตร์ของตัวเองไปจนหมดสิ้น จนเขาหรือเธอกลายเป็นเพียงมักเกิ้ลธรรมดา ๆ เท่านั้น” เฟรย่าพูดออกมาในที่สุด ขณะที่เดรโกที่กำลังรับฟังคำอธิบายเรื่อง ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ สำหรับเวทยนตร์บทนี้นั้นรู้สึกเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง ในตอนนี้เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าราคาที่มนตรานี้เรียกร้องนั้นสูงลิ่วจริง ๆ
               “และด้วยเหตุนี้ฉันถึงลังเลที่จะร่ายมนตร์นี้เพื่อรักษาสามีของฉัน เพราะฉันไม่ต้องการสละพลังเวทมนตร์ของตัวเองไป หรืออาจจะเพราะฉันเห็นว่าเวทมนตร์ของฉันมีค่ามากกว่าการรักษาสามีของฉันเอง ฉันก็ไม่อาจจะตอบได้นะ แต่หลังจากที่ฉันตัดสินใจไม่ยอมเสียสละในสิ่งที่ฉันคิดว่าสละไม่ได้ในตอนนั้น มันก็ทำให้ฉันต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นไป นั่นก็คือชีวิตของสามีของฉันเอง” เฟรย่าพูดต่อให้กับสีหน้าที่ดูตกตะลึงของอีกฝ่าย
               และเมื่อฟังถึงตรงนี้ เดรโก มัลฟอยก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างแทบจะเรียกได้ว่าถ่องแท้ทีเดียว เด็กหนุ่มเข้าใจความจริงที่ว่า เฟรย่ารู้วิธีการรักษาสามีของเธอมาตลอด หากแต่เวทมนตร์ที่ใช้ในการรักษานั้นเรียกร้องราคาที่สาหัสมากนัก นั่นก็คือพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของพ่อมดหรือแม่มดอีกคนหนึ่ง! ด้วยเหตุนี้เฟรย่าผู้เป็นแม่มดที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งของยุคคงยอมรับไม่ได้หากหล่อนต้องสูญเสียพลังเวทมนตร์ของตัวเองไปและต้องกลายเป็นเพียงมักเกิ้ลธรรมดา ๆ แม้ว่ามันจะแลกมาด้วยการรักษาสามีของหล่อนให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าก็ตาม                และเมื่อเฟรย่าไม่สามารถทำการรักษาให้สามีของหล่อนได้ สามีของหล่อนที่ต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าโดยไม่อาจควบคุมด้วยยาระงับหมาป่าได้จึงต้องลงเอยด้วยการถูกมือปราบมารสังหารเพราะเขาบังเอิญไปฆ่าผู้บริสุทธิ์เข้า ด้วยเหตุนี้เฟรย่าอาจจะคิดว่าเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของหล่อนเองที่ทำให้สามีของหล่อนต้องมาพบจุดจบเช่นนี้ และหล่อนอาจจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อโดยแบกรับความรู้สึกผิดอย่างมหาศาลไว้ในใจว่า สามีของหล่อนตายเพียงเพราะหล่อนเลือกที่จะไม่เสียสละเวทมนตร์ของหล่อนเพื่อช่วยเขา!
