Group Blog
 
All Blogs
 
เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 34 ชะตากรรม

***Chapter 34 ชะตากรรม: Destiny***
 
              
               “ถ้าเป็นเช่นนั้น  ถ้าหากเชื้อมนุษย์หมาป่าแพร่ไปตามร่างกายรวมทั้งกระแสเลือดของเธอหมดแล้ว  มันก็ไม่มีหนทางใดที่ฉันจะช่วยเธอได้” สิ้นคำพูดของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ เดรโก มัลฟอยก็รู้สึกราวกับเลือดในกายของเขาจับแข็งขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่าอุณหภูมิในห้องลดลงอย่างฮวบฮาบขณะที่เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอันล้ำลึกของแม่มดผู้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า
               เดรโกรู้สึกถึงความเงียบที่น่าอึดอัดซึ่งเกิดขึ้นในห้องที่คับแคบแห่งนี้ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนกระทั่งเฟรย่าทำแผลของเขาจนเสร็จเดรโกจึงกลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผากก่อนจะเอ่ยปากออกมา
               “แล้วคุณจะเริ่มทดสอบ…” เขากล่าวก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่งราวกับเขาไม่สามารถหาคำพูดที่ถูกต้องเพื่อพูดออกมาได้ “อาการของผมเมื่อไหร่” เขาถามออกไปในที่สุด ขณะที่เฟรย่ายิ้มเยือกเย็นให้เขาหากแต่ดวงตาที่มีสีเหมือนทะเลสาบของหล่อนกลับมีแววกังวลซ่อนอยู่
               “ฉันมีสมุนไพรสำหรับใช้ทำตัวยาในการทดสอบพร้อมแล้ว เพียงแค่ต้องใช้เวลาปรุงประมาณไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น” หล่อนกล่าวขึ้นพร้อมกับที่หญิงสาวละมือจากบาดแผลของเขาซึ่งหมายความว่าหล่อนทำแผลให้เขาเสร็จแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้นเดรโกก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังเปลือยท่อนบนอยู่ เด็กหนุ่มรีบคว้าเสื้อคลุมของเขามาสวมขณะที่เฟรย่าพูดขึ้น
               “ฉันต้องใช้เวลาปรุงยาสักครู่ เธอจะกลับไปรอฉันที่ห้องนอนหรือจะไปเดินเล่นในเรือนกระจกของฉันก่อนก็ได้ ไว้เสร็จแล้วฉันจะไปเรียกเธออีกที” หญิงสาวกล่าว ขณะที่มัลฟอยพยักหน้าอย่างรับรู้ ในตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าเขาอยากกลับไปที่ห้องพักเพื่อไปอยู่กับเฮอร์ไมโอนี่ เพียงแต่เมื่อคิดอีกครั้งเด็กหนุ่มก็พบว่าตัวเขาเองไม่ได้อยากกลับไปที่ห้องที่เต็มไปด้วยรอยเล็บของมนุษย์หมาป่าในทันทีหลังจากที่เขาเพิ่งได้ยินสิ่งที่แทบจะเรียกได้ว่าข่าวร้ายสำหรับเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วเดรโกจึงเอ่ยปากบอกเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ออกไป
               “ผมขอไปเดินเล่นที่สวนของคุณก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มกล่าว ขณะที่เฟรย่าพยักหน้าในเชิงอนุญาต
               “เธอไปเถอะแต่ระวังอย่าเข้าไปในส่วนที่มีรั้วกั้นแล้วกัน ตรงนั้นเป็นที่เก็บพืชที่มีอันตราย” หล่อนเตือนพลางชี้ไปทางประตูที่เปิดออกไปสู่เรือนกระจกของหล่อน และเมื่อเฟรย่าพูดจบเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเดินออกไปจากห้องทำงานของหญิงสาวด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
 
……………………………………………………………
 
               ขณะที่เดรโกกำลังเดินอยู่ในเรือนกระจกอย่างไม่มีจุดหมายอยู่นั้น ทางด้านเฮอร์ไมโอนี่ก็กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดห้องนอนซึ่งจะเป็นที่พักของพวกเขาในระหว่างที่เด็กหนุ่มต้องรักษาตัวอยู่ที่นี่ แม้ว่าเด็กสาวจะบอกเจ้านายของเธอในตอนแรกว่ามันเป็นแค่งานปัดกวาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่เธอคิดในตอนแรกเลย เพราะเธอพบว่ามีฝุ่นอีกจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ในห้องและหลบรอดคาถาทำความสะอาดของเฟรย่าในตอนแรกไปได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงจำเป็นต้องถอดถุงมือที่เดรโกให้ออกก่อนที่เธอจะเริ่มใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำและเช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ของห้อง
               เมื่อทำงานไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว เด็กสาวก็นำผ้าขี้ริ้วที่เริ่มสกปรกไปซักในถังน้ำพลางคิดถึงตอนที่เธอเป็นคนรับใช้ของคฤหาสน์มัลฟอย ในตอนนั้นเธอถูกใช้ให้ทำความสะอาดห้องต่าง ๆ ในคฤหาสน์ที่กว้างขวางแห่งนั้น ซึ่งถ้าเทียบกับตอนนั้นแล้วการทำความสะอาดห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากอย่างห้องใต้หลังคาแห่งนี้นับว่าไม่ใช่งานที่หนักแต่อย่างใด เพียงแต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่เหมือนกัน
               เมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงละมือจากงานที่ทำอยู่ เธอวางผ้าขี้ริ้วลงในถังน้ำ และก้มมองมือที่สกปรกและเต็มไปด้วยคราบดำ ๆ ที่มีจากฝุ่นของตัวเอง
               แต่ถึงมือของเธอจะสกปรกอย่างไรมันก็ไม่อาจจะลบเลือนหรือปิดบังสัญญาทาสที่เดรโกได้ทำไว้กับเธอได้ ร่องรอยของเวทย์มนต์ในครั้งนั้นยังคงเด่นชัดอยู่บนฝ่ามือของเธอในรูปของตัวอักษรย่อชื่อของเด็กหนุ่มซึ่งบ่งบอกว่าใครที่เป็นเจ้านายผู้ครอบครองชีวิตของเธอ
               และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่จ้องมองสัญญาทาสบนมือของตัวเองอยู่นั้น เสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นมาในหัวของเธอ
 
               ‘เธอไม่ได้แค่เคยเป็นคนรับใช้ของคฤหาสน์มัลฟอยหรอก แต่เธอยังคงเป็นคนรับใช้ของพวกเขาอยู่ เธอยังคงเป็นทาสของเด็กหนุ่มที่ชื่อ เดรโก มัลฟอย อยู่ดี และมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป’
 
               เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นก่อนจะจางหายไป พร้อมกับทิ้งความรู้สึกหนักอึ้งเอาไว้ในอกของเด็กสาวที่ชื่อเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวกำมือของเธอทันทีราวกับว่าเธอไม่ต้องการจะมองเห็นตราสัญญาทาสอันเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของที่เด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยมีต่อร่างกายและชีวิตของเธอบนมือของตัวเองอีกต่อไป เฮอร์ไมโอนี่ทรุดลงอย่างเหนื่อยล้า แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวเหนื่อยล้านั้นไม่ใช่การทำความสะอาดห้องใต้หลังคาแห่งนี้แต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่นานก่อนหน้านี้ ภาพที่เดรโกทำร้ายเธอผุดขึ้นมาในหัวสลับกับภาพที่เขาบอกรักเธอ ภาพที่เขาทำสัญญาทาสกับเธอแวบขึ้นมาในสมองของเธอก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพที่เขาโอบกอดเธอไว้และขอไม่ให้เธอทิ้งเขาไปไหน
               เด็กสาวถอยหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แววตาสีน้ำตาลของเธอเต็มไปด้วยความสับสบ แม้ว่าเธอจะให้คำมั่นสัญญากับเดรโกไปแล้วว่าเธอจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปแลกกับการที่เขาก็ได้ให้คำมั่นสัญญากับเธอว่าเขาจะไม่ล่วงเกินเธอโดยเธอไม่ยินยอมก็ตาม แต่เด็กสาวก็ไม่อาจจะตอบตัวเองได้ว่าทำไมเธอถึงได้ให้สัญญากับเขาไปแบบนั้น แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีกว่าการที่เธอยอมตกลงอยู่เคียงข้างเขาในวันนี้นั้นไม่ได้เป็นเพียงเพราะสัญญาทาสที่เขาทำไว้กับเธอ หรือว่าคำมั่นสัญญาที่เธอได้ให้ไว้กับเขาแต่เพียงเท่านั้น เด็กสาวรู้ดีว่ามันจะต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น เพียงแต่เธอก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นเพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้เธอปรารถนาที่จะอยู่เคียงข้างเดรโกในยามที่เขาต้องได้รับทุกข์ทรมานเช่นนี้
               เมื่อไม่สามารถหาคำตอบให้กับอารมณ์และความคิดที่สับสนของตัวเองได้แล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็ถอนหายใจขึ้นอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ ห้อง เด็กสาวเดินไปที่หน้าต่างซึ่งสามารถมองเห็นสวนที่ตั้งอยู่ใจกลางบ้านหลังนี้และบางส่วนของเรือนกระจกของเฟรย่าได้ และในขณะที่กำลังมองไปยังส่วนดังกล่าวของบ้านอยู่นั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็อดคิดสงสัยไม่ได้เลยว่าการรักษาของเดรโกจะเป็นอย่างไรบ้างนะ และเขาจะสามารถรอดพ้นจากคำสาปร้ายของการเป็นมนุษย์หมาป่าได้หรือไม่ แม้ว่าเด็กสาวจะมองไม่เห็นร่างของเจ้านายของเธอผ่านทางหน้าต่างห้องใต้หลังคาแห่งได้ก็ตาม แต่แววตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองไปยังทิศทางของห้องทำงานของเฟรย่านั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงหาและความกังวลใจราวกับว่าชะตากรรมของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยนั้นเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้
 
