Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 13 Severus’ Secrets PART I



ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากขอให้อ่านให้สนุกนะคะ ตอนนี้ยาวเกือบจะเท่า ๆ ตอนก่อนหน้าเลยคือปิดไปที่ 29 หน้าค่ะ ส่วนใครที่อ่านแล้วชอบไม่ชอบ หรือคิดยังไง เอามาแชร์กันได้นะคะ



เมื่อทั้งสองลงมาถึงห้องอาหารเอลฟ์ก็จัดเตรียมอาหารเย็นที่ปราณีตและมีจำนวนมากเกินกว่าที่พวกเขาจะทานหมดไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ทั้งสองเดินมาถึงโต๊ะอาหารนายลูเซียสก็เลื่อนเก้าอี้ให้เฮอร์ไมโอนี่ก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งของเขาตรงหัวโต๊ะและทั้งสองก็เริ่มรับประทานอาหาร

มื้อเย็นของทั้งคู่ผ่านไปอย่างเรียบง่ายและไม่มีบรรยากาศกดดันมากเท่ากับในครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องทานอาหารกับชายผมบลอนด์ ส่วนทางด้านเดรโกซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะลูกเลี้ยงของเฮอร์ไมโอนี่นั้นก็ไม่ได้มาปรากฏตัวที่ห้องอาหารแต่อย่างใด และถึงแม้ว่านายลูเซียสจะดูเคยชินกับความดื้อดึงของลูกชายแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวก็สังเกตุเห็นแววกังวลอยู่ในดวงตาของเขาตอนที่เอลฟ์ตอบคำถามเขาว่าพวกมันไม่เห็นเดรโกกลับมาที่คฤหาสน์เลย

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เฮอร์ไมโอนี่ก็ขอนายลูเซียสไปอ่านหนังสือต่อที่ห้องสมุด โดยหญิงสาวให้เหตุผลกับเขาว่าเธอต้องการไปอ่านหนังสือเรื่องการแปลงร่างขั้นสูงที่เธออ่านทิ้งไว้ในตอนกลางวันให้จบ โดยที่สามีของเธอไม่รู้มาก่อนว่าเธออ่านหนังสือเล่มนี้จบไปไม่ต่ำกว่าสามรอบแล้ว อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาอนุญาตให้เธอไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแต่โดยดี หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเธอได้สัญญากับเขาแล้วว่าเธอจะไม่แอบศึกษาเวทย์มนตร์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก เขาจึงยอมอนุญาตให้เธอเข้าไปใช้ห้องสมุดได้อีกครั้ง แต่เหตุผลที่แท้จริงที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการไปที่ห้องสมุดในครั้งนี้นั้นไม่ใช่เพื่ออ่านหนังสือแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเธอต้องการจะอยู่ห่างจากชายผมบลอนด์บ้างเท่านั้น แม้ว่ามันจะดูเป็นความคิดที่แปลกไปสักนิดเมื่อเขาได้กลายมาเป็นสามีของเธอแล้วก็ตาม รวมทั้งระยะหลังมานี้เขาก็อ่อนโยนและดีกับเธอมากเกินกว่าที่เธอได้คาดหวังไว้ด้วยซ้ำ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกว่าการอยู่กับเขาทั้งวันนั้นมันเป็นสิ่งที่มากเกินไปสำหรับเธอ เพราะวันนี้พวกเขาอยู่ด้วยกันตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว และมันคงจะดีไม่น้อยถ้าหากเธอได้ใช้เวลาอยู่คนเดียวในห้องสมุดบ้าง

หลังจากมาถึงห้องสมุดเฮอร์ไมโอนี่ก็เรียกหนังสือที่เธอต้องการอ่านออกมา ถึงแม้ว่าเธอจะเพิ่งได้ค้นพบว่าคฤหาสน์มัลฟอยนั้นตระการตาเพียงใดก็ตามหลังจากการเดินชมคฤหาสน์ในวันนี้ แต่สิ่งที่หญิงสาวชอบมากที่สุดในคฤหาสน์แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นห้องสมุดของตระกูลมัลฟอยที่เธอกำลังยืนอยู่นี้เอง เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ตื่นเต้นได้มากที่สุดนอกจากการได้เรียนรู้คาถาใหม่ ๆ แล้วก็เห็นจะเป็นการอ่านหนังสือที่น่าสนใจนี่แหละ

หญิงสาวไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์ของการอ่านหนังสือมานานแค่ไหนแล้ว แต่เธอกลับแทบไม่รู้สึกตัวเลยเมื่อเสียงเปิดประตูห้องสมุดดังขึ้นขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือศาสตร์แห่งการปรุงยาขั้นสูงอยู่ จนเมื่อเธอรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ร่างใหญ่ของนายลูเซียสเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ ร่างของเธอที่กำลังอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ก่อนที่มือใหญ่ของเขาจะค่อย ๆ เลื่อนมาหยิบหนังสือเล่มหนาออกจากมือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา

เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองร่างตรงหน้าซึ่งอยู่ในชุดคลุมสำหรับนอนอย่างแปลกใจ ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกไปนายลูเซียสก็วางหนังสือเล่มดังกล่าวลงบนโต๊ะเขียนหนังสือข้าง ๆ ก่อนจะพูดขึ้น

“ฉันว่ามันได้เวลาเข้านอนแล้วนะ” เขาพูดพลางปรายตาไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องซึ่งบอกเวลาห้าทุ่มเศษ ๆ ขณะที่หญิงสาวรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่พบว่าเธอได้อ่านหนังสือมานานถึงสามชั่วโมงแล้ว และเมื่อเธอหันกลับมาทางสามีของเธอ เธอก็พบว่าร่างใหญ่ตรงหน้านั้นยื่นมือมาให้เธอจั