               และเฟรย่าอาจจะรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ก็เป็นได้ เพราะเท่าที่เดรโกมองเห็นในตอนนี้หญิงสาวตรงหน้าเขาซึ่งได้เปิดเผยเรื่องราวและความรู้สึกผิดในใจออกมาจนเกือบจะเรียกได้ว่าหมดเปลือกนั้นไม่ใช่แม่มดสาวที่เก่งกาจ เฉลียวฉลาด หรือเจ้าเล่ห์ดังที่เขาเคยคิดว่าหล่อนเป็นยามที่เขาพบหล่อนเป็นครั้งแรก หากแต่ในตอนนี้หล่อนกลายเป็นหญิงสาวที่บอบช้ำจากการที่ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งจนเธอสูญเสียคนรักไปและรู้สึกผิดกับมันมากกว่าอะไรทั้งหมด
               เดรโกเฝ้ามองดูเฟรย่ามเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าราวกับหล่อนต้องการรำลึงถึงความหลังระหว่างหล่อนและสามีอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งหล่อนเอ่ยปากพูดขึ้น
               “เพราะฉันไม่ยอมช่วยเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่า เขาเลยต้องมาตาย” หญิงสาวพูดสิ่งที่ยืนยันข้อสันนิษฐานของเดรโกก่อนหน้านี้ออกมาก่อนจะหันกลับมาสบตาเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง และในครั้งนี้แววตาของหล่อนแฝงฉายแววเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น หากแต่มันก็ยังเจือไปด้วยร่องรอยความโศกเศร้า
               “ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะรื้อฟื้นเรื่องน่าปวดใจของฉันให้เธอฟังหรอกนะ แต่ฉันต้องการให้เธอจินตนาการภาพของสิ่งที่ต้องใช้แลกสำหรับการใช้เวทมนตร์นี้ให้ออก ก่อนที่เธอจะตัดสินใจว่าเธออยากจะรับการรักษาด้วยมนตร์โบราณนี้หรือไม่” หล่อนกล่าวอย่างมีเหตุผล และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะพบว่าไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดีกับทางเลือกที่เขาเพิ่งค้นพบนี้ดี แต่เดรโกก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธทางเลือกที่เขาได้รับการหยิบยื่นให้ในทันที ไม่จนกว่าเขาได้รับข้อมูลของมันในทุก ๆ แง่มุมเสียก่อน
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงถามขึ้น
               “ที่คุณบอกว่ามนตรานี้ต้องการการเสียสละจากคนที่มีสายเลือดเดียวกับผู้รักษา หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทางวิญญาณนี่คุณหมายความว่ายังไง” เฟรย่ามองเขาด้วยแววตาราวกับว่าหล่อนล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาจะถามหล่อนอยู่แล้วก่อนที่จะตอบออกมา
               “มันมีรายละเอียดและข้อจำกัดมากกว่านั้น แน่นอนว่าคนที่จะทำการแลกเปลี่ยนทางเวทมนตร์ได้นั้นต้องเป็นพ่อมดหรือแม่มด และเขาคนนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับเธอทางสายเลือด ซึ่งก็คือ เขาจะต้องเป็นผู้ร่วมสายเลือดกับเธอไม่เกินหนึ่งรุ่น คน ๆ นั้นจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือลูกของเธอก็ได้ แต่เขาไม่สามารถเป็นญาติที่ห่างจากเธอไปเกินหนึ่งรุ่นได้” หญิงสาวอธิบาย
               “สำหรับผู้ที่มีความเกี่ยวพันทางวิญญาณก็คือคนที่เธอแต่งงานด้วย เพราะสามีภรรยาที่เข้าพิธีแต่งงานกันอย่างถูกต้องนั้นนับว่าพวกเขาผูกพันกันทางวิญญาณ ดังนั้นเขาสามารถทำการแลกเปลี่ยนทางเวทมนตร์ตามที่มนตรานี้ต้องการได้” เฟรย่าเสริม ขณะที่เดรโกก็คิดตามไปด้วย
               “นอกจากนั้นยังมีอีกคนหนึ่งที่สามารถทำได้ โดยเฉพาะในกรณีของเธอเสียด้วย คุณมัลฟอย คนที่สามารถทำการเสียสละเวทมนตร์ของเขาเพื่อรักษาเธอได้ก็คือทาสของเธอ” เฟรย่าพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่ล้ำลึกพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่แทบจะเรียกได้ว่าทิ่มแทง!
