Group Blog
 
All Blogs
 
เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 28 ไอซ์แลนด์และอ้อมกอด






“ที่นี่ที่ไหน” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นพลางมองทุ่งหญ้ากว้างไกลที่ทอดตัวยาวอยู่เบื้องหน้า ขณะที่เดรโกพูดขึ้น

“ฉันว่าเราน่าจะอยู่ในเมืองดัลวิกแถบชายฝั่งทะเลไอซ์แลนด์น่ะ มาเถอะเราต้องรีบไปที่ท่าเรือก่อนที่พายุจะมา” เด็กหนุ่มพูดพลางร่าวคาถาบอกทาง และเมื่อไม้กายสิทธิ์ของเขาชี้ไปทางซ้ายมือซึ่งเป็นทางที่น่าจะนำทั้งสองลงจากเนินลูกนี้ไปได้ เขาก็คว้ามือของเด็กสาวมากุมก่อนจะพาเธอออกเดินลงเนินไป

หลังจากที่ทั้งสองเดินผ่านสายลมแรงที่พัดผ่านเนินเขาไปไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นพายุที่เริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกลพร้อม ๆ กับที่ผืนน้ำแห่งหนึ่งปรากฏสู่สายตาของทั้งสอง และเมื่อเป็นเช่นนั้นเดรโกจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นราวกับเด็กหนุ่มคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสายฝนจะต้องกระหน่ำลงมาในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน แต่หนทางที่เด็กทั้งสองกำลังเดินอยู่นั้นไม่ใช่ถนนที่ราบเรียบเหมือนตรอกไดแอกอน แต่มันกลับเป็นทางลาดลงเนินที่ขรุขระและเต็มไปด้วยก้อนหิน แถมยังปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าสูงเหนือเข่าและวัชพืชจำนวนมาก ซึ่งทำให้การเดินผ่านมันนั้นไม่ใช่เรื่องที่สะดวกสบายเลย โดยเฉพาะกับเฮอร์ไมโอนี่ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่ก้าวตามเดรโกให้ทันโดยที่ไม่สะดุดขาตัวเองจนล้มลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยก้อนหินตะปุ่มตะป่ำนี้เสียก่อน ซึ่งสำหรับเธอแล้วมันไม่ต่างจากการวิ่งช้า ๆ เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอต้องคอยยกขาขึ้นในระดับที่สูงเท่าเข่าทุกครั้งที่ก้าวเดิน เพื่อไม่ให้สะดุดวัชพืชจำนวนมากที่อยู่บนพื้น และเมื่อออกเดินมาได้ไม่ถึงชั่วโมง เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนจนเธอต้องขอให้เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอหยุดพักสักครู่

อันที่จริงเด็กสาวไม่ได้บอกออกไปตามตรงแต่อย่างใดว่าเธออยากหยุดพัก เธอเพียงแค่เดินช้าลงและหยุดเดินเมื่อเธอรู้สึกว่าขาของเธอเริ่มเมื่อยจากการเดินที่เร่งรีบเกินไป และปอดของเธอก็เริ่มทำงานหนักจนมันประท้วงขึ้นมาเท่านั้น และผลจากการกระทำของเธอก็คือ เธอพบว่าเดรโกผู้ที่บัดนี้กำลังกุมมือของเธออยู่หันกลับมามองเด็กสาวด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะพูดขึ้น

“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เกรนเจอร์” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของเด็กสาว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งเงยหน้ามองเดรโกจะตอบออกมาขณะที่พยายมปรับลมหายใจของตัวเองให้เข้าที่

“ฉัน.....ฉันอยากพักซักนิดน่ะ” เธอพูดออกไปตามตรงพลางก้มลงไปนวดหัวเข่าที่เริ่มอ่อนล้าของเธอเบา ๆ ขณะที่มัลฟอยมีท่าทีลำบากใจ

“ฉันรู้ว่าเธอเหนื่อย แต่เราจะต้องไปถึงท่าเรือให้ทันก่อนที่มันจะเกิดพายุ แล้วมันก็คงไม่ไกลเท่าไหร่หรอก ฉันเริ่มได้กลิ่นไอทะเลแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งไม่มีแววของการวางอำนาจหรือออกคำสั่งอยู่แต่อย่างใด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเจ้านายของเธอ และเธอก็ต้องแปลกใจที่ได้เห็นแววเป็นห่วงอยู่ในดวงตาสีเงินของเดรโกขณะที่เขายื่นมือปัดปอยผมที่ปรกหน้าของเธอออกย่างแผ่วเบา

“เธอพอจะเดินไหวไหม อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเขาต้องการขอร้องเธอ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กสาวสูดลมหายใจลึก ๆ สองสามครั้งและเมื่อคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วเธอจึงพยักหน้าให้เดรโกเบา ๆ ก่อนที่เขาจะพาเธอออกเดินอีกครั้ง


……………………………………………………………


มันเป็นอย่างที่เดรโกพูดจริง ๆ ที่ว่าเหลือระยะทางอีกไม่มากเท่าไหร่ เพราะหลังจากออกเดินต่อมาได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีทั้งสองก็มาถึงท่าเรือแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทะเลซึ่งมีคลื่นลมแปรปรวน มันเป็นท่าเรือขนาดไม่ใหญ่นักที่มีบรรยากาศเงียบเหงามากในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่ ตรงทางเข้ามีป้ายที่ทำจากไม้และเขียนด้วยสีที่เริ่มซีดจางว่า ‘ ท่าเรือเมืองดัลวิก ’ ภายในท่าเรือไม่มีผู้โดยสารอยู่เลยนอกจากพวกเขา และเมื่อเด็กสาวมองออกไปทางเดินที่ทอดยาวออกไปในทะเลซึ่งนำไปยังจุดสำหรับขึ้นเรือ เธอก็พบว่ามีเรือขนาดไม่ใหญ่นักจำนวนห้าลำจอดอยู่ พวกมันเคลื่อนตัวโคลงเคลงไปตามคลื่นลมแรงในทะเล

เดรโกพาเฮอร์ไมโอนี่เดินไปที่ห้องเล็ก ๆ สำหรับขายตั๋วซึ่งดูเหมือนไม่มีพนักงานอยู่ แต่เมื่อเด็กทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ ๆ ทั้งคู่ก็พบว่าในห้องขายตั๋วที่ดูเหมือนไม่มีคนอยู่ในตอนแรกนั้นมีชายวัยกลางคนกำลังนอนหลับฟุบอยู่กับเคาน์เตอร์ในห้อง และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงมองเข้าไปในห้องขายตั๋วก่อนจะพยายามเรียกชายคนนั้น แต่ชายคนดังกล่าวก็ยังไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับนอนหลับอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรราวกับเขาอดนอนมาเป็นระยะเวลานาน จนมัลฟอยที่กำลังมองภาพเบื้องหน้าอย่างหงุดหงิดต้องเคาะกระจกของห้องขายตั๋วแรง ๆ อย่างไม่เกรงใจ

ชายคนนั้นสะดุ้งตื่นทันทีที่เดรโกรัวกำปั้นของเขาลงไปที่กระจกซึ่งกั้นระหว่างเด็กทั้งสองกับชายขี้เซาคนนั้นอยู่ ชายวัยกลางคนมองไปรอบข้างด้วยท่าทีเหลอหลาก่อนที่สายตาง่วงงุนของเขาจะมาหยุดอยู่ที่เด็กทั้งสอง

“ผมต้องการซื้อตั๋วเรือไปเกาะกริมซีย์” เขาพูดห้วน ๆ แทบจะทันทีที่กระจกของห้องขายตั๋วเปิดออกหลังจากที่ชายที่เป็นผู้เฝ้าห้องได้สติแล้ว พลางส่งสายตาไม่พอใจไปให้ชายขี้เซาคนนั้น

“เธอต้องการเดินทางเมื่อไหร่ล่ะ พ่อหนุ่ม” ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่ติดสำเนียงไอซ์แลนติกอย่างชัดเจน เขาแต่งกายด้วยชุดมักเกิ้ลธรรมดา ๆ แต่เมื่อดูจากแววตาของเขาที่มองเดรโกและเด็กสาวแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็พอรู้ว่าชายคนนี้ดูออกว่าทั้งสองเป็นพ่อมดแม่มดพอ ๆ กับที่เธอดูออกว่าเขาเป็นพ่อมดเช่นกัน

“เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรือรอบต่อไปจะออกเมื่อไหร่” เด็กหนุ่มถาม แต่เขากลับได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปากของชายวัยกลางคน

