Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 12 Malfoy Manor PART II



ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งทอแสงในยามเช้าส่องแสงขึ้นกระทบน้ำค้างที่ประดับอยู่ตามแมกไม้ในสวนของคฤหาสน์มัลฟอยตามมาด้วยเสียงนกร้อง แต่ดูเหมือนว่าทั้งแสงแดดและเสียงไพเราะของนกเหล่านี้จะไม่สามารถปลุกร่างสองร่างที่อยู่ในห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์ให้ตื่นจากหลับใหลได้

ภายในห้องนอนที่กว้างขวางใหญ่โตและถูกตกแต่งเป็นอย่างดี บนเตียงนอนที่กว้างใหญ่ราวกับแท่นบรรทมร่างสองร่างกำลังตระกองกอดกันอยู่บนเตียง ร่างหนึ่งเป็นร่างของชายวัยกลางคนที่มีผมสีบลอนด์และผิวซีดเผือดซึ่งกำลังนอนหลับอยู่กึ่งกลางของเตียงโดยมีร่างเล็กของหญิงสาวผมสีน้ำตาลอยู่ในอ้อมแขน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะเป็นเวลาเช้าแล้วก็ตามแต่ดูเหมือนร่างทั้งสองยังจะไม่มีท่าทีว่าจะตื่นจากการหลับใหลแต่อย่างใด และแน่นอนว่าร่างทั้งสองที่อยู่บนเตียงนั้นยังคงจะนอนหลับต่อไปจนกระทั่งแสงแดดในยามสายได้ส่องเข้ามากระทบหน้าต่างห้องนอนทำให้แสงนั้นแยงเข้าตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนอนหลับอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงกระพริบตาสู้แสงที่แยงเข้ามาก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และสิ่งแรกที่เธอได้เห็นหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือแผ่นอกแข็งแกร่งของลูเซียส มัลฟอยซึ่งเธอให้มันต่างหมอนหนุนมาตลอดทั้งคืน

เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาพไหนรวมทั้งอยู่ในอ้อมกอดของใครเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบลุกขึ้นจากเตียงในทันที แต่หญิงสาวกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เมื่อเธอพบว่าวงแขนแข็งแรงของนายลูเซียสนั้นโอบกอดเธอไว้อย่างแน่นหนาจนทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ทำให้เขาตื่นได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงหันไปมองทางสามีของเธอที่กำลังนอนหลับอยู่ขณะที่กำลังพยายามยกแขนหนักอึ้งของเขาออกจากร่างของเธอ โดยไม่ได้มีการคาดหวังใด ๆ เอาไว้ล่วงหน้าหญิงสาวกลับพบว่าเธอได้เห็นภาพที่เธอไม่เคยได้เห็นมาก่อนในชีวิตซึ่งก็คือภาพลูเซียส มัลฟอยที่กำลังนอนหลับ และภาพดังกล่าวนั้นก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจจะละสายตาไปจากมันได้เลย

เพราะภาพที่เธอกำลังมองอยู่นั้นคือภาพของนายลูเซียสยามหลับใหล สีหน้าของเขาดูสงบและดูไร้ซึ่งพิษภัยใด ๆ ต่างจากในตอนที่เขาตื่นโดยสิ้นเชิง จนเฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจใบหน้าของเขายามหลับ ผมสีบลอนด์ของเขาแผ่กระจายไปทั่วหมอนและไหล่กว้างของเขาเอง หญิงสาวมองสำรวจร่างตรงหน้าตั้งแต่ดวงตาสีเงินที่ดูเย็นชาซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้หนังตา จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางที่เคยจูบแทบจะทุกส่วนของร่างกายของเธอเรื่อยมาจนถึงแผ่นอกที่แข็งแกร่งของเขาซึ่งโผล่พ้นผ้าห่มออกมา และเพราะเหตุผลบางอย่างที่เธอเองก็ไม่อาจอธิบายได้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อเธอมองร่างเปลือยท่อนบนของชายตรงหน้า ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นร่างกายกึ่งเปลือยของสามีก็ตาม แต่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นร่างกายท่อนบนของเขาอย่างชัดเจนภายใต้แสงสว่างในยามกลางวันแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าชายผมบลอนด์นั้นมีรูปร่างที่ดีมากแม้ว่าอายุของเขาจะล่วงเลยเข้าเลขสี่มาแล้วก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ยังมีร่างกายที่ผู้ชายทุกคนปรารถนาอยากจะมีอยู่ อีกทั้งมันก็เป็นรูปร่างที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาให้คู่รักของพวกเธอมีด้วย และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เต็มใจกับการแต่งงานครั้งนี้รวมทั้งเธอคิดว่าตัวเองไม่มีวันจะมาหลงเสน่ห์ชายตรงหน้าได้ก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในตอนนี้หัวใจของเธอเต้นแรงเพียงเพราะได้เห็นร่างกายเปลือยท่อนบนของเขาแบบนี้
หลังจากเสียเวลาในการพิจารณาร่างกายของนายลูเซียสอยู่พักหนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งรู้สึกตัวก็รีบเสมองไปทางอื่นทันทีก่อนจะพยายามยกแขนของร่างตรงหน้าออกจากร่างกายของเธออีกครั้งเพื่อที่เธอจะได้ลุกไปจากที่นอนก่อนที่เขาจะตื่นได้ แต่หญิงสาวกลับพบว่าตัวเองทำไม่สำเร็จเพราะเมื่อเธอกำลังพยายามจะยกแขนที่หนักราวกับท่อนซุงของเขาออกจากร่างเธอ ชายผมบลอนด์ก็ขยับตัวเล็กน้อย เฮอร์ไมโอนี่จึงต้องหยุดการกระทำของเธอแต่มันก็สายไปเสียแล้วเพราะในวินาทีต่อมาร่างใหญ่ตรงหน้าก็ลืมตาขึ้น

นายลูเซียสลืมตาขึ้นและกระพริบตาสองสามครั้งเพราะแสงที่เจิดจ้าในยามสายซึ่งส่องมาจากหน้าต่าง และเมื่อสายตาของเขาเริ่มปรับเข้ากับแสงสว่างภายในห้องได้แล้ว ชายผมบลอนด์ก็หันมายังหญิงสาวในอ้อมแขนซึ่งตื่นอยู่ก่อนหน้านั้นและกำลังกอบผ้าห่มขึ้นปกปิดร่างกายของเธอจากสายตาของเขาอยู่ซึ่งชายผมบลอนด์ก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อเขาเห็นท่าทีนั้นของเฮอร์ไมโอนี่

“อรุณสวัสดิ์” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและฟังดูง่วงงุน ก่อนจะโน้มร่างเข้ามาจูบเธอที่ริมฝีปากเบา ๆ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่หลับตาลงเมื่อริมฝีปากของสามีแตะเข้ากับริมฝีปากของเธอ หญิงสาวรู้สึกราวกับขนทั้งร่างกายของเธอลุกชันเพียงเพราะสัมผัสนั้นของเขา และเมื่อชายผมบลอนด์ละริมฝีปากของเขาออกมาจากเธอแล้วเขาก็พูดขึ้น

“นี่กี่โมงแล้ว” เขาพูดพลางมองไปยังนาฬิกาแบบลูกตุ้มทรงโบราณที่ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง และเมื่อเขาทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่มองตามสายตาของเขาไปก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเก้าโมง ซึ่งเลยเวลาอาหาเช้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อเธอหันกลับไปมองชายผมบลอนด์ เขากลับไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับล้มตัวลงนอนตามเดิมราวกับว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้ตื่นสายจนเลยเวลาอาหารเช้าแต่อย่างใด และที่สำคัญเขากลับรั้งร้างของหญิงสาวให้ลงมานอนเคียงข้างเขาด้วยขณะที่เธอพูดขึ้น

“เราตื่นสายแล้วนะคะ” เธอท้วงออกมาอย่างตื่น ๆ ราวกับว่าเธอเป็นเด็กนักเรียนที่ตื่นสายจนไปเข้าชั้นเรียนในตอนเช้าไม่ทัน แต่ดูเหมือนสามีของเธอจะไม่ยี่หระในเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ฉันไม่ต้องออกไปไหน” เขาพูดพลางโอบกอดเธอด้วยแขนข้างหนึ่ง แต่เฮอร์ไมโอนี่ยังคงไม่ยอมละเลิกความพยายามของเธอ