 
               ……………………………………………………………
 
               เดรโก มัลฟอยรู้สึกราวว่าตัวเขาเองจมลงในทะเลสาบกลางฤดูหนาวเมื่อเขาได้ยินถ้อยคำที่เฟรย่าเอ่ยออกมา รวมถึงได้สบดวงตาสีน้ำเงินอันเฉียบคมของหล่อน ซึ่งมองเด็กหนุ่มราวกับต้องการบอกเขาว่าหล่อนล่วงรู้ความลับที่เขาพยายามจะเก็บงำเอาไว้เข้าเสียแล้ว
ถึงแม้จะรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าพูดถึงอะไรก็ตาม แต่เดรโกก็เลือกที่จะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูดถึงออกไป
               “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร” เขาพูดออกไป และสิ่งที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ได้รับกลับมานั้นคือแววตาเฉียบคมของอีกฝ่ายที่มองมาทางเขาก่อนที่หล่อนจะพูดขึ้น
               “ฉันว่าเราเลยจุดที่จะมาโกหกกันแล้วนะ คุณมัลฟอย” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่มีแววห้ามปรามแฝงอยู่
               “ฉันรู้ว่าคนที่เธอพาเดินทางมาด้วยคนนี้ไม่ได้ชื่อกรีนกราส ฉันรู้ว่าเขาเป็นใคร รวมถึงฉันรู้ด้วยว่าเธอและเขาไม่ได้เป็นแค่เพื่อนหรือคู่รักกัน แต่เขาเป็นทาสของเธอ” หญิงสาวพูดตามตรง และเมื่อเห็นเช่นนั้นมัลฟอยก็พบว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปิดบังความจริงจากเธออีกต่อไป ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ่ยปากขึ้น
               “คุณรู้ว่าเขาเป็นใครอย่างนั้นหรือ คุณรู้ได้ยังไง” เดรโกถาม
               “ฉันขอพูดตรง ๆ นะว่ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงฉันนักหรอกที่จะรู้ว่าเด็กสาวที่เธอพาเดินทางมาด้วยคือ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ที่หายตัวไปเมื่อหลายเดือนก่อน อันที่จริงฉันก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกนะที่เค้าจะมาอยู่กับเธอ แต่ที่ฉันคาดไม่ถึงคือการที่เขาอยู่ในฐานะทาสของเธอต่างหาก”
               “คุณคิดไม่ถึงว่าผมจะทำสัญญาทาสกับเกรนเจอร์อย่างนั้นหรือ หรือคุณไม่คิดว่าผมจะรู้ศาสตร์มืดขั้นสูงแบบนี้กันแน่” เขาถามออกมาด้วยท่าทีราวกับเขาต้องการปกป้องตัวเอง หากแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับจ้องมองเขากลับด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าหล่อนรู้อะไรมากกว่าที่เด็กหนุ่มคิดก่อนที่หล่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
               “สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันไม่คาดคิดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นทาสของเธอ ก็เป็นเพราะฉันเห็นแววตาและท่าทีที่เธอปฏิบัติต่อเขา ปรกติแล้วพ่อมดแม่มดที่ทำสัญญาทาสกับผู้วิเศษหรือมักเกิ้ลอีกคนนึงจะไม่ปฏิบัติต่อทาสของตัวเองด้วยความห่วงใยหรอกนะ คุณมัลฟอย แต่ฉันเห็นความห่วงใยแฝงอยู่ในสายตาของเธอตอนที่เธอมองเขา และถ้าฉันดูไม่ผิดฉันก็คิดว่าเขาเองก็ห่วงใยเธอเช่นกัน ฉันเลยคิดว่า แม้เด็กคนนั้นจะเป็นทาสของเธอแต่เธอก็ห่วงใยหรืออาจจะถึงกับรักใคร่เขา ฉันพูดผิดหรือไม่” เฟรย่าพูดสิ่งที่แทบจะเรียกได้ตรงกับความจริงทุกประการออกมา ขณะที่เดรโก มัลฟอยมองหญิงสาวตรงหน้าด้วท่าทีตกใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะรักษาท่าทีให้นิ่งเฉยเอาไว้ แม้กระทั่งในตอนที่เฟรย่าเพิ่งบอกเขาว่าหล่อนรู้ความลับที่เขาต้องการเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดีในตอนนี้ก็ตาม และความลับข้อนั้นก็คือ ความจริงที่ว่าเขาหลงรัก เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เด็กสาวเลือดสีโคลนที่เป็นทาสของเขาเอง!
