Group Blog
 
All Blogs
 
เธอคือทาสหัวใจของฉัน: Chapter 26 ข้อมูล PART 1



คุยกันก่อนอ่านนะคะ

พิกได้เข้าไปแก้ไขเนื้อหาในตอนแรก ๆ ของฟิคเรื่องนี้เพื่อให้สอดคล้องกับหนังสือและตอนจบที่พิกวางไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ

สำหรับตอนที่มีการแก้ไข-เปลี่ยนแปลงเนื้อหามี ตอนที่ 1, 5, 19, 20 และ 24 ค่ะ

เนื้อหาที่มีการแก้ไขนั้นจะเป็นตัวหนังสือสีเขียวนะคะ พิกแนะนำให้เพื่อน ๆ กลับไปอ่านเฉพาะส่วนที่มีการแก้ไขนะคะ เพราะจะทำให้เข้าใจฟิคมากขึ้น

สำหรับเนื้อหาหาทั้หมดที่มีการแก้ไขสามารถสรุปรวมได้ดังนี้ค่ะ

***สปอยหนังสือเล่ม 6 และ 7 นะคะ***


1) เหตุการณ์ในฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากจบเล่ม 6 หลังจากที่ดัมเบิลดอร์ตายและสามสหายตั้งใจจะออกไปตามหาฮอครักซ์ตามคำสั่งของดัมเบิลดอร์ค่ะ แต่เฮอร์ไมโอนี่ถูกลูเซียส มัลฟอยจับตัวมาเสียก่อนที่เธอจะได้ไปสมทบกับพวกเพื่อน ๆ ค่ะ

2) ลูเซียสเสกคาถาสะกดใจใส่ภรรยาของตนมาเป็นเวลาหนึ่งปีค่ะ ตั้งแต่เขาแหกคุกออกมาจากอัซคาบันได้ค่ะ

3) เดรโกเป็นผู้เสพความตายก่อนที่จะมาเข้าเรียนที่ปีหกที่ฮอกวอตส์ เขาได้รับภารกิจจากจอมมารให้ฆ่าสังหารดัมเบิลดอร์ และเมื่อเขาทำมันล้มเหลวจอมมารก็เลยไม่ไว้ใจมอบภารกิจใดให้เขาอีกหลังจากนั้นค่ะ

4) พ่อกับแม่ของเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ถูกนายลูเซียสฆ่าตายนะคะ พวกเขาถูกสะกดนิ่ง และก่อนที่นายมัลฟอยจะฆ่าทั้งสองเฮอร์ไมโอนี่ก็กลับมาถึงบ้านเสียก่อน แต่เธอคิดไปเองว่าพ่อแม่ตายแล้วเพราะเธอเห็นพวกเขานอนนิ่งอยู่กับพื้นค่ะ หลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่ถูกจับตัวไปเจ้าหน้าที่ของกระทรวงก็ไปตรวจสอบที่บ้านของเธอและได้ช่วยเหลือพ่อแม่ของเธอรวมทั้งส่งพวกเขาไปอยู่ในที่ปลอดภัยค่ะ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ยังเข้าใจผิดอยู่ดีว่าพ่อแม่ของเธอตายไปแล้ว


ที่จะพูดก็มีเท่านี้แหละค่ะ สุดท้ายของให้อ่านให้สนุกนะคะ ^^




***Chapter 26 ข้อมูล: Information***









หลังจากออกจากห้องนอนของเฮอร์ไมโอนี่มาแล้ว เดรโกก็เดินลงไปที่ห้องอาหารทันที ไม่นานนักเขาก็มาหยุดอยู่ที่ประตูไม้บานหนาซึ่งเป็นทางเข้าห้องอาหาร เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามือของเขาสั่นเทาเมื่อมันเอื้อมไปจับลูกบิดสีทอง ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันมาจากความตื่นเต้นหรือว่าความหวาดกลัวกันแน่ แน่นอนว่าเดรโกรู้ว่าพ่อของเขารวมทั้งสเนปมีข่าวสำคัญจะมาบอกเขา แต่ข่าวที่ว่านั้นจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายเด็กหนุ่มไม่อาจล่วงรู้ได้เลย และทางเดียวที่เขาจะสามารถหาคำตอบได้ก็มีเพียงแค่เพียงเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องอาหารเท่านั้น

และเมื่อคิดได้เช่นนั้นมือที่สั่นเทาของมัลฟอยจึงบิดลูกบิดและผลักประตูบานใหญ่นั้นให้เปิดออกพร้อมกับก้าวเข้าไปในข้างใน

ห้องอาหารของคฤหาสน์มัลฟอยเป็นห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดกว้างขวาง ซึ่งถูกตกแต่งด้วยโทนสีเข้มและประดับไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงอย่างเช่นส่วนที่เหลือของคฤหาสน์ ตรงกลางห้องมีโต๊ะอาหารทรงยาวที่น่าจะจุคนได้ราว ๆ สามสิบคนวางอยู่ รอบ ๆ โต๊ะอาหารนั้นมีเก้าอี้สีเข้มที่ทำจากไม้เนื้อเดียวกับโต๊ะล้อมรอบอยู่ แม้ว่าโต๊ะอาหารนี้จะมีที่ว่างพอสำหรับคนจำนวนมากก็ตาม แต่มีเพียงสองสองร่างเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะนั้น
ลูเซียส มัลฟอย พ่อของเดรโกนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะซึ่งเป็นตำแหน่งของเจ้าของคฤหาสน์ ใบหน้าของนายมัลฟอยดูซีดเซียวท่ามกลางแสงเทียน ถัดจากเขาไปสองที่นั่งทางขวามือ เซเวอร์รัส สเนปกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ที่นั่งเดิมของนางนาร์ซิสซา มัลฟอย ชายผมดำมีท่าทีเคร่งขรึมดังเช่นทุกวัน สองมือของเขาประสานกันและวางอยู่บนโต๊ะ ตรงหน้าของชายทั้งสองมีจานสีเงินที่ใส่อาหารวางอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่ได้แตะต้องอาหารเลยเมื่อเด็กหนุ่มมาถึง

ทันทีที่เดรโกเดินเข้ามาในห้องอาหารนายลูเซียสก็สังเกตุเห็นการมาของลูกชาย เขามองไปทางเด็กหนุ่มพร้อมกับทำท่าทางที่บอกให้เดรโกรีบมานั่งตรงที่ประจำของเขา ซึ่งก็คือที่นั่งแรกทางด้านซ้ายมือของนายลูเซียส และเมื่อเด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้เยื้องกับอดีตอาจารย์สอนวิชาปรุงยาของเขาแล้ว พ่อของเขาก็ถามขึ้น

“แกเป็นยังไงบ้าง” แม้เสียงที่เอ่ยออกมานั้นจะฟังดูเย็นชา แต่เดรโกก็สังเกตุเห็นความเป็นห่วงที่เขาไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานในดวงตาสีเงินของพ่อยามที่มันมองมาที่เขา และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงเลื่อนมือไปกุมบาดแผลโดยอัตโนมัติ แม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดแล้วก็ตาม
และก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ตอบอะไรออกไปสเนปก็ถามขึ้นอีกคน

“แผลของเธอเป็นยังไงบ้าง เดรโก” ชายผมดำถามด้วยน้ำเสียงสุขุม แต่ดวงตาที่มองมาทางเด็กหนุ่มนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวล
“ผมสบายดีครับ ไม่ค่อยเจ็บแผลเท่าไหร่แล้ว” เขาตอบพลางมองหน้าชายทั้งสองที่กำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างเป็นห่วง
“ผมเชื่อว่าพ่อมีธุระสำคัญจะพูดกับผมใช่ไหมครับ” เดรโกหันไปพูดกับนายลูเซียสผู้เป็นบิดา ขณะที่ชายผมบลอนด์ขยับตัวอย่างอึดอัดก่อนที่จะมองไปยังเพื่อนผู้เสพความตายของเขา

“เราได้ข้อมูลบางอย่างที่เธอควรจะรู้มา แต่ก่อนที่เราจะบอกอะไรกับเธอ ฉันอยากจะถามเธอก่อนว่าเธอได้ทานยาตามที่ฉันบอกหรือเปล่า” สเนปพูดขึ้น เด็กหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ
“ผมทานยาตามที่คุณบอก แล้วมันก็ช่วยได้เยอะทีเดียว” เขาเสริมเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาตั้งใจปฏิบัติตามคำแนะนำจริง ๆ แม้จะรู้ดีว่ายาที่สเนปให้เขาทานนั้นจะไม่สามารถยับยั้งการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าของเขาได้ก็ตาม ขณะที่ชายผมดำพยักหน้าอย่างพอใจ