“ขอบคุณที่มาบอกนะคะ ลูเซียส แต่ฉันอยากอ่านหนังสือต่อสักหน่อย” เธอตอบออกไปอย่างสุภาพ “คุณนอนไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะตามเข้าไปเอง” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางทำท่าจะลุกขึ้นไปหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ มาอ่านต่อ แต่ชายผมบลอนด์กลับไม่ยอมปล่อยให้เธอทำเช่นนั้นเมื่อเขาก้าวเข้ามาขวางหญิงสาวไว้ก่อนจะพูดขึ้น

“ฉันว่าเวลาสามชั่วโมงสำหรับอ่านหนังสือน่าจะพอสำหรับวันนี้แล้วนะที่รัก ฉันมาที่นี่เพื่อรับเธอไปเข้านอน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่มันกลับแฝงไว้ด้วยการบังคับกลาย ๆ แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ยังพยายามที่จะดื้อดึงต่อไป

“แต่....” หญิงสาวไม่ทันที่จะพูดจบนายลูเซียสก็ออกแรงอุ้มร่างบางของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน เธอหวีดร้องเบา ๆ

“ปล่อยฉันลงนะคะ!” เธอร้อง แต่ชายผมบลอนด์กลับส่ายหน้า

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันมาตามเธอไปเข้านอน และฉันจะไม่ยอมปล่อยเธอลงจนกว่าจะถึงห้องนอนด้วย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ก่อนจะอุ้มเธอเดินออกจากห้องสมุดไปโดยที่หญิงสาวไม่สามารถขัดขืนได้เลย

และนายลูเซียสก็ทำตามที่เขาได้พูดไว้อย่างเคร่งครัดเสียด้วยเมื่อเขาอุ้มเฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากห้องสมุดไปยังห้องนอนของทั้งสองที่อยู่ที่ชั้นสองของคฤหาสน์โดยไม่ยอมปล่อยเธอลงตามที่เขาเคยได้พูดไว้จริง ๆ ขณะที่ทางหญิงสาวนั้นรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอายเมื่อทั้งสองเดินผ่านระเบียงทางเดินของคฤหาสน์ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบจากรูปภาพทั้งหลายที่ต่างชี้ไม้ชี้มือมาที่ทั้งสองและหันไปกระซิบกระซาบถ้อยคำบางอย่างที่เธอไม่อาจจับใจความได้ แต่ดูเหมือนว่าสามีของเธอจะไม่ยี่หระกับท่าทีของรูปภาพเหล่านั้นเลยจนกระทั่งทั้งสองมาถึงห้องนอน

แม้ว่าจะใช้ห้องนอนร่วมกับชายตรงหน้ามาถึงสองคืนแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจทำตัวให้รู้สึกผ่อนคลายเมื่อต้องอยู่ในห้องนอนกับเขาสองต่อสองในเวลากลางคืนแบบนี้ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามีของเธออุ้มเธอไปวางลงที่เตียง และเมื่อหญิงสาวได้สบดวงตาสีเงินของเขาที่มองมาทางเธอแล้วเธอก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเธอต่อไปนั้นไม่ใช่เพียงการนอนหลับเท่านั้น

หลังจากวางเฮอร์ไมโอนี่ลงบนเตียงแล้วนายลูเซียสก็นั่งลงข้าง ๆ เธอ ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธออย่างมีความหมาย

“เธอเหนื่อยไหมวันนี้” แม้ว่ามันเป็นคำถามที่เรียบง่ายและธรรมดามากที่สุดก็ตาม แต่มันกลับฟังดูไม่ธรรมดาเลยเมื่อมันออกมาจากปากของลูเซียส มัลฟอย โดยเฉพาะเมื่อเขาเลื่อนมือข้างหนึ่งมาแนบอยู่ที่ข้างแก้มของเฮอร์ไมโอนี่ ขณะที่หญิงสาวเอ่ยปากตอบเขาออกมา

“นิดหน่อยค่ะ คุณล่ะคะ” เธอถามกลับ นายลูเซียสส่ายหน้าน้อย ๆ
“ไม่เท่าไหร่หรอก” เขาตอบอย่างไม่ยี่หระ

“ถ้าเกิดคุณง่วง ฉันว่าเราน่าจะเข้านอนกั......” ไม่ทันที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดประโยคนั้นของเธอจบดี ชายผมบลอนด์ก็ขัดขึ้นก่อน

“ฉันยังไม่ง่วงเท่าไหร่หรอก อันที่จริงฉันอยากทำบางอย่างก่อน.....” เขาพูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มลงมาจูบหญิงสาวที่ริมฝีปาก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนการกระทำของร่างตรงหน้าแต่อย่างใด แม้หญิงสาวจะพร่ำบอกตัวเองว่าเหตุผลที่เธอไม่ได้ขัดขืนการกระทำของสามีนั้นเป็นเพราะเธอไม่สามารถขัดขืนเขาได้ รวมทั้งการทำเช่นนั้นอาจจะเป็นการนำความเดือดร้อนมาสู่เธอก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่าเธอลึก ๆ แล้วเธอก็พอใจในสัมผัสที่สามีของเธอมอบให้ ขณะที่เขาจูบเธอที่ริมฝีปากอย่างอ่อนโยนก่อนจะเปลี่ยนเป็นหนักแน่น ทั้งคู่แลกจูบที่หอมหวานกันอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งนายลูเซียสเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมาเพราะเขาต้องการอากาศหายใจ และสิ่งที่เขาได้เห็นต่อมาก็คือดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววเว้าวอนของภรรยา ซึ่งทำให้ริมฝีปากของชายผมบลอนด์ยกสูงขึ้นทันทีที่เขาเห็นเช่นนั้นก่อนที่เขาจะรั้งร่างบางของหญิงสาวลงบนเตียงพร้อมกับดับไฟในห้องนอนลง

ท่ามกลางความมืดซึ่งมีแค่แสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างนั้น สิ่งเดียวที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เห็นภายในห้องซึ่งไม่ได้มีสีเทาและดำก็คือดวงตาสีเงินที่ลุกโชนด้วยไฟปรารถนาของนายลูเซียสยามที่เขาเข้ามาโอบกอดเธอไว้ และแน่นอนว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอจะได้เห็นตลอดทั้งค่ำคืนนี้


…………………………………………….