“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องแนะนำให้เธอกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้แล้วล่ะ เพราะว่าจะไม่มีเรือออกในวันนี้ และถ้าเธอลองสังเกตุดูบ้างนะ เธอจะเข้าใจว่าทำไม” ชายคนนั้นพูดพลางพยักเพยิกไปทางทะเลที่พายุเริ่มตั้งเค้า รับกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มเพราะเมฆฝนที่กำลังก่อตัวอยู่เหนือพวกเขา ขณะที่เดรโกมีสีหน้าคาดไม่ถึง

“หมายความว่าจะไม่มีเรือซักลำออกไปเกาะกริมซีย์ในวันนี้เลยหรือ” เขาถาม และเมื่อได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าจากชายผู้อยู่หลังเคาน์เตอร์ในห้องขายตั๋ว เด็กหนุ่มก็มีท่าทีครุ่นคิดอยู่ครุ่หนึ่งก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้กับช่องกระจกของห้องขายตั๋วมากขึ้น และพูดออกมา

“ผมมีธุระจะต้องไปที่เกาะนั่นอย่างเร็วที่สุด มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าผมอยากจะเหมาเรือซักลำ ไปที่นั่น สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นไม่มีปัญหา” เดรโกพูด ขณะที่ชายที่เป็นคนขายตั๋วนั้นหัวเราะหึ ๆ

“ถึงเธอจะมีเงินมากแค่ไหนก็เถอะ พ่อหนุ่ม ก็จะไม่มีคนขับเรือคนไหนยอมออกเรือในเวลาแบบนี้หรอก เพราะพวกเขารู้ดีว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาใช้เงินที่เธอสามารถจ่ายได้อย่างไม่มีปัญหาน่ะสิ” ชายคนนั้นตอบกลับมา

“ฉันขอแนะนำให้เธอกลับมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ดีกว่า เรือรอบแรกจะออกจากท่าตอนแปดโมงครึ่ง และมันจะพาเธอไปถึงเกาะกริมซีย์ภายในหนึ่งชั่วโมง และถ้าเธอต้องการจะหาที่พักสำหรับคืนนี้ล่ะก็ ฉันแนะนำให้เธอเดินไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณไมล์นึงเธอจะเจอตัวเมืองดัลวิก ไปที่บาร์ชื่อคัลมา ที่นั่นมีที่พักสำหรับพวกเราอยู่” เขาอธิบาย ขณะที่มัลฟอยซึ่งไม่อาจจะโต้เถียงชายที่ทำหน้าที่ขายตั๋วเรือได้ มีท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

“ตกลง เราจะไปที่เมืองนั่น” เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะจูงมือเฮอร์ไมโอนี่เดินมาจากห้องขายตั๋ว และก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากท่าเรือไปนั้นเสียงของชายวัยกลางคนก็ดังไล่หลังมา

“ฉันแนะนำให้พวกเธอรีบไปเสียนะ ก่อนที่พายุจะมา” เขาตะโกนบอก และเพราะคำพูดนั้นเองเฮอร์ไมโอนี่จึงหันไปมองชายคนนั้นด้วยแววตาขอบคุณขณะที่เด็กหนุ่มพาเด็กสาวเดินออกจากท่าเรือที่ยังทุ่งกว้างที่มีลมกรรโชกแรง

“เราต้องเดินกันอีกไมล์นึง เธอไหวรึเปล่า” เขาหันมาถามทาสสาวของเขา ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความแปลกใจ

“ไหวสิ นายคิดว่าฉันอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือ” เธอตอบออกมา แน่นอนว่ามันไม่ใช่คำพูดประชดประชัน แต่มันเป็นเพราะเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกแปลกใจที่เดรโกคิดว่าเธออ่อนแอถึงขนาดเดินเพียงแค่ไมล์เดียวไม่ไหวเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสายตาของเด็กหนุ่มที่มองมาเธอก็เข้าใจทันทีว่าเขาเป็นห่วงเธอจึงได้ถามคำถามนี้ขึ้นมา

และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงพูดขึ้น

“ฉันเดินไหว มัลฟอย ฉันแค่…..เธอแค่อย่าเดินเร็วนักจะได้ไหม” เธอขอ และเดรโกก็มีท่าทีขบขันกับคำพูดนั้นของเฮอร์ไมโอนี่

“ฉันเดินเร็วไปอย่างนั้นหรือ” เขาถาม และเมื่อเห็นว่าทาสสาวของเขาไม่ยอมตอบ เด็กหนุ่มจึงเอื้อมมือจับปอยผมเธอเล่นเบา ๆ

“ฉันจะเดินช้าลงหน่อยก็แล้วกัน แต่เราควรไปกันได้แล้ว ก่อนที่พายุจะมาแล้วเราสองคนจะเปียกโชกด้วยกันทั้งคู่” เขาพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ และไร้ซึ่งการบังคับ พร้อมกับยื่นมือมาให้เด็กสาวจับ ราวกับเขาและเธอไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคู่รักที่มาพักผ่อนด้วยกันในวันหยุด และเดรโกกำลังบอกแฟนสาวของเขาว่าพวกเขาควรจะกลับไปที่พักได้แล้วเพราะพายุเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเจ้านายของเธออย่างแปลกใจ แต่เด็กสาวก็ใช้เวลาไม่นานนักในการตัดสินใจ ก่อนที่เธอจะวางมือเล็กของเธอลงบนมือใหญ่ของร่างตรงหน้า และในนาทีต่อมาทั้งสองก็รุดหน้าไปยังทิศทางที่มุ่งไปสู่เมือง


……………………………………………………………


ภายในเวลาสามสิบนาทีเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่ก็เดินมาถึงตัวเมืองดัลวิกซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ใกล้ชายฝั่งทะเลที่เงียบสงบ และเพราะพายุที่กำลังตั้งเค้ามาแต่ไกลนั้นเองทำให้เมืองทั้งเมืองเงียบเชียบจนเกือบจะเหมือนเมืองร้างเลยทีเดียวในขณะที่ทั้งสองมาถึง

เฮอร์ไมโอนี่มองผ่านอาคารสองชั้นรูปทรงเก่าที่ทำด้วยอิฐผสมไม้ซึ่งเรียงรายอยู่สองข้างทางอย่างสนใจ ขณะที่เดรโกพาเธอเดินผ่านใจกลางเมืองอย่างเร็ว ๆ แม้จะเป็นเมืองที่ดูเก่าแก่และดูมีบรรยากาศเหมือนฮอกมีตส์มากก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเมืองดัลวิกนี้ก็เป็นเมืองของพวกมักเกิ้ลซึ่งเด็กสาวสามารถบอกได้หลังจากที่เธอเห็นรถยนตร์ไม่กี่คันจอดอยู่ริมถนนขนาดสี่เลนส์ที่ตัดผ่านใจกลางเมืองนี้ และเมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงกระซิบกับเจ้านายของเธอเบา ๆ

“ฉันว่าที่นี่น่าจะมีแต่มักเกิ้ลนะ” เธอกล่าว ขณะที่เด็กหนุ่มไม่มีท่าทียี่หระกับข้อมูลนั้น ราวกับเขารู้ในสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการจะบอกอยู่แล้ว

“ที่นี่น่าจะมีพ่อมดอยู่บ้าง คนขายตั๋วบอกว่าที่นี่มีร้านของพวกเราที่ให้ที่พักสำหรับนักเดินทาง ชื่อว่า......” ไม่ทันที่เดรโกจะพูดจบสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับป้ายไม้ขนาดไม่ใหญ่เท่านักที่ประดับอยู่บนชั้นสองของร้านเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหัวมุมถนน แต่สิ่งที่ทำให้ร้านนั้นดูโดดเด่นขึ้นมาทันทีก็คือรูปปั้นจำลองของลูกปลาวาฬขนาดเกือบเท่าของจริงที่ติดอยู่เหนือป้ายไม้นั้นขึ้นไป แม้ว่าปลาวาฬตัวนั้นจะมีสีฟ้าซีดจางซึ่งบอกว่ามันคงถูกนำมาวางประดับหน้าร้านนี้เป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำให้ความโดดเด่นของมันลดน้อยลงไปได้เลย ส่วนป้ายไม้ด้านล่างรูปปั้นนั้นมีตัวอักษรภาษาไอซ์แลนติกที่มีสีซีดจางกว่าผิวของปลาวาฬเขียนไว้ว่า ‘คัลมา’

ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองตามสายตาของเด็กหนุ่มไปเห็นร้านดังกล่าวและรูปปั้นรูปปลาวาฬนั้น เธอกลับสังเกตุว่าไม่มีผู้คนบนถนนคนไหนที่จะสนใจร้านที่มีรูปปั้นปลาวาฬประดับอยู่นี้เลย ทั้ง ๆ ที่รูปปั้นขนาดมหึมานี้ควรจะทำให้ร้านแห่งนี้ดูโดดเด่นมากกว่าร้านทุกร้านบนถนนแห่งนี้รวมกันด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีพวกมักเกิ้ลคนไหนสนใจพอที่จะหยุดดูหรือเดินเข้าไปในร้านเลย ตรงกันข้ามพวกเขากลับรีบเร่งเดินผ่านร้านนี้ไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามมองด้วยซ้ำ และเมื่อผ่านการตรึกตรองเพียงไม่ถึงห้าวินาที เด็กสาวก็ทราบทันทีว่าเหตุผลที่มักเกิ้ลพวกนี้ไม่มีท่าทีสนใจเจ้ารูปปั้นยักษ์ที่เจ้าของร้านจงใจเอามันมาวางไว้เพื่อให้เรียกความสนใจลูกค้านี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาเห็นมันทุกวันจนชิน แต่เป็นเพราะพวกมักเกิ้ลเหล่านี้มองไม่เห็นมันต่างหากล่ะ เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าร้านคัลมานี่จะต้องถูกเสกคาถาพรางตาไม่ให้พวกมักเกิ้ลมองเห็นแบบเดียวกับร้านหม้อใหญ่รั่วเสกไว้อย่างแน่นอน

และขณะที่เด็กสาวกำลังจ้องมองร้านเหล้าที่ไม่มีใครนอกจากเธอและเดรโกมองเห็นอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะคิดเช่นเดียวกันก็พูดขึ้น

“ร้านนี้แหละ” เขาพูดสั้น ๆ ก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปในร้าน

ภายในนั้นเป็นร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่มีบรรยากาศไม่ต่างจากร้านหม้อใหญ่รั่วนัก คือเล็กและคับแคบ แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น ภายในร้านไม่มีลูกค้ามากเท่าไหร่นัก แต่มันกลับอบอวลไปด้วยเสียงคุยหึ่ง ๆ ของภาษาที่เฮอร์ไมโอนี่ฟังไม่เข้าใจ เด็กสาวมองเห็นแม่มดวัยกลางคนสองคนกำลังนั่งซุบซิบกันอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน ส่วนอีกมุมหนึ่งนั้นถูกยึดครองด้วยชายแก่จำนวนสี่คนที่กำลังถกเถียงอะไรบางในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอยู่ ขณะที่เดรโกพาเธอเดินไปยังเคาน์เตอร์ซึ่งมีชายหนุ่มสองคนที่มีอายุราวยี่สิบต้น ๆ กำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะพรมมือลงบนเคาน์เตอร์เบา ๆ

ภายในไม่กี่วินาทีที่ทั้งสองไปถึงเคาน์เตอร์ คนคุมบาร์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากหลังชั้นวางเครื่องดื่มราวกับเขาเพิ่งหายตัวมา เขามองทั้งสองด้วยสายตาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวคำทักทาย

“โกลลานดาซ ไม่ทราบว่าต้องการให้ผมช่วยอะไรครับ” คนคุมบาร์ซึ่งเป็นชายที่มีผมสีบลอนด์เข้มและดวงตาสีอ่อน อายุราว ๆ สามสิบห้าปีกล่าวทักทายทั้งสองด้วยภาษาไอซ์แลนติกก่อนจะถามพวกเขาด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อให้ลูกค้าอย่างเดรโกเลือกที่จะตอบในภาษาใดภาษาหนึ่ง ราวกับเขาดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าทั้งสองเป็นคนต่างถิ่น เผลอ ๆ อาจจะดูออกด้วยว่าพวกเขาเป็นคนต่างชาติ

“เรากำลังหาที่พัก ผมได้ยินมาว่าคุณมีห้องให้เช่าใช่ไหม” เด็กหนุ่มถามสั้น ๆ

“แน่นอนครับ เรามีห้องให้เช่าทั้งระยะสั้นและระยะยาว ไม่ทราบว่าต้องการพักกี่คืนดีครับ คุณ......” คนคุมบาร์กล่าว เขาพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วทีเดียวแม้ว่าจะติดสำเนียงไอซ์แลนติกอยู่บ้างก็ตาม

“แบล็ก ส่วนนี่กรีนกราส เราเดินทางมาด้วยกัน” มัลฟอยตอบหลังจากที่หยุดคิดเพียงอึดใจเท่านั้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเจ้านายของเธออย่างแปลกใจที่เขาจงใจปิดบังชื่อจริงของทั้งเขาและเธอแบบนี้ แต่เมื่อคิดดูอีกทีเธอก็เข้าใจว่าเดรโกคงไม่อยากให้ใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใครเป็นแน่ แม้ว่าทั้งสองจะเดินทางมาไกลถึงไอซ์แลนด์ก็ตาม แต่เธอก็แน่ใจว่าคงมีคนไอซ์แลนด์จำนวนไม่น้อยเคยได้ยินชื่อมัลฟอยในฐานะผู้เสพความตายมือขวาของโวลเดอมอร์เป็นแน่ รวมทั้งนามสกุลเกรนเจอร์ของเธอซึ่งเป็นนามสกุลเพื่อนรักของแฮร์รี่ พอตเตอร์อีกด้วย

“เราจะพักที่นี่คืนเดียว” เดรโกพูดต่อ “เราอยากได้ห้องพักขนาดสะดวกสบายหน่อย ถ้าได้ห้องมุมตึกจะดีมาก” เขาบอก ขณะที่คนคุมบาร์ยิ้มกว้างให้ทั้งสอง

“แน่นอนว่าเรามีห้องพักที่คุณน่าจะชอบว่างอยู่พอดีเลยครับ เป็นห้องริมสุดติดทางเดินมองเห็นวิวทะเลเสียด้วย ไม่ทราบว่าพวกคุณต้องการห้องพักกี่ห้องครับ” เขาถามอย่างสุภาพพลางมองมายังเด็กทั้งสอง และเด็กหนุ่มก็ตอบออกไปโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดเลยว่า

“ห้องเดียว ค่าห้องพักคืนละเท่าไหร่” เมื่อเขาพูดเช่นนั้นคนคุมบาร์ก็ตอบอย่างนอบน้อมว่า

“หกแกลเลียนครับ ถ้ารวมอาหารเช้าสำหรับสองท่านด้วยก็เป็นเจ็ดแกลเลียน” เขาบอก ขณะที่เดรโกหยิบถุงเงินออกมาแล้วยื่นเงินสิบแกลเลียนให้คนคุมบาร์ก่อนจะถามขึ้น
“ปกติที่นี่มีบริการอาหารมื้ออื่น ๆ ด้วยใช่ไหม”

“แน่นอนครับ เขามีบริการอาหารทุกมื้อ” คนคุมบาร์ตอบ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวางเงินลงบนเคาเตอร์อีกสามแกลเลียน

“นี่สำหรับมื้อเที่ยงสองที่ ช่วยให้คนไปเสิร์ฟบนห้องตอนเที่ยงครึ่งด้วย” เขากล่าว

“ได้แน่นอนครับ ผมจะให้คนไปส่งคุณทั้งสองที่ห้องนะครับ” คนคุมบาร์พูดอย่างนอบน้อม

“ไม่ต้อง เราเดินขึ้นไปเองได้ แค่บอกว่าห้องอยู่ตรงไหนก็พอ” มัลฟอยพูดเรียบ ๆ ขณะที่คนคุมบาร์มีท่าทีแปลกใจกับคำพูดของเด็กหนุ่ม แต่เขาก็พูดเปลี่ยนท่าทีได้อย่างรวดเร็วก่อนจะพูดขึ้น

“ได้ครับ ห้องสามศูนย์ห้า ทางขวามือสุดของชั้นสาม บันไดอยู่ทางซ้ายมือครับ” เขาพูดก่อนจะส่งกุญแจห้องให้เดรโก เด็กหนุ่มก็รับมาถือไว้ ก่อนจะพาเฮอร์ไมโอนี่เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม

ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงห้องพักหมายเลขสามศูนย์ห้า ทันทีที่เดรโกไขกุญแจและเปิดประตูห้องก็เผยให้ทั้งคู่เห็นห้องพักขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครันซึ่งมีผนังที่ทำจากไม้โอ๊คและตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีเข้มแลดูอบอุ่น หลังจากที่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็ดึงกระเป๋าหนังของออกมาจากเสื้อคลุม เขาเปิดกระเป๋าและโบกไม้กายสิทธิ์เบา ๆ และในวินาทีต่อมากระเป๋าสัมภาระของเขาและเฮอร์ไมโอนี่ก็ลอยหวือออกมจากกระเป๋าหนังมาวางอยู่บนพื้นห้อง ขณะที่เด็กสาวจ้องมองเจ้านายของเธออยู่เงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร เมื่อจัดการเอาสัมภาระของตัวเองและเฮอร์ไมโอนี่เสร็จแล้ว เดรโกก็เดินไปที่หน้าต่างที่ประดับด้วยผ้าม่านสีน้ำเงินเข้ม และเมื่อเขาเปิดมันออกเด็กหนุ่มก็พบว่าภายนอกนั้นมีฝนตกอย่างหนัก

“ท่าทางเราคงต้องอยู่ที่นี่ซักวันแล้วล่ะ” เขาพูดขณะที่เดินกลับมายังเตียงขนาดควีนไซส์ เด็กหนุ่มนั่งลงบนเตียงก่อนจะหันไปมองเฮอร์ไมโอนี่ที่ยังยืนตรงจุดเดิมในตอนที่เธอเพิ่งเข้ามาในห้องคือบริเวณหน้าประตู

“ยืนอยู่ตรงนั้นทำไมน่ะ” เขาถาม ขณะที่เด็กสาวพยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉย

“ก็เธอยังไม่ได้สั่งให้ฉันทำอะไรนี่” เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินตัวเองพูดออกมาแบบนั้น ขณะที่เดรโกมองทาสสาวของเขาด้วยสายตาไม่พอใจนิด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่อารมณ์เสียพอที่จะลงโทษเธออยู่ดี

“ฉันไม่ยักรู้ว่าเธอประชดเป็นเหมือนกัน แต่ในเมื่อเธอพูดอย่างนี้ก็ดี มานั่งข้าง ๆ ฉันสิ เกรนจอร์” เขาพูดพลางตบพื้นที่บนเตียงข้าง ๆ ตัว ขณะที่เด็กสาวกัดริมฝีปากเมื่อรู้ว่าเธอพลาดเสียแล้วที่ไปพูดกับเขาแบบนั้น แต่เมื่อรู้ดีว่าเธอไม่อาจขัดคำสั่งของเจ้านายได้ เธอก็ยอมเดิมไปนั่งที่เตียงข้าง ๆ มัลฟอยแต่โดยดี

และทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่นั่งลงบนเตียง เดรโกก็ตวัดแขนของเขาขึ้นโอบกอดเธอทันที ขณะที่เด็กสาวมองไปทางเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายอย่างตกใจ และเธอก็พบว่าเขากำลังมองมาทางเธอด้วยดวงตาที่ยากจะอ่าน มันเป็นดวงตาที่ระคนไปด้วยความหลงใหลและแววพิจราณา ก่อนที่เดรโกจะโน้มใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้เฮอร์ไมโอนี่และจูบเธออย่างอ่อนโยน

แม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่จูบครั้งแรกของทั้งคู่ แต่เด็กสาวกลับรู้สึกราวกับมันเป็นครั้งแรกของพวกเขา เพราะก่อนหน้านี้แม้จะเฮอร์ไมโอนี่จะเคยจูบกับเด็กหนุ่มมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้มาจากความเต็มใจของเธอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามจูบเหล่านั้นมาจากการที่เดรโกบังคับหรือออกคำสั่งให้เธอจูบเขามากกว่า และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือมีหลายครั้งเหลือเกินที่เฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกดีไปกับรสจูบของเดรโก จนเธอรู้สึกผิดต่อตัวเองอย่างมหาศาลเมื่อเธอเผลอจูบเขาตอบไปหลายครั้ง แต่สำหรับครั้งนี้แล้ว แม้ว่าเด็กสาวจะยอมปล่อยตัวไปตามสัมผัสของเด็กหนุ่มตรงหน้าเหมือนหลายครั้งที่เธอเผลอตัวรู้สึกดีไปกับสัมผัสของเขาก็ตาม แต่มันกลับไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เลยแม้แต่น้อย เพราะเธอกลับไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำเช่นนี้เลย ราวกับความรู้สึกที่เกาะกินหัวใจที่หนักอึ้งของเธอได้หายไปตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าเดรโกรักเธอแล้ว เพราะที่ผ่านมาสาเหตุที่เธอรู้สึกผิดที่ตัวเองตอบสนองสัมผัสของมัลฟอยนั้นก็เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้รักเธอเลยแม้แต่น้อย และที่เขาล่วงเกินเธอเป็นเพราะเขาต้องการแก้แค้นโดยการทำให้เธออับอายและต้องการตักตวงความสุขจากร่างกายของเธอเท่านั้น แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ได้มารู้ความจริงอันน่าตกใจที่ว่าเดรโกรักเธอมาตลอด และยังคงรักอยู่จนถึงตอนนั้นแล้วนั้น เด็กสาวก็ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่มีต่อตัวเองอีกต่อไปแล้ว เพราะถึงแม้เขาจะชอบรุกรานร่างของเธอโดยที่ไม่ยอมฟังเสียงทักท้วงของเธอก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็รักเธอ และเหตุผลที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นเพราะเขารักเธอเธอจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มจูบเธอแต่โดยดีนั้นเพราะเฮอร์ไมโอนี่ต้องการจะพิสูจน์สิ่งที่เธอเพิ่งได้รับรู้มา ว่าถ้าหากมัลฟอยรักเธอจริงแล้ว เขาจะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเธออยู่กับเขาเพียงลำพังแบบนี้ เขาจะอ่อนโยนกับเธอเหมือนที่เขาควรจะทำกับผู้หญิงที่เขารักหรือเปล่า และเธอสงสัยเหลือเกินว่าถ้าหากเขาเป็นห่วงความรู้สึกของเธอจริง ๆ แล้วล่ะก็ เขาจะยอมหยุดการกระทำของเขาเมื่อเธอขอร้องให้เขาหยุดหรือเปล่านะ

และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ผิดไปจากที่เด็กสาวคิดเลย เมื่อเด็กหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาและประทับริมฝีปากกับเธออย่างอ่อนโยน ริมฝีปากของเดรโกสัมผัสริมฝีปากสีกุหลาบของเฮอร์ไมโอนี่อย่างแผ่วเบาราวกับเขากลัวว่ามันจะช้ำ เขาเริ่มจูบเธออย่างแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนเป็นไปเป็นหนักแน่นมากขึ้น เมื่อเด็กหนุ่มสอดสิ้นของเขาเข้ามาหาความหอมหวานในปากของเธอ ขณะที่เด็กสาวก็จูบตอบอย่างไม่ลังเล แขนเล็ก ๆ ของเธอยกขึ้นโอบรอบคอร่างสูงตรงหน้า ขณะที่มือของเดรโกก็ดันแผ่นหลังของเด็กสาวให้แนบชิดกับร่างของเขามากขึ้น

ทั้งคู่จูบกันอยู่เนิ่นนานราวกับพวกเขาเป็นคู่รักที่พลัดพรากกันมานาน และก็ไม่มีอะไรในโลกที่จะมาหยุดยั้งพวกเขาจากการส่งความคิดถึงที่ทั้งสองมีต่อกันไปยังริมฝีปากของอีกฝ่ายได้ หากแต่จูบครั้งนี้ของพวกเขากลับไม่มีความรุนแรงหรือการบีบบังคับเจืออยู่แม้แต่น้อย เพราะมันเต็มไปด้วยความหลงใหลและความปรารถนา และทั้งคู่คงต้องจูบกันไปนานกว่านี้เป็นแน่ ถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่ไม่เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากของเธอออกมาก่อนเพราะต้องการอากาศหายใจ เด็กสาวหอบหายใจน้อย ๆ ขณะพยายามปรับลมหายใจของเธอให้เป็นปกติ ขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเธอนั้นมองมาทางเธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก ก่อนจะยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ปรกหน้าใบหน้าเรียวขึ้นทัดหู พร้อมกับพิจารณาใบหน้างามของร่างตรงหน้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก และก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้มีโอกาสเอ่ยปากห้ามอะไรออกมา เดรโกก็โน้มไปหาลงไปจูบเธอที่แก้มก่อนจะไล่ริมฝีปากของเขาไปตามขากรรไกรของดวงหน้างาม ขณะที่มือหนึ่งของเขายึดร่างบางไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา ราวกับเขาคาดไว้แล้วว่าเธอจะผลักไสเขา
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่มัลฟอยคิด เพราะนอกจากทาสสาวรวมทั้งคนรักของเขาจะไม่ขัดขืนการกระทำของเดรโกแล้ว เด็กสาวกลับตอบสนองสัมผัสของเขาด้วยการไล้มือเล็ก ๆ ของเธอไปตามไหล่ที่แข็งแรงของเด็กหนุ่ม เฮอร์ไมโอนี่พึมพำชื่อของร่างสูงตรงหน้าออกมาเบา ๆ เมื่อเขาเม้มติ่งหูเธอด้วยริมฝีปากของเขา พร้อม ๆ กับที่มือน้อย ๆ กุมไหล่กว้างของเขาไว้แน่น