“ดี ฉันกับพ่อของเธอมีข้อมูลบางอย่างที่จะต้องบอกเธอ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเธอจะต้องการฟังมันในตอนนี้เลย หรือว่าเธออยากจะทานอาหารก่อน” คำพูดเรียบ ๆ ของสเนปนั้นแฝงความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเดรโกเอาไว้อย่างแนบเนียน อย่างที่เด็กหนุ่มเองก็สงสัยเหมือนกันว่าพ่อของเขาจะใส่ใจเขาในแบบเดียวที่กับสเนปเป็นหรือเปล่านะ แต่มัลฟอยก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความเอาใจใส่ของพ่อที่มีต่อเขา และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงตอบอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเขาออกไป

“ผมอยากรู้เรื่องทั้งหมดเดี๋ยวนี้เลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวราวกับต้องการจะบอกว่าเขาพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องราวที่ชายทั้งสองต้องการจะบอกเขาแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนั้นสเนปจึงส่งสายตาไปยังนายลูเซียสที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ และเดรโกที่มองตามสายตาของสเนปก็ไปสบเข้ากับดวงตาสีเงินที่มองมาทางเขาอย่างห่วงใยระคนกลัดกลุ้ม

ลูเซียส มัลฟอยถอนใจขึ้นก่อนที่จะเริ่มพูดกับลูกชาย
“อันที่จริงฉันกับเซเวอร์รัสมาถึงคฤหาสน์ได้พักหนึ่งแล้ว ฉันเดินทางไปตามหาเกรย์แบ็กจนพบ และสอบถามข้อมูลบางอย่างจากเขา” นายมัลฟอยเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงที่แปลกแปร่ง ขณะที่เดรโกกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อของเขาพูดออกมา

“และเมื่อฉันได้ข้อมูลมาเพียงพอแล้วฉันก็ไปหาเซเวอร์รัสที่บ้านของเขา เพื่อปรึกษาเรื่องข้อมูลที่ฉันเพิ่งได้มา และอาจจะเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับเราเพราะว่าเซเวอร์รัสเองก็ได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับที่ฉันได้มาจากเกรย์แบ็กมาจากการค้นคว้าในหนังสือ เราปรึกษากันเรื่องข้อมูลที่เราได้รับมา จนในที่สุดเมื่อเราได้ข้อสรุปแล้วฉันก็ชวนเขาเข้ามาที่คฤหาสน์เพื่อบอกเรื่องนี้กับแก” ชายผมบลอนด์พูด ขณะที่หัวใจของเดรโกเริ่มเต้นแรง เด็กหนุ่มถูมือที่ชื้นเหงื่อของเขาเข้าด้วยกันก่อนจะถามออกมา
“แล้วข้อมูลที่ว่านั่นคืออะไรครับ” เขาถามอย่างร้อนรน พลางมองไปที่พ่อของเขา

“เราได้ข้อมูลบางอย่างที่น่าจะเป็นความหวังสำหรับเธอ เดรโก แม้เราจะไม่สามารถรับประกันได้ก็ตามว่ามันจะนำไปสู่การรักษาเธอให้หายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้หรือไม่ แต่ข้อมูลที่เราได้มานี้บอกเราว่ามีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีความรู้ทางด้านเวทย์มนต์พอที่จะรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายได้” สเนปเอ่ยขึ้น ขณะที่หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงด้วยความหวัง และก่อนที่เดรโกจะไม่สามารถห้ามความสงสัยของตัวเองได้และถามคำถามออกไปเป็นครั้งที่สองสเนปก็ตอบสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังสงสัยออกมา

“และคน ๆ นั้นก็คือ เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์” ชายผมดำเอ่ยประโยคนั้นออกมาอย่างราบเรียบ แต่กลับมีร่องรอยความหนักใจอยู่ในน้ำเสียงของเขา ขณะที่เดรโกมีสีหน้าแปลกใจกับคำพูดนั้น
“เขาคือใครกันครับ” เด็กหนุ่มถามออกไปตรง ๆ แน่นอนว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อ ‘เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์’ มาก่อน แต่ในขณะเดียวกันเดรโกก็คิดว่า อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาเขาไม่ตั้งใจเรียนวิชาประวัติศาสตร์เวทย์มนต์เท่าที่ควรก็เป็นได้ มันจึงทำให้เขาไม่รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อแม่มดชาวไอซ์แลนด์คนนี้เท่าไหร่นัก

แต่แล้วความสงสัยของเด็กหนุ่มถูกตอบโดยพ่อของเขาเองในเวลาต่อมา
“ฉันก็ไม่หวังว่าแกจะรู้จักหล่อนหรอก อันที่จริงฉันคงแปลกใจด้วยซ้ำถ้าพ่อมดอายุเท่าแกรู้จักชื่อเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์” นายลูเซียสตอบออกมาเรียบ ๆ แต่ก็ไม่มีแววหงุดหงิดในน้ำเสียงของเขาแต่อย่างใด ชายผมบลอนด์ขยับตัวอย่างอึดอัดบนเก้าอี้ก่อนจะเล่าต่อ

“หล่อนเป็นที่รู้จักทีเดียวในช่วงก่อนที่แกจะเกิด ช่วงที่จอมมารเรืองอำนาจครั้งก่อน แต่หล่อนไม่ได้เป็นผู้เสพความตายหรอกนะ” นายลูเซียสเสริมเมื่อเห็นสีหน้าของลูกชาย

“อันที่จริงหล่อนเป็นแม่มดที่โด่งดังมากเรื่องการปรุงยาและเรื่องคาถา หล่อนสืบเชื้อสายมาจากวีล่าซึ่งทำให้หล่อนรู้เวทย์มนต์เฉพาะของพวกนั้นและสามารถนำมันมาดัดแปลงใช้กับเวทย์มนต์ของพ่อมดปกติได้ หล่อนเป็นแม่มดที่เก่งกาจ เป็นนักปรุงยาชั้นเยี่ยมและหล่อนก็สามารถดัดแปลงเวทย์มนต์รวมทั้งคิดค้นเวทย์มนต์คาถาใหม่ ๆ ได้มากมาย เฟรย่าคนนี้เคยอาศัยอยู่ที่อังกฤษระยะหนึ่ง แต่เพราะความสามารถของหล่อนเองทำให้จอมมารสนใจและต้องการให้หล่อนมาเข้าร่วมเป็นผู้เสพความตาย แต่น่าเสียดายที่หล่อนไม่ฉลาดพอที่จะตอบรับคำเชื้อเชิญของนายท่าน และเมื่อเป็นเช่นนั้นจอมมารจึงสั่งให้เกรย์แบ็กไปทำร้ายสามีของหล่อนซึ่งเป็นพ่อมดอังกฤษเป็นการตอบแทนที่หล่อนปฏิเสธความหวังดีของท่าน” นายลูเซียสเล่า

“เกรย์แบ็กเป็นคนเล่าให้ฉันฟังในเรื่องนี้เอง โชคดีที่เขาจำคืนที่เขาออกไปล่าสามีของเฟรย่าตามคำสั่งของจอมมารได้ เราก็รู้กันดีว่าเกรย์แบ็กไม่ค่อยจดจำเหยื่อของเขาเท่าไหร่ เพราะเหยื่อแต่ละคนที่ถูกเขาจัดการนั้นแทบดูไม่ได้เลยหลังจากที่เขาลงมือแล้ว” นายมัลฟอยมีสีหน้าขยะแขยงคำพูดสุดท้ายของเขาเอง

“ยกเว้นก็แค่คนที่เขาถูกสั่งให้ไปทำร้ายโดยไม่ต้องฆ่าเท่านั้นที่เกรย์แบ็กพอจะจำได้ และจากที่เขาเล่าให้ฉันฟังก็คือ เกรย์แบ็กไม่ได้กัดสามีของเฟรย่าโดยตรงเพราะเขาร่ายคาถาป้องกันตัวได้ทัน เกรย์แบ็กจึงทำได้แค่ข่วนเขาเท่านั้นก่อนที่เขาจะหนีไปได้ และหลังจากนั้นเราก็ได้ข่าวว่าเฟรย่าและสามีของหล่อนหนีไปจากอังกฤษ พวกเขาน่าจะหนีไปที่ไอซ์แลนด์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหล่อน และเมื่อเป็นเช่นนั้นจอมมารก็เลยเลิกสนใจเรื่องของหล่อน เพราะท่านเห็นว่าหล่อนไม่มีค่าพอที่จะให้ท่านส่งลูกสมุนไปจัดการหล่อนถึงไอซ์แลนด์ และการที่เกรย์แบ็กทำร้ายสามีของหล่อน จนทำให้เขาต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่าหลังจากนั้นก็นับเป็นการลงโทษที่สาสมสำหรับพวกเขาแล้ว” นายมัลฟอยเล่าด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ก่อนที่เดรโกจะถามขึ้นมาอีกรอบ