ท่ามกลางความมืดยามราตรีภายในห้องนอนที่กว้างใหญ่ราวกับห้องบรรทม ร่างสองร่างกำลังตระกองกอดกันอยู่บนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ ร่างหนึ่งในนั้นคือลูเซียส มัลฟอย ผู้เสพความตายมือขวาของเจ้าแห่งศาสตร์มืด และร่างที่เขากำลังโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนของเขาตอนนี้ก็คือเฮอร์ไมโอนี่ มัลฟอย ภรรยาคนใหม่ของเขาซึ่งเธอมีฐานะเป็นทายาทแห่งเรเวนคลอและเจ้าหญิงแห่งความมืดด้วย

นายลูเซียสกำลังกอดร่างเล็กของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน มือหนึ่งของเขากำลังลูบผมของเธอเล่นอย่างเบามือ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งกำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขานั้นรู้สึกแปลกใจที่สามีของเธอยังไม่ยอมเข้านอนเสียทีจนกระทั่งเขาพูดขึ้น

“วันพรุ่งนี้ฉันต้องออกไปข้างนอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ แม้ว่ามันจะแฝงไว้ซึ่งความอ่อนเพลียก็ตามแต่เมื่อเธอได้สบดวงตาสีเงินของเขาแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ในทันทีว่าเรื่องที่เขากำลังจะพูดกับเธอนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยทีเดียว

“พรุ่งนี้มีการประชุมของผู้เสพความตายทั้งหมด จอมมารต้องการประชุมกับพวกเราในเรื่องแผนการต่อไปก่อนที่จะเริ่มสงคราม” เขาอธิบายด้วยท่าทีที่ธรรมดาราวกับว่าทั้งสองกำลังพูดคุยว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะทำกิจกรรมอะไรกันดี ขณะที่หญิงสาวรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของร่างตรงหน้า

“พรุ่งนี้เธอจะต้องไปร่วมประชุมกับพวกเราด้วย จอมมารต้องการความคิดเห็นของเธอในการวางแผนในขั้นต่อไป” นายลูเซียสพูดเรียบ ๆ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างอย่างตกใจ

“อะไรนะคะ!” เธอถามขึ้น ขณะที่ชายผมบลอนด์ยิ้มกับท่าทีของเธอ

“เธอไม่เห็นจะต้องแปลกใจขนาดนั้นนี่นา ที่รัก ในเมื่อตอนนี้เธออยู่ในฐานะเจ้าหญิงแห่งความมืดที่เป็นผู้กุมชะตากรรมของสงครามครั้งต่อไปนี้แล้ว แล้วทำไมนายท่านจะไม่ต้องการให้เธอมีส่วนร่วมในการวางแผนครั้งนี้ล่ะ” เขาพูดพลางมองเธอด้วยสายตาแบบเดียวที่ผู้เสพความตายคนอื่น ๆ ใช้มองเธอในวันแต่งงาน คือสายตาที่ทำให้เธอรู้สึกราวกับเธอเป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับใช้ในสงครามเท่านั้น และแม้ว่าคำพูดที่เขาใช้พูดออกมานั้นจะฟังดูเอาอกเอาใจและชื่นชมเธอ แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่านายลูเซียสมีจุดประสงค์ใดแอบแฝงอยู่ในคำพูดหวานหูนั้น

“ฉัน………” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมาได้เพียงแค่นั้น ดวงตาสีน้ำตาลของเธอแลดูสับสน แต่ถึงแม้สามีของเธอจะไม่เห็นสิ่งที่แสดงออกมาในดวงตาของเธอก็ตาม ชายผมบลอนด์ก็สามารถจับความรู้สึกของหญิงสาวจากน้ำเสียงของเธอได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงกระชับร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดของเขาให้แน่นขึ้นก่อนจะพูดว่า

“ไม่ต้องห่วงหรอกที่รัก มันไม่มีอะไรน่ากลัวซักนิด ฉันเชื่อว่าเธอทำได้” เขาพูดพร้อมกับจูบเธอที่ริมฝีปากเบา ๆ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยังคงนิ่งเงียบ เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือทำอะไรออกไปดีในตอนนี้จนกระทั่งเมื่อรู้สึกว่าร่างใหญ่ข้าง ๆ เริ่มขยับตัวและดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงหน้าอกเพื่อเตรียมเข้านอน ขณะที่กำลังมองสามีของเธอหลับตาลงเพื่อเข้านอนอยู่นั้น หญิงสาวก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอเจ็บปวดอย่างน่าประหลาดพร้อมกับที่รู้สึกถึงน้ำตาอุ่น ๆ ที่คลอเอ่อดวงตาของเธอ เมื่อเธอค้นพบความจริงว่าเหตุผลที่ชายผมบลอนด์ทำดีกับเธอมาตลอดทั้งวันนี้นั้นเป็นเพราะเขาต้องการเกลี้ยกล่อมให้เธอไปเข้าร่วมประชุมของผู้เสพความตายในวันพรุ่งนี้ ที่เขาอ่อนโยนและดีกับเธอจนน่าแปลกใจนั้นเป็นการกระทำที่มีจุดประสงค์เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เธอทำตามที่เขาต้องการเท่านั้น แต่ที่ร้ายปกว่านั้นก็คือการที่เธอรู้สึกดีในสิ่งที่นายลูเซียสทำให้เธอ รวมทั้งเธอหลงเชื่อไปอย่างสนิทใจเลยว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงแต่อย่างใด

แต่ถึงอย่างนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่สามารถทำอะไรในเรื่องนี้ได้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าชายตรงหน้าต้องการควบคุมชีวิตเธอให้ไปในทางที่เขาต้องการมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้เลยแม้แต่น้อย รวมทั้งเธอไม่อาจหาหนทางใดมาขัดขืนเขาได้เลย และในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธอทำได้คือเธอต้องระมัดระวังตัวเองไม่ให้ไปหลงเชื่อคำพูดหวานหูและการกระทำเอาอกเอาใจของเขาอีกเป็นครั้งที่สอง!

และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงผละออกจากอ้อมกอดของชายผมบลอนด์ แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่ยากเอาการอยู่ก็ตามเมื่อวงแขนแข็งแรงของเขากำลังโอบกอดเธออยู่อย่างแน่นหนา แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ออกแรงอยู่ครู่หนึ่งก็ดูเหมือนการกระทำของเธอจะสามารถทำให้สามีของเธอตื่นขึ้นจากหลับใหลได้เมื่อเขาคลายวงแขนที่โอบกอดร่างของภรรยาออกเล็กน้อยจนพอจะทำให้เธอสามารถพลิกตัวเพื่อหันไปอีกทางหนึ่งได้

นายลูเซียสมองดูร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ที่เปลี่ยนไปนอนตะแคงและหันหลังให้เขาราวกับเธอไม่ต้องการจะมองหน้าเขายามหลับอีกต่อไปพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แน่นอนว่าชายผมบลอนด์ล่วงรู้สิ่งที่ภรรยาของเขาคิดในตอนนี้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องพึ่งอำนาจของการสะกดใจแต่อย่างใด แม้จะรู้ดีว่าร่างเล็กตรงหน้าไม่พอใจเขามากก็ตามแต่นายลูเซียสก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรออกไป ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกพอใจไม่น้อยที่แผนการของเขาดำเนินไปได้อย่างค่อนข้างดี และเขาก็คิดว่ามันไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่เขาจะต้องไปงอนง้อหญิงสาวตรงหน้าในเมื่อไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ไม่อาจขัดขืนในสิ่งที่เขาต้องการได้อยู่ดี แถมเขายังมีวิธีอีกมากมายที่สามารถบีบบังคับเธอให้ทำตามที่เขาต้องการได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามชายผมบลอนด์ก็เลือกที่จะใช้ไม้อ่อนก่อนไม้แข็งเสมอ เพราะสำหรับเขาแล้วเขาเชื่อว่าการใช้กำลังนั้นไม่จำเป็นแต่อย่างใดถ้าหากสามารถนำการเจรจาดี ๆ มาใช้แทนได้โดยที่มันให้ผลที่เท่าเทียมกัน แต่แน่นอนว่าเขาจะใช้วิธีการเจรจากับคนที่คู่ควรจะเจรจาด้วยเท่านั้น

และเมื่อเห็นว่าร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมาหาเขาแต่อย่างใด นายลูเซียสจึงเลื่อนมือไปโอบกอดร่างบางจากทางด้านหลังก่อนจะรั้งร่างเล็กนั้นให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาจนแผ่นหลังของเธอสัมผัสเข้ากับแผ่นอกของเขา นายลูเซียสยิ้มมุมปากเล็กน้อยพร้อมกับโอบกอดหญิงสาวแน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าเริ่มดิ้นรนเพื่อหลีกหนีจากอ้อมแขนของเขา แต่เมื่อความพยายามของเธอไม่ประสบผลสำเร็จเฮอร์ไมโอนี่ก็เลิกดิ้นรนและยอมให้เขากอดแต่โดยดี และเมื่อเป็นเช่นนั้นสามีของเธอจึงก้มลงไปกระซิบเข้าที่ใบหูของหญิงสาวว่า

“ราตรีสวัสดิ์ ที่รัก” เขาพูดก่อนพลางจูบผมของหญิงสาวเบา ๆ ก่อนจะจมดิ่งเข้าสูงห้วงนิทราขณะที่กอดร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ไว้แน่น


…………………………………………….


แสงทองยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์มัลฟอยเข้ามาก่อนจะตกกระทบลงที่เตียงนอนขนาดใหญ่โตราวกับแท่นบรรทม บนเตียงนอนนั้นเองมีร่างบางของหญิงสาวผมสีน้ำตาลกำลังนอนหลับอยู่ เธอกระพริบตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อแสงแดดยามเช้าส่องกระทบหน้าต่างมาเข้าตาเธอ
เฮอร์ไมโอนี่ตื่นขึ้นพร้อมกับพบว่าบนเตียงนอนของเธอนั้นว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของนายลูเซียสแต่อย่างใด และหลังจากค้นพบว่าสามีของเธอไม่ได้นอนอยู่บนเตียงกับเธอแล้ว หญิงสาวจึงมองไปที่นาฬิกาตั้งพื้นที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องโดยอัติโนมัติซึ่งมันบอกเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ก่อนจะเลื่อนมือของเธอไปสัมผัสที่นอนที่เป็นรอยบุ๋มอยู่ข้าง ๆ และเธอก็พบว่าร่างที่นอนอยู่เคียงข้างเธอนั้นเพิ่งลุกไปจากเตียงได้ไม่นานนัก และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบหาเสื้อคลุมมาสวมใส่เพราะเธอกลัวว่าชายผมบลอนด์จะกลับเข้ามาในห้องเข้าในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

แต่หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ยังไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของสามีของเธอ และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงลองเดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งต้องผ่านห้องแต่งตัวไปก่อน และเมื่อเธอทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็พบนายลูเซียสที่แต่งตัวเต็มยศกำลังยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าโดยที่เขากำลังหยิบเสื้อคลุมชุดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ชุดสำหรับผู้ชายออกมาจากตู้