……………………………………………………………
 
ทางด้านเดรโกนั้นเมื่อเขาเข้ามาในเรือนกระจกของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์แล้วเขาก็เดินอย่างไร้จุดหมายไปท่ามกลางต้นไม้นานาพรรณที่เรียงรายอยู่ในเรือนกระจกแห่งนี้ แม้ว่าพืชพรรณในเรือนกระจกแห่งนี้นั้นล้วนแต่เป็นสมุนไพรที่หายากซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาโรคทั้งสิ้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าพืชพรรณที่กำลังเรียงรายอยู่รอบกายของเขานั้นจะสามารถรักษาเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้หรือไม่ อีกทั้งตอนนี้เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถเข้ารับการรักษาดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะถ้ายึดตามคำพูดที่เฟรย่าได้บอกเขาไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น ถ้าหากเชื้อมนุษย์หมาป่าแพร่กระจายไปทั่วร่างกายเขาแล้วก็คงไม่มีหนทางใดที่เขาจะสามารถหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้อีกต่อไป! 
               เมื่อคิดเช่นนั้นเดรโกก็รู้สึกราวกับเขาจมลงไปในทะเลสาบกลางฤดูหนาว แม้ว่าเรือนกระจกส่วนที่เขายืนอยู่ดูเหมือนจะถูกร่ายคาถาปรับอุณหภูมิเพื่อให้พืชที่ไม่ทนอากาศหนาวเจริญเติบโตได้ก็ตามแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก ดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย่อหยิ่งในตอนนี้นั้นกลับเต็มไปด้วยความหมองเศร้า แม้ว่าเฟรย่าจะบอกว่ายังมีความหวังสำหรับเขาอยู่ก็ตาม หากแต่หล่อนก็ได้พูดไว้ว่าความหวังนั้นริบหรี่ยิ่งนักไม่ใช่หรือ และถ้าหากหล่อนทำการทดสอบแล้วพบว่าเชื้อหมาป่าได้แพร่กระจายไปทั่วร่างของเขาแล้วล่ะ เขาจะไม่มีทางรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้เลยใช่หรือไม่!
               แน่นอนว่ามัลฟอยรู้คำตอบของคำถามนี้ดี เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าหาก เฟรย่า ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายมากที่สุดในโลกเวทย์มนต์ไม่สามารถจะหาทางรักษาเขาได้ ก็คงไม่มีใครบนโลกนี้รักษาเขาได้อย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นเขาคงต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ไปกับการเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนรังเกียจและหวาดกลัวแน่นอน!
               ขณะที่กำลังเดินอย่างไร้จุดหมายอยู่ท่ามกลางพืชพรรณจำนวนมากและปล่อยสมองและความคิดของเขาให้วนเวียนอยู่กับชะตากรรมของตัวเองต่อจากนี้อยู่นั้น มัลฟอยก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้เดินเข้ามาถึงด้านในของเรือนกระจกซึ่งเฟรย่าเตือนไม่ให้เขาไปแตะต้องอะไรในบริเวณนั้นเข้าเสียแล้ว ในขณะที่กำลังเดินเรื่อยเปื่อยอยู่โดยที่ยังคงจำคำเตือนของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ขึ้นใจอยู่นั้นเอง สายตาของเดรโกก็เหลือบไปเห็นดอกกุหลาบสีขาวที่กำลังชูช่ออยู่ท่ามกลางพืชพรรณอื่น ๆ อย่างโดดเด่น และถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ในหัวสมองของเด็กหนุ่มจะเต็มไปด้วยความกังวลต่อชะตากรรมที่เขาต้องเผชิญหลังจากนี้ก็ตาม แต่อาจจะเป็นเพราะความงดงามอย่างน่าประหลาดของดอกกุหลาบดอกนี้ที่ไม่เหมือนดอกไม้ดอกใดที่เขาเคยพบเจอมาก่อนทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะหยุดเพื่อชื่นชมความงามของมัน และจากสายตาของมัลฟอยที่พิจารณาดูแล้วนั้นเขาก็พบว่าดอกกุหลาบดอกนี้มีลักษณะพิเศษที่ต่างดอกไม้ปกติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกลีบที่ละมุน สีขาวบริสุทธิ์เปล่งประกายเหลือบสีเงินออกมาอย่างที่ดอกไม้ปกติไม่สามารถทำได้ ถ้าเด็กหนุ่มเดาไม่ผิดดอกไม้ชนิดนี้ต้องเป็นกุหลาบที่หายากยิ่งชนิดหนึ่งที่เขาเคยอ่านเจออย่างแน่นอน
               กุหลาบเหมันต์!
               มันเป็นกุหลาบชนิดเดียวที่สามารถขึ้นในฤดูหนาวท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวจัดได้ แม้ว่ามันจะไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรคเป็นพิเศษเท่าที่เขารู้ก็ตาม หากแต่มันก็นับว่าเป็นกุหลาบที่หายากมากที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากมันจะขึ้นเฉพาะในบางพื้นที่และสภาพอากาศเท่านั้นแล้ว ความงดงามของมันยังเป็นที่ร่ำลืออีกด้วย เดรโกเพียงแค่เคยได้ยินเรื่องราวของกุหลาบชนิดนี้มาจากความหายาก ความล้ำค่า และความงดงามของมันเท่านั้น หากแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพืชชนิดนี้กับตาของตัวเอง และมันก็ช่างงดงามสมคำร่ำลือจริง ๆ  กลีบสีขาวนุ่มละมุนที่สะท้อนประกายสีเงินออกมานั้นช่างดูงดงามยิ่งนักจนเด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปใกล้เพื่อสัมผัสกลีบของมันอย่างแผ่วเบา
               แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำเช่นนั้นเดรโกก็นึกถึงคำเตือนของเฟรย่าได้ ว่าเขาไม่ควรจะแตะต้องพืชชนิดใดก็ตามที่อยู่ในบริเวณนี้ และถึงแม้ว่ามัลฟอยจะรู้ดีว่ากุหลาบเหมันต์ไม่มีพิษอะไรที่เขาสมควรจะระวังพอ ๆ กับที่มันไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรคก็ตาม เดรโกก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำให้กลีบที่บอบบางนั้นต้องบอบช้ำเพราะสัมผัสของเขา ตรงกันข้ามเขาเลือกที่จะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อสูดกลิ่นจากดอกไม้ดอกนั้นแทน และเมื่อเขาทำเช่นนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมละมุนของมันที่แผ่กระจายผ่านกลีบที่ชูชันออกมา และอาจจะเป็นเพราะความงามของมันบวกกับความหายากและกลิ่นหอมละมุนนี้ทำให้เด็กหนุ่มนึกอยากจะพาเฮอร์ไมโอนี่มาชมความงดงามของดอกไม้ชนิดนี้ด้วยตาของเธอเอง แน่นอนว่าเด็กสาวต้องตื่นเต้นเป็นแน่ถ้าหากเธอได้เห็นดอกไม้หายากที่ถูกจัดอันดับไว้ว่างดงามที่สุดในหนังสือ ‘ไม้ดอกนานาชนิดในโลกเวทย์มนต์’ อย่างกุหลาบเหมันต์ดอกนี้!
               แต่เมื่อคิดอีกทีแล้ว เดรโกก็คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าหากเขาสามารถมอบกุหลาบดอกนี้ให้เป็นของขวัญแก่เด็กสาวที่เขารักได้ แม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถมอบมันให้เธอได้เนื่องจากมันไม่ใช่สิ่งของในครอบครองของเขาก็ตาม เพียงแต่ความงดงามและกลิ่นหอมละมุนของมันกลับเรียกร้องให้เดรโกนึกอยากจะนำดอกไม้ที่งดงามและล้ำค่านี้ไปมอบให้กับเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นที่รักของเขา ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าการมอบของขวัญล้ำค่ามากกว่ากุหลาบเหมันต์ดอกนี้ให้เธอนั้นจะไม่อาจชดเชยสิ่งที่เขาทำต่อเด็กสาวลงไปได้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีสิทธิที่จะทำบางอย่างให้ผู้หญิงที่เขารักบ้างไม่ใช่หรือ
               และเมื่อคิดเช่นนั้นเดรโกจึงคิดจะไปบอกเฟรย่าว่าเขาอยากจะพาเฮอร์ไมโอนี่มาชมความงามของดอกกุหลาบเหมันต์ดอกนี้หรือแม้กระทั่งความจริงที่ว่าเขาต้องการนำมันไปมอบให้เด็กสาวผู้เป็นที่รักของเขา หากแต่เมื่อนึกถึงตรงนี้มัลฟอยจึงคิดได้ว่ามันไม่เหมาะที่เขาจะถามเฟรย่าอย่างที่คิดออกไป เพราะเดรโกคงไม่สามารถเอ่ยปากขอกุหลาบดอกนี้ไปให้คนรักโดยที่ไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ของทั้งสองให้แม่มดผู้เป็นเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ และถึงแม้ว่าเขาจะสามารถบอกได้ว่าเฟรย่านั้นคงกำลังสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฮอร์ไมโอนี่อยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มก็ยังต้องพยายามปกปิดความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับเด็กสาวไม่ให้เฟรย่าล่วงรู้อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันท์คนรักหรือความสัมพันธ์ของเจ้านายและทาสก็ตาม
               เมื่อคิดได้เช่นนั้นเดรโกที่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะนำของขวัญอันล้ำค่านี้ไปมอบให้กับเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นคนรักของเขา และเมื่อเป็นเช่นนั้นมัลฟอยก็ตัดสินใจละสายตาจากกุหลาบงดงามดอกนี้ไป ตอนแรกเขาตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านแต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ทำเช่นนั้นเขาก็กลับเห็นร่างสูงของเฟรย่าที่กำลังเดินมาทางเขาพอดี
               เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เดินเข้ามาถึงตัวเดรโกในเวลาไม่นานและเมื่อหล่อนได้เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังยืนชมความงามของกุหลาบเหมันต์อยู่นั้นเธอก็ส่งยิ้มบาง ๆ มาให้เขา
               “ฉันเห็นว่าเธอคงชื่นชอบพรรณไม้ของฉัน โดยเฉพาะกุหลาบดอกนี้” หล่อนพูด และแม้ว่าในใจของเดรโกนั้นกลับคิดว่าเขาคงไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงามของพรรณไม้ที่เธอปลูกในสถานการณ์เช่นนี้หรอกหากไม่เพราะเขาบังเอิญมาพบดอกกุหลาบเหมันต์เข้าเสียก่อน หากแต่เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะไม่ตอบแบบนั้นออกไป ตรงกันข้ามเขากลับพยักหน้าให้หญิงสาวอย่างเห็นด้วย ขณะที่เฟรย่าเคลื่อนกายเข้ามาใกล้เขา
               “มันช่างเป็นดอกไม้ที่งดงามยิ่งนัก เธอว่าไหม” หล่อนพูดพลางเชยชมดอกกุหลาบดังกล่าว ก่อนจะหันมาหาเขา “มันดึงดูดสายตาของทุกคนให้เข้ามาหามัน” เฟรย่าพูดลอย ๆ
               “นับว่าคุณมีของล้ำค่าอยู่ในครอบครองทีเดียว” เดรโกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่สายตาของเด็กหนุ่มที่กำลังมองกุหลาบล้ำค่าดอกนี้อยู่ไม่อาจจะรอดพ้นการรับรู้ของเฟรย่าไปได้เลย
               “เธอเป็นแขกของฉัน คุณ มัลฟอย ถ้าเธอต้องการฉันสามารถยกกุหลาบดอกนี้ให้เธอได้นะ” หญิงสาวพูดขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้ามองเธอด้วยสายตาราวกับเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน
               “คุณหมายความว่ายังไง” เดรโกถามขึ้นอย่างระมัดระวัง และเมื่อเห็นเช่นนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงเสริมขึ้นพลางมองเขาด้วยดวงตาสีน้ำเงินลึกลับของเธอ
               “ฉันก็แค่เดาว่าเธอน่าจะอยากนำมันไปให้เพื่อนของเธอก็เท่านั้นเอง” เฟรย่าพูดโดยเน้นคำว่า ‘ เพื่อนของเธอ ’ ราวกับเธอต้องการบ่งบอกให้เด็กหนุ่มตรงหน้ารู้ว่าเธอสงสัยความสัมพันธ์ของทั้งสอง ขณะที่เดรโกมีสีหน้าครุ่นคิด แม้ว่าข้อเสนอของเฟรย่าจะเป็นสิ่งที่เย้ายวนมากก็ตาม ถ้าคิดจากความเป็นไปได้ในการที่เขาจะได้มีโอกาสได้เจอกุหลาบเหมันต์อันเป็นดอกไม้ที่หายากเป็นและล้ำค่าเป็นอย่างยิ่งนี้รวมทั้งการที่ผู้เป็นเจ้าบ้านเสนอมันให้โดยไม่ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยนแล้วนั้นมันก็คุ้มค่าไม่น้อยเลยที่เดรโกจะตอบรับข้อเสนอนี้ หากแต่ ถ้าพิจารณาจากการที่เฟรย่าอาจจะใช้ข้อเสนอนี้เป็นการทดสอบความสัมพันธ์ของทั้งสองที่เธออาจจะกำลังสงสัยอยู่หรืออาจจะถึงขั้นล่วงรู้แล้วก็ได้ว่าเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่เป็นอะไรกันแล้วนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ควรจะตอบรับข้อเสนอที่เชิญชวนนี้ของเฟรย่า เพราะการที่เขาตอบตกลงมันอาจจะเป็นการทำให้หญิงสาวมั่นใจมากขึ้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฮอร์ไมโอนี่นั้นห่างไกลจากความเป็นเพื่อนไปมากมายแล้ว และอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้มัลฟอยคิดว่าเขาไม่ควรจะตอบรับข้อเสนอนี้ของเฟรย่าก็คือ เขาไม่ต้องการจะทำลายดอกไม้ที่งดงามดอกนี้แม้ว่าเขาจะมีความตั้งใจที่จะนำมันไปมอบให้คนรักของเขาก็ตาม เพราะถึงอย่างไร ดอกไม้ที่งดงามดอกนี้ก็ควรจะได้เบ่งบานอยู่บนต้นของมันต่อไปมากกว่าที่จะต้องถูกตัดเพียงเพื่อมอบเป็นของขวัญเท่านั้น
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงได้ตอบหญิงสาวออกไป “ขอบคุณ เพียงแต่ผมอยากจะให้ดอกไม้ที่งดงามดอกนี้อยู่บนต้นของมันมากกว่า” เขาตอบออกไปขณะที่เฟรย่าส่งรอยยิ้มที่ยากจะอ่านมาให้เขา
               “นั่นนับว่าสมเหตุสมผลทีเดียว” หญิงสาวพูด “อันที่จริงที่ฉันมาที่นี่เพื่อจะบอกเธอว่าน้ำยาที่ฉันเตรียมไว้ให้เธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
               ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นเดรโกก็รู้สึกราวกับร่างของเขาชาวาบด้วยความกลัว เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะที่เลือกตอบเฟรย่าออกไปด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามทำให้มันฟังดูเรียบเฉยที่สุด
               “ถ้าอย่างนั้นผมก็ควรจะกลับที่ห้องทำงานของคุณใช่ไหม” เขาถามออกไปอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงของเขาขาดหายไปชั่วขณะ
               “ใช่ เพราะเมื่อเธอดื่มยาชนิดนี้เข้าไปแล้ว เธอจะมีอาการราวกับตอนที่เธอจะกลายร่างจริง ๆ ดังนั้นที่นี่คงไม่เหมาะเท่าไหร่” หญิงสาวอธิบาย “และอีกอย่างฉันก็ไม่อยากจะให้พืชพรรณที่ฉันปลูกไว้ได้รับความเสียหายด้วย” เธอพูดติดตลก หากแต่เดรโกไม่รู้สึกถึงอารมณ์ขันของประโยคนั้นของหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าความกลัวได้แล่นเข้าจับขั้วหัวใจของเขาแล้ว เขารู้สึกว่าการเดินกลับไปที่ห้องทำงานของเฟรย่านั้นเป็นการเดินไปสู่ลานประหารหรือไม่ก็สถานที่ที่ชะตากรรมของเขาจะถูกตัดสิน!
 