“เดรโก” เด็กสาวพึมพำชื่อของเด็กหนุ่มตรงหน้าออกมาราวกับเสียงละเมอ พร้อม ๆ กับที่เล็บของเธอจิกเข้าไปที่ไหล่ซ้ายของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับเธอลืมเลือนไปเลยว่าเขามีบาดแผลอยู่ตรงนั้น และเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของเฮอร์ไมโอนี่หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่างนั้นกลับทำให้เดรโกหยุดการกระทำของเขาในทันที เด็กหนุ่มถอนใบหน้าขึ้นมาจากซอกคอขาวผ่องของเด็กสาว ก่อนจะมองเธอด้วยแววตาที่สับสนคิ้วบางขมวดจนเธอคิดได้ว่าเธอคงต้องทำอะไรบางอย่างให้เขาไม่พอใจลงไปเป็นแน่
และเมื่อคิดได้ว่าเธอได้ทำบางอย่างให้มัลฟอยไม่พอใจลงไปจริง ๆ เฮอร์ไมโอนี่จึงรีบถอนมือของเธอออกจากไหล่ซ้ายของเขา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ฉันขอโทษ มัลฟอย” นั่นเป็นสิ่งแรกที่ออกมาจากปากของเด็กสาว แม้จะรู้ความจริงที่ว่าเดรโก มัลฟอยหลงรักเธอแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นเจ้านายของเธออยู่ดี และการที่ทาสอย่างเฮอร์ไมโอนี่ขัดคำสั่งโดยการเรียกชื่อต้นของเขาออกไปแบบนั้นคงทำให้เด็กหนุ่มไม่พอใจมากเป็นแน่ และจากที่เด็กสาวได้เรียนรู้จากการตกเป็นทาสของเขาได้เพียงไม่นานก็คือ ไม่ว่าเธอจะอยู่ในฐานะคนรักหรือว่าทาสก็ตาม เดรโกก็ยังจะลงโทษเธอเมื่อเธอทำผิดอยู่ดี ซึ่งมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการให้เขาทำ

ในขณะเดียวที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังกังวลว่าเดรโกจะลงโทษเธอด้วยวิธีไหนอยู่นั้น เขาก็จ้องมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาพิจารณา เด็กหนุ่มเห็นร่องรอยความหวาดกลัวอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลที่เขาแสนรัก แน่นอนมัลฟอยรู้ดีว่าเฮอร์ไมโอนี่กลัวว่าเขาจะลงโทษที่เธอขัดคำสั่งเขาและทำให้แผลของเขาเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจแบบนี้ และถ้าเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงต้องใช้เหตุผลนี้ลงโทษเธอในแบบที่เขาชอบแล้วเป็นแน่ แต่ก็น่าแปลกเหลือเกินที่ตอนนี้เดรโกกลับไม่มีอารมณ์จะทำอย่างนั้นกับเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องการลงโทษทาสสาวของเขาขณะที่เธอมองเขาด้วยแววตาที่หวาดกลัวแบบนี้ ราวกับความจริงที่ว่าผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดหวาดกลัวเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเดรโกเอง

และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงพูดออกมา

“ช่างมันเถอะ” เขาพูดก่อนจะจากร่างบาง และเขยิบห่างออกมาจากเธอประมาณสี่ห้านิ้ว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองร่างสูงตรงหน้าของเธออย่างแปลกใจเมื่อเขายกมือขึ้นเสยผมสีบลอนด์ด้วยท่าทีราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอไม่ได้ทำผิดคำสั่ง และเขาก็ไม่ได้โกรธเคืองเธอแต่อย่างใด

เด็กสาวมองภาพเจ้านายที่ดูแปลกใจไปราวกับเป็นคนละคนของเธอด้วยแววตาพิจารณา เดรโกไม่ได้เพิ่งมาแปลกไปหลังจากที่เธอรู้ความจริงว่าเขารักเธอหรอก แต่เขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว อันที่จริงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเด็กหนุ่มนั้นทำให้เฮอร์ไมโอนี่สับสนไม่น้อย จนเธอไม่แน่ใจว่าเดรโกในตอนไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา คนที่ดูเอาอกเอาใจเธอแต่ก็เอาแต่ใจในเวลาเดียวกันในตอนก่อนที่เธอจะเจอจดหมายที่นายลูเซียสส่งมาให้เขา คนที่โหดร้ายป่าเถื่อนและใช้กำลังครอบครองเธอเหมือนตอนที่เขาเพิ่งจับตัวเธอกลับมาจากป่าดำหลังจากที่เธอหนีเขาไป หรือว่าคนที่ดูอ่อนโยนหากแต่ดูเหมือนสับสนกับความรู้ของตัวเองแบบคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้ล่ะ เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนไหนที่เป็นตันตนของที่แท้จริงของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอย บางทีอาจจะเป็นทั้งหมดนั้นเลยหรือไม่ใช่ซักอย่างเลยก็ได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นเธอคือเด็กสาวเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเธอจะได้มีโอกาสค้นพบตัวคนที่แท้จริงของเดรโกเหมือนตอนที่เธอค้นพบอดีตอันเลวร้ายที่เขาเก็บซ่อนมานานหรือเปล่านะ เธอไม่อาจรู้ได้เลย แต่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ ก็คือ เดรโก มัลฟอยคนนี้รักเธอ และไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเป็นเช่นไรความจริงที่ว่าเขารักเธอนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะโต้แย้งได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็ยังคงไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถรักเขาตอบได้หรือไม่หลังจากเธอต้องผ่านเรื่องเลวร้ายที่เขาได้ทำลงไปกับเธอมาแบบนี้

หลังจากที่ผ่านความคิดที่วกวนและซับซ้อนไปไม่นานนัก เด็กสาวก็มองร่างตรงหน้าซึ่งตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียงห่างจากเธอเล็กน้อย และกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างที่สายฝนกำลังเทกระหน่ำลงมา เฮอร์ไมโอนี่เลื่อนสายตาจากใบหน้าเรียวของเดรโกไปยังลำคอและไหล่ข้างซ้ายที่ซ่อนบาดแผลเอาไว้ใต้เสื้อคลุมสีดำก่อนจะถามขึ้น

“เธอยังเจ็บแผลอยู่ไหม” เธอถามขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาก่อนที่ร่างตรงหน้าจะหันกลับมาหาเธอ แม้ว่าใบหน้าซีดเซียวของเดรโกจะดูเรียบเฉยก็ตาม แต่ดวงตาสีเงินของเขากลับมีแววไม่สบายใจเมื่อถูกถามเรื่องบาดแผลของเขา ขณะที่เด็กหนุ่มต้องยกมือขวาขึ้นแตะที่ไหล่ซ้ายโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับที่เขาทำแบบเดียวกันนี้ทุกครั้งที่มีคนถามเรื่องแผลของเขา
“ก็ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรู้ดีว่าเขาแกล้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตัวเอง อย่างเดียวกับที่เขาทำในตอนที่เฮอร์ไมโอนี่ค้นพบความลับเรื่องแม่ของเขาได้แรก ๆ
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กสาวจึงเขยิบเข้าไปใกล้ร่างสูงขึ้นอีกหน่อย เธอมองเข้าไปในดวงตาสีเงินก่อนจะพูดขึ้น

“เธอจำได้ไหม ที่เธอเคยบอกว่าฉันมีเวลาจะถามเธออีกเยอะเรื่องการเดินทางมาไอซ์แลนด์นี่น่ะ” เธอถามอย่างระมัดระวัง เพราะเฮอร์ไมโอนี่จำได้ว่าตอนที่เธอถามเขาเรื่องไอซ์แลนด์นั้นเดรโกใกล้จะหลับอยู่แล้ว เธอจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะจำเรื่องนี้ได้หรือไม่ และแน่นอนว่าสิ่งสุดท้ายที่เธออยากจะให้เกิดขึ้นขณะที่เธอต้องเดินทางกับเด็กหนุ่มเพียงลำพังก็คือการทำให้เขาโกรธ
เดรโกมีท่าทีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่เท่านั้นก่อนจะตอบออกมา

“จำได้สิ ทำไมหรือ......”