“อรุณสวัสดิ์ ฉันกำลังจะไปปลุกเธออยู่พอดีเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรออกไปเพราะเธอกำลังสนใจชุดที่อยู่ในมือชายผมบลอนด์อยู่ และดูเหมือนว่าสามีของเธอจะอ่านสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของภรรยาออก นายลูเซียสยิ้มมุมปากน้อย ๆ กับท่าทีอยากรู้อยากเห็นของหญิงสาวก่อนจะพูดขึ้น

“นี่เป็นชุดที่เธอจะต้องใส่ในวันนี้” เขาพูดพลางยกชุดในมือขึ้นให้เธอดู แน่นอนว่ามันเป็นชุดคลุมสำหรับแม่มดที่ทำมาจากผ้าเนื้อดีและถูกตัดเย็บอย่างปราณีต เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกไม่ชอบมันเลยแม้แต่น้อยก็เพราะมันเป็นสีเขียวเข้มทั้งตัว แถมรูปทรงของมันนั้นยังเหมือนชุดแบบที่เบลลาทริกซ์ เลสแตรงค์ใส่มากอีกด้วย

และก่อนที่จะทันได้คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน หญิงสาวก็พูดออกไป
“แล้วถ้าฉันปฏิเสธจะใส่มันล่ะคะ” เธอพูดขณะที่พยายามปั้นน้ำเสียงและสีหน้าให้ดูเรียบเฉยมากที่สุด แต่นายลูเซียสกลับยิ้มมุมปากในเชิงขบขันกับคำพูดของเฮอร์ไมโอนี่

“ถ้าเธอไม่ต้องการจะใส่ชุดนี้ก็ได้ แต่ฉันคิดว่าเธอคงไม่อยากไปปรากฏตัวต่อหน้าที่ประชุมในชุดคลุมอาบน้ำแบบนี้หรอกนะ” เขาพูดพลางมองสำรวจเรือนร่างที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมอาบน้ำที่ทำจากผ้าเนื้อบางเบาของหญิงสาวอย่างไม่เกรงใจ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวราวกับถูกแดดเผาเพราะสายตาของชายผมบลอนด์อยู่นั้นสามีของเธอก็พูดต่อ

“เธอจะใส่ชุดนี้ไปประชุมในวันนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็จะให้เธอใส่ชุดคลุมอาบน้ำนี่ไป ฉันคิดว่าเธอน่าจะเลือกได้ไม่ยากหรอกนะ ที่รัก” เขาพูดอย่างเป็นต่อก่อนที่จะส่งชุดในมือให้หญิงสาวตรงหน้า ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ต้องจำใจรับมันมาอย่างเสียไม่ได้

และเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาวแล้วนายลูเซียสก็พูดต่อ

“นี่ก็สายแล้ว แต่งตัวเสีย ฉันจะลงไปรอเธอที่ห้องอาหาร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมขณะที่ดวงตาสีเงินของเขามองสำรวจท่าทีของหญิงสาวอย่างประเมินอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้โต้เถียงอะไรออกมานายลูเซียสก็เดินออกจากห้องไป

แต่ก่อนที่เขาจะก้าวผ่านประตูของห้องแต่งตัวออกไป เสียงของเฮอร์ไมโอนี่ที่ดังขึ้นทำให้ชายผมบลอนด์ต้องหันกลับมามองเธออีกครั้ง

“คุณบังคับฉันไม่ได้ทุกเรื่องหรอก” หญิงสาวหันหน้ามาพูดกับเขาอย่างไม่เกรงกลัว แต่นายลูเซียสก็ดูออกว่าทั้งหมดนั้นเป็นแค่การที่เธอพยายามแสร้งทำเป็นเข้มแข็งมากกว่าเมื่อเขายิ้มให้กับคำพูดของภรรยาก่อนจะพูดขึ้น

“ฉันแน่ใจว่าฉันทำได้ อีกอย่างเธอก็คงจะไม่ลืมสัญญาที่เธอให้ไว้กับฉันหรอก จริงไหม” เขาพูดด้วยท่าทีที่เหนือกว่า พลางมองเธอด้วยดวงตาสีเงินคมกล้าของเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่มีท่าทีเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกไปต้องชะงักไปเสียก่อนเพราะร่างใหญ่ของชายผมบลอนด์ได้เดินออกจากห้องไปเสียแล้ว

หญิงสาวจ้องมองแผ่นหลังของสามีที่หายลับออกไปจากห้องด้วยอารมณ์โกรธเคือง น้ำตาใสหยดหนึ่งเอ่อล้นดวงตาสีน้ำตาลที่แสดงออกถึงความอึดอัดใจของเธอ แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่รู้ตัวว่าเธอกำลังร้องไห้เพราะการกระทำของนายลูเซียสอยู่เธอก็รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใช้เวลาไม่นานเพื่อระงับอารมณ์และตั้งสติก่อนจะแขวนเสื้อคลุมสำหรับแม่มดที่สามีของเธอส่งให้ไว้ตรงที่สำหรับแขวนเสื้อและเดินเข้าห้องน้ำไป


…………………………………………….


เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาแต่งตัวไม่นานนัก เธอออกจากห้องนอนเมื่อนาฬิกาบอกเวลาแปดนาฬิกาสิบนาที และเมื่อหญิงสาวเดินเข้าไปในห้องอาหารเธอก็พบว่านายลูเซียสกำลังนั่งอยู่ที่นั่งของเขาตรงหัวโต๊ะตามเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องแปลกใจก็คือเดรโกที่นั่งอยู่ตรงที่ประจำของเขาซึ่งก็คือตรงข้ามที่นั่งของเฮอร์ไมโอนี่

แม้จะแปลกใจกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มที่อยู่ในฐานะลูกเลี้ยงของเธอมากก็ตาม แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะไม่พูดหรือซักถามอะไรออกไป เพราะเธอคิดว่าเดรโกเองก็คงไม่ต้องการจะพูดคุยกับเธอเช่นกัน การทานอาหารมื้อเช้าของทั้งสามนั้นดำเนินไปท่ามกลางความเงียบ ไม่เหมือนดังเช่นครอบครัวปกติ แต่อีกใจหนึ่งหญิงสาวก็คิดว่าสภาพที่เธอกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้นั้นห่างไกลคำว่าปกติมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการที่เธอต้องจำใจแต่งงานกับนายลูเซียสและต้องยอมตกอยู่ใต้อำนาจของเขาเกือบทุกอย่าง รวมถึงเรื่องที่เธอต้องมาเป็นแม่เลี้ยงของเดรโกแล้วด้วย ดังนั้นมันก็คงจะไม่แปลกอะไรในที่การมื้อเช้าของครอบครัวของเธอในตอนนี้จะไม่อบอุ่นเหมือนกับครอบครัวปกติทั่ว ๆ ไป

และเมื่อคิดเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารของเธอต่ออย่างโดยไม่สนใจว่าจะผู้ที่ร่วมโต๊ะอาหารจะเอ่ยปากขึ้นทำลายความเงียบในระหว่างมื้ออาหารหรือไม่ บางทีการไม่พูดคุยกันเลยระหว่างทานอาหารอาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะกับครอบครัวใหม่ของเธอแล้วก็ได้ แต่หญิงสาวคิดผิด เพราะในขณะที่เธอกำลังรวบส้อมกับมีดและเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปากอยู่นั้น นายลูเซียสซึ่งอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัวและนายใหญ่ของบ้านหลังนี้ก็พูดขึ้นหลังจากที่เห็นว่าทั้งภรรยาและลูกชายของเขาทานอาหารอิ่มแล้ว

“ฉันว่าวันนี้เราต้องรีบกันหน่อยนะ ฉันอยากไปถึงที่ศูนย์บัญชาการก่อนเวลาประชุมเสียหน่อย” นายลูเซียสพูดขณะที่มือของเขาเอื้อมไปหยิบไม้เท้าที่อยู่ตรงที่วางไม้เท้าข้าง ๆ ตัวหลังจากสวมถุงมือสีดำที่เขามักจะใส่ตอนที่ออกไปนอกบ้านเสร็จพลางมองไปยังลูกชายและภรรยา และเพราะคำพูดนั้นของชายผมบลอนด์ทำให้เฮอร์ไมโอนี่เข้าใจในทันทีว่า เหตุผลที่เดรโกมาร่วมทานอาหารเช้ากับพ่อของเขาและเธอในวันนี้นั้นเป็นเพราะเขาคงถูกนายลูเซียสบังคับเป็นแน่ เพราะถึงอย่างไรเดรโกก็คงต้องเข้าร่วมการประชุมของผู้เสพความตายด้วยหลังจากนี้ และแน่นอนว่านายลูเซียสคงไม่ต้องการให้ลูกชายของเขาพลาดการประชุมครั้งสำคัญนี้เขาจึงสั่งให้ชายหนุ่มมาทานอาหารเช้าร่วมกับเขาด้วย

“ฉันว่าถ้าเราทานอิ่มแล้วเราก็น่าจะไปกันเลยดีไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ โดยมีเดรโกที่มีหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ข้าง ๆ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาสีหน้าที่เรียบเฉยไว้เมื่อสามีของเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้และส่งมือมาให้เธอจับ

หญิงสาวมองไปยังมือใหญ่ที่สวมถุงมือของชายผมบลอนด์พลางกลืนน้ำลายก่อนที่จะวางมือของเธอลงบนมือใหญ่นั้น เธอได้ยินเดรโกทำเสียงไม่พอใจอยู่ไม่ไกลนักถัดจากเสียงหัวใจที่ดังโครมครามของตัวเธอเองขณะที่เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ แน่นอนว่าสาเหตุที่ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงนั้นไม่ใช่ความตื่นเต้นหรือความเขินอาย แต่เป็นความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เธอไม่ต้องการต่างหาก เพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่ต้องการกลับไปที่ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดนั่นอีกเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการจะอยู่ที่คฤหาสน์มัลฟอยนี้มากพอ ๆ กันก็ตาม แต่ถ้าหากให้เลือกที่จะต้องไปที่ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดที่มีผู้เสพความตายจำนวนมากเข้าออกอยู่ตลอดเวลารวมทั้งมันเป็นที่พักของลอร์ดโวลเดอมอร์อีกด้วย กับการอยู่ที่คฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้ต่อไป หญิงสาวแน่ใจว่าเธอคงเลือกที่จะอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้แทนอย่างแน่นอน

ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่นั้นเสียงของนายลูเซียสก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ฉันคิดว่าได้เวลาแล้วนะ” ชายผมบลอนด์ไม่ได้พูดกับหญิงสาวแต่อย่างใด แต่เขาพูดกับเดรโกผู้เป็นลูกชายพลางทำท่าทางให้ชายหนุ่มเดินออกไปก่อน และเดรโกก็ตอบสนองสิ่งที่พ่อของเขาสั่งด้วยเดินออกไปจากห้องอาหารอย่างฉุนเฉียว แต่นายลูเซียสก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับกริยาของลูกชายออกไป ตรงกันข้ามเขากลับหันมาพูดกับเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ

“ไปกันเถอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่กลับกระชับมือเล็กของเธอเข้าไปแขนของเขาก่อนจะพาเธอเดินออกจากห้องอาหารไป

“เราจะไปกันยังไงคะ” หญิงสาวพูดออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่รวบรวมสติได้และพบว่าลมหายใจของเธอไม่ติดขัดอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าอกของเธอแทบจะระเบิดด้วยความกลัวอยู่ก็ตาม