               และเมื่อเห็นท่าทีเคร่งเครียดจนเกือบจะเรียกได้ว่าหวาดกลัวของเด็กหนุ่มตรงหน้า หญิงสาวจึงเอ่ยปากถามขึ้น “เธอต้องการให้ฉันเรียกเพื่อนของเธอมาอยู่ด้วยไหม”
               สิ้นคำถามของหญิงสาว หัวใจของเด็กหนุ่มก็แกว่งวูบอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความกลัว แต่มันกลับเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความห่วงหาอาธรและความอัดอั้นตันใจ
               แน่นอนว่าเขาอยากให้เฮอร์ไมโอนี่มาอยู่ด้วย เขาอยากจะให้เธออยู่ข้างกายเขาในทุกเรื่องที่เขาต้องเผชิญ โดยเฉพาะเรื่องที่หนักหนาสาหัสอย่างที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ หากแต่ ในขณะเดียวกันเดรโกก็ไม่อยากจะให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักจะต้องมาเห็นเขาในสภาพที่ใกล้เคียงกับการกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายแบบนั้น! แม้เขาจะแน่ใจว่าปฏิกิริยาของเด็กสาวที่มีต่ออาการของเขาคงจะเป็นความเป็นห่วงมากกว่าความรังเกียจเดียดฉันท์ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เดรโกก็ไม่ต้องการจะให้เฮอร์ไมโอนี่มาเห็นหรือแม้กระทั่งรับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาต่อไปนี้เลย! แม้ว่าก้นบึ้งของหัวใจของเขาจะเรียกร้องให้เด็กสาวมาอยู่เคียงข้างมากแค่ไหนก็ตาม มัลฟอยก็ไม่อาจจะทนให้เธอมาเห็นเขาในสภาพที่ต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสได้เช่นกัน!
 
               ‘ นายตัดสินใจถูกแล้วที่ทำแบบนี้ เพราะนายน่าจะทำใจให้ชินกับการไม่มีเธอเอาไว้นะ เพราะถ้านายต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าจริง ๆ นายก็คงต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีเธอ
 
               เสียงเล็ก ๆ กระซิบขึ้นในหัวของเดรโก และเด็กหนุ่มก็ไม่อาจเถียงได้เลยว่าสิ่งที่มันพูดนั้นไม่เป็นความจริง แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะยอมรับมันมากเพียงใดก็ตาม เพราะเขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่า ถ้าหากวันนั้นมาถึงจริง ๆ ถ้าหากถึงวันที่เขาต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวจริง ๆ ล่ะก็ เขาคงไม่อาจจะปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่อยู่ข้างกายเขาต่อไปได้เป็นแน่ และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่รู้ว่าเมื่อถึงวันนั้นแล้วเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไรก็ตามแต่เขาก็ไม่อาจจะเอาชีวิตของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักมาเสี่ยงได้ เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเฮอร์ไมโอนี่แล้วล่ะก็ เขาคงต้องสูญเสียความหวังเพียงอย่างเดียวในการมีชีวิตอยู่ของเขาเป็นแน่!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเอ่ยคำตอบของเขาต่อคำถามของเฟรย่าออกไปแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่หัวใจของเขาต้องการก็ตาม
               “ผมว่าไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เธอจัดที่พักต่อไปเถอะ ผมไม่อยากจะรบกวนเธอ” เดรโกพูด ขณะที่เฟรย่ามองเขาด้วยสายตาประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
               “ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับไปที่ห้องทำงานของฉันกันเถอะ เราจะได้เริ่มกันเสียที” หญิงสาวกล่าว และเด็กหนุ่มก็พยักหน้าน้อย ๆ ราวกับไม่เต็มใจเท่าไหร่ก่อนจะเดินตามร่างสูงของเฟรย่าไปสู่การทดสอบที่จะตัดสินชะตากรรมชั่วชีวิตของเขา!
 
……………………………………………………………
 
               เดรโกไม่แน่ใจว่าเขาพาขาที่หนักอึ้งของตัวเองเดินกลับมาที่ห้องทำงานของเฟรย่าได้อย่างไร หากแต่สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้เมื่อก้าวกลับเข้ามาในห้องทำงานแห่งนี้ก็คือกลิ่นสมุนไพรที่ฉุนจมูกก่อนที่เขาจะเห็นหม้อยาใบย่อม ๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเฟรย่า ควันสีขาวที่กำลังลอยขึ้นมาจากหม้อนั้นบอกเขาว่ายาหม้อนี้เพิ่งถูกต้มขึ้นใหม่ ๆ และเมื่อเฟรย่าทำท่าทางบอกให้เขาไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่เขาเคยนั่งเมื่อครู่ เดรโกก็นั่งลงด้วยความกระวนกระวาย ก่อนที่เฟรย่าจะเดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ หญิงสาวตักยาในหม้อใส่แก้วใบหนึ่งก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มซึ่งรับมาด้วยท่าทีกังวล หากแต่ก่อนที่เดรโกจะตัดสินใจยกแก้วในมือขึ้นจรดริมฝีปากนั้น เฟรย่าก็ยกมือห้ามเขาไว้ก่อน
               หญิงสาวพูดขึ้นขณะที่เด็กหนุ่มเงยหน้ามองหล่อนด้วยความสงสัย
               “เดี๋ยวก่อน” ทันทีที่พูดจบ หล่อนก็ร่ายคาถาขึ้นบทหนึ่งซึ่งเดรโกรู้ว่ามันเป็นคาถาป้องกัน โดยที่หล่อนเจาะจงร่ายคาถาไปยังชั้นวางของที่ตั้งสูงตระหง่านรอบห้องราวกับว่าหล่อนต้องการปกป้องขวดยาอันมีค่าของตนให้รอดพ้นจากอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และเมื่อร่ายคาถาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็หันมาพยักหน้าให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า
               “เชิญเลย คุณมัลฟอย” เฟรย่ามองมาที่เขาก่อนที่สายตาของเธอจะเลื่อนไปยังถ้วยที่เด็กหนุ่มถืออยู่ในมือ ในขณะเดียวกันนั้นมัลฟอยก็เลื่อนสายตาของเขาตามสายตาของหญิงสาวไปยังสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะเทยาในถ้วยนี้ทิ้งมากแค่ไหนก็ตาม แต่มัลฟอยก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการดื่มมันได้พอ ๆ กับที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมหลังจากที่เขาได้ดื่มมันไปได้เช่นเดียวกัน! หลังจากใช้เวลาจ้องมองถ้วยยาตรงหน้าด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมอยู่ครู่หนึ่ง เดรโกก็ตัดสินใจยกถ้วยยาในมือขึ้นจรดริมฝีปาก และดื่มมันหมดในทีเดียว!
 
               ความขื่นคอเป็นความรู้สึกแรกที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้เมื่อของเหลวในถ้วยไหลผ่านลำคอของเขา แต่หลังจากเขาดื่มไปครู่หนึ่งแล้วมัลฟอยก็พบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของเขาแต่อย่างใด ในตอนแรกเดรโกได้แต่สงสัยว่าผลของยาชนิดนี้คืออะไรกันนะ หลังจากที่เขาไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรในตัวเขาที่เปลี่ยนแปลงไปเลยนอกจากต่อมรับรสของเขาที่เหมือนจะไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะหลังจากดื่มยาที่มีรสชาติเหลือประมาณขนานนี้เข้าไป  แต่ในไม่กี่วินาทีต่อมานั้นเอง เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความปวดร้าวซึ่งแล่นผ่านไปทั่วสรรพางค์กายของเขา มัลฟอยรู้สึกราวกับเส้นเลือดของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่กระดูกของเขาปวดร้าวราวกับมันโดนบิดด้วยแรงมหาศาล! ร่างของเด็กหนุ่มหดเกร็งด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ฟันกรามที่ขบแน่นของเขาจะยอมจำนนและส่งเสียงร้องด้วยความทรมานออกมา และในวินาทีต่อไปร่างสูงของเดรโก มัลฟอยก็ล้มลงไปที่พื้นและดิ้นทุรนทุรายยด้วยความเจ็บปวดขณะที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เฝ้ามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่แสดงถึงความรู้สึกใด ๆ
              
……………………………………………………………
 
               ในขณะที่เด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยกำลังทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวดอยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังทำความสะอาดห้องใต้หลังคาจนเกือบเสร็จแล้วนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น
               เด็กสาวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ มือเล็กของเธอปล่อยอุปกรณ์ทำความสะอาดที่กำลังถืออยู่พร้อมกับที่เธอลุกขึ้นเพื่อหาต้นตอของเสียงกรีดร้องนั้น และเมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าเสียงร้องเป็นของเสียงของเดรโก มัลฟอยไม่ผิดแน่ โดยที่ไม่ได้คิดตรึกตรองอะไรให้ดีก่อน เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบลงจากห้องใต้หลังคาเพื่อมุ่งไปยังต้นตอของเสียงร้องนั้น!
               เด็กสาวเดินลงบันไดห้องใต้หลังคาที่สูงชันอย่างรีบเร่ง ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังห้องที่เหมือนห้องพยากรณ์ซึ่งเป็นที่ ๆ เดรโกพบเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เป็นครั้งแรก เฮอร์ไมโอนี่เรียกชื่อเจ้านายของเธออย่างตื่นตระหนกเมื่อเธอเข้าไปยังห้องพยากรณ์ที่เล็กแคบซึ่งเป็นที่ ๆ เธอคิดว่าเดรโกน่าจะอยู่ที่นั่น หากแต่เมื่อเด็กสาวพบว่าห้องนั้นว่างเปล่าเธอก็ร้อนรนมากกว่าเดิม และเนื่องมาจากเธอไม่รู้ว่าประตูซึ่งเชื่อมต่อไปยังห้องทำงานของเฟรย่าอยู่เบื้องหลังพรมลายทอผืนใหญ่ในห้อง เด็กสาวจึงรีบเดินออกจากห้องพยากรณ์และรุดหน้าไปยังส่วนอื่นของบ้าน
               เฮอร์ไมโอนี่เดินกลับที่ห้องรับแขกเพื่อฟังต้นตอของเสียงพลางเรียกชื่อเดรโกไปด้วย และเมื่อเธอพบว่าเสียงร้องนั้นน่าจะมาจากปีกซ้ายของบ้าน เด็กสาวจึงรุดหน้าไปยังห้องครัวซึ่งมีประตูที่สามารถเปิดออกไปยังสวนซึ่งตั้งอยู่ใจกลางบ้านได้ เพราะเธอจำได้ว่าเฟรย่าบอกเธอว่าปีกซ้ายของบ้านเป็นห้องทำงานและเรือนเพาะชำของหล่อน และมันก็เป็นทิศทางเดียวกับที่เสียงร้องของเดรโกดังขั้นมา มันจึงทำให้เฮอร์ไมโอนี่มั่นใจว่าเดรโกน่าจะอยู่ที่นั่น และทางที่จะไปยังปีกซ้ายของบ้านได้เท่าที่เด็กสาวรู้ก็คือต้องเดินตัดสวนสมุนไพรใจกลางบ้านไป
               อาจจะเป็นเพราะความเป็นห่วงเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอหรือเป็นเพราะความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะทราบได้ที่ทำให้เธอรีบรุดไปยังสวนใจกลางบ้าน และเมื่อเท้าก้าวแรกของเด็กสาวแตะลงบนพื้นดินนอกบ้านซึ่งเป็นอาณาเขตของสวนเฮอร์ไมโอนี่ก็สัมผัสได้ถึงความหลากหลายของพืชพรรณต่าง ๆ ที่เธอไม่เคยรู้สึกยามเธอมองมาจากในตัวบ้านหรือจากห้องใต้หลังคา เด็กสาวเดินตรงเข้าสู่แมกไม้อันหนาทึบอย่างร้อนใจหากแต่ระมัดระวัง ในขณะที่เสียงร้องของเดรโกยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งยิ่งทำให้เธอร้อนใจเข้าไปใหญ่ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงความเจ็บที่แล่บแปล๊บขึ้นมาเมื่อมีกิ่งไม้มาข่วนแขนเธอ หากแต่เธอไม่มีเวลามาหยุดสนใจมัน ตรงกันข้ามเด็กสาวกลับเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามต้นตอของเสียงนั้นให้เร็วขึ้นเพียงเพื่อที่จะมาพบว่าเธอเจอกับทางตัน!
               ตรงใจกลางสวนนั้นมีแมกไม้และเถาวัลย์ขนาดใหญ่ซึ่งพันต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ติดกันไว้อย่างหนาแน่นราวกับตาข่ายขนาดใหญ่ เพราะไม่มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่ตอนนี้เธอเลยไม่สามารถพาตัวเองผ่านตาข่ายเถาวัลย์ขนาดยักษ์ที่กำลังขวางกั้นเธอกับทางเดินไปหาต้นตอของเสียงนั้นได้! ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าข้างหน้าของเธอคือทางตัน เธอก็ได้ยินเสียงร้องของเด็กหนุ่มดังขั้นก่อนที่มันจะเงียบลง!
               “เดรโก!” ชื่อของเจ้านายของเธอหลุดออกมาจากปากของหญิงสาวอย่างร้อนใจ “เดรโก!!!” เด็กสาวตะโกนก้องโดยที่เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงเรียกของเธอหรือไม่!
 