               “ความรู้สึกที่ผมมีต่อเกรนเจอร์นั้นไม่เกี่ยวกับคุณ” เด็กหนุ่มได้ยินตัวเองตอบออกไปแบบนั้น โดยที่เขาเลือกที่จะไม่โต้เถียงหรือไต่ถามหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านว่าหล่อนล่วงรู้เรื่องทั้งหมดได้อย่างไร แน่นอนว่าเฟรย่าคงรู้ว่าเดรโกรักเฮอร์ไมโอนี่จากการสังเกตเห็นแววตาที่เด็กหนุ่มใช้มองเด็กสาวตามที่หล่อนบอกเป็นแน่ หากแต่เรื่องที่หล่อนรู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นทาสของเขาได้อย่างนั้นไรเดรโกไม่อาจจะแน่ใจได้ แต่เขาก็คาดเดาว่าเฟรย่าอาจจะต้องเห็นตราทาสบนมือของเด็กสาวในตอนที่หล่อนอยู่กับเฮอร์ไมโอนี่ตามลำพังและปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้เป็นแน่ แต่ถึงจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ความลับของเขาได้อย่างไรแล้วก็ตาม มันก็ไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขารู้สึกหนักใจขึ้นด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากเฟรย่าล่วงรู้ความลับที่เขาพยายามเก็บงำเป็นอย่างดีจากการสังเกตท่าทีที่เขามีต่อทาสสาวของเขาในเวลาไม่กี่วันที่พวกเขามาพักอยู่กับเธอได้แล้วนั้น เขาจะสามารถเก็บงำความจริงที่ว่าขารักเฮอร์ไมโอนี่จากสายตาคนอื่นต่อไปได้อย่างไรเล่า!
               เดรโกขยับตัวอย่างอึดอัดกับเรื่องยุ่งยากใจที่เขาเพิ่งค้นพบซึ่งมันอาจจะมาทำให้ชีวิตที่เดิมก็ยากเย็นอยู่แล้วของเขานั้นยากลำบากไปมากกว่าเดิม และท่าทีที่แสดงถึงความอึดอัดใจของเด็กหนุ่มก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านไปได้เมื่อหล่อนพูดขึ้น
               “ฉันรู้เรื่องนี้ดี แต่ว่าความสัมพันธ์ในฐานะเจ้านายและทาสมันเกี่ยวข้องกับการรักษาของเธอ อย่างที่ฉันได้เคยพูดไว้ว่ามีเพียงคนที่ผูกพันทางสายเลือดหรือวิญญาณกับเธอเท่านั้นถึงจะสามารถเสียสละเวทมนตร์ของตนเองเพื่อรักษาเธอให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ และถ้าข้อมูลที่ฉันมีนั้นถูกต้อง คนที่สามารถจะทำการแลกเปลี่ยนทางเวทมนตร์เพื่อเธอได้มีเพียงพ่อหรือแม่ของเธอกับทาสของเธอเท่านั้น” เฟรย่าพูดตามตรง และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะสามารถคาดเดาความจริงข้อนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่แม่มดผมดำบอกเขาว่าทาสสามารถทำการเสียสละทางเวทมนตร์ให้เจ้านายได้แล้วนั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้อเท็จจริงมันน่ารื่นรมย์ขึ้นเลยแม้แต่น้อย! เดรโกเลือกที่จะข่มอารมณ์ทั้งหมดของเขายามที่เขาถามประโยคออกไปด้วยหัวใจที่เต้นแรง
               “คุณรู้ได้ยังไงว่าทาสสามารถสละเวทมนตร์สำหรับใช้ในการรักษาครั้งนี้ได้ เคยมีใครลองทำมาก่อนอย่างนั้นหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เขาต้องพยายามอย่างยิ่งเพื่อบังคับให้มันฟังดูราบเรียบ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นมองเขาด้วยท่าทีประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบออกมา
               “แม้ฉันจะตอบเธอตรง ๆ ไม่ได้ว่าเคยมีใครลองใช้วิธีที่เธอว่าหรือเปล่า แต่ตามทฤษฎีแล้วมันสมควรที่จะทำได้ เมื่อเธอทำสัญญาทาสกับใครสักคน เวทมนตร์ที่เธอร่ายขึ้นมาจะผูกมัดวิญญาณของทาสไว้กับเจ้านายที่เป็นผู้ร่ายคาถา ยิ่งไปกว่านั้นในร่างกายของทาสก็มีเลือดของผู้เป็นนายไหลเวียนอยู่จากตอนที่เธอทำสัญญาทาสกับเขา ดังนั้นการผูกพันทางเวทมนตร์ถึงสองด้านนั้นควรจะเพียงพอที่จะทำการรักษาที่เราคุยกันได้” เฟรย่ากล่าว ขณะที่เดรโกที่เพิ่งรู้สึกราวกับน้ำหนักของคำพูดนั้นของหญิงสาวกดทับอย่างหนักอึ้งมาที่เขารีบเอ่ยขึ้น