“เราจะใช้ผงฟลู เธอก็น่าจะรู้นะว่าคฤหาสน์มัลฟอยถูกเสกคาถาป้องกันการหายตัวไว้ รวมทั้งที่ศูนย์บัญชาการด้วย” ชายผมบลอนด์อธิบาย ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ แน่นอนว่าเธอรู้ดีเรื่องที่คฤหาสน์แห่งนี้รวมทั้งศูนย์บัญชาการถูกเสกคาถาป้องกันการหายตัวไว้ เพราะเธอเคยทดลองหายตัวระหว่างที่ถูกจับตัวไว้แล้ว และแน่นอนว่ามันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

“แล้วทำไมเราถึงไม่ใช้เตาผิงในห้องอาหารล่ะคะ” เธอถามขึ้นทันทีเมื่อพบว่านายลูเซียสกำลังพาเธอเดินไปยังห้องโถงของคฤหาสน์ ขณะที่สามีของเธอยิ้มมุมปากด้วยท่าทีกึ่งขบขันกึ่งเอ็นดูกับความอยากรู้อยากเห็นซึ่งกลายเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกในตัวเธอไปเสียแล้วก่อนที่เขาจะตอบออกมา

“เพราะไม่ใช่เตาผิงทุกอันในคฤหาสน์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายผงฟลูน่ะสิ” เขาตอบ แต่หญิงสาวข้างกายของเขายังคงไม่หยุดคำถามของเธอแค่นั้น

“แล้วมีเตาผิงอันไหนบ้างคะที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายผงฟลูน่ะค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นอีกครั้ง และเธอก็เห็นรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้าของชายผมบลอนด์เมื่อเธอเงยหน้ามองเขา แน่นอนว่านายลูเซียสไม่ได้ตอบคำถามของเธอแต่อย่างใด

“คุณตอบฉันไม่ได้เหรอคะ” เธอพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทีนิ่งเฉยของชายตรงหน้า น้ำเสียงของหญิงสาวเจือไว้ด้วยแววผิดหวัง แต่ทั้งเฮอร์ไมโอนี่และสามีของเธอต่างรู้ดีว่าความผิดหวังนั้นไม่ได้มาจากการน้อยอกน้อยใจในตัวของสามีของเธอแต่อย่างใด แต่มันเป็นความผิดหวังที่เธอไม่สามารถล่วงรู้ข้อมูลที่เธอต้องการได้ต่างหาก

และเมื่อได้ยินเช่นนั้นนายลูเซียสจึงพูดขึ้น

“ไม่ใช่ว่าเธอรู้เรื่องนี้ไม่ได้ เพียงแต่ถ้าเรามัวแต่คุยกันอยู่อย่างนี้เราก็จะไปสายกันพอดี มาเถอะ” เขาพูดอย่างมีเหตุผลก่อนจะเร่งฝีเท้าเพื่อพาหญิงสาวเดินไปยังห้องโถงใหญ่

ที่ห้องโถงใหญ่นั้น เดรโกกำลังยืนรอพวกเขาทั้งสองอยู่หน้าเตาผิง ร่างสูงของชายหนุ่มดูคล้ายพ่อของเขาไม่น้อยเมื่อมองจากระยะไกล สองพ่อลูกมัลฟอยนั้นต่างกันแค่ตรงที่เดรโกมีผมสีบลอนด์ตัดสั้นและมีรูปร่างผอมกว่านายลูเซียสเท่านั้น ไม่นานนักนายมัลฟอยก็พาเฮอร์ไมโอนี่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของลูกชาย ดวงตาสีเงินของเดรโกมองแขนของหญิงสาวที่ควงอยู่กับแขนของพ่อเขาอยู่ด้วยสายตารังเกียจ แต่ดูเหมือนว่านายลูเซียสจะทำเป็นไม่สนใจท่าทีของลูกชายเมื่อเขาพูดขึ้น

“แกไปก่อนเลย” เขากล่าว และในวินาทีต่อมาเดรโกก็เดินไปที่เตาผิง ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระถางสีเงินที่แขวนอยู่ข้าง ๆ เตาผิงเพื่อหยิบผงฟลูออกก่อนจะโยนมันเข้าไปในเปลวไฟ และเมื่อเปลวไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตเขาก็ก้าวเข้าไปยืนภายในเตาผิงพร้อมกับพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืด!”

เปลวไฟสีเขียวลุกท่วมร่างของเดรโกก่อนที่เขาจะหายวับไปในพริบตา หลังจากที่เดรโกเดินทางไปแล้วนายลูเซียสก็หันมาหาเฮอร์ไมโอนี่พลางมองสำรวจหญิงสาวอีกครั้ง

“เธอใส่ชุดนี้ขึ้นทีเดียวนะ” เขาพูดอย่างเอาอกเอาใจ แต่แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเขามีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่ในคำพูดของเขา ดังนั้นหญิงสาวจึงหันหน้าไปอีกทางเพื่อหลีกหนีสายตาของเขา และเมื่อทำเช่นนั้นสายตาของเธอก็ไปสะดุดเข้าไปกระถางสีเงินที่เดรโกเพิ่งหยิบผงฟลูขึ้นมาเมื่อครู่ ถ้าหากกระถางนั้นมีผงฟลูอยู่เธอก็สามารถใช้มันเดินทางไปที่อื่นได้น่ะสิ
แต่ดูเหมือนว่านายลูเซียสจะรู้ทันความคิดของภรรยา เพราะหลังจากที่เขามองตามสายตาของเธอไป เขาก็พูดขึ้น