               ……………………………………………………………
 
               ในขณะที่ใจของเฮอร์ไมโอนี่รุ่มร้อนด้วยความเป็นห่วงอยู่นั้น เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็ยืนจ้องมองเดรโก มัลฟอยที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งเฉย หญิงสาวโบกไม้กายสิทธิ์เบา ๆ เพื่อให้เสื้อคลุมและเสื้อผ้าท่อนบนของมัลฟอยหายวับไป และเมื่อเธอทำเช่นนั้นมันก็เผยให้เห็นเส้นสีดำที่กระจายตัวอยู่ทั่วร่างกายของเด็กหนุ่มราวกับเลือดในกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีดำและปรากฎขึ้นบนผิวสีซีดของเขา ดวงตาของเจ้าของร่างเบิกกว้างเมื่อเขาเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขา เพียงแต่เดรโกไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะเอ่ยปากถามเฟรย่าในเรื่องนี้ เพราะแค่การพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองกรีดร้องหรือลุกขึ้นมาทำลายข้าวของรอบข้างเพราะความทรมานอย่างแสนสาหัสนี้มันก็หนักหนาสำหรับเขาอยู่แล้ว! แต่ท่ามกลางความทรมานนั้นเด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาหูฝาดไปหรือเปล่า แต่เขารู้สึกราวกับเขาได้ยินเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ร้องเรียกชื่อของเขาด้วยความร้อนรน!
               เฮอร์ไมโอนี่ แค่เขาคิดถึงชื่อของเด็กสาวอันเป็นที่รักของเขา เดรโกก็รู้สึกถึงความห่วงหาที่แล่นเข้าเกาะกุมหัวใจของเขาพร้อมกับความเจ็บปวด แม้ว่าเขาจะต้องการให้ผู้หญิงที่เขารักมาอยู่เคียงเขามากเพียงใดก็ตาม แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เธอมาเห็นเขาในสภาพนี้!
               อาจจะเป็นเพราะเดรโกกำลังทรมานทั้งทางร่างกายและสับสนทางจิตใจอยู่ก็เป็นได้ เด็กหนุ่มจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าเส้นสีดำที่เปรียบเสมือนเชื้อของมนุษย์หมาป่านั้นได้แผ่กระจายไปทั่วร่างของเขาจนกระทั่งจรดปลายนิ้วแล้ว!
               เด็กหนุ่มไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเวลานานแค่ไหนแล้วที่เขาต้องทนกับความเจ็บปวดราวกับร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เช่นนี้ และเมื่อวินาทีที่ความเจ็บปวดได้จบลงแล้วนั้นเด็กหนุ่มก็ดูราวกับจะไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน เพราะสิ่งเดียวที่เขาทำได้หลังจากรู้สึกว่าความเจ็บปวดค่อย ๆ คลายตัวจนเขาไม่ต้องกรีดร้องออกมาอีกแล้วนั้นก็คือการนอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบในห้องทำงานของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ขณะที่เจ้าของห้องนั้นกำลังมองมาทางเขาด้วยแววตาที่ยากจะอ่าน
               เมื่อรู้สึกแน่ชัดว่าความเจ็บปวดได้จบลงแล้ว พร้อมกับที่เขาสามารถปรับลมหายใจได้แล้วนั้นมัลฟอยก็พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้นห้องที่เย็นเฉียบ เด็กหนุ่มรู้สึกมึนงงเล็กน้อยขณะที่เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่มันก็ใช้เวลาไม่นานในการที่เขาจะประคองตัวเองให้กลับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเคยนั่งอยู่เมื่อครู่ได้ และเมื่อเขาทำเช่นนั้นได้แล้วมัลฟอยก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาไม่ได้เปลือยท่อนบนอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามเสื้อผ้าและเสื้อคลุมที่เขาใส่อยู่ก่อนหน้านี้กลับมาอยู่ที่เดิมอย่างที่มันควรจะเป็นซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมาจากการที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เสกมันกลับมาหลังจากที่หล่อนเป็นคนใช้เวทย์มนต์ทำให้มันหายไป แต่ในขณะที่เสื้อผ้าของเขากลับมาแล้วนั้น เดรโกก็สังเกตเห็นว่าร่องรอยสีดำที่ปรากฎขึ้นบนร่างของเขาซึ่งเดิมกระจายไปจนถึงนิ้วมือของเขาก่อนหน้านี้ได้จางหายไปราวกับมันไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้นอยู่มาก่อน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างของแม่มดที่อยู่ตรงหน้าเพื่อสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้น
               แต่ก่อนที่เขาจะได้มีโอกาสเอ่ยปากถามอะไรเฟรย่าออกไปสายตาของเขาก็สบเขากับดวงตาสีน้ำเงินของหญิงสาวซึ่งตอนนี้กำลังมองเขาด้วยความอึดอัด
               “ผม…..” มัลฟอยเอ่ยปากพูดแต่คำพูดของเขาก็หายไปราวกับว่าเขาไม่สามารถจะหาเสียงของตัวเองเจอ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีก้อนบางอย่างมาจุกที่ลำคอของเขาทำให้เขาไม่สามารถพูดประโยคในใจออกไปได้จนจบ
               แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้พยายามพูดออกไปเป็นครั้งที่สองนั้น เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของร่างสูงตรงหน้า และในคราวนี้ดวงตาสีทะเลสาบของเฟรย่าก็สะท้อนแววของความเห็นใจจนเกือบจะเรียกได้ว่าสงสารออกมาพร้อมกับที่หล่อนเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
               “ฉันเสียใจด้วยคุณมัลฟอย” น้ำเสียงของหล่อนแห้งผาก “แต่ว่าตอนนี้เชื้อหมาป่าได้กระจายไปทั่วร่างของเธอแล้ว ฉันไม่สามารถช่วยเธอได้จริง ๆ” หญิงสาวกล่าวออกมาขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าของเธอนั้นฟังคำพูดที่เปรียบเสมือนคำตัดสินชะตากรรมของด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
               เดรโก มัลฟอยรู้สึกราวกับโลกของเขาได้พังทลายลงต่อหน้า!
 
               ……………………………………………………………
              
               เสียงของเฟรย่าซึ่งพูดประโยคที่ตัดสินชะตาชีวิตของเดรโกนั้นดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มราวกับเสียงสะท้อน หากแต่ในขณะเดียวกันก็ดูราวกับว่าเสียงดังกล่าวไม่สามารถสะท้อนไปถึงเด็กหนุ่มได้เพราะหลังจากที่ได้ยินประโยคดังกล่าวแล้วนั้น เดรโก มัลฟอยก็นั่งนิ่งไม่ไหวติงไปครู่หนึ่งราวกับว่าเขาต้องใช้เวลาในการรอให้คำพูดนั้นแทรกซึมเข้าสู่สมองของเขา
               แต่แท้ที่จริงแล้ว มัลฟอยรู้ถึงความหมายของคำพูดนั้นของเฟรย่าดี เขารับรู้ได้แม้กระทั่งความหนักอึ้งของมันที่แทบจะบดขยี้สติสัมปชัญญะของเขาให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามาหามัลฟอยราวกับคลื่นที่ถาโถม ความผิดหวัง ความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด ความกลัว จนเด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรจะจัดการกับความรู้สึกอะไรก่อนดี เพราะเขาเพิ่งได้รับรู้ตอนนี้เองว่ามนุษย์สามารถรับรู้ความรู้สึกที่มากมายขนาดนี้พร้อมกันได้ด้วยหรือ  
               และเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้านั่งนิ่งไม่ไหวติงและไม่มีท่าทีตอบสนองกับสิ่งที่หล่อนได้พูดออกไป เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์จึงเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง
               “คุณมัลฟอย” และเมื่อหล่อนทำเช่นนั้นเฟรย่าก็ได้ยินเด็กหนุ่มตอบมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
               “ผมไม่มีหวังเลยใช่ไหม” เขาพูดพร้อมกับก้มลงมองมือซีดเซียวของเขาราวกับว่าเขาต้องการหาร่องรอยคำสาปที่เพิ่งปรากฏทั่วผิวเนื้อของเขาเมื่อครู่ หากแต่ตอนนี้เดรโกไม่สามารถมองเห็นอะไรไปมากกว่าผิวหนังที่ซีดเซียวของเขาเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่า เขาไม่มีทางรอดพ้นคำสาปร้ายของการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้ แม้ว่าผิวพรรณที่เขาเห็นตอนนี้จะเป็นเนื้อหนังของมนุษย์ก็ตามแต่มันก็ต้องกลายเป็นเนื้อหนังของสัตว์ร้ายในคืนวันเพ็ญที่กำลังจะถึงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
               ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์นั้น มัลฟอยได้ยินเสียงของเฟรย่าพูดขึ้นราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล
               “ฉันเสียใจด้วย” หญิงสาวพูดได้เพียงเท่านั้น เพราะจู่ ๆ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ลุกพรวดพราดขึ้น แม้ว่าร่างสูงจะเซไปเล็กน้อยจากการลุกขึ้นอย่างกระทันหัน แต่เมื่อแน่ใจว่าเขายืนอย่างมั่นคงบนพื้นห้องได้แล้ว มัลฟอยก็ตัดสินใจเดินออกจากห้องไป!
               เมื่อเห็นว่าร่างสูงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์รุดออกจากห้องไป เฟรย่าก็เดินตามเขาออกไปติด ๆ พร้อมกับเรียกชื่อของเขา หากแต่เด็กหนุ่มไม่เหลือบมองมาทางหล่อนแม้แต่น้อยขณะที่เขาก้าวยาว ๆ ผ่านห้องพยากรณ์ไปยังห้องรับแขกและเมื่อหญิงสาวตัดสินใจเรียกชื่อเขาอีกครั้ง หล่อนก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มตอบออกมาอย่างเลือนลางว่า “ผมอยากอยู่คนเดียว” ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะเดินออกจากประตูบ้านและหายลับไป โดยที่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นได้แต่ยืนมองเขาอย่างจนใจ
 