               “คุณหมายความว่า คุณจะให้ผมบังคับให้เกรนเจอร์สละพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของเธอเพื่อให้ผมหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่าตื่นตระหนก
               “ฉันไม่ได้พูดเช่นนั้นคุณ มัลฟอย แต่มันเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ทางหนึ่ง ในตอนแรกที่ฉันได้รับรู้ว่าเชื้อหมาป่ากระจายไปทั่วร่างของเธอแล้ว แน่นอนว่าฉันรู้ว่ามีเพียงวิธีนี้เพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยรักษาเธอให้หายได้ แต่ที่ฉันตัดสินใจไม่บอกเธอออกไปนั้นเป็นเพราะฉันไม่รู้มาก่อนว่าเด็กที่เธอพามาด้วยนั้นอยู่ในฐานะทาสของเธอ อีกทั้งฉันก็คิดว่าครอบครัวของเธอคงไม่สามารถจ่ายราคาที่สูงลิ่วของการรักษาด้วยมนตราบทนี้ได้” เฟรย่าตอบอย่างระมัดระวัง
               “แต่พอคุณรู้ว่าเกรนเจอร์เป็นทาสของผม คุณก็คิดว่าเธอจะจ่ายได้งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มผมบลอนด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน หากแต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปยังไปที่ความจริงที่ว่าเฟรย่าปิดบังทางเลือกในการรักษาเขาก่อนหน้านี้ หากแต่มันเป็นน้ำเสียงที่ตั้งใจจะเยาะเย้ยความจริงที่ว่าเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในฐานะทาสของเขานั้นเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการเสียสละทางเวทมนตร์มากกว่าพ่อหรือแม่ของเขามากกว่า และเมื่อเห็นท่าทีนั้นของเดรโก หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของความคิดในการรักษาครั้งนี้ก็รีบพูดขึ้น
               “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณเจ็บปวดมากขึ้นนะ คุณมัลฟอย แต่ในตอนนั้นฉันคิดว่าฉันกำลังช่วยเธอและครอบครัวจากความเจ็บปวดทรมานที่ฉันได้เผชิญมาแล้ว” เฟรย่าพยายามอธิบายให้สายตาเย็นชาที่เด็กหนุ่มตรงหน้าใช้มองเธอ
               "เธอลองคิดดูนะ ถ้าพ่อแม่ของเธอยอมสละเวทมนตร์ของเขาเพื่อเธอ เธอที่แม้จะได้รับการรักษาจนไม่ต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าอีกต่อไปก็จะต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตที่เธอได้พรากพลังเวทมนตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งไปจากเขา ในทางตรงกันข้ามถ้าพ่อแม่ของเธอไม่ยินยอมจะเสียสละเพื่อเธอ เธอก็จะต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังอย่างใหญ่หลวง เช่นเดียวกับที่พวกเขาจะต้องอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่พวกเขาเห็นแก่ตัวเกินกว่าที่จะช่วยเหลือลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาให้รอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่า มันไม่ใช้การตัดสินใจที่ง่ายเลย”
               แม้ถ้อยคำที่หญิงสาวพูดนั้นจะฟังดูสมเหตุสมผลก็ตาม แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้วมันก็ไม่ได้ฟังดูดีขึ้นเลยเมื่อการให้เหตุผลของหญิงสาวนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าในการเสียสละพลังเวทมนตร์ของเธอเพื่อรักษาเขา!