“แล้วสามีของเธอ เขากลายเป็นมนุษย์หมาป่าหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มได้ยินสียงตัวเองถามออกไปเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา และคราวนี้ผู้ที่ตอบคำถามของเขาก็คืออดีตอาจารย์ของเขาเอง เซเวอร์รัส สเนปพูดขึ้นหลังจากนิ่งเงียบมานาน

“ที่เรารู้หลังจากนั้นก็คือ เฟรย่าพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสามีของเธอ เธอทำการทดลองทางเวทย์มนต์คาถาหลายครั้ง เธอทำแม้กระทั่งทดลองใช้เวทย์มนต์มืดเพื่อที่จะหาวิธีรักษาสามีของเธอให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเธอพบวิธีรักษามนุษย์หมาป่าหรือไม่ เพราะหลังจากที่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ไม่กี่ปีสามีของเฟรย่าก็ถูกมือปราบมารสังหาร” สเนปพูด ขณะที่เดรโกบีบแก้วไวน์ในมือแน่นจนข้อนิ้วของเขาขาวโพลน เด็กหนุ่มมองเพื่อนเก่าแก่ของพ่ออย่างประหลาดใจก่อนจะถามขึ้น

“ทำไมล่ะครับ.....” แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจนจบ สเนปก็ตอบขึ้นก่อน

“เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีการคิดค้นน้ำยาระงับหมาป่าขึ้นมาน่ะสิ แล้วเธอก็คงรู้ดีว่ามนุษย์หมาป่าปกติที่ไม่ได้ดื่มยาชนิดนั้นอย่างต่อเนื่องจะกลายร่างเป็นหมาป่าที่ดุร้ายทุก ๆ คืนวันเพ็ญ และพวกมันก็พร้อมจะลงมือฆ่าสังหารทุกคนที่บังเอิญเจอมันเข้า”
คำพูดของชายผมดำทำให้เดรโกนึกไปถึงคืนที่เขาเผชิญหน้ากับมนุษย์หมาป่าในป่าดำและถูกมันทำร้าย แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจำได้ดีว่าสัตว์ประเภทนี้ดุร้ายและน่ากลัวเพียงใด เพราะเพียงแค่นึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ขนบริเวณหลังคอของมัลฟอยก็ลุกชันเสียแล้ว และเด็กหนุ่มก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลังเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าเขาอาจจะต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายแบบนั้นเข้าซักวันหนึ่ง!

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถึงจะมีการค้นพบน้ำยาระงับหมาป่ามาก่อนหน้านั้นก็ตาม แต่สามีของเฟรย่าก็ไม่ได้จัดอยู่ในพวกที่จะสามารถใช้มันได้อยู่ดี เพราะว่าเขากลายเป็นมนุษย์หมาป่าจากการข่วน ซึ่งมันอาจทำให้ร่างกายของเขาไม่ยอมรับน้ำยาระงับหมาป่าแม้ว่าเขาจะมีโอกาสได้ดื่มมันก็ตาม” สเนปเสริมเรียบ ๆ แต่ถ้อยคำนั้นราวกับมีดที่กรีดหัวใจของเดรโก

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มรู้ดีว่าเขาเองก็กำลังจะกลายเป็นมนุษย์หมาป่าเพราะถูกข่วนเช่นเดียวกับสามีของเฟรย่า และเพราะเหตุผลนั้นเองทำให้น้ำยาระงับหมาป่าไม่สามารถทำให้เขาสงบลงได้ และเขาก็จะต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายทุกคืนวันเพ็ญ ซึ่งเดรโกสงสัยเหลือเกินว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหากพ่อของเขาและสเนปไม่สามารถหาหนทางรักษาเขาได้ หรือเขาจะต้องถูกมือปราบมารสังหารเช่นเดียวกับสามีของเฟรย่าอย่างนั้นหรือ

ขณะที่กำลังล่องลอยอยู่ในจินตนาการที่น่าสะพรึงกลัวของตนเองนั้น เสียงของสเนปที่ดังขึ้นก็ปลุกเด็กหนุ่มขึ้นจากภวังค์

“และจากการคาดเดาของฉัน ฉันคิดว่าเฟรย่าคงไม่ใจแข็งพอที่จะขังสามีของเธอไว้ในที่ปลอดภัยและให้เขาจิกข่วนทำร้ายตัวเองตอนที่เขากลายร่างเหมือนที่มนุษย์หมาป่าบางคนทำในสมัยนั้น ตรงกันข้ามเธอกลับปล่อยเขาออกไปข้างนอกในคืนวันเพ็ญ อันที่จริงบริเวณที่เธออาศัยอยู่นั้นเป็นชนบทที่ห่างไกลจากชุมชน แถมละแวกเพื่อนบ้านของเธอก็เป็นชุมชนที่มีแต่พ่อมดแม่มดเสียด้วย ซึ่งพวกเขาก็ไม่โง่พอที่จะออกไปไหนมาไหนในคืนวันเพ็ญ แต่โชคร้าย ในคืนวันเพ็ญคืนหนึ่งมีพ่อมดบังเอิญเดินทางผ่านมายังแถบที่เธออาศัยอยู่ และเจอกับสามีของเฟรย่าในตอนที่เขากลายเป็นมนุษย์หมาป่าเต็มตัวพอดี แน่นอนว่าสามีของเฟรย่าในร่างหมาป่าฆ่าพ่อมดเคราะห์ร้ายคนนั้น และเมื่อชาวบ้านรู้เรื่องพวกเขาจึงแจ้งกระทรวงเวทย์มนต์ของไอซ์แลนด์ให้มาทำการปราบปราม กระทรวงจึงส่งมือปราบมารมาสังหารสามีของเฟรย่าตายในคืนวันเพ็ญหลังจากนั้น โทษฐานที่เขาก่อให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญในชุมชนที่สงบสุขของไอซ์แลนด์” สเนปกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเธอไม่มีโอกาสได้รักษาเขาน่ะสิครับ!” เดรโกท้วงขึ้น รู้สึกถึงความผิดหวังที่พุ่งเข้าอัดร่างของเขาเหมือนลูกบลัดเจอร์ เด็กหนุ่มนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยความหวังมาตลอดว่าแม่มดที่ชื่อเฟรย่าคนนี้จะคิดหาวิธีรักษาสามีของเธอที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายจนหายเป็นปกติ และเธออาจเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาจากชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ได้ แต่สุดท้ายแล้วสเนปกับทำลายความหวังของเด็กหนุ่มที่ชายผมดำเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองด้วยตอนจบที่ไม่น่าพิศมัยของเรื่องนี้

อดีตอาจารย์วิชาปรุงยามองลูกศิษย์ของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจก่อนจะพูดขึ้น

“แต่นั่นก็ไม่ได้บอกว่าเธอไม่ได้ทำการค้นคว้าต่อหลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิตลงไปแล้ว แน่นอนว่าถ้าหากมีการคิดค้นวิธีการรักษามนุษย์หมาป่าขึ้นมาจริง ๆ เราก็คงจะได้รู้เรื่องนี้ไปแล้ว แต่ที่ฉันและพ่อของเธอเห็นว่าข้อมูลนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการรักษาเธอก็เพราะว่า เท่าที่เรารู้มาเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เป็นคนที่มาไกลที่สุดในเส้นทางของการรักษามนุษย์หมาป่า แม้ว่าเธอจะไม่สามารถค้นพบวิธีที่จะช่วยสามีของเธอให้หายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตได้ แต่เราก็แน่ใจว่าในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะมุ่งศึกษาวิธีการรักษามนุษย์หมาป่ามากเท่าเธอ อาจจะมีแค่เดโมคลีสที่เป็นคนค้นพบน้ำยาระงับหมาป่าเท่านั้น แต่เราก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเฟรย่ามีข้อมูลในการรักษาผู้ที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายน้อยไปกว่าเดโมคลีส” สเนปอธิบายอย่างมีเหตุผล แม้ว่าเพื่อนเก่าแก่ของพ่อเขาจะพยายามชี้ให้เด็กหนุ่มเห็นว่าความหวังยังมีอยู่ก็ตาม แต่เดรโกกลับมองไม่เห็นมันเลยแม้แต่น้อย