               ในขณะที่หญิงสาวผมดำกำลังคิดว่าหล่อนควรจะตามเดรโก มัลฟอยออกไปหรือเปล่านั้นร่างอีกร่างหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นในห้องรับแขก
               เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์รุดเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก และทันทีที่เด็กสาวเห็นเฟรย่าเธอก็รีบถามขึ้นมา
               “เดรโกล่ะค่ะ เขาเป็นอะไรหรือเปล่า” เด็กสาวถามด้วยท่าทีร้อนรน ขณะที่เฟรย่าตอบออกไปด้วยท่าทีที่หล่อนพยายามจะทำให้ดูสงบนิ่ง
               “เขาเพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อครู่น่ะ” หญิงสาวกล่าว
               “ออกไปข้างนอกเหรอคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความแปลกใจ “แต่เมื่อกี๊หนูได้ยินเสียงเดรโกเขา….” เด็กสาวพูดเพียงเท่านั้นราวกับว่าข้อความที่เธอต้องการเอ่ยต่อไปนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนเธอไม่อยากจะพูดออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ตามเฟรย่าก็เข้าใจดีว่าเด็กสาวตรงหน้าเธอต้องการจะสื่ออะไร เพราะยังไม่ทันที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดคำถามของเธอจนจบ เฟรย่าก็ตอบออกมา
               “เขาไม่เป็นอะไรแล้วจ้ะ เขาแค่บอกว่า เขาอยากอยู่คนเดียวเท่านั้น” หญิงสาวพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง หากแต่ท่าทีสุขุมของเธอนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ความสงสัยของเด็กสาวตรงหน้าคลายลงได้ และนั่นไม่ใช่เพราะว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในชั้นของเธอ เพียงแต่เป็นเพราะว่าเธอรู้ดีว่าเดรโกกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรบ้าง และเด็กหนุ่มก็ไม่เข้มแข็งพอ ไม่ใช่สิ คงไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่เข้มแข็งพอจะเผชิญชะตากรรมที่เดรโกอาจจะต้องเผชิญตามลำพังได้แน่ ดังนั้นการที่เฟรย่าบอกว่าเด็กหนุ่มต้องการจะอยู่คนเดียวนั้นมันจึงดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่
               หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เด็กสาวไม่รู้ ซึ่งนั่นก็คือผลจากการทดสอบที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นั่นเอง!
               และเพราะเป็นเช่นนั้น เพราะเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างขั้นตอนการรักษาของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอบ้าง เธอจึงถามออกไป
               “เกิดอะไรขึ้นคะ” สิ้นคำถามของเด็กสาว ก็เกิดความเงียบขึ้น เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์มองเด็กสาวตรงหน้าเธออย่างประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หล่อนจะตอบออกไป
               “ฉันว่าเรื่องนี้รอให้เขาบอกเธอเองจะดีกว่านะ” หญิงสาวตอบหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และเมื่อหล่อนเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าทำท่าจะถามอะไรต่อไป หล่อนจึงรีบพูดขึ้นมาว่า
               “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ฉันว่าจะทำอาหารกลางวันซักหน่อย เธอมาช่วยฉันหน่อยจะได้ไหม” เฟรย่าถามขึ้นท่ามกลางสีหน้าที่งงงวยของเฮอร์ไมโอนี่
               “แต่….เดรโก” เด็กสาวพยายามท้วงขึ้น
               “ฉันว่าเขาคงไปได้ไม่ไกลหรอก ฉันเลยไม่เห็นประโยชน์ในการออกไปตามเขา” หญิงสาวพูดเสียงเย็น “ตรงกันข้ามฉันคิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงกลับมา และเมื่อถึงตอนนั้นฉันว่าเราน่าจะทำอาหารกลางวันไว้รอเขากลับมาทานจะดีกว่ามั๊ย” ผู้เป็นเจ้าของบ้านโน้มน้าว หากแต่ดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่ยังแสดงถึงความเป็นห่วงที่มีต่อเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยอยู่
               “แต่….หนูว่า” เด็กสาวพยายามพูด ขณะที่เฟรย่าจ้องมองเธอด้วยดวงตาสีน้ำเงินที่ล้ำลึกของหล่อน
               “เกาะนี้ไม่กว้างเท่าไหร่นักและก็ไม่มีส่วนไหนที่เป็นอันตราย อย่างที่ฉันได้บอกเธอไปแล้วฉันคิดว่าไม่นานเพื่อนของเธอก็คงกลับมาเอง แต่ถ้าหากเธออยากจะตามเขาออกไปฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับผายมืออย่างเชื้อเชิญ หากแต่เมื่อเธอทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่กลับยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ว่าเธออยากจะตามเดรโกออกไปแค่ไหนก็ตามแต่เด็กสาวก็เพิ่งนึกได้ว่าเธอไม่มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่ ตรงกันข้ามกับเด็กหนุ่มที่น่าจะพกไม้ของเขาไปด้วย ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเขาก็ตามเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าเดรโกคงไม่น่าจะเป็นอันตรายใด ๆ ตรงกันข้ามกับเธอ เพราะเมื่อเธอไม่มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวเธอก็ไม่ต่างกับมักเกิ้ลธรรมดา ๆ เท่านั้น และ การออกไปตามหาเดรโกในตอนนี้นอกจากมันอาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรขึ้นแล้ว แต่มันอาจจะทำให้ตัวเธอเองเดือดร้อนขึ้นมาด้วยซ้ำ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นคำแนะนำของเฟรย่าก็ดูจะสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที
               หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ไม่นาน เด็กสาวก็ตัดสินใจพูดออกไป
               “หนูคิดว่าหนูรอเดรโกอยู่ที่นี่จะดีกว่าค่ะ” เธอตอบออกไปสั้น ๆ ขณะที่ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะพูดขึ้น
               “ถ้าอย่างนั้นเธอคงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าฉันจะขอแรงเธอมาช่วยเตรียมอาหารกลางวันน่ะจ้ะ” หญิงสาวกล่าว และในเมื่อเธอไม่มีเหตุผลดี ๆ ที่จะปฏิเสธการร้องขอจากผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ เด็กสาวจึงหยักหน้าก่อนตอบออกไป
               “ได้ค่ะ” สิ้นเสียงตอบรับของเด็กสาว เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ก็ส่งรอยยิ้มลึกลับที่แฝงด้วยความพอใจมาให้เฮอร์ไมโอนี่พร้อมกับพูดขึ้น
               “ดีจ้ะ งั้นเรามาเริ่มกันเลยแล้วกัน” หญิงสาวผมดำพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่หล่อนจะเดินนำเด็กสาวตรงหน้าเข้าครัวไป
 
               ……………………………………………………………
 
               ในตอนแรกที่เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์บอกว่าจะให้เฮอร์ไมโอนี่ช่วยเตรียมอหารกลางวันนั้น เด็กสาวคิดว่าเฟรย่าคงจะลงมือทำอาหารตามแบบฉบับไอซ์แลนด์อย่างที่เธอเคยได้ลิ้มรสมาบ้างแล้วในตอนที่เธอพักอยู่ที่โรงแรมก่อนจะข้ามฟากมาที่เกาะนี้ หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าอาหารที่หญิงสาวผู้เป็นชาวไอซ์แลนด์โดยกำเนิดนั้นตั้งใจจะทำเป็นอาหารแบบฉบับอังกฤษ ราวกับว่าเฟรย่าต้องการให้เด็กทั้งสองผู้เป็นแขกของเธอได้ลิ้มรสอาหารแบบเดียวกับประเทศบ้านเกิดที่พวกเขาจากมา แต่เมื่อนำความจริงที่ว่าสามีของเฟรย่าเป็นชาวอังกฤษมาพิจารณาแล้วนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่แปลกใจนักที่หญิงสาวสามารถทำอาหารอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ แน่นอนว่าหล่อนคงเคยทำอาหารตามแบบฉบับอังกฤษให้สามีของหล่อนทานตอนที่เขามีชีวิตอยู่เป็นแน่
               แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้มีโอกาสพิจารณาเกี่ยวกับตัวเฟรย่าไปมากกว่านั้น เสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้น
               “เธอช่วยหั่นผักพวกนี้ได้ไหมจ๊ะ” หล่อนถามขึ้น และทันใดนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอถอดถุงมือของเธอทิ้งไว้ที่ห้องพัก เพราะในตอนที่เธอได้ยินเสียงของเดรโกดังขึ้นเธอกำลังทำความสะอาดห้องใต้หลังคาอยู่ เธอจึงต้องถอดถุงมือของเธอออกและวางมันทิ้งไว้ที่ห้องใต้หลังคา
               “เอ่อ หนู” เด็กสาวอ้ำอึ้ง ขณะที่หญิงสาวมองเธอด้วยท่าทีสงสัย แต่ไม่นานนักเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดวิธีแก้ปัญหาในครั้งนี้ออก “คือหนูเพิ่งทำความสะอาดห้องมาน่ะค่ะ หนูขอไปล้างมือก่อนได้ไหมคะ” เฮอร์ไมโอนี่รีบพูดออกไปและเมื่อเห็นว่าเฟรย่าพยักหน้าในเชิงเข้าใจ เด็กสาวก็รีบรุดออกจากห้องครัวไป
               เฮอร์ไมโอนี่รีบขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาก่อนเพื่อหยิบถุงมือที่เดรโกซื้อให้มา โดยเด็กสาวเลือกคู่ที่เป็นถุงมือหนังซึ่งเปิดบริเวณนิ้วก่อนที่เธอจะรุดไปยังห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดมือของเธอรวมทั้งถุงมือคู่นี้ด้วย
               หลังจากล้างมือเสร็จแล้วและกำลังทำความสะอาดถุงมืออยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็เหลือบไปเป็นเงาของตัวเองในกระจกเหนืออ่างล้างหน้า ใบหน้าที่จ้องกลับมานั้นช่างซีดเซียว ดวงตาสีน้ำตาที่เคยสดใสในตอนนี้กลับแฝงไว้ด้วยความกังวล เด็กสาวก้มลงมองสัญญาทาสบนมือของตัวเองอย่างสับสน ตัวอักษร D. M. ปรากฎชัดบนอุ้งมือเล็กของเธอ แม้ว่าตอนนี้เธอได้คิดหาทางเอาตัวรอดและปกปิดความลับที่เธอเป็นทาสของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยได้แล้วก็ตาม แต่เธอจะสามารถปกปิดมันได้นานเพียงใดกันเชียว และถึงเธอจะปิดบังเรื่องนี้จากเฟรย่าต่อไปได้ แต่ถึงอย่างไรเด็กสาวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเดรโกนั้นไม่ใช่เพียงแค่คู่รักหรือศัตรูธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่มันกลับเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนจนแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยกันแน่ แน่นอนว่าเธอยังคงจำทุกสิ่งที่เขาไว้ทำกับเธอได้ แต่ถึงกระนั้นเด็กสาวก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเขา ในวินาทีที่เธอได้ยินเสียงของเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดนั้นเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับหลังจากที่เขาเคยทำให้เธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมาก่อนแล้ว ตรงกันข้ามเมื่อเธอรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังทุกข์ทรมานอยู่นั้น เธอกลับห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกเป็นห่วงเขาได้เลย!
               เฮอร์ไมโอนี่ยังจำได้ดีถึงความรู้สึกสิ้นหวังที่เธอไม่สามารถหาตัวเขาเจอในยามที่เขากรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานได้ หัวใจของเธอเจ็บปวดราวกับมันถูกบีบรัดเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้นของเดรโกราวกับว่าความเจ็บปวดทรมานของเด็กหนุ่มได้ถ่ายทอดมาที่เธอด้วย และเป็นเพราะเหตุใดเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะทราบได้ หากแต่เด็กสาวกลับอดไม่ได้เลยที่จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างสุดหัวใจ!
               แถมในตอนนี้เขายังออกจากบ้านไปโดยที่ไม่รู้ว่าไปไหนอีกด้วย และถึงแม้ว่าเฟรย่าจะบอกว่าไม่น่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับเดรโกก็ตามแต่มันก็ไม่อาจทำให้เฮอร์ไมโอนี่คลายความกังวลที่มีต่อเขาไปได้เลย ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกกังวลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำเมื่อเธอรู้ว่าเขาออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวกันแบบนี้! เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ทำไมเขาถึงออกจากบ้านไปโดยที่ไม่บอกอะไรเธอเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกกล่าวเธอแทบจะทุกครั้งเมื่อเขาต้องไปที่อื่น เด็กสาวคิดอย่างกังวล
               แต่สิ่งที่มารบกวนจิตใจเฮอร์ไมโอนี่นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ความห่วงกังวลที่มีต่อเด็กหนุ่มที่อยู่ในฐานะเจ้านายของเธอเท่านั้น หากแต่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เขาเคยทำร้ายเธอสารพัดรวมทั้งเขาได้ทำการร่ายมาตราเพื่อกักขังเธอให้เป็นทาสของเขาแบบนี้อีกด้วย และถึงเฮอร์ไมโอนี่จะรู้ว่าเวทย์มนต์ของสัญญาทาสชั่วนิรันดร์นั้นมีผลแค่ทางร่างกายแต่มันไม่สามารถทำให้จิตใจของทาสเปลี่ยนมาภักดีต่อผู้เป็นเจ้านายได้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นห่วงเป็นใยเด็กหนุ่มที่เคยทำร้ายเธอมากถึงขนาดนี้!
               แต่ก่อนที่จะปล่อยใจของตัวเองให้ครุ่นคิดไปไกลกว่านี้แล้วนั้นเด็กสาวก็ต้องดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ความคิดเมื่อเธอนึกได้ว่าเธอต้องกลับเข้าไปยังห้องครัว เฮอร์ไมโอนี่เช็ดมือและถุงมือหนังของเธอให้แห้ง เธอสวมมันไว้บนมือข้างที่มีตราทาสอยู่ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปที่ครัว
               เมื่อเฮอร์ไมโอนี่กลับมา เฟรย่าก็ไม่ได้ถามที่เธอหายไปนานแต่อย่างใดตรงกันข้ามหญิงสาวกลับบอกวิธีการหั่นผักที่หล่อนเตรียมไว้ให้เฮอร์ไมโอนี่อย่างละเอียด แต่เมื่อเด็กสาวกำลังจะลงมือหั่นผักตามที่หล่อนบอก ใบหน้างามของหญิงสาวก็แสดงถึงความสงสัยออกมาเมื่อหล่อนเห็นมือที่สวมถุงมือของเด็กสาว
               แต่ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าบ้านจะได้ถามอะไรออกไปเฮอร์ไมโอนี่ก็เอ่ยปากอธิบายขึ้นก่อน
               “พอดีหนูมีแผลเป็นบนมือข้างนี้น่ะค่ะ หนูเลยใส่ถุงมือปิดมันไว้” เด็กสาวกล่าวคำแก้ตัวที่เธอคิดมาก่อนหน้านี้ และลงมือหั่นผักต่อ หากแต่ความสงสัยของเฟรย่าไม่ได้หยุดอยู่ที่คำอธิบายของเฮอร์ไมโอนี่แต่เพียงเท่านั้น เมื่อหญิงสาวเอ่ยปากถามขึ้น
               “เธอเป็นแผลเป็นมาจากอะไรเหรอจ๊ะ” เฟรย่าถามขึ้น และครั้งนี้ก็เป็นคำถามที่เด็กสาวไม่ได้คิดคำตอบเอาไว้ก่อน เธอจึงตัดสินใจตอบสิ่งแรกที่คิดได้ออกไป
               “หนูเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ มันเกิดมาจาก…..คำสาปค่ะ” เมื่อคำพูดนั้นหลุดจากปากของเด็กสาวออกมา เฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าเธอไม่น่าตอบอะไรแบบนี้ออกไปเลย แต่มันเป็นสิ่งแรกที่เธอนึกได้ เมื่อพูดจบเธอก็กลับไปสนใจวัตถุดิบสำหรับทำอาหารต่อราวกับว่าผักที่เธอกำลังหั่นดูน่าสนใจมากกว่าอะไรทั้งหมดสำหรับเธอ แต่เด็กสาวกลับไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่เธอกำลังมุ่งความสนใจไปยังงานที่อยู่ตรงหน้าอยู่นั้นเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ได้ขยับตัวเข้ามาใกล้เธอ ดวงตาสีน้ำเงินลึกลับของหญิงสาวจ้องมองมาที่เฮอร์ไมโอนี่ด้วยความสงสัยก่อนที่หล่อนจะพูดออกมา
               “ถ้าเป็นรอยแผลที่มาจากคำสาปล่ะก็ฉันคิดว่าฉันน่าจะพอช่วยเธอได้นะ ขอฉันดูหน่อยได้ไหม…..” หล่อนพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า แต่ไม่ทันที่มือของหญิงสาวจะได้แตะต้องตัวเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวก็ชักมือข้างที่สวมถุงมือของเธอไปหลบไว้เบื้องหลังทันที
               ในตอนนั้นเองเฮอร์ไมโอนี่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเธอทำพลาดไปเสียแล้ว เธอไม่ควรจะร้อนตัวขนาดนี้ เพราะในตอนนี้เฟรย่าคงกำลังสงสัยในท่าทีของเธอเข้าเสียแล้ว และเมื่อเด็กสาวเงยหน้าขึ้นเธอก็พบว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังจ้องมองอากัปกริยาของเธอด้วยแววตาประหลาดใจ และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบพูดออกไป
               “หนูไม่อยากรบกวนคุณน่ะค่ะ” เด็กสาวพูดโดยที่หวังว่าเฟรย่าจะเชื่อคำแก้ตัวในครั้งนี้ของเธอ และแม้ว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านจะมองเธอด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความสงสัยแคลงใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่หล่อนก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ตรงกันข้ามหล่อนกลับพยักหน้าเบา ๆ อย่างเข้าใจก่อนจะพูดออกมาว่า
               “ถ้าเธอต้องการอย่างนั้นก็ได้จ้ะ” เฟรย่าพูดพลางหันกลับไปสนใจอาหารที่ปรุงค้างไว้ต่อ และเมื่อเห็นว่าสายตาของหญิงสาวไม่ได้จับจ้องมาที่เธอแล้วเด็กสาวก็แอบถอนใจออกมาเบา ๆ อย่างโล่งอกก่อนจะหันไปลงมือเตรียมอาหารต่อ
 