               “แต่คุณคิดว่ามันจะง่ายขึ้นเมื่อมีเกรนเจอร์เข้ามาในสมการอย่างนั้นหรือ” เดรโกได้ยินเสียงตัวเองพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่าเดียดฉันท์ ก่อนที่เฟรย่าจะเลือกที่จะอธิบายต่อ
               “ฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย คุณมัลฟอย เมื่อฉันรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอ ทั้งในฐานะเจ้านายและทาสรวมถึงความรู้สึกอันแท้จริงที่เธอมีต่อเขา ได้โปรดอย่าปฏิเสธฉันเลยคุณมัลฟอย” หล่อนพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูด “ฉันผ่านความรักและเจ็บปวดมาก่อนจนพอที่จะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร และฉันรู้ว่ามันไม่ได้ทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ง่ายขึ้นเลยสำหรับเธอ แต่หลังจากลองคิดทบทวนดูแล้ว อย่างน้อยที่สุดที่ฉันทำได้คือบอกให้เธอรู้ว่าเธอมีทางเลือกใดบ้าง และปล่อยให้เธอตัดสินใจด้วยตัวเอง”
               “ฉันก็เคยอยู่ในจุดเดียวกับเธอมาก่อน คุณมัลฟอย แม้ว่าฉันจะไม่ใช่คนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายก็ตาม แต่ฉันก็ต้องเผชิญการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก่อน แต่อย่างน้อยฉันก็ได้เลือกมันออกไปและตอนนี้ฉันก็กำลังรับผลของมันอยู่ และในตอนนี้ฉันก็จะให้โอกาสเธอได้เลือกทางเดินของเธอเอง เพราะคนที่จะต้องอยู่กับผลของการเลือกนั้นก็คือเธอ” หญิงสาวอธิบาย ขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าของหล่อนนั้นนิ่งเงียบ หากแต่ไม่ได้มีแววรังเกียจเดียดฉันท์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวซีดของเขาแล้ว ตรงกันข้าม หลังจากรับรู้สิ่งที่เฟรย่าเพิ่งบอกเขาออกมา เดรโกก็มีท่าทีสงบนิ่งมากขึ้น แววตาสีเงินที่เคยแสดงอารมณ์มากมายก่อนหน้านี้ ในบัดนี้มันกลับฉายแววครุ่นคิด
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
               “คุณเคยคิดจะใช้ทาสในการรักษาของคุณหรือเปล่า” เดรโกมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาคมกล้าขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา
เฟรย่าส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้เขา หากแต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่แลดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก
               “ในเมื่อเราไม่จำเป็นต้องมีอะไรปิดบังกันอีกแล้ว ฉันจะบอกตามตรงว่าฉันเคยเสนอความคิดว่าจะหาพ่อมดแม่มดสักคนมาเป็นทาสของสามีฉัน เพื่อที่เขาคนนั้นจะเสียสละพลังเวทมนตร์เพื่อรักษาสามีของฉันให้หาย แต่สามีของฉันไม่ยอม เขาไม่ยอมใช้วิธีนี้พอ ๆ กับที่เขาไม่เคยเรียกร้องให้ฉันเสียสละพลังเวทมตร์ของฉันเพื่อเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่ามันเป็นทางเดียวที่จะรักษาเขาได้” หญิงสาวตอบออกมา แม้ว่าคำตอบนี้ของเฟรย่าจะฟังดูน่าตกใจและเห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่งก็ตาม หากแต่เดรโก มัลฟอยก็ไม่ได้ติดใจในความจริงที่ว่าเฟรย่าตัดสินใจจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างแสนสาหัสกับพ่อมดหรือแม่มดสักคนลงไปเพื่อรักษาคนรักรวมถึงเวทมนตร์ของเธอเอาไว้ ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มกลับเข้าใจถึงสิ่งที่เฟรย่าอาจจะเลือกทำลงไปหากสามีของเธอยินยอมให้เธอทำ อย่างน้อย ๆ มันก็คงจะเป็นสิ่งที่พ่อของเขาจะทำลงไป หากนายลูเซียสรู้ว่าหนทางการรักษานี้ หากแต่สิ่งที่ทำให้กรณีของเด็กหนุ่มต่างจากเรื่องของเฟรย่าก็คือ ผู้ที่จะต้องมารับเคราะห์กรรมในการรักษาเขาด้วยมนตรานี้ไม่ใช่พ่อมดหรือแม่มดคนไหนก็ตามในโลก หากแต่เป็นเด็กสาวที่อยู่ในฐานะทาสของเขา! รวมถึงเธอยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เดรโก มัลฟอยรักเสียด้วย!