“คือฉันแค่อยากรู้ว่า........เธอพอจะบอกฉันได้ไหม ว่าเรื่องที่เรา......ฉันหมายถึงเธอต้องมาที่ไอซ์แลนด์นี่มันเกี่ยวกับบาดแผลของเธอยังไง” เด็กสาวถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะเธอไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มต้องการจะพูดเรื่องนี้อยู่หรือไม่ รวมทั้งเขาจะโกรธไหมถ้าเธอถามเขาออกไปตรง ๆ แบบนี้ แต่แน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นของเธอได้เอาชนะความกลัวเหมือนอย่างเช่นเคยเสียแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นมัลฟอยก็ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเคืองเธอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา ดวงตาสีเงินของเขาดูกังวลอย่าเห็นได้ชัดยามที่เขาเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้เฮอร์ไมโอนี่ฟัง

“มันก็แค่....” เขาถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“เธอคงรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันถูกตัวอะไรทำร้ายน่ะ” เขาถามคำถามนี้ออกมาตรง ๆ เป็นครั้งแรก แม้จะรู้ดีว่าเด็กสาวรู้เรื่องนี้อยู่แล้วก็ตาม เพราะในตอนที่เขาหมดสติอยู่นั้นพ่อของเขาที่เพิ่งค้นพบว่าเขาถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายก็บุกไปทำร้ายทาสของเขาทันที ข้อหาที่เธอทำให้เขาบาดเจ็บจากสัตว์ร้ายชนิดนี้ รวมทั้งเขาอาจจะต้องกลายหนึ่งในพวกมันด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเดรโกยังคงต้องการจะถามเรื่องนี้จากเฮอร์ไมโอนี่โดยตรงอยู่ดี แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มอยากรู้นั้นไม่ใช่คำตอบที่ว่าเธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาดีแค่ไหน แต่เขาอยากจะรู้ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเธอรู้ว่าเขาอาจจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าเข้าซักวัน หากเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ไม่สามารถรักษาเขาได้ และถ้าเกิดเขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าเข้าจริง เธอจะรังเกียจเขาไหมถ้าหากเธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์ร้ายที่ผู้คนรังเกียจเช่นเขาแบบนี้
ในขณะที่คาดหวังว่าร่างตรงหน้าจะแสดงท่าทีหวาดกลัวรวมทั้งผลักไสเขาเพราะสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไปอยู่นั้น เดรโกกลับต้องแปลกใจเมื่อเขาพบว่าเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ท่าทีอย่างที่เด็กหนุ่มคิดเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าดวงตาสีน้ำตาลจะฉายแววหวาดกลัวออกมาแวบหนึ่งก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้ผลักไสเขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็กสาวกลับพยักหน้าน้อย ๆ ขณะที่เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

“แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันอาจจะต้องกลายเป็นอะไร” เดรโกถามขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าคำถามนั้นจะเปรียบเสมือนคมมีดที่เฉือนหัวใจของเด็กหนุ่มยามที่เขาพูดออกมา เพราะสิ่งที่เขากลัวมากกว่าการต้องเป็นมนุษย์หมาป่าก็คือการที่เฮอร์ไมโอนี่รังเกียจเขาในฐานะสัตว์ร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว แต่เขาก็จำเป็นต้องพูดมันออกมา ขณะที่ดวงตาสีเงินของเขาจับจ้องใบหน้างามที่ดูวิตกของเฮอร์ไมโอนี่อย่างใกล้ชิดพร้อมกับกลั้นหายใจ ราวกับเขากำลังรอวินาทีที่เธอจะวิ่งหนีไปจากเขาอยู่ แต่ดูเหมือนเดรโกจะต้องกลั้นหายใจไปจนชั่วนิรันดร์เป็นแน่กว่าเธอจะทำเช่นนั้น เพราะนอกจากเฮอร์ไมโอนี่จะไม่วิ่งหนีไปจากเขาแล้ว เธอยังเลื่อนมือเล็กบอบบางของเธอมาวางบนมือใหญ่ของเขาไว้พลางมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจแบบเดียวกับที่เธอใช้มองเขาในวันแรกที่เขาเล่าอดีตที่ปวดร้าวให้เขาฟัง

“ฉันรู้” เธอกระซิบออกมาเบา ๆ พลางคว้ามือของเขามากุม และเป็นเพราะดวงตาของเธอที่มองมาหรือความอบอุ่นจากมือของเธอที่กุมมือของเขาอยู่เดรโกก็ไม่อาจทราบได้ มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งเผชิญเรื่องหนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตมาจนเขาเผลอคิดไปวูบหนึ่งว่าเขาไม่เหลือเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะชีวิตของเขาได้จบสิ้นลงในวินาทีที่เขาจะต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าเสียแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตของของยังมีค่าอยู่ อย่างน้อย ๆ มันก็มีค่าเมื่อมีเธออยู่เคียงข้างเขา แม้ว่าเธอจะไม่ได้เต็มใจมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่มีท่าทีรังเกียจเขาที่อาจจะกลายเป็นมนุษย์หมาป่าแบบนี้

และเมื่อได้พบกับความจริงที่มัลฟอยเองก็คาดไม่ถึงมาก่อนหากแต่มันเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกินสำหรับเขาแบบนี้แล้ว เด็กหนุ่มก็มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น เขาเลื่อนมืออีกข้างมากุมมือเล็กทั้งสองข้างของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เด็กสาวต้องการจะรู้

“เหตุผลที่ฉันต้องมาที่ไอซ์แลนด์นี่ มันเกี่ยวข้องกับบาดแผลของฉันอย่างที่เธอคิดจริง ๆ นั่นแหละ” เขาเริ่มเล่า

“หลังจากที่ฉันถูกทำร้ายไม่นาน พ่อของฉัน....และสเนปก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้น........ทั้งสองคนนั้นเลยพยายามหาทางช่วยฉัน” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบและพยายามหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงเรื่องที่พ่อของเขาบุกไปทรมานเด็กสาวถึงในห้องของเธอขณะที่เขาหมดสติอยู่ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทีสงสัย แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าเธอต้องการจะถามเรื่องอะไร

“พวกเรารู้ดีว่ายังไม่มีพ่อมดคนไหนที่คิดค้นวิธีรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่ากัดได้ ในตอนนี้” เขาพูดคำว่า ‘ มนุษย์หมาป่า ’ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกพลางเบ้หน้าอย่างรังเกียจราวกับมันเป็นคำพูดที่น่าขยะแขยง

“แต่ในกรณีของฉันมันต่างกันออกไป ฉันแค่ถูกข่วนเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาเองจะยังไม่แน่ใจว่าจะพอมีทางรักษาฉันได้หรือไม่ แต่พวกเขาก็พยายามหาทุกวิถีทางที่จะมาช่วยให้ฉันหายเป็นปกติ” เดรโกเล่าอย่างแผ่วเบาขณะที่เขาจ้องไปที่กำแพงทั้ง ๆ ที่มันไม่ไม่อะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจมองหน้าเฮอร์ไมโอนี่ในตอนนี้ได้ เพราะเขาไม่ต้องการให้เธอเห็นแววแห่งความหวาดกลัวที่ฉายอยู่ในดวงตาของเขาในตอนนี้

“และพวกเขาก็ไปได้ข้อมูลมาว่ามีแม่มดคนหนึ่งที่ไอซ์แลนด์นี่ค้นคว้าหาวิธีรักษาคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าข่วนมากหลายปีแล้ว และเธอก็น่าจะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นศึกษาเรื่องนี้มากพอจะช่วยฉันได้” ถ้าหากว่าเธอสามารถทำได้น่ะนะ เดรโกคิด พลางรู้สึกถึงความหลาดกลัวที่คืบคลานมาตามกระดูกสันหลังและปลายนิ้วมือจนทำให้เด็กหนุ่มต้องตัวสั่น