               ……………………………………………………………
 
               กว่าที่แม่มดทั้งสองจะช่วยกันเตรียมอาหารจนเสร็จก็ใกล้เวลาบ่ายโมงแล้ว หากแต่เดรโกยังไม่กลับมาแต่อย่างใด เมื่ออาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ช่วยเฟรย่านำอาหารทั้งหมดขึ้นไปวางบนโต๊ะพร้อมกับที่เธอชะโงกไปทางประตูบ้านเป็นระยะ ๆ และหวังว่าจะได้เห็นเดรโกเดินกลับเข้ามา
               แต่หลังจากที่โต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังไม่กลับมา ซึ่งมันทำให้เฮอร์ไมโอนี่ร้อนใจและเป็นห่วงมาก ในตอนแรกเธอตั้งใจที่จะรอให้เขามากินอาหารพร้อมกัน ซึ่งที่จริงแล้วจะเรียกว่าตั้งใจก็ไม่ถูกเท่าไหร่นักเพราะสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ทำคือเธอไม่ยอมแตะอาหารก่อนเท่านั้น แต่หลังจากรอไปได้ประมาณสิบนาที เฟรย่าก็บอกเด็กสาวว่าพวกเขาควรกินอาหารกลางวันได้แล้ว
               “แต่…” เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าจะขัดขึ้น หากแต่เฟรย่ากลับชิงพูดขึ้นก่อน
               “ฉันว่าเธอไม่ต้องห่วงเพื่อนของเธอหรอก ถ้าเขาหิวเขาก็คงกลับมาเองแหละจ้ะ” เฟรย่าพูดขึ้นเรียบ ๆ หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินราวกับทะเลสาบของหล่อนนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความกังวล และเมื่อหญิงสาวเห็นว่าเด็กสาวยังไม่ยอมแตะต้องอาหารของเธอเสียที เธอจึงพูดขึ้น
               “เอาอย่างนี้ละกัน ฉันจะเก็บอาหารส่วนของเขาไว้ดีไหม” หญิงสาวพูดพร้อมกับสะบัดไม้กายสิทธิ์หนึ่งครั้งเพื่อให้อาหารส่วนหนึ่งลอยเข้าไปเก็บที่ตู้ เมื่อจัดการร่ายมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้วเฟรย่าก็หันมามองเด็กสาวตรงหน้าก่อนจะพูดขึ้น
               “เราลงมือทานกันได้แล้วใช่ไหมจ๊ะ” หญิงสาวถาม ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่มีทางเลือกจะพยักหน้าและเริ่มลงมือทานอาหารของเธอ
 
               ……………………………………………………………
 
               เดรโกไม่ได้กลับมาตลอดมื้ออาหาร หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จเฟรย่าก็ขอแรงให้เฮอร์ไมโอนี่ช่วยเก็บกวาดและล้างจาน แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องขอแรงให้เธอช่วยเรื่องการทำความสะอาดด้วยเพราะเฟรย่าสามารถเก็บกวาดห้องครัวให้สะอาดเอี่ยมได้ในพริบตาเพียงแค่เธอสะบัดไม้กายสิทธ์เท่านั้น หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรออกไปจนกระทั่งหญิงสาวขอให้เธอช่วยล้างจานชามในที่อยู่ในอ่าง
               “เอ่อ….หนู” เด็กสาวพูดไม่ออกขึ้นมากระทันหันราวกับว่าเธอไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าเฟรย่าจะใช้ให้เธอทำงานที่เสี่ยงต่อการเปิดเผยตราทาสของเธอให้หล่อนเห็นอีกครั้ง และเมื่อคิดถึงตรงนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกราวกับว่าเฟรย่านั้นกำลังสงสัยหรืออาจจะถึงขั้นถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเธอกับเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยเข้าเสียแล้ว หล่อนจึงพยายามขอร้องให้เด็กสาวทำอะไรที่ต้องเปิดเผยฝ่ามือข้างที่มีตราทาสอยู่แบบนี้
               ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังคิดว่าเธอจะหาทางรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร เฟรย่าก็ยิ้มให้เธอก่อนพูดขึ้น
               “จริงสินะ ฉันลืมไปเลย” หล่อนกล่าวก่อนจะตวัดไม้กายสิทธิ์เพื่อเสกถุงมือยางแบบที่ใช้สำหรับทำความสะอาดออกมา
               “เธอควรใส่ถุงมือนี่ก่อนนะ” เฟรย่าพูดพลางยื่นถุงมือคู่ดังกล่าวมาให้เด็กสาวตรงหน้า เฮอร์ไมโอนี่รับมาก่อนจะขอบคุณหล่อนไปเบา ๆ และทันทีที่เธอรับถุงมือมาแล้ว เด็กสาวก็รีบหันหลังให้เฟรย่าเพื่อสวมถุงมือคู่ดังกล่าวทับถุงมือหนังที่ปกปิดตราทาสของเธอไว้ และที่เธอต้องหันหลังให้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นก็เป็นเพราะว่าเธอไม่ต้องการให้เฟรย่าเห็นการกระทำที่แปลกประหลาดของเธอในครั้งนี้ เพราะคงไม่มีคนสติดีคนไหนเลือกที่จะสวมถุงมือทับถึงสองชั้นเป็นแน่! หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นเนื่องจากเธอต้องการจะปกปิดตราทาสอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเจ้าของที่เด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอยมีต่อเธอไม่ให้หญิงสาวหรือแม้กระทั่งใครก็ตามสามารถรับรู้ได้! แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของเธอนั้นได้ตกอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของหญิงสาวผมดำทั้งสิ้น หากแต่เมื่อมองจากมุมที่เฟรย่ายืนอยู่แล้วนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่หล่อนจะเห็นสิ่งที่เด็กสาวได้บอกหล่อนไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็นแผลเป็นที่มาจากคำสาป และหญิงสาวคงไม่สามารถคาดเดาได้เป็นแน่ว่าสิ่งที่อยู่บนมือของเฮอร์ไมโอนี่นั้นจะเป็นตราทาสที่แสดงถึงความเป็นทาสของเธอต่อเด็กหนุ่มที่เป็นทั้งเจ้านายและคนรักของเธอด้วย!
               หลังจากสวมถุงมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก็หันหลังกลับมาเพื่อที่จะพบว่าเฟรย่าได้ละสายตาไปจากเธอและเดินออกจากห้องครัวไปแล้ว และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่ได้คอยอยู่จับตาดูเธอแล้วนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย พลางคิดว่า อาจจะเป็นเพราะเธอคิดมากไปเองก็ได้ที่คิดว่าเฟรย่านั้นกำลังสงสัยหรือล่วงรู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเธอกับเดรโกเข้า
               เดรโก เมื่อคิดถึงชื่อของเด็กหนุ่ม ความห่วงหาก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ในทันที เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงฝาผนัง มันบอกเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววว่ามัลฟอยจะกลับมาเสียที ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังคิดว่าเธอควรจะชวนเฟรย่าออกไปตามหาเขาพร้อมกับเธอดีหรือไม่อยู่นั้น ฝนก็เทกระหน่ำลงมา!
               เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แถมมันยังตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเด็กสาวแทบจะไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกบ้านอย่างชัดเจนได้ และยิ่งเห็นเช่นนั้นหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ก็หนักอึ้งด้วยความกังวลที่มีต่อเด็กหนุ่มซึ่งเป็นทั้งเจ้านายและคนรักของเธอ
               ‘เธอไปอยู่ที่ไหนนะ เดรโก’ เด็กสาวคิดด้วยความเป็นห่วงกังวลอย่างสุดหัวใจ
 