“กระถางนั้นถูกร่ายมนตร์กำกับไว้ ทำให้คนที่หยิบผงฟลูขึ้นมาได้มีแค่ฉันกับเดรโกเท่านั้น” เขาพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะหันไปมองชายตรงหน้าด้วยสีหน้าอับอายระคนโกรธเคือง แต่ก่อนที่หญิงสาวจะมีโอกาสโต้เถียงอะไรออกไปมือใหญ่ของนายลูเซียสก็เลื่อนมากุมข้อมือบางของเธอไว้ก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

“ฉันว่าเราได้เวลาต้องไปแล้วนะที่รัก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย พลางมองร่างเล็กตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ราวกับสายตาที่ราชสีห์ใช้มองลูกกวางที่ไร้ทางสู้ และเพราะสายตานั้นของชายผมบลอนด์เองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจสะบัดแขนของเธอออกจากการเกาะกุมของสามี

“แล้วถ้าฉันปฏิเสธที่จะไปล่ะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง แต่มันกลับไม่ทำให้เธอรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นว่านายลูเซียสกำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาที่น่ากลัว มือใหญ่ของเขาจะเลื่อนมากุมเอวบางของหญิงสาวไว้อย่างแน่นหนา

“เธอก็น่าจะรู้นี่ว่าฉันมีวิธีทำให้เธอไปกับฉันได้อยู่ดี ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะเลือกวิธีไหนเท่านั้น วิธีที่รุนแรง....” เขาพูดพลางรั้งร่างของหญิงสาวเข้ามาใกล้มากขึ้นขณะที่มือหนึ่งเลื่อนไปกุมหน้าของเธอให้กลับมาสบตาของเขาเมื่อเห็นว่าเธอเบือนหน้าหนีไปจากเขา เฮอร์ไมโอนี่ครางเพราะสัมผัสที่รุนแรงของสามี

“หรือว่าวิธีที่อ่อนโยนกัน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มขึ้นหากแต่ยังแฝงไว้ซึ่งความชั่วร้ายเมื่อเขาเลื่อนมือใหญ่ของเขามาสัมผัสแก้มเนียนของร่างตรงหน้าเบา ๆ พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลจนมองเห็นแววแห่งความหวาดกลัวที่ฉายอยู่ในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้า และเมื่อเห็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงตัดสินใจที่จะข่มขู่ภรรยาที่แสนดื้นรั้นของเขาคนนี้ต่ออีกเสียหน่อย

“เธอก็รู้ว่าฉันทำได้แม้กระทั่งสะกดนิ่งเธอและอุ้มเธอไปโยนไว้ในห้องประชุม เธอต้องการจะให้ฉันทำอย่างนั้นไหม เธอต้องการจะให้ผู้เสพความตายคนอื่นเห็นเธอในสภาพที่ถูกสะกดนิ่งและถูกฉันแบกมาอย่างนั้นหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่บอกหญิงสาวว่าเขาสามารถทำอย่างที่พูดได้จริง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กลืนน้ำลาย เธอรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวของสามีที่กระทบอยู่ข้างแก้ม ตรงข้ามกับความรู้สึกเย็นเฉียบของไม้เท้ารูปงูของเขาซึ่งในตอนนี้แนบอยู่บริเวณซอกคอของเธอ และแน่นอนว่านี่เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวพบว่าเธอต้องมาพ่ายแพ้ให้กับชายตรงหน้าอย่างที่ไม่อาจจะทำอะไรได้เลย

“เธอต้องการจะให้ฉันทำอย่างที่พูดไหม หรือว่าเธอจะยอมไปกับฉันดี ๆ ” นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวอีกครั้ง และในครั้งนี้เขารู้ทันทีว่าเขาสามารถเอาชนะหญิงสาวได้อีกหนเมื่อเธอพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น

“ฉันจะไปกับคุณค่ะ แต่ปล่อยฉันก่อนนะคะ” เธอกระซิบขึ้น และเมื่อเห็นแววอ้อนวอนในดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่แล้วนายมัลฟอยก็ยอมปล่อยร่างของเธอออกจากการเกาะกุมแต่โดยดี แต่เขายังคงไม่ยอมให้อิสระภาพกับเธออย่างเต็มที่เมื่อชายผมบลอนด์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวจนกระทั่งริมฝีปากของทั้งสองเกือบจะสัมผัสกัน ก่อนจะกระซิบขึ้น

“ถ้าเธอยอมเชื่อฟังฉันดี ๆ ทุกอย่างก็คงจะง่ายกว่านี้” เขากล่าว ก่อนจะละใบหน้าออกมา ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเขาจะจูบเธออย่างรุนแรงเพื่อตอบแทนการที่เธอดื้อดึงกับเขาเสียแล้ว แต่เธอกลับต้องแปลกใจที่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ตรงกันข้ามเขากลับมายืนตรงอีกครั้งพร้อมกับที่มือใหญ่ของเขาคว้าข้อมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ก่อนจะพูดขึ้น

“ฉันว่าเราต้องไปกันแล้ว เราเสียเวลามามากแล้ว” เขาพูดก่อนจะพาเฮอร์ไมโอนี่เดินไปที่เตาผิงโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงของหญิงสาวเลยขณะที่เขาลากร่างเล็กของเธอไปในทิศทางที่เขาต้องการ นายลูเซียสเอื้อมมือไปหยิบผงฟลู และเมื่อเขาและเฮอร์ไมโอนี่เข้ามายืนในเตาผิงได้เรียบร้อยแล้วชายผมบลอนด์ก็โยนผงฟลูลงบนพื้นพร้อมกับตะโกนก้องขณะที่มือข้างหนึ่งของเขาโอบเอวของหญิงสาวไว้แน่น

“ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืด!” สิ้นเสียงของนายมัลฟอย เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงแรงดูดมหาศาลที่ดูดร่างของเธอและเขาไป!



…………………………………………….



มีต่แ Part II และ Part III นะคะ




Create Date : 09 ตุลาคม 2555
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 19:47:14 น. 0 comments
Counter : 1892 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.