มันจะเกิดอะไรขึ้นนะหากเฟรย่าคนนี้ไม่สามารถรักษาเขาได้ มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากหล่อนใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีที่ผ่านมานี้ไปกับการค้นคว้าที่ล้มเหลวในการรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้าย หรือที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือถ้าหากหล่อนเลิกล้มการค้นคว้านี้ไปเสียกลางคันตั้งแต่สามีของหล่อนเสียชีวิตไปแล้วล่ะ มันจะเป็นอย่างไร อันที่จริงเดรโกรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากสิ่งที่เขากลัวนี้เป็นความจริง เพราะเขารู้ดีว่ามันจะนำไปยังความกลัวที่น่าสยดสยองมากกว่านั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความกลัวในลำดับต้น ๆ ของเด็กหนุ่มเลยก็ได้ ซึ่งก็คือการที่เขาต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในฐานะสัตว์ร้ายที่ต้องคำสาป

และเพราะความคิดเองทำให้เดรโกรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว ขนทั้งร่างกายของเขาลุกชัน ขณะที่มือใหญ่ที่กุมมือของเฮอร์ไมโอนี่อยู่นั้นก็บีบมือเล็กของเด็กสาวแน่น ขณะที่เธอชะโงกหน้าไปสบตาเด็กหนุ่ม และสิ่งที่เธอเป็นอย่างแรกก็คือใบหน้าที่ขาวซีดราวกับกระดาษ และดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเดรโก แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังไม่มีท่าทียอมรับในสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ดี เมื่อเขาหลบสายตาเธอและหันไปมองทางอื่น ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามบังคับให้มันฟังดูปกติมากที่สุด
“และเพราะอย่างนี้ ฉันถึงต้องมาที่ไอซ์แลนด์นี่เพื่อมาพบหล่อน หล่อนอาศัยอยู่ที่เกาะกริมซีย์ไม่ไกลจากชายฝั่งเท่าไหร่ ฉันคิดว่าเราน่าจะไปถึงที่นั่นได้ตอนสาย ๆ ของวันพรุ่งนี้” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงที่แปลกแปร่งเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีหวาดกลัวของตัวเอง และแน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่ดูออกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่เธอทำหลังจากนั้นไม่ได้เข้าไปโอบกอดหรือให้กำลังใจเขา แต่เธอกลับดึงมือของเธอออกจากมือใหญ่ของเด็กหนุ่ม เด็กสาวลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามัลฟอย เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นทาบใบหน้าของเขาเบา ๆ และประคองมันให้เงยขึ้นมาสบตาเธอ ก่อนจะพูดขึ้น

“เธอกลัวไหม” เธอกระซิบอย่างนุ่มนวล ขณะที่มองลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มเฮอร์ไมโอนี่ก็เห็นคำตอบในคำถามของเธออย่างชัดเจน ขณะที่เดรโกซึ่งท่าทีเสแสร้งทำเป็นเข้มแข็งของเขาเพิ่งมลายหายไปนั้น เลื่อนมือใหญ่ของเขามาทาบบนมือเล็กของเด็กสาวที่กำลังประคองใบหน้าของเขาอยู่ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ในตอนนี้เขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มเลือดบริสุทธิ์ที่แสนจะเย่อหยิ่งคนเดียวกับที่เป็นเจ้านายของเฮอร์ไมโอนี่อีกต่อไปแล้ว ตัวตนนั้นที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขาได้มลายหายไปพร้อมกับเผยให้เห็นเนื้อแท้ของเดรโก มัลฟอยที่ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเด็กหนุ่มธรรมดา ๆ ที่กำลังหวาดกลัวต่อชะตากรรมอันเลวร้ายของตัวเองเท่านั้น
ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองร่างตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ ก่อนจะโน้มร่างเข้าไปใกล้แล้วกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขน แม้ว่ามันจะลงเอยด้วยท่าทางที่เหมือนกับเธอพยายามจะนั่งลงบนตักของเด็กหนุ่มพร้อม ๆ กับโอบกอดเขาก็ตาม แต่เด็กสาวไม่สนอีกต่อไปแล้วว่าทั้งสองจะอยู่ในท่าทางที่ดูประหลาดเพียงใด หรือเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นจะเคยทำเรื่องร้ายกาจอะไรกับเธอไว้บ้าง เธอไม่สนอีกต่อไปแล้วว่าที่เธอได้เห็นอยู่นี้เป็นตัวคนที่แท้จริงแล้วเดรโก มัลฟอยหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงแค่การแสดงของเขาเท่านั้น แต่เท่าที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ก็คือเขาต้องเผชิญเรื่องราวที่เลวร้ายมากเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการไหว และเมื่อลองนึกย้อนกลับไปในคืนที่เขาถูกทำร้าย เด็กสาวก็ต้องตกใจกับเศษเสี้ยวความทรงจำที่ว่าบอกเธอว่า ที่เดรโกถูกทำร้ายนั้นเป็นเพราะเขาช่วยเธอไว้จากมนุษย์หมาป่า เขาเอาร่างของเขามาบังเธอไว้ในตอนที่มันเหวี่ยงกรงเล็บมาลง และถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาแล้ว คนที่กำลังทรมานกับบาดแผลต้องคำสาปนี้อาจจะเป็นเธอแทนเขาก็เป็นได้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงกระชับวงแขนของเธอเข้ากับร่างที่สั่นเทาตรงหน้าแน่นขึ้น ราวกับต้องการให้ความอบอุ่นของเธอส่งผ่านไปยังร่างที่สั่นเทาในอ้อมแขน เด็กสาวไม่แน่ใจว่าเธอได้ยินเสียงสูดจมูกของเดรโกหรือเปล่า แต่เธอไม่สนใจมัน เธอไม่สนใจว่าเขาจะทำตัวอ่อนแออย่างไรในตอนนี้พอ ๆ กับที่เขาไม่สนใจว่าการที่เธอโอบกอดเขาไว้แบบนี้จะทำให้ร่างกายของเขาเปรอะเปื้อนหรือไม่ ตรงกันข้ามเฮอร์ไมโอนี่โอบกอดร่างสูงของเดรโกไว้อย่างแน่นหนา มือเล็ก ๆ ของเธอลูบแผ่นหลังที่ชื้นเหงื่อของเขาเบา ๆ อย่างปลอบประโลม พลางกระซิบกับเขา

“อย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนะ” เด็กสาวกระซิบถ้อยคำนั้นอย่างนุ่มนวลราวกับต้องการบอกเขาว่าเธอจะอยู่กับเขาตรงนี้ และเขาจะไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวอีกต่อไป ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องเลวร้ายไว้กับเธอมากแค่ไหนก็ตาม เหมือนกับตอนที่เธอปลอบโยนเขาหลังจากที่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขา แม้ว่าเขากับเธอจะเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน และเขาก็เคยทำร้ายเธอมาก่อนก็ตาม ราวกับเธอต้องการจะบอกเขาว่า แม้ว่าเขาจะทำอะไรไว้กับเธอในอดีตก็ตาม แต่เมื่อถึงตอนที่เขาต้องเป็นทุกข์แบบนี้ เฮอร์ไมโอนี่ก็จะมองข้ามเรื่องร้าย ๆ เขาเคยทำลงไปก่อนหน้านี้ และจะอยู่เคียงข้างเขาจนกว่าเขาจะผ่านเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นไปได้

ขณะที่มัลฟอยเองก็กอดร่างบางตรงหน้าไว้อย่างแน่นหนา เขารู้สึกราวกับความหวาดกลัวได้มลายหายไปเกือบหมดเมื่อได้สัมผัสอ้อมกอดที่อบอุ่นของเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง เช่นเดียวกับครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเมื่อเธอโอบกอดเขาหลังจากที่เธอได้รับรู้ถึงอดีตที่แสนเจ็บปวดของเขา และเดรโกก็จำได้ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มเปิดรับเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาในหัวใจเขา ก่อนที่เขาจะหลงรักเธออย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน และตอนนี้เขาก็ยังคงรักเธออยู่ แม้ว่าเธอจะเคยทรยศเขาโดยการหนีจากเขาไปก็ตาม เขายังรักเธออยู่แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะเคยทำร้ายเธออย่างหนักนาสาหัสมากกว่าที่เธอเคยทำร้ายเขาไว้ก็ตาม แต่เขายังคงรักเธอไม่น้อยไปกว่าวันที่เขาบอกรักเธอครั้งแรกเลย บางทีเขาอาจจะรักเธอมากกว่าในตอนนั้นเสียด้วยซ้ำ