               ……………………………………………………………
 
               ทางด้านมัลฟอยนั้น เขาไม่แน่ใจว่าเขาเดินออกมาจากบ้านของเฟรย่าได้นานแค่ไหน รวมทั้งเขากำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางใดด้วย เด็กหนุ่มทำได้แค่เดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ในอกของเขาจะอัดแน่นด้วยความรู้สึกต่าง ๆ นานา ทั้งผิดหวัง สิ้นหวัง หวาดกลัว และแม้กระทั่งโกรธแค้นต่อโชคชะตาที่เล่นตลกจนชีวิตของเขาต้องพลิกผันถึงเพียงนี้ หากแต่ในหัวของเขากลับว่างเปล่าราวกับว่าตอนนี้เขาไม่ต้องการจะรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่สนใจแล้วว่าทางที่เขากำลังเดินไปนั้นมันจะนำเขาไปสู่จุดหมายปลายทางที่ใด
               เดรโกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกเดินอย่างไร้จุดหมายมาเป็นเวลานานเท่าใดแล้ว แต่เมื่อเด็กหนุ่มรู้สึกตัวอีกทีเขาก็พบว่าเขาได้เดินมาถึงริมหน้าผาแห่งหนึ่ง เบื้องล่างหน้าผาแห่งนั้นเป็นท้องทะเลสีคราม กลิ่นไอทะเลที่ถูกลมแรงหอบมาพัดมาแตะจมูกเดรโกอย่างแผ่วเบา เด็กหนุ่มหยุดอยู่ริมหน้าผาก่อนจะจ้องมองลงไปที่ผืนน้ำเบื้องล่าง
               แม้ว่าวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าของเขานั้นจะงดงามเพียงใดก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะมาชื่นชมมันเลยซักนิดเดียว! เพราะแม้ว่าเบื้องหน้าของเขาจะเป็นธรรมชาติที่สงบสุขและสวยงามของเกาะกริมซีย์ในไอซ์แลนด์ก็ตาม แต่ในใจของเดรโกตอนนี้กลับไม่ได้สงบเหมือนกับท้องทะเลสีครามเบื้องหน้าของเขาเลย ตรงกันข้ามมันกลับปั่นป่วนรุ่มร้อนเนื่องมากจากความจริงที่เขาเพิ่งได้ค้นพบ ความจริงที่เป็นราวกับมือใหญ่มหาศาลที่ตรงเข้ามาบดขยี้ความหวังที่เหลือเพียงน้อยนิดของเขา ความจริงที่ว่าเขาไม่มีทางอื่นใดเลยที่จะหลีกหนีคำสาปร้ายของการเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้!
               และเมื่อนึกได้เช่นนั้น หัวใจของเด็กหนุ่มก็เจ็บปวดราวกับมีคนร่ายคาถากรีดแทงใส่มัน มัลฟอยทรุดตัวลงบนพื้นหญ้าริมหน้าผา เขารู้สึกน้ำใสเย็นที่กำลังไหลเอ่อดวงตาของเขา แม้ว่าจะพยายามกลั้นมันไม่ให้มันไหลออกมาแล้วก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถปิดกลั้นน้ำตารวมถึงความเจ็บปวดสิ้นหวังที่กำลังเกาะกินทั้งร่างกายและจิตใจของเขาในตอนนี้ได้เลย ทำไม ทำไมเขาต้องมาประสบชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ด้วย ทำไม!
               “ทำไมมมมมมมมมมมม!” มัลฟอยได้ยินเสียงตนเองตะโกนก้องไปยังท้องฟ้าเบื้องบนราวกับเขาต้องการไถ่ถามว่าเพราะเหตุใดเขาถึงต้องมาประสบกับชะตากรรมมี่ต้องคำสาปเช่นนี้! ทั้งที่ในใจเด็กหนุ่มก็รู้ว่าเขาไม่มีทางได้รับคำตอบว่าทำไมเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับเขา พอ ๆ กับที่เขาก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้เหมือนกันว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป
 
               ‘นายจะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อนายก็รู้ว่านายต้องกลายเป็นตัวอะไรในคืนวันเพ็ญต่อไป แล้วนายยังจะทำอะไรกับมันได้อีก’’ เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่มราวกับต้องการย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับชะตากรรมเท่านั้น!
 
               ‘ใช่ ฉันก็คงต้องทำอย่างนั้นแหละ’ มัลฟอยคิดอย่างสิ้นหวัง ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีเรี่ยวแรงจะไปโต้เถียงกับเสียงในหัวของเขาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามเขาควรยอมรับเสียทีว่าเขาต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในฐานะสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว
 
               ‘จริง ๆ คำถามที่นายควรตอบตัวเองให้ได้ก่อนก็คือ นายจะอยู่กับสัตว์ร้ายในตัวนายได้ยังไง และนายจะเป็นยังไงต่อเมื่อนายกลายร่างแล้วต่างหาก’ เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นอีกครั้ง
 
               และเพราะคำถามนี้นี่เองที่มัลฟอยรู้สึกราวกับถูกความเป็นจริงที่มีอนุภาพราวกับลำแสงสะกดนิ่งอัดเข้าใส่ร่างของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอเมื่อเขาไม่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้
               ใช่สิ แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อเขาต้องกลายร่างแล้ว นั่นต่างหากที่เป็นสิ่งที่เขาควรหาคำตอบ แน่นอนว่ามัลฟอยรู้ว่าเขาต้องกลายร่างในคืนวันเพ็ญที่จะถึงนี้ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกเพียง 6 วันเท่านั้น แต่คำถามที่เขาต้องตอบในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะหลีกเลี่ยงคำสาปร้ายนี้ไปได้อย่างไร เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีแล้วว่าเขาไม่สามารถหลีกหนีมันไปได้ เพราะแม้กระทั่งเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ที่ ตามคำพูดของสเนปแล้ว ‘มาไกลที่สุดในเส้นทางของการรักษามนุษย์หมาป่า’ ไม่สามารถช่วยเขาได้ เขาก็คงหมดหนทางในการหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าจริง ๆ ดังนั้นคำถามที่เขาควรจะต้องตอบตัวเองให้ได้ในตอนนี้ก็คือ เขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อกับคำสาปร้ายนี้ได้อย่างไร!
               เมื่อคิดถึงตรงนี้ เดรโกก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เนื่องมาจากความจริงที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเขาได้ทราบก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่ว่าน้ำยาระงับหมาป่าซึ่งทำให้มนุษย์หมาป่าที่กลายร่างแล้วไม่ดุร้ายเหมือนมนุษย์หมาป่าปกตินั้นไม่สามารถใช้กับเขาได้เนื่องจากเขาเป็นคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าข่วน ไม่ได้ถูกกัดเหมือนมนุษย์หมาป่าทั่วไป จึงทำให้สูตรยาที่คิดค้นขึ้นมาสำหรับคนที่กลายร่างจากการถูกกัดไม่สามารถทำให้คนที่กลายเป็นมนุษย์หมาป่าจากการโดนทำร้ายนั้นสงบลงได้ ตรงกันข้ามเมื่อคืนวันเพ็ญมาถึงเขาก็จะต้องกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือดที่อาจจะสังหารใครก็ได้บังเอิญมาพบเขาเข้า ไม่เว้นแม้แต่คนที่เขารู้จัก หรือคนรักของเขาเองก็ตาม!
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจของเดรโกก็แกว่งวูบด้วยความหวาดกลัว หากแต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่ได้หวาดกลัวชะตากรรมอันเลวร้ายของการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าของตนเองแต่เพียงเท่านั้น ตรงกันข้ามเขากลับหวาดกลัวแทนผู้หญิงคนเดียวที่เขารัก ใช่แล้ว เดรโก มัลฟอยหวาดกลัวแทนเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เด็กสาวที่อยู่ในฐานะคนรักและทาสของเขา เพราะถ้าหากเดรโกต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถปกป้องเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่เคียงข้างเขาให้ปลอดภัยได้อย่างไร!
               แน่นอนว่าเมื่อวันนี้มาถึงจริง ๆ เขาก็คงต้องแยกตัวเองออกไปให้ห่างไกลผู้คนที่เขารัก หรือไม่เขาก็คงต้องกักขังตัวเองไว้ในห้องใต้ดินของคฤหาสน์เพื่อไม่ให้เขาไปทำร้ายใครได้ แต่ถ้าหากซักวันนึงมันเกิดความผิดพลาดขึ้นล่ะ ถ้าหากมีวันไหนที่เขาในร่างหมาป่าเกิดหนีรอดไปได้ และถ้าเกิดเขาไปเจอเฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่มีแม้กระทั่งไม้สิทธิ์ไว้ป้องกันตัวเข้า
               เมื่อคิดถึงตรงนี้ เดรโกก็หลับตาลงราวกับเขาต้องการหลีกหนีภาพสยดสยองในจิตนาการของตัวเอง! แน่นอนการอยู่เคียงข้างเขานั้นเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงสำหรับเด็กสาวที่เขารักเมื่อวันที่เขากลายร่างมาถึง และความปลอดภัยของเฮอร์ไมโอนี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับเขา หากแต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการให้เฮอร์ไมโอนี่ปลอดภัยและมีความสุขมากเพียงใดก็ตาม เขาก็รู้ดีกว่าเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หากไม่มีผู้หญิงที่เขารักอยู่เคียงข้าง แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ที่เขายังไม่ต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ มัลฟอยยังรู้สึกเลยว่าชีวิตของเขาไม่สามารถขาดเฮอร์ไมโอนี่ได้ และยิ่งในตอนนี้ที่เขาต้องเผชิญกับนรกที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมแล้วนั้นเขาจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่โดยปราศจากผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักได้เช่นไร!
 
               ‘แต่นายไม่คิดเหรอว่าเธออยากจะอยู่เคียงข้างนายหรือเปล่าน่ะ’ เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นในหัวอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็ตอกย้ำความจริงที่เดรโกไม่อยากจะรับฟังหรือแม้กระทั่งรับรู้เลยแม้แต่น้อย!
 
            ‘ตอนนี้นายยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธออยู่กับนายเพราะความเต็มใจจริง ๆ หรือเปล่า แล้วนายจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะต้องการอยู่กับนายหลังจากที่เธอรู้ว่านายกำลังจะกลายเป็นอะไร’ เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง และแม้ว่าเด็กหนุ่มอยากจะโต้เถียงออกไปเพียงไร เขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่มันพูดนั้นมีความจริงอยู่ไม่น้อย
 
               ใช่แล้ว เดรโกจะรู้ได้อย่างไรว่าเฮอร์ไมโอนี่เต็มใจที่จะอยู่กับเขาหลังจากที่เธอรู้แล้วว่าเฟรย่าไม่มีทางรักษาเขาได้ และในไม่ช้าเขาก็ต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว และเมื่อถึงตอนนั้นสายตาที่เด็กสาวที่เขาหลงรักอย่างหมดหัวใจใช้มองเขานั้นมันจะเปลี่ยนไปหรือเปล่านะ เธอจะกลับไปมองเขาด้วยสายตาราวกับเขาเป็นปีศาจร้ายอย่างที่เธอเคยมองเธอหรือเปล่า! และถ้าเธอทำอย่างนั้นล่ะก็ ถ้าความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่เฮอร์ไมโอนี่มีให้เขาในตอนนี้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเกลียดชังหรือแม้กระทั่งหวาดกลัวเด็กหนุ่มจะทำเช่นไรกัน! แน่นอนว่าถ้าเป็นเช่นนั้นมัลฟอยคงต้องแบกรับความเจ็บปวดมากกว่าการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าหลายเท่าเป็นแน่!
 