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา ราวกับความหนาวเย็นไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดของเขา เมื่อเขาเพิ่งรับรู้ถึงราคาที่จะต้องจ่ายจากการรักษาด้วยมนตราโบราณนี้อย่างแท้จริง แม้ว่าเดรโกจะไม่ได้เป็นผู้ที่จะต้องจ่ายราคาอันสูงลิ่วแลกกับการที่เขาสามารถหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ก็ตาม หากแต่คนที่จะต้องชดใช้ราคาในการรักษานี้ก็คือเด็กสาวเพียงคนเดียวที่เขารัก และเธอจะต้องเสียสละด้วยสิ่งที่อาจจะมีค่ามากที่สุดรองจากชีวิตของเธอเอง นั่นก็คือพลังเวทมนตร์ของเธอ! และหลังจากที่เขาพรากสิ่งสำคัญรวมถึงทำร้ายเฮอร์ไมโอนี่อย่างแสนสาหัสมาแล้ว เดรโก มัลฟอยแน่ใจว่าเขาไม่อาจจะพรากสิ่งที่สำคัญเช่นนี้จากเธอไปได้อีกแล้ว เขาคงไม่มีวันยอมให้เฮอร์ไมโอนี่มาเสียสละอะไรแบบนี้เพื่อเขาเป็นแน่ แม้ว่ามันจะต้องแลกมากับการที่เขาจะต้องเป็นมนุษย์หมาป่าไปตลอดชีวิตก็ตาม!
               เพราะถ้าหากเขาทำเช่นนั้นลงไปแล้ว ถ้าหากเขาเลือกที่จะช่วงชิงสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับเฮอร์ไมโอนี่มาเพื่อแลกกับการรักษาของเขาแล้วนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะได้สามารถหายจากคำสาปของการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ก็ตาม แต่เขาคงจะต้องสูญเสียหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ที่เขาเองก็ไม่สามารถแน่ใจเลยว่าเขาจะช่วงชิงมันมาได้หรือไม่ไปตลอดกาล เพราะถ้าหากเดรโกบังคับให้เด็กสาวผู้อยู่ในฐานะทาสของเขาเสียสละเวทมนตร์ของเธอเพื่อทำการรักษาเขาแล้วล่ะก็ และแน่นอนว่าเขาสามารถบังคับเธอได้ด้วยสัญญาทาสที่เขาได้ทำไว้กับเธอ ดวงตาสีน้ำตาลอันแสนจะอ่อนโยนที่เคยมองเขาด้วยความห่วงใยคู่นั้นต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยเกลียดชังยามที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาเป็นแน่ เพราะว่าเขาจะกลายเป็นผู้ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธออย่างแท้จริง รวมถึงพลังเวทมนตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะมีค่าที่สุดรองจากชีวิตของเธอด้วย! และเมื่อถึงตอนนั้นเดรโกก็มองไม่เห็นหนทางที่จะทำให้เด็กสาวที่เขารักจะให้อภัยกับความผิดครั้งเล่าครั้งเล่าที่เขาได้ทำลงไปกับเธอได้เลย!
 
 
               ……………………………………………………………
 

 
 
 
 
 
 
 
 
 


Create Date : 29 สิงหาคม 2564
Last Update : 30 สิงหาคม 2564 15:52:43 น. 1 comments
Counter : 689 Pageviews.

 
มาต่อเร็วๆนะค่า


โดย: Iceburg IP: 49.228.103.200 วันที่: 1 กันยายน 2564 เวลา:15:39:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.