หลังจากที่ทั้งสองโอบกอดกันอยู่เนิ่นนาน เด็กสาวก็คลายวงแขนของเธออออกจากร่างสูงของเดรโกเมื่อเธอเห็นว่าเขาน่าจะดีขึ้นแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่มองสบดวงตาสีเงินของเด็กหนุ่มอย่างเป็นห่วง ขณะที่เขาจ้องมองเธอราวกับกำลังจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“ฉัน......” เดรโกจ้องมองเด็กสาวที่เขารักมากที่สุดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก บางทีเธออาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขากำลังจะบอกเธอออกนี้ในตอนนี้ หลังจากเรื่องเลวร้ายที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ แต่อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็ไม่ต้องการเก็บมันไว้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว รวมทั้งเขาไม่ต้องการจะบอกเธอแค่ในตอนที่เธอหลับอีกต่อไปแล้วว่าเขารักเธอ เขารักเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ฉันรักเธอ”

เดรโกพูดถ้อยคำที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังกลั้นใจรอคอยออกมา แม้ว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นจะแผ่วเบา แต่เด็กสาวกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน ในที่สุดสิ่งที่เธอต้องการจะล่วงรู้มากที่สุดก็ได้เปิดเผยออกมาแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับต้องแปลกใจที่ว่าเธอรู้สึกโล่งอกที่ได้ยินเดรโกเอ่ยถ่อยคำนี้ออกมาพอ ๆ กับที่เธอรู้สึกหนักใจในเวลาเดียวกัน แม้จะได้ล่วงรู้ในสิ่งที่เธอสงสัยมาก่อนหน้านี้จากปากของเด็กหนุ่มเองแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะความจริงที่ว่าเดรโก มัลฟอยรักเธอนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วได้ พอ ๆ กับที่มันไม่มีวันมาเปลี่ยนแปลงสถานะความเป็นเจ้านายและทาสของเขาและเธอได้เลย ขณะที่ถ้อยคำบอกรักของเดรโกซึมผ่านเข้าไปในสมองของเด็กสาวพร้อม ๆ กับที่ดวงตาสีเงินของเขามองเธออย่างอ้อนวอนให้เธอตอบอะไรเธอออกมาบ้างนั้น เฮอร์ไมนี่ก็ไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ เพราะนอกจากจะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าต้องการคำตอบอะไรจากเธอ เด็กสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่สามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะยินดีที่ได้ยินคำถ้อยคำสารภาพรักครั้งนี้มากแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มีวันมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างระหว่างเขาและเธอได้เลย



*************************************************



คุยกันหลังอ่านนะคะ

เป็นยังไงบ้างคะสำหรับตอนนี้ พิกบอกตามตรงนะคะว่าพิกรู้สึกไม่มั่นใจในฟิคตอนใหม่นี้เท่าไหร่เลยค่ะ ไม่แน่ใจว่าบรรยายความรู้สึกของตัวละครได้ดีไหม หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพิกชินกันฉากโหดเรื่องนี้ก็ไม่รู้ พอมาเขียนฉากแบบนี้เลยรู้สึกแปลก ๆ ดังนั้นพิกเลยต้องขอความร่วมมือจากผู้อ่านหน่อยนะคะ ว่าช่วยเม้นหน่อยนะคะว่าฟิคตอนนี้โอเคไหม ติดขัดตรงไหนหรือไม่ เพื่อพิกจะได้เอาไปปรับปรุงค่ะ

อ้อ มีอีกเรื่องที่จะแจ้งนะคะ หลังจากอัพฟิคตอนใหม่นี้แล้ว พิกจะไม่อัพฟิคไปจนกว่าจะถึงเดือนหน้าเพราะพิกมีสอบถึงสิ้นเดือนนะคะ แล้วพิกก็เดาว่านักอ่านหลายคนก็คงจะมีสอบช่วงนี้เหมือนกันใช่ไหมคะ เอาเป็นว่าขอให้โชคดีในการสอบทุกคนนะคะ และหวังว่าฟิคเรื่องนี้จะช่วยให้นักอ่านคลายเครียดจากการสอบได้นะคะ ^^ แล้วเจอกันอีกทีเดือนหน้าค่ะ





Create Date : 23 กรกฎาคม 2555
Last Update : 24 กรกฎาคม 2555 8:29:26 น. 9 comments
Counter : 5259 Pageviews.

 
ยอดเยี่ยมค่ะ เศร้ามาก แต่เสียดายจังที่ต้องรอจนถึงเดือนหน้าแหน่ะ แต่จะรอน้ะค้ะ สู้ๆค่ะ


โดย: Minami IP: 101.108.93.228 วันที่: 23 กรกฎาคม 2555 เวลา:17:45:18 น.  

 
เฮอร์ใจร้ายอ่ะ T-T เฮียร์เดรเค้าบอกรักแล้วนะ
ยังไม่ยอมให้อภัยอีก ทั้งๆที่ตัวเองก็รักเค้าแท้ๆ

พี่พิกค่ะ สู้ๆนะค่ะ ตั้งใจอ่านหนังสือ
และทำข้อสอบให้ได้เติมเลยนะคะ ^^ Get A คร้าาาา


โดย: PearyHermione IP: 202.12.73.1 วันที่: 23 กรกฎาคม 2555 เวลา:22:02:37 น.  

 
อ๊ายยยย จบตอนกำลังมันส์เลยอ่า ...
ตอนนี้คุณพิกบรรยายอารมณ์ได้ดีมากเลยค่ะ (แม้ฉากพูดจะน้อยไปหน่อย) แต่ไม่เป็นไรสนุกดีค่ะ ทำให้เราลุ้นตามเลยว่าเฮอร์จะตอบยังไง จะเป็นยังไงต่อไป
ช่วงนี้เราก็มีสอบแล้วเช่นกัน คุณพิกก็สู้ๆนะค่ะ ^^ สอบเสร็จแล้วมาแต่งให้เราอ่านต่อไวไวน้า ขอแบบหวานๆน่ารักเยอะจะดีมาก อย่าให้เดรโกต้องน่าสงสารเลยน้า เป็นกำลังใจให้ค่ะ จะรอนะค่ะ


โดย: หมูกระต่าย IP: 49.49.42.32 วันที่: 23 กรกฎาคม 2555 เวลา:23:17:35 น.  

 
ชอบๆมากเลยค่ะ
หวานปนเศร้า
จะรออ่านต่อนะคะ


โดย: BB IP: 183.88.249.206 วันที่: 24 กรกฎาคม 2555 เวลา:15:21:27 น.  

 
มาจนได้ ฮ่าๆ
ตอนนี้สนุกดีค่ะ บรรยายได้ดีนะ มั่นใจๆ
ขอให้โชคดีในการสอบนะคะ


โดย: Alice IP: 58.8.39.160 วันที่: 24 กรกฎาคม 2555 เวลา:22:58:08 น.  

 

คุณ ดำ กับคุณเขียว น่ารักดีนะ มันอ่านแล้วอบอุ่นดีนะคะ ก็รู้สึกสับสน รัก และก็เห็นใจ หวาดกลัว แต่คนอ่านลุ้นอยากเดียว ก็แบบ มันจะจบลงที่เตียงไหม ไม่นะมัน ใกล้เกินไปแล้ว แต่สุดท้าย ก็กอดอยางเดียว ไม่เป็นไร พอหอมปากหอมคอ แต่ภาพรวมก็น่ารักนะคะ ส่วนที่ปรับ ก็ไม่มั่นใจนะเพราะหนูไม่ไดเก่งขนาดนั่น แต่ถ้าถามว่า มีความสุขไหม สุขมากกกกก


โดย: failhin123 IP: 180.180.71.33 วันที่: 25 กรกฎาคม 2555 เวลา:10:53:00 น.  

 
สอบเสร็จรีบมาอัพต่อนะค่ะชอบมากสนุกรออ่านอยู่ค่ะ


โดย: ทิพย์ IP: 124.121.186.98 วันที่: 2 สิงหาคม 2555 เวลา:19:11:43 น.  

 
รออ่านนนน


โดย: Alice IP: 58.8.134.159 วันที่: 9 กันยายน 2555 เวลา:11:40:01 น.  

 
อ่านแล้วอบอุ่นมากๆค่า


โดย: Nutthatrp IP: 101.51.86.19 วันที่: 29 มิถุนายน 2558 เวลา:16:27:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.