               ‘ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ ฉันก็จะปล่อยเธอไป’ เขาคิดอย่างสิ้นหวัง แต่เสียงเล็ก ๆ ในหัวนั่นก็กลับมาทำลายความหวังของเขาด้วยการย้ำเตือนความจริงที่ยากจะหลีกเลี่ยงกับเขาว่า
 
               ‘อย่าลืมสิว่านายทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ เพราะพ่อของนายไม่มีทางยอมแน่ เพราะเขาต้องการใช้เธอเป็นเหยื่อล่อให้แฮร์รี่ พอตเตอร์มาติดกับ’
 
               เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นอย่างรู้ทัน และเมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเดรโกที่ซีดเซียวอยู่แล้วก็กลับขาวซีดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาคิดถึงพ่อรวมถึงสิ่งที่กำลังรอเขาอยู่หลังจากที่เขากลับจากที่นี่ไปแล้ว เขาจะกลับไปบอกพ่อได้อย่างไรกันว่าเฟรย่าไม่สามารถรักษาเขาได้ และเขาต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าในไม่ช้านี้อย่างนั้นน่ะหรือ และเมื่อเขาทำเช่นนั้นออกไป พ่อของเขาจะทำอย่างไรกับการที่ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมัลฟอยต้องมากลายเป็นสัตว์ร้ายที่ผู้คนรังเกียจเช่นนี้ และถ้าเหตุการณ์เลวร้ายมากกว่านั้น ถ้าหากพ่อผิดหวังจากการที่เฟรย่าไม่สามารถรักษาเขาได้ พ่อจะเอาความผิดหวังโกรธแค้นตรงนี้ไปลงกับเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นต้นเหตุให้เขาต้องออกไปจากบ้านในคืนนั้นหรือเปล่านะ
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้เดรโกก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา และเด็กหนุ่มก็แน่ใจว่าความหนาวเย็นที่เขารู้สึกนั้นไม่ได้มาจากการที่สายลมหอบเอาเมฆฝนและอากาศที่เย็นชื้นเข้ามา หากแต่เป็นความรู้สึกหวาดกลัวที่แล่นเข้าเกาะกุมขั้วหัวใจของเขาเมื่อเขาจิตนาการว่าพ่อของเขาจะปฏิบัติกับเฮอร์ไมโอนี่อย่างไรเมื่อพวกเขากลับไปพร้อมกับข่าวร้าย แน่นอนว่าพ่อคงไม่ลงมือฆ่าเด็กสาวเนื่องจากเธอเป็นเหยื่อล่อของจอมมาร หากแต่ก่อนหน้านั้นล่ะ พ่อคงต้องทรมานเธอด้วยคาถากรีดแทงเพื่อเป็นการแก้แค้นแทนเขาอย่างแน่นอน!
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้เดรโกก็ปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของเขาลงอีกครั้งราวกับเขาต้องการหลีกหนีความจริงที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ เด็กหนุ่มยอมรับว่าเขากลัว! เขากลัวอนาคตที่กำลังจะมาถึงเหลือเกิน! ไม่เพียงแค่เขาต้องแบกรับความกลัวของตัวเขาเองเท่านั้น เขายังกังวลไปถึงความปลอดภัยของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอีกด้วยเพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นตกอยู่ในอันตรายทั้งที่มาจากตัวเขาและพ่อของเขา และเด็กหนุ่มก็ไม่อาจจะตอบออกไปอย่างแน่ใจได้เลยว่าเขาจะสามารถปกป้องเด็กสาวที่เขารักจากอันตรายเหล่านั้นได้!
 
               ในขณะที่กำลังกังวลถึงความปลอดภัยของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอยู่นั้น เสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นในหัวของมัลฟอยอีกครั้ง และครั้งนี้มันกลับเตือนให้เขานึกถึงความจริงที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน
 
               ‘จริง ๆ แล้วนายควรจะนึกถึงตัวเองบ้างนะ นายอาจจะปกป้องเฮอร์ไมโอนี่จากตัวนายได้โดยการขังเธอไว้ในห้องนอนตอนนายกลายร่าง แล้วตัวนายล่ะ ในเมื่อยาระงับหมาป่าใช้กับนายไม่ได้ นายก็มีสิทธิ์ที่จะออกไปอาละวาดและฆ่าคนที่ผ่านไปมา และเมื่อถึงตอนนั้นนายจะมั่นใจได้ยังไงว่ากระทรวงจะอยู่เฉยกับเรื่องนี้ถ้านายไปฆ่าคนบริสุทธิ์เข้า’
 
               เสียงนั้นอธิบายยืดยาว และมัลฟอยก็รู้สึกถึงความกลัวที่แล่นเข้าจับขั้วหัวใจและกระจายไปทั่วสรรพางค์กายของเขา! แน่นอนว่ามัลฟอยรู้คำตอบในข้อนี้ดี ถ้าเขาอยากให้เฮอร์ไมโอนี่และพ่อของเขาที่อยู่ในคฤหาสน์ปลอดภัย เขาก็ต้องออกไปข้างนอกในคืนวันเพ็ญ เพราะเขาไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าห้องใต้ดินของคฤหาสน์มัลฟอยจะสามารถกักขังเขาไว้ในยามกลายร่างได้หรือไม่ และถ้ามีครั้งไหนที่เขากลายร่างแล้วบังเอิญไปเจอคนที่เดินผ่านไปมาเข้า ถ้าหากเขาในร่างหมาป่าฆ่าพ่อมดแม่มดหรือแม้กระทั่งมักเกิ้ลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าแล้วล่ะก็ เดรโกมั่นใจว่ากระทรวงจะต้องไม่อยู่เฉยแน่นอน!
               และเมื่อคิดถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าริมฝีปากของเขาแห้งผากพอ ๆ กับที่เขาร่างกายของเขาสั่นเทาราวกับอากาศรอบกายนั้นหนาวลงอย่างกระทันหัน แต่ถึงกระนั้นมัลฟอยก็รู้ว่าอาการสั่นเทาของเขานั้นมาจากความกลัวไม่ได้มาจากสภาพอากาศรอบตัวแต่อย่างใด เด็กหนุ่มกลัวในสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญหน้าต่อไป เพราะนอกจากเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในฐานะสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวแล้วนั้น ถ้าหากเขาไปฆ่าคนบริสุทธิ์เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ มัลฟอยก็รู้ว่าเขาคงต้องเผชิญชะตากรรมที่ไม่ต่างกับสามีของเฟรย่าเป็นแน่!
 
               และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจิตนาการภาพมือปราบมารกลายคนรุมล้อมเข้ามาพร้อมกับยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นเพื่อยิงลำแสงสีเขียวใส่ร่างของเขาอยู่นั้น เสียงเล็ก ๆ ในหัวนั่นก็ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ในครั้งนี้มันช่างฟังดูเจ้าเล่ห์และเย้ยหยันเสียเหลือเกิน
 
               ‘ในเมื่อนายรู้ว่าจุดจบต้องเป็นยังไงแล้วนายจะดิ้นรนไปทำไมล่ะ ทำไมไม่ตัดวงจรนี้ออกไปเสียล่ะ’
 
               มันพูดเพียงเท่านั้น เพียงแต่มัลฟอยเข้าใจถึงสิ่งที่มันต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดี ถ้าเขารู้ว่าเรื่องมันจะจบอย่างไร เขาจะต้องดิ้นรนให้ทรมานไปทำไมกัน!
               และเมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้น เขาก้าวไปใกล้หน้าผาเบื้องหน้าอย่างช้า ๆ เบื้องล่างหน้าผาสูงชันที่เขากำลังยืนอยู่นั้นเป็นอ่าวลึกและโขดหินที่ดูแข็งแกร่ง คลื่นลูกแล้วลูกเล่ากำลังพัดกระหน่ำโขดหินเบื้องล่างเนื่องจากท้องทะเลเบื้องหน้าดูแปรปรวนขึ้นมากระทันหัน และเมื่อเดรโกเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบนเขาก็พบว่ามีเมฆดำกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาบดบังท้องฟ้าที่เคยงดงามก่อนหน้านี้  เมฆดำนั้นราวกับชะตากรรมดำมืดที่ทอดเงาเข้ามาบดบังชีวิตของเด็กหนุ่มในตอนนี้ก็ไม่ปาน!
               หลังจากละสายตาจากเมฆดำมืดที่มาพร้อมกับสายลมแรงและเสียงฟ้าร้องที่ดังมาแต่ไกลแล้วนั้น สายตาของเดรโกก็ละกลับมามองพื้นเบื้องล่างอีกครั้ง เขามองผืนน้ำเบื้องล่างที่มีคลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดสาดเข้ามากระทบกับก้อนหินดำมืดที่ดูราวกับกำลังโบกมือเชื้อเชิญเขาอยู่ และแม้ว่าจุดที่มัลฟอยกำลังยืนอยู่นั้นจะอยู่สูงจากพื้นน้ำเบื้องล่างมากจนเขาสามารถพูดได้ว่าแรงกระแทกจากก้อนหินเบื้องล่างหรือแม้กระทั่งกับผืนน้ำสีเข้มนั้นจะคร่าชีวิตใครก็ตามที่กล้าโดดลงไป หากแต่สำหรับเด็กหนุ่มในตอนนี้แล้วนั้นเขากลับรู้สึกว่ามันอยู่ใกล้เขาราวกับเอื้อมมือ ขณะที่ดวงตาสีซีดของมัลฟอยกำลังจ้องมองผืนน้ำเบื้องล่างอย่างประเมิน ถ้อยคำที่เสียงเล็ก ๆ นั้นได้พูดไว้ก็ดังขึ้นในหัวของเขา
 
               ‘ในเมื่อนายรู้ว่าจุดจบต้องเป็นยังไงแล้วนายจะดิ้นรนไปทำไมล่ะ’
 
               นั่นสินะ ในเมื่อเขารู้แล้วว่ามันจะต้องจบอย่างไร แล้วเขาจะดิ้นรนไปทำไมกันนะ ถ้าเขาตัดสินใจตัดวงจรนี้เสียเขาก็จะไม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานอีกต่อไป รวมทั้งผู้หญิงที่เขารักก็จะปลอดภัยขึ้นเช่นเดียวกัน ในเมื่อชีวิตเขาในตอนนี้ไม่มีทางให้เดินต่อไปอีกแล้ว เขาก็ควรตัดสินใจจบมันลง และหากมันจะต้องจบลงที่นี่ ตรงนี้เขาก็คงจะไม่เสียใจแต่อย่างใด เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงที่เขามีต่อเฮอร์ไมโอนี่ให้เธอฟังไปก่อนหน้านี้แล้ว เขาสารภาพรักกับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักอย่างหมดหัวใจไปแล้ว แม้ว่าจะเสียดายอยู่ไม่น้อยที่เขาจะไม่มีโอกาสจะได้ยินคำบอกรักเขาจากปากของเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจของเขาอีกต่อไป แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้ยินถ้อยคำนั้นไปตลอดทั้งชีวิตของเขาเลยก็ได้ เพราะเฮอร์ไมโอนี่คงไม่มีวันรักเขาอย่างที่เขารักเธอเป็นแน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะต้องเสียดายทำไมล่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะรักเธอข้างเดียวก็ตาม และถึงแม้ว่าเขาและเธอจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงน้อยนิดเต็มที แต่ความทรงจำเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจของเขาในตอนนี้ได้
               เด็กหนุ่มหลับตาลงและภาพของเด็กสาวเพียงคนเดียวที่เขารักก็ผุดขึ้นมา ภาพเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังยิ้มให้เขาทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับเด็กสาวได้เข้ามาโอบกอดเขาและได้ถ่ายทอดความอบอุ่นของเธอมาสู่ร่างใหญ่ของเขาในตอนนี้ มัลฟอยหลับตาแน่นเพื่อที่จะซึมซับความทรงจำอันสวยงามเกี่ยวกับผู้หญิงที่เขารักเอาไว้ เขาอยากให้ภาพที่เด็กสาวที่เขารักกำลังส่งรอยยิ้มมาให้เขา ภาพที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเขา และภาพที่พวกเขาอยู่ด้วยกันเป็นภาพที่จะติดตรึงอยู่ในใจของเขาก่อนที่เขาจะลาจากโลกนี้ไป และเมื่อพบว่าในหัวของเขานั้นเต็มไปด้วยภาพอันงดงามของผู้หญิงที่เขารักแล้วนั้น เด็กหนุ่มก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าไปข้างหน้า!
               แต่ก่อนที่ร่างสูงของเดรโก มัลฟอยจะก้าวพ้นจากหน้าผาลงไปสู่ผืนน้ำอันมืดมิดเบื้องล่างนั้นเอง เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น แม้ว่ามันจะแผ่วเบาราวกับว่ามันดังอยู่แค่ในสติสัมปชัญญะของเดรโกเพียงเท่านั้น แต่เด็กหนุ่มก็จำได้ดีว่าเสียง ๆ นั้นเป็นเสียงของใคร!
               ‘ เดรโก ’ เสียง ๆ นั้นดังขึ้นเพียงเท่านี้ ก่อนที่มัลฟอยจะหันหลังกลับไป!
 
               ……………………………………………………………
 

คุยกันหลังอ่าน
อ่านแล้วอย่าเพิ่งเกลียดไรเตอร์กันนะคะ ตอนหน้ารับประกันฉากหวาน ๆ หลังจากทำร้ายพระนางของเรามามากพอแล้ว อ่านจบแล้วรู้สึกยังไงมาคุยกันนะคะ
 
 


Create Date : 06 พฤษภาคม 2563
Last Update : 26 พฤษภาคม 2563 0:51:41 น. 0 comments
Counter : 548 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.