“ผมเข้าใจที่คุณพยายามจะพูดครับ เพียงแต่.....” มัลฟอยกล่าวพลางหยุดพูดครู่หนึ่งราวกับเขากำลังไตร่ตรองว่าควรจะพูดประโยคต่อไปดีหรือไม่
“ถ้าหากว่าแม่มดที่ชื่อเฟรย่าคนนี้รู้วิธีรักษาคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายจริงล่ะก็ ทำไมเธอถึงไม่ออกมาประกาศเรื่องนี้ล่ะครับ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นข่าวดังและทุกคนก็จะต้องรู้เรื่องนี้อย่างที่คุณว่า แต่เท่าที่เรารู้ในตอนนี้ก็คือ ไม่มีใครที่ในโลกนี้ที่สามารถรักษาการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ และผมก็ไม่คิดว่าเฟรย่าคนนี้จะช่วยอะไรผมได้” เดรโกพูดเรียบ ๆ น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจหรือโกรธเคือง แต่มันกลับระคนไปด้วยความผิดหวัง แต่ก็น่าแปลกยิ่งนักที่เด็กหนุ่มพบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากเท่าที่เขาจินตนาการไว้ ราวกับว่าต่อมรับความรู้สึกของเขาเริ่มหยุดทำงานเสียแล้ว

แต่ในขณะเดียวกันนั้นเดรโกไม่รู้เลยว่าสเนปกำลังมองเขามาจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะด้วยแววประเมิน ดวงตาสีดำของอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาจับจ้องอยู่ที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ และนี่เป็นครั้งแรกที่ชายผมดำพบว่าเดรโกนั้นโตขึ้นมากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเห็น ราวกับเด็กหนุ่มเริ่มมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว

หลังจากพิจารณาลูกชายของเพื่อนรักอยู่ไม่นานนัก สเนปก็ตอบคำถามของเขาออกมา

“ฉันไม่ขอเถียงในสิ่งที่เธอเชื่อ เดรโก และฉันก็ไม่ได้อยากให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับเธอว่าเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์จะช่วยรักษาเธอได้” สเนปพูดอย่างระมัดระวัง

“แต่ถ้าเราลองพิจารณาในอีกมุมหนึ่งซึ่งก็คือ เฟรย่าเป็นหนึ่งแม่มดไม่กี่คนที่หมกมุ่นอยู่กับการทำหาวิธีรักษาคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้าย ใช่แล้ว เธอต้องการหาวิธีรักษาคนที่ถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายเท่านั้น ไม่ใช่คนที่ถูกกัด ซึ่งฉันขอพูดเลยนะว่ามันอาจจะเป็นโชคดีของเราที่สามีของเธอโดนทำร้ายในแบบเดียวกับเธอคือเขาโดนเกรย์แบ็กข่วน อีกอย่างเฟรย่าก็ไม่ได้ต้องการแค่คิดค้นน้ำยาระงับหมาป่าซึ่งช่วยลดความดุร้ายของมนุษย์หมาป่าลงในเวลาที่มันกลายร่างเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจรักษาการเป็นมนุษย์หมาป่าได้ ตรงกันข้ามเธอพยายามค้นคว้าหาวิธีทำให้สามีของเธอหายขาดจากการเป็นมนุษย์หมาป่า ซึ่งมันทำให้การค้นคว้าของเธอเฉพาะเจาะลงมาก และที่สำคัญก็คือมันเฉพาะลงไปในทางเดียวกับที่เราต้องการเสียด้วย” ชายผมดำอธิบาย

“แม้ว่าสามีของเฟรย่าจะเสียชีวิตก่อนที่เธอจะได้มีโอกาสรักษาเขาให้หายก็ตาม แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอพยายามค้นคว้าหาวิธีรักษามนุษย์หมาป่าต่อหรือไม่ เพราะตั้งแต่การตายของสามีเฟรย่าก็แทบจะไม่ออกจากเกาะที่เป็นบ้านเกิดของเธอเลย และเท่าที่ฉันสามารถหาข้อมูลมาได้ก็คือ เธอใช้ชีวิตอยู่กับการทดลองทางด้านเวทย์มนต์คาถารวมทั้งปรุงยานับตั้งแต่นั้นมา และถ้าหากเธอสงสัยว่า หากเฟรย่าค้นพบวิธีรักษามนุษยห์หมาป่าได้จริง ๆ ทำไมเธอถึงไม่ออกไปแถลงข่าวเรื่องนี้ ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะการตายของสามีเธอที่ถูกมือปราบมารสังหาร ซึ่งมันทำให้เธอโกรธแค้นกระทรวงเวทย์มนต์และตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับกระทรวงมานับตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา และในขณะเดียวกันเธอก็แค้นผู้เสพความตายด้วย เพราะหนึ่งในนั้นเป็นคนมอบคำสาปที่โหดร้ายให้กับสามีของเธอ ซึ่งภายหลังเป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องเสียชีวิตลง และเมื่อเธอเคียดแค้นทั้งสองฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ต่อกันแบบนี้ เฟรย่าก็พบว่าไม่อาจมีที่ใดที่เธอสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบได้นอกเสียจากเกาะซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอเอง” สเนปพูดกับเดรโกซึ่งเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นหลังจากเข้าใจเรื่องทั้งหมด

“คุณคิดว่าเฟรย่าค้นพบวิธีรักษามนุษย์หมาป่าแล้วปิดเป็นความลับอย่างนั้นหรือครับ” เด็กหนุ่มถามออกมาตามตรง แต่คราวนี้ผู้ตอบคำถามของเขากลับเป็นนายลูเซียสผู้เป็นบิดาของเดรโกแทน

“เท่าที่เรารู้เฟรย่าคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถเรื่องการบำบัดมาก เพราะหล่อนรู้เวทย์มนต์คาถาโบราณมากมาย รวมทั้งเก่งกาจในเรื่องการปรุงยา แต่หล่อนจะไม่ยอมช่วยใครง่าย ๆ ถ้าหากไม่ได้ของตอบแทนที่น่าพอใจ” นายมัลฟอยกล่าวขึ้นเรียบ ๆ

“เคยมีพ่อมดแม่มดจำนวนมากที่ถูกคำสาปร้ายแรงซึ่งไม่มีทางรักษา ดั้นด้นไปขอความช่วยเหลือจากหล่อนช่วยถึงที่พัก ในเกาะที่หล่อนอาศัยอยู่นั่นแหละ แต่หล่อนจะยอมช่วยพวกนั้นก็ต่อเมื่อพวกเขามีสิ่งตอบแทนที่มีค่าให้หล่อนเท่านั้น และถ้าหากคนเหล่านั้นไม่มีของที่มีค่าพอมาแลกกับความช่วยเหลือล่ะก็ หล่อนก็จะไม่ยอมให้ความช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีอาการสาหัสแค่ไหนก็ตาม”

เดรโกมีสีหน้าแปลกใจในคำพูดของบิดา เพราะคำพูดของนายลูเซียสทำให้เฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ดูเป็นนางมารร้ายเห็นแก่ตัวไปเลยในความคิดของเด็กหนุ่ม และในขณะที่กำลังสงสัยอยู่ว่าเฟรย่าคนนี้จะยอมช่วยเหลือเขาหรือไม่ถ้าหากเขาเดินทางไปถึงเกาะซึ่งเป็นที่พักของเธอบ้าง เดรโกก็ได้ยินเสียงเพื่อนรักของพ่อเอ่ยขึ้นมา

“เท่าที่ฉันเดา การสูญเสียคนรักทำให้เธอมองโลกในแง่ร้ายขึ้นมาก เธอมองว่าพวกมือปราบมารไม่ยุติธรรมที่ไม่ยอมปล่อยสามีของเธอไป ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของเขาเลย เธอถูกปฏิบัติอย่างเฉยชาและโหดร้ายมาก่อน หลังจากนั้นเธอก็เลยเลือกที่จะเฉยชาและโหดร้ายกับคนอื่นบ้าง” สเนปอธิบาย ขณะที่เดรโกพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะพูดออกมา

“ถ้าเธอต้องการแค่ทองล่ะก็ ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นปัญหานะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นจะหันไปมองบิดา ขณะที่นายลูเซียสลูบไม้เท้ารูปงูด้วยท่าทีราวกับกำลังใช้ความคิดก่อนจะพูดขึ้น
“แน่นอนว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องนั้น” ชายผมบลอนด์พูดขึ้น “ถ้าสิ่งที่หล่อนต้องการมีแค่ทองล่ะก็”
เดรโกมีสีหน้างงงวยกับคำพูดของพ่อ และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายมัลฟอยจึงพูดขึ้น

“เท่าที่ฉันรู้เฟรย่าคนนี้ไม่ได้ต้องการแค่ทองเท่านั้น แต่สิ่งของที่หล่อนต้องการเพื่อแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือนอกจากทองแล้วก็ยังมีวัตถุหายากอื่น ๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาของนกฟีนิกซ์ เลือดยูนิคอร์น หรือวัตถุทางศาสตร์มืดที่ประเมินค่าไม่ได้” ลูเซียส มัลฟอยอธิบาย และเมื่อเขาพูดจบสเนปก็เสริมขึ้นทันที

“นอกจากเป็นนักปรุงยาและนักคิดค้นคาถาใหม่ ๆ แล้ว เธอยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ และเป็นก็ผู้ศึกษาศาสตร์มืดอีกด้วย ในบางครั้งสิ่งของทางศาสตร์มืดบางชิ้นสามารถต่อรองเพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากเธอได้ดีกว่าทองแกลเลียนเสียอีก” ชายผมดำกล่าว ขณะที่เดรโกพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะรู้สึกแปลกใจในสิ่งที่เพิ่งรับรู้มาบ้าง แต่เด็กหนุ่มก็แน่ใจว่าการหาสิ่งของที่มีค่าทางศาสตร์มืดมาแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือของเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถของเขาเลย เพราะสำหรับตระกูลมัลฟอยแล้ว สิ่งของที่มีเวทย์มนต์มืดกำกับนั้นเป็นของหาได้ง่ายดายในคฤหาสน์หลังนี้พอ ๆ กับการหาเฟอร์นิเจอร์ดี ๆ สักชิ้นหนึ่ง และเขาก็แน่ใจว่าพ่อของเขาคงยอมช่วยเขาในเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เดรโกสงสัยก็คือ ถ้าหากเขาสามารถหาสิ่งของที่มีค่าพอใจที่จะดึงดูดใจเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ได้แล้วล่ะก็ สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคืออะไรล่ะ

แต่ดูเหมือนว่าอดีตอาจารย์ของเขาจะอ่านสีหน้าของเด็กหนุ่มออก เมื่อสเนปพูดประโยคต่อไปออกมา
“ฉันกับพ่อของเธอได้ปรึกษาเรื่องนี้กันมาก่อนหน้านี้แล้ว และเราก็มีความเห็นตรงกันว่าเธอควรจะต้องเดินทางไปพบเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ด้วยตัวของเธอเอง โดยนำของมีค่าทางศาสตร์มืดบางชิ้นของลูเซียสติดตัวไปด้วยเพื่อแลกกับความช่วยเหลือของหล่อน” เซเวอร์รัส สเนปพูดขึ้นขณะที่เดรโกมองเขาอย่างแปลกใจ

……………………………………………………………


แม้จะแปลกใจในสิ่งที่ได้ยินไม่น้อย แต่เดรโกก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทีอะไรออกไป อันที่จริงเด็กหนุ่มพอเดาออกแล้วว่าทุกอย่างจะต้องเป็นแบบนี้ ตั้งแต่สเนปพยายามจะทำให้เขาเชื่อว่าเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์เป็นเพียงคนเดียวที่น่าจะรู้วิธีรักษาเขาจากการเป็นมนุษย์หมาป่าแล้ว และการเดินทางไปพบเธอก็เป็นทางเดียวที่เดรโกสามารถทำได้เพื่อไม่ให้ตัวเขาเองต้องกลายเป็นนมุษย์หมาป่า

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เด็กหนุ่มกลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีที่ได้รู้ว่าเขาจะต้องเดินทางไกลแบบนี้ และเหตุผลที่ทำให้เดรโกคิดเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่ต้องการทิ้งเฮอร์ไมโอนี่ไว้ตามลำพังที่คฤหาสน์มัลฟอยแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อพ่อของเขากลับมาอยู่ที่บ้านแล้วด้วย

แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์จะได้คิดเป็นห่วงทาสสาวของเขาไปมากกว่านั้นเสียงของนายลูเซียสก็ดังขึ้นก่อน
“ฉันคิดว่าแกควรจะออกเดินทางทันทีในวันพรุ่งนี้ เมอร์ลินก็รู้ว่าเรารอช้าไม่ได้แม้แต่เพียงวันเดียว เพราะ.....” ชายผมบลอนด์กัดริมฝีปากที่ประโยคสุดท้าย ราวกับเพิ่งนึกได้เขาไม่ควรให้คำพูดต่อไปผ่านริมฝีปากของเขาออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเดรโกก็รู้ดีว่าพ่อของเขาหมายความว่าอย่างไร นายลูเซียสกำลังจะบอกว่า วันเพ็ญใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว และเขาก็ไม่สามารถเสียเวลาไปได้แม้แต่เพียงวันเดียว

และเมื่อนายลูเซียสไม่เลือกที่จะพูดอะไรออกมาอีก เด็กหนุ่มที่เข้าใจในสิ่งที่พ่อของเขาคิดเป็นอย่างดีก็พูดขึ้น
“ผมต้องออกเดินทางไปที่ไหน แล้วผมจะต้องทำอย่างไรบ้าง........” เด็กหนุ่มถามก่อนที่จะชะงักที่คำพูดสุดท้าย เขาเกือบจะถามออกไปแล้วว่าจะมีใครไปกับเขาด้วยไหม แต่เพราะเหตุผลบางประการเดรโกก็ดีใจที่เขาห้ามตัวเองได้ทัน แต่ดูเหมือนว่าชายอีกสองคนที่อยู่ที่โต๊ะอาหารนั้นจะไม่สนใจกับกริยาท่าทางของเด็กหนุ่มเมื่อสเนปตอบคำถามของเขาออกมา
“เท่าที่เราได้ข้อมูลมาเฟรย่าอาศัยอยู่ที่เกาะทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ชื่อว่าเกาะกริมซีย์” อดีตอาจารย์วิชาปรุงยาเริ่มพูดอีกครั้ง

“เกาะนั้นมีแต่ประชากรพ่อมดแม่มดอาศัยอยู่เท่านั้น วิธีที่จะไปที่นั่นก็คือเธอต้องไปที่เมืองเล็ก ๆ ริมฝั่งทะเลของไอซ์แลนด์ชื่อเมืองดัลวิกเสียก่อน แล้วค่อยนั่งเรือไปที่เกาะนั้น เกาะกริมซีย์เป็นหนึ่งในอาณาเขตที่สงบสุขที่สุดของไอซ์แลนด์ ที่เกาะนั้นมีการเสกเวทย์มนต์ป้องกันการหายตัวรวมทั้งการใช้กุญแจนำทางไว้ด้วย” ชายผมดำกล่าวขึ้น และเขาก็รีบเสริมขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจะถามอะไรออกมา

“พ่อของเธอจะเป็นคนเสกกุญแจนำทางให้เธอไปที่เมืองดัลวิก แต่หลังจากนั้นเธอก็ต้องเดินทางด้วยตัวเอง” เมื่อสเนปพูดจบเดรโกก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ขณะที่ชายผมดำปรายตามองไปยังเพื่อนเก่าแก่ของเขา พร้อม ๆ กับสายตาของเด็กหนุ่มที่มองตามไปยังพ่อของเขา และเมื่อเป็นเช่นนั้นมัลฟอยผู้พ่อจึงพูดขึ้น

“ฉันจะเตรียมของที่จะต้องใช้สำหรับการเดินทางให้แก” นายลูเซียสเริ่มพูด “แน่นอนว่าเราไม่รู้ว่าเฟรย่าคนนี้จะเรียกร้องอะไรเป็นค่าตอบแทนเพื่อแลกกับความช่วยเหลือของหล่อนบ้าง แล้วก็โชคดีที่ฉันมีสิ่งของศาสตร์มืดที่มีค่ามากอยู่สองสามชิ้นซึ่งฉันคิดว่าหล่อนน่าจะพอใจ แล้วฉันก็จะให้ทองติดตัวแกไปจำนวนหนึ่งด้วย” ชายผมบลอนด์กล่าว และเมื่อเขาเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความสงสัยของลูกชายที่มองมา นายลูเซียสจึงถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ

“ฉันจะให้แกเอาลูกแก้วเตือนภัยไปแลกกับความช่วยเหลือของหล่อน ฉันคิดว่ามันน่าจะทำให้หล่อนยอมช่วยแกได้” เขากล่าวเรียบ ๆ ขณะที่เดรโกมีท่าทีประหลาดใจ
“แต่ลูกแก้วเป็นของที่มีค่ามากนะครับ มันเป็นสมบัติประจำตระกูลของเรา!” เด็กหนุ่มได้ยินตัวเองพูดออกมาแบบนั้น แม้จะรู้ว่าพ่อคงจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือเขาก็ตาม แต่การที่พ่อยอมยกลูกแก้วเตือนภัยซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูล เพื่อแลกกับการรักษาซึ่งก็ไม่ได้รับประกันว่ามันจะทำให้เขาหายจากการเป็นมนุษย์หมาป่าได้นั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตกใจไม่น้อย ราวกับเดรโกไม่คิดมาก่อนว่าพ่อจะยอมทำเพื่อเขาถึงเพียงนี้ เพราะโดยปกติแล้วสิ่งที่ลูเซียส มัลฟอยหวงแหนที่สุดนอกจากสายเลือดบริสุทธิ์และเกียรติยศชื่อเสียงของตระกูลแล้วก็คงจะเป็นสมบัติเก่าแก่ประจำตระกูลนี่แหละ

“เพราะมันเป็นสมบัติประจำตระกูลมัลฟอยน่ะสิ ฉันถึงมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมัน” คำตอบที่ออกมาจากปากของชายผมบลอนด์นั้นเป็นคำตอบแบบมัลฟอยของแท้ ถึงเหตุการณ์จะดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วก็ตามแต่นายลูเซียสก็ยังมีปัญหาในการแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาต่อหน้าคนอื่นแม้กระทั่งลูกชายของตัวเองอยู่ดี

“อีกอย่างตระกูลของเราก็มีลูกแก้วเตือนภัยอยู่หลายอัน ฉันจะยกให้หล่อนซักอันหนึ่งก็คงไม่เป็นไรหรอก” เขาพูดราวกับเขาไม่ใส่ใจในสมบัติที่จะต้องเสียไปแต่อย่างใด ”นอกจากนั้นฉันจะให้สิ่งของศาสตร์มืดกับแกไปอีกสองชิ้น เผื่อว่าหล่อนจะไม่อยากได้ลูกแก้วเตือนภัยขึ้นมา” นายลูเซียสเสริม
“ส่วนแกก็ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกเสียจากเดินทางไปพบเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์และขอให้หล่อนช่วยรักษาแกเท่านั้น” มัลฟอยผู้พ่อแนะ แม้ว่ามันออกจะขัดกับอุดมการณ์ของตระกูลมัลฟอยมากก็ตามในเรื่องการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่สำหรับในสถานการณ์เช่นนี้นั้นพวกเขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเลือกเท่าไหร่นัก

หลังจากชายผมบลอนด์พูดจบก็เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นภายในห้องอาหาร ราวกับว่าร่างทั้งสามร่างที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารนั้นไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรจะพูดอะไรต่อดีหรือไม่ ขณะที่เดรโกมองบิดาของเขาเองสลับกับอดีตอาจารย์สอนวิชาปรุงยาพลางตัดสินใจบางอย่าง และไม่นานหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ถามคำถามที่เขาสงสัยมาตั้งแต่แรกแต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามออกมา

“ในการเดินทางครั้งนี้ ผมต้องเดินทางเองเพียงลำพังใช่ไหมครับ” เดรโกถามออกไป แม้จะรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่ฟังดูราวกับเขาเป็นเด็กที่ไม่กล้าไปซื้อของที่ตรอกไดแอกอนตามลำพังก็ตาม และเมื่อเด็กหนุ่มถามจบนายลูเซียสผู้เป็นพ่อของเขาก็หันมามองลูกชายด้วยสายตาประเมิน ซึ่งในตอนแรกเดรโกคิดว่าพ่อคงจะพูดออกมาอย่างหัวเสียว่า ‘ก็ใช่น่ะสิ เพราะฉันไม่มีเวลาพาแกไปส่งถึงไอซ์แลนด์หรอก!’ แต่เขาก็ต้องแปลกใจไม่น้อยที่พบว่านายมัลฟอยตอบกลับมาเรียบ ๆ ว่า

“มันก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้น ถึงฉันจะเห็นด้วยกับเซเวอร์รัสที่บอกฉันก่อนหน้านี้ว่าแกไม่ควรจะเดินทางไกลตามลำพังแบบนั้นก็เถอะ แต่เราทั้งสองคนก็ไม่ว่างพอที่จะเดินทางไปกับแกด้วย เพราะฉันไม่รู้ว่าจอมมารจะเรียกหาฉันอีกเมื่อไหร่ และฉันก็เดาได้ว่าท่านคงไม่ค่อยพอใจนักเมื่อรู้ว่าฉันทำภารกิจล่าสุดที่ได้รับมอบหมายยังไม่สำเร็จเสียที” ชายผมบลอนด์กล่าวพลางขยับตัวอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะจิบเครื่องดื่มเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เดรโกเข้ามาในห้องอาหาร

มัลฟอยพยักหน้าอย่างเข้าใจในคำพูดของพ่อ เขารู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้พ่อยังทำภารกิจใหม่ที่จอมมารมอบหมายให้ไม่เสร็จก็เพราะเขาต้องเดินทางไปพบเกรย์แบ็กเพื่อสอบถามข้อมูลที่นำมาให้เด็กหนุ่มในวันนี้ และนี่เป็นอีกครั้งในรอบหลายปีที่เดรโกรู้สึกขอบคุณพ่อของเขาจากใจจริง แม้ว่านายลูเซียสจะไม่ได้ทำตัวเป็นพ่อที่ดีก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าพ่อยอมแม้กระทั่งเสี่ยงอันตรายโดยการละทิ้งงานที่จอมมารมอบหมายเพื่อหาทางช่วยเขาจากชะตากรรมที่เลวร้ายนี้ และในตอนนี้เดรโกก็เพิ่งได้รู้ว่าพ่อของเขาสามารถเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องครอบครัวจากอันตรายเหมือนอย่างที่หัวหน้าครอบครัวควรจะทำเหมือนกัน หลังจากที่เขายอมทำร้ายคนในครอบครัวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองมาแล้วก่อนหน้านั้น

ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังอยู่ในภวังค์ความคิดนั้นเสียงของชายผมบลอนด์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ถึงฉันจะเดินทางไปกับแกไม่ได้ก็ตาม แต่ฉันจะสั่งให้เอลฟ์ประจำบ้านเดินทางไปกับแกด้วย ให้มันไปคอยรับใช้แก” นายลูเซียสพูดเรียบ ๆ ขณะที่เดรโกเลื่อนสายตามามองพ่อของเขาอย่างแปลกใจ แม้คำพูดที่พ่อของเด็กหนุ่มพูดออกมาจะเป็นคำพูดที่แสนจะธรรมดาก็ตาม แต่เพราะคำพูดนั้นกลับทำให้เดรโกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ตลอดเวลาที่เดรโกนั่งฟังพ่อและอดีตอาจารย์ของเขาบอกเขาถึงหนทางเพียงทางเดียวที่จะช่วยเขาจากการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้นั้นเดรโกก็กังวลมาโดยตลอด อันที่จริงเขาเริ่มกังวลตั้งแต่เขารู้ว่าเขาจะต้องเดินทางไปพบเฟรย่าแห่งไอซ์แลนด์ถึงต่างประเทศ ซึ่งการเดินทางนั้นอาจจะกินเวลาหลายวัน หรืออาจจะนานเป็นสัปดาห์เลยก็ได้ถ้าหากเธอสามารถช่วยเหลือเขาได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาคงจะต้องใช้เวลารักษาตัวที่ไอซ์แลนด์เป็นเวลาอย่างน้อยก็หลายวันทีเดียว และเมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งเดียวที่เดรโกกังวลนั้นก็ไม่ได้มีแค่การที่แม่มดที่เก่งการทั้งเรื่องคาถาและการปรุงยาคนนี้จะยอมช่วยรักษาเขาหรือไม่ แต่มันกลับเป็นเรื่องของเฮอร์ไมโอนี่ ทาสสาวที่เดรโกหลงรัก

แน่นอนว่ามัลฟอยไม่ต้องการทิ้งเฮอร์ไมโอนี่ไว้ที่คฤหาสน์ตามลำพังขณะที่เขาต้องเดินทางไกลแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พ่อของเขากลับมาอยู่ที่คฤหาสน์แบบนี้แล้วด้วย แม้ว่าเด็กหนุ่มจะพูดกับพ่อชัดเจนแล้วก็ตาม ว่าเขาต้องการเก็บเฮอร์ไมโอนี่ไว้ในฐานะทาสของเขา แต่เดรโกก็อดห่วงไม่ได้ว่ามันอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอในช่วงที่เขาไม่อยู่ เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีกว่าพ่อของเขานั้นรังเกียจเลือดสีโคลนมากพอ ๆ กับที่นายลูเซียสเชื่อลูกชายของเขาอย่างสนิทใจว่าเดรโกต้องการเก็บเด็กสาวไว้เพื่อแก้แค้นเท่านั้น
และในเมื่อมัลฟอยไม่อาจจะทิ้งเฮอร์ไมโอนี่ไว้ที่คฤหาสน์ตามลำพังโดยปราศจากการปกป้องได้ ดังนั้นทางออกสำหรับเด็กหนุ่มจึงมีเพียงทางเดียวเท่านั้นก็คือพาเธอไปกับเขาด้วย ซึ่งดูแล้วมันน่าจะเป็นไปไม่ได้พอ ๆ กับที่พ่อของเขาจะยอมให้เฮอร์ไมโอนี่ขึ้นไปบนห้องนอนของเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่เมื่อพ่อของเขาเอ่ยขึ้นเองว่าเดรโกสามารถเอาเอลฟ์ประจำบ้านไปรับใช้ได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเกิดความคิดว่าเขาน่าจะขอเปลี่ยนจากเอลฟ์เป็นเฮอร์ไมโอนี่แทน เขาอาจจะเกลี้ยกล่อมพ่อให้ยอมปล่อยให้เธอร่วมเดินทางไปกับเขาได้ในฐานะทาสรับใช้ของเขาได้

และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองบิดาของเขาก่อนจะพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า

“ถ้าอย่างนั้นผมขอเอาตัวเกรนเจอร์ไปรับใช้ผมแทนได้ไหมครับ” ทันทีที่เดรโกพูดจบ ดวงตาคมกริบของลูเซียส มัลฟอยก็ตวัดมามองที่ลูกชายของเขาด้วยสายตาราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินทันที!


……………………………………………………………


หลังจากมองลูกชายอย่างแปลกใจอยู่ไม่นานชายผมบลอนด์ก็พูดขึ้น
“อะไรทำให้แกกล้าขอเรื่องแบบนั้นกับฉันกัน” นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวซึ่งบอกว่าเขากำลังไม่พอใจ ดวงตาสีเงินของเขาจ้องมองดวงตาแบบเดียวกันของลูกชายด้วยสายตาประเมิน ขณะที่เด็กหนุ่มจ้องพ่อของเขากลับด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“ผมคิดว่าพ่ออนุญาตให้ผมเอาคนรับใช้เดินทางไปด้วยเสียอีก ผมแค่อยากจะขอเปลี่ยนเป็นเอายายเลือดสีโคลนนั่นไปแทนก็เท่านั้นเองครับ พ่อก็รู้ว่าผมไม่ชอบพวกเอลฟ์ประจำบ้านเท่าไหร่ พวกมันโง่จะตาย” เดรโกพูดพลางทำท่าทีรังเกียจเมื่อเขาพูดถึงเอลฟ์ประจำบ้านเพื่อทำให้พ่อของเขาเชื่อว่าเหตุผลที่เขาต้องการพาเฮอร์ไมโอนี่ไปด้วยนั้นเพื่อให้เธอไปรับใช้เขาจริง ๆ

“แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าการเป็นคนรับใช้ของแกจะต้องอาศัยความฉลาดอะไรนี่ แม้ว่ายายเด็กนั่นจะฉลาดกว่าเอลฟ์ประจำบ้านอยู่บ้างก็เถอะ แต่คำตอบคือไม่ได้ เดรโก” เมื่อพ่อของเขาตอบออกมาหัวใจของเด็กหนุ่มก็ชาวาบด้วยความผิดหวังเพราะคำพูดนั้น และนายลูเซียสก็รีบพูดประโยคต่อไปทันทีเมื่อเขาเห็นว่าลูกชายกำลังจะโต้แย้งอะไรออกมา

“นังเด็กนั่นเป็นเหยื่อล่อของจอมมาร ฉันยอมให้แกเอามันเดินทางไปกับแกไกลขนาดนั้นไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไป อีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าจอมมารจะต้องการใช้มันเมื่อไหร่” เขาพูดอย่างมีเหตุผล ขณะที่เด็กหนุ่มมีท่าทีผิดหวัง มือของเดรโกกำแน่นอย่างกดดันขณะที่เขาพยายามใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อจะหาทางเกลี้ยกล่อมให้พ่อยอมให้เขาพาเฮอร์ไมโอนี่ไปด้วย
แต่ก่อนที่เดรโกจะหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของเขาได้นั้น เซเวอร์รัส สเนปที่เงียบมานานก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมว่า

“มันไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไรในการให้มิสเกรนเจอร์ติดตามไปรับใช้เดรโกนะผมว่า” อดีตอาจารย์วิชาปรุงยาพูดขึ้น ขณะที่เพื่อนเก่าแก่ของเขาหันไปมองชายผมดำอย่างแปลกใจในคำพูดนั้น แต่สเนปยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้ได้เป็นอย่างดีขณะที่เขาพูดประโยคต่อมา

“ผมบังเอิญทราบมาว่าจอมมารจะยังไม่ใช้ยายเด็กนั่นเป็นเหยื่อล่อในเร็ววันนี้ เพราะนายท่านกำลังเดินทางเพื่อออกตามหาไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์อยู่ ซึ่งเราก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าท่านจะกลับมาเมื่อไหร่” เซเวอร์รัสพูด ขณะที่ชายผมบลอนด์มองมาทางเขาด้วยสายตาราวกับต้องการจะบอกว่า ‘ก็เพราะเราไม่รู้น่ะสิว่านายท่านจะกลับมาเมื่อไหร่ เราถึงต้องเตรียมตัวไว้ยังไงล่ะ!’ แต่ดูเหมือนสเนปจะไม่สนใจมันแต่อย่างใดเมื่อเขาเริ่มพูดต่อ

“ถึงแม้ว่านายท่านจะกลับมาจากการเดินทางพร้อมไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์แล้วก็ตาม แต่นายท่านก็เป็นพ่อมดที่ฉลาดพอที่คิดจะวางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับพอตเตอร์ขณะที่เขาเดินเข้ามาติดกับดักที่เราวางไว้ แน่นอนว่านายท่านไม่โง่พอที่จะประกาศออกไปว่าเราจับเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ได้โดยที่ไม่ได้เตรียมการป้องกันอะไรเลย และมันก็ไม่ใช่เพราะว่าท่านสู้พอตเตอร์ไม่ได้ เพียงแต่ท่านต้องการที่จะแน่ใจเท่านั้นว่าพอตเตอร์จะไม่มีชีวิตหนีรอดกลับไปได้อีกเมื่อเขาเดินเข้ามาติดกับดักที่เราวางไว้ ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นผมคิดว่ามันคงจะต้องใข้เวลานานทีเดียว” ชายผมดำอธิบายยืดยาว แต่ยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สุขุม

“แต่มันก็เสี่ยงเกินไปอยู่ดี นังเด็กนั่นอาจจะหนีไประหว่างทางก็ได้” ลูเซียสพูดขึ้น เขาดูไม่พอใจเท่าไหร่นักที่เพื่อนเก่าแก่ของเขาหาเหตุผลมาสนับสนุนให้เดรโกพายายเด็กเลือดสีโคลนที่อยู่ในฐานะทาสเดินทางไปด้วย ส่วนทางด้านเด็กหนุ่มผมบลอนด์นั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมสเนปถึงช่วยพูดกับพ่อแทนเขาแบบนี้ แต่เดรโกก็ไม่มีเวลาสงสัยในเรื่องนี้มากนักเพราะสิ่งแรกที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการหาเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมพ่อเพื่อให้นายลูเซียสยอมให้เด็กหนุ่มพาเฮอร์ไมโอนี่เดินทางไปด้วยเท่านั้น

“ผมว่าเรื่องนั้นน่าจะไม่ใช่ปัญหานะครับ” เดรโกพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีเงินของนายลูเซียสตวัดมามองที่ลูกชายทันที
“พ่อก็รู้ว่าผมทำสัญญาทาสชั่วนิรันดร์กับเกรนเจอร์แล้ว เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่ยายเลือดสีโคลนจะหนีไปได้” เด็กหนุ่มต้องระวังทั้งคำพูดและสีหน้าของเขาเป็นอย่างมากยามเอ่ยถึงทาสสาวของเขา เพราะถ้าหากมีอะไรผิดสังเกตุแม้แต่เพียงนิดเดียวล่ะก็ พ่อของเขาคงต้องรู้แน่ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เขาต้องการให้เฮอร์ไมโอนี่เดินทางไปนั้นคืออะไร และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่มัลฟอยต้องการให้เกิดขึ้น

เมื่อเขาพูดจบ นายลูเซียสผู้เป็นบิดาของเขาก็มองเดรโกด้วยสายตาประเมิน ดวงตาสีเงินคมกริบของชายผมบลอนด์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแบบเดียวกันของลูกชายราวกับเขาต้องการจะวิเคราะห์บุตรชายของตนอยู่ ขณะที่เดรโกจ้องตอบอย่างหนักแน่นโดยไม่หลบตานายลูเซียสเลยแม้แต่น้อย มัลฟอยพ่อลูกจ้องมองกันอยู่นานก่อนที่นายลูเซียสจะตวัดสายตาของเขาไปยังไม้เท้ารูปงูในมือก่อนจะพูดขึ้น

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแกถึงจะต้องดึงดันเอานังเด็กเลือดสีโคลนนั่นไปรับใช้” ชายผมบลอนด์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่เย็นชา ขณะที่เดรโกกลั้นหายใจเพื่อรอฟังประโยคต่อไปที่พ่อของเขากำลังจะพูดมา
“แต่ถ้าหากแกต้องการให้นังเด็กนั่นไปรับใช้แกขนาดนั้นฉันก็จะตามใจแก เดรโก เพราะถึงยังไงมันก็เป็นทาสของแก แต่ฉันขอเตือนแกไว้เลยว่าอย่าให้มันหนีไปได้เป็นอันขาด เพราะว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นล่ะก็ แกก็น่าจะรู้ว่าจอมมารจะลงโทษเราอย่างไรบ้าง อันที่จริงแกไม่น่าจะเดาได้หรอก เพราะบทลงโทษของนายท่านมักจะเลวร้ายเกินกว่าที่เราจินตนาการกันไว้หลายเท่านัก” นายมัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ดวงตาสีเงินของเขาฉายแววหวาดกลัวออกมาเล็กน้อยราวกับเขากำลังนึกถึงบทลงโทษที่จอมมารเคยมอบให้เขาก่อนหน้านี้ แต่ไม่นานนักมันก็เปลี่ยนกลับมาเป็นดวงตาที่ดูเย็นชาตามแบบฉบับมัลฟอยเหมือนเดิม ขณะที่เดรโกที่แทบจะปกปิดความดีใจไว้ไม่อยู่กล่าวขอบคุณพ่อของเขา

และเมื่อตกลงเรื่องที่เดรโกจะพาทาสของเขาเดินทางไปด้วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งนายลูเซียสและสเนปก็ย้ำกับเด็กหนุ่มในเรื่องข้อมูลสำคัญที่เขาจำเป็นจะต้องรู้สำหรับการเดินทางอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อแน่ใจว่าเดรโกได้รับข้อมูลทั้งหมดที่เขาจำเป็นจะต้องรู้แล้วสเนปก็ขอตัวกลับไปที่บ้านของเขาก่อน

“คุณจะไม่อยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันหรือ เซเวอร์รัส” นายมัลฟอยถามเรียบ ๆ พลางมองไปที่อาหารจำนวนมากบนโต๊ะ ถึงแม้ว่าอาหารเหล่านั้นจะถูกเสิร์ฟมาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่พวกมันยังคงอุ่นและดูน่ารับประทานอยู่ ซึ่งก็เป็นเพราะจานสีเงินที่บรรจุพวกมันไว้นั้นเป็นจานเวทย์มนต์ที่ทำให้อาหารอุ่นอยู่ตลอดเวลาเหมือนตอนที่มันเพิ่งถูกเสิร์ฟใหม่ ๆ

“ไม่ล่ะ ลูเซียส ขอบคุณมาก ผมมีเรื่องอีกเยอะที่ต้องจัดการ” ชายผมดำพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะมองไปยังเด็กหนุ่ม “ฉันจะกลับไปปรุงยาให้เธอเพิ่ม เธอจะได้เอามันติดตัวไประหว่างเดินทาง และฉันจะมาหาเธอที่คฤหาสน์ในตอนเช้าวันพรุ่งนี้ แล้วเจอกันดรโก ลูเซียส” เขาพูดกับเดรโกก่อนจะหันไปทางเพื่อนผู้เสพความตายของเขา นายลูเซียสพยักหน้าให้เซเวอร์รัสอย่างมีมารยาทก่อนจะสั่งให้เอลฟ์ตัวหนึ่งพาชายผมดำไปส่งที่เตาผิงเพื่อที่เขาจะได้ใช้ผงฟลูเดินทางกลับ

เมื่อสเนปออกจากห้องไปแล้วก็เหลือเพียงแค่มัลฟอยพ่อลูกในห้องอาหารเท่านั้น เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นภายในห้อง และนายลูเซียสก็เลือกที่จะทำลายความเงียบระหว่างเขาและลูกชายด้วยการถามขึ้นว่า
“ทานอะไรไปรึยัง” เขาถามคำถามที่แสนจะธรรมดาออกไป เดรโกส่ายหน้าก่อนจะตอบออกมา

“ยังครับ”
“งั้นก็ทานเสียสิ” นายลูเซียสพูดก่อนจะหยิบมีดแล้วส้อมขึ้นมาและเริ่มทานอาหาร โดยที่ลูกชายของเขาเริ่มจัดการกับอาหารหลังจากนั้น

ขณะที่ทานอาหารอยู่นั้นเดรโกและพ่อของเขาไม่ได้พูดอะไรกันเลยนอกจากนายลูเซียสจะถามเด็กหนุ่มสองสามคำเกี่ยวกับแม่ของเขาที่ไม่ได้ลงมาทานอาหารด้วยเท่านั้น อันที่จริงนางนาร์ซิสซาไม่ได้มาทานอาหารร่วมกับสามีและลูกของเธอเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว เพราะตั้งแต่เธอถูกนายลูเซียสร่ายคาถาสะกดใจใส่เธอจนเสียสติ พ่อของเดรโกก็สั่งให้เอลฟ์ดูแลนางโดยให้นางอยู่แต่ในห้องนอนและให้เอลฟ์ยกสำรับอาหารขึ้นไปให้นางทานอาหารบนห้องแทน จนถึงตอนนี้เดรโกก็แทบจะจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวของเขาได้ทานอาหารร่วมกันพร้อมหน้านั้นมันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว เพราะเท่าที่รู้เด็กหนุ่มคิดว่ามันน่าจะเป็นตั้งแต่ก่อนที่พ่อของเขาจะถูกจับเข้าอัซคาบันด้วยซ้ำ

มัลฟอยสองพ่อลูกทานอาหารกันไปเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก และหลังจากที่ทานอิ่มแล้วเด็กหนุ่มก็รวบมีดกับส้อม จิบเครื่องดื่มในแก้วเบา ๆ ก่อน จะหันไปพูดกับพ่อของเขา

“ผมอิ่มแล้วครับ พ่อคงไม่ว่าถ้าผมจะขอขึ้นไปพักผ่อนก่อน” เขาพูด ก่อนที่ชายผมลอนด์จะเงยหน้าขึ้นมองลูกชายของตนก่อนจะพยักหน้าให้เขา และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร แต่ก่อนที่เขาจะเดินไปไหนได้ไกลเสียงของนายลูเซียสก็ดังขึ้น

“แกไปเตรียมตัวสำหรับเดินทางให้ดีล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะสั่งให้เอลฟ์ไปปลุกแกแต่เช้า” เขาเตือนเรียบ ๆ แต่เดรโกก็พอจะมองเห็นแววเป็นห่วงในดวงตาสีเงินของพ่อที่มองมาทางเขา และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงพยักหน้าเบา ๆ อย่างเข้าใจก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป



……………………………………………………………





ตอนนี้เป็นอีกตอนที่พิกต้องแบ่งออกเป็น 2 Part เพราะความยาวของตอนนี้นะคะ ^^





Create Date : 19 มิถุนายน 2555
Last Update : 19 มิถุนายน 2555 13:56:02 น. 3 comments
Counter : 2900 Pageviews.

 
หนุกหนานมากค่ะ สมกับที่รอคอย
พี่พิกซี่ฝีมือดีไม่มีตกเลย แพรรี่แวะๆเวียนๆเข้ามาดูบ่อยๆ
เผื่อว่าพี่พิกซี่จะอัพฟิก เย้ๆๆ ในที่สุดก็มาแล้ว
ขอบคุณมากๆนะคร้าาา ^3^


โดย: PearyHermione IP: 202.12.73.1 วันที่: 2 กรกฎาคม 2555 เวลา:0:25:12 น.  

 

อันที่จริง นายก็เป็นพ่อที่เกือบดีเหมือนกันนะ ย้ำว่า เกือบดี!!!
อย่างน้อยก็รักลูกมาก มั้ง นายแค่หยิ่งไปหน่อยเท่านั้นเอง


โดย: failhin123 IP: 182.52.44.90 วันที่: 6 กรกฎาคม 2555 เวลา:21:17:47 น.  

 
เฮอร์ต้องหนีแน่ๆ


โดย: Nutthatrp IP: 101.51.67.91 วันที่: 29 มิถุนายน 2558 เวลา:15:23:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.