“แต่เราต้องลงไปทานอาหารเช้านะคะ” เธอกล่าวราวกับการยึดมั่นในกฎเกณฑ์ที่สามีของเธอได้ตั้งไว้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ในภายหลังหญิงสาวก็คิดได้ว่าการยืนกรานที่จะทำตามกฎที่ชายตรงหน้าได้วางเอาไว้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอควรทำเลยแม้แต่น้อย

“เธอหิวแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาถามขึ้น ขณะที่หญิงสาวกระพริบตาอย่างแปลกใจ

“ฉัน.....” เธอไม่แน่ใจว่าจะตอบอะไรออกไปดี และเมื่อได้เห็นท่าทีลังเลของภรรยาแล้วนายลูเซียสจึงตะโกนขึ้น

“ทิสซี่!” เขาพูดเสียงดัง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายของเธอจนถึงคอขณะที่เธอร้องออกมาว่า ‘คุณทำอะไรน่ะ!’ เนื่องจากเธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะกล้าเรียกเอลฟ์มาหาเขาถึงห้องนอนในตอนที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันบนเตียงนอนแบบนี้ แต่หญิงสาวก็ไม่อาจทำอะไรได้เมื่อเอลฟ์ร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นข้างเตียงฝั่งที่นายลูเซียสนอนอยู่พร้อมกับเสียงดังป็อป

“นายท่านมีอะไรให้ทิสซี่รับใช้เจ้าคะ” เอลฟ์พูดขึ้นพลางค้อมศีรษะลงต่ำ ก่อนที่นายมัลฟอยจะสั่งมันด้วยน้ำเสียงปกติราวกับพวกเขากำลังอยู่ในห้องอาหารในเวลาอาหารเช้า

“พวกแกเตรียมอาหารเช้าไว้พร้อมหรือยัง”

“พวกเราเตรียมอาหารเช้าไว้ให้นายท่านกับนายหญิงพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ทิสซี่ตอบด้วยเสียงแหลมเล็ก

“แล้วนายน้อยล่ะ” ชายผมบลอนด์ถาม น้ำเสียงของเขาดูสุขุมมากขึ้นเมื่อเอ่ยถึงเดรโกผู้เป็นลูกชาย

“นายน้อยออกไปจากคฤหาสน์แต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” เอลฟ์ตอบ และเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ เธอ แน่นอนว่านายลูเซียสคงหนักใจในเรื่องของเดรโกไม่น้อยเพียงแต่เขาไม่ยอมแสดงความรู้สึกในเรื่องนี้ออกมาเท่านั้น เพราะน้ำเสียงของเขายามที่เอ่ยประโยคต่อไปออกมานั้นฟังดูเกือบจะเหมือนปกติทุกอย่าง

“ฉันกับนายหญิงจะลงไปทานอาหารอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง พวกแกเตรียมอุ่นอาหารเอาไว้ด้วย แล้ววันนี้ฉันจะพานายหญิงไปชมรอบ ๆ คฤหาสน์ แกเตรียมเฮอร์มีสเอาไว้ด้วยล่ะ” เขาสั่งเรียบ ๆ แม้ว่าหญิงสาวจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายผมบลอนด์พูดในประโยคสุดท้ายก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ส่วนทางทิสซี่นั้นก็รีบรับคำสั่งของเจ้านายอย่างกระตือรืนร้น เอลฟ์ก้มศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพอย่างเช่นตอนที่มันปรากฏตัวขึ้นก่อนจะหายไปพร้อมกับเสียงดังป็อป

หลังจากที่ทิสซี่ออกจากห้องไปแล้ว นายลูเซียสก็หันมาทางเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ข้าง ๆ และริมฝีปากบางของเขาก็ยกสูงขึ้นเมื่อพบว่าใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำราวกับไข้ขึ้น แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา ตรงกันข้ามนายลูเซียสกลับโน้มใบหน้าเข้าไปจูบแก้มแดงก่ำของภรรยาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม และเพราะท่าทีเขินอายของหญิงสาวนั้นเองมันทำให้ชายผมบลอนด์รู้สึกเอ็นดูเธอจนเขาอดไม่ได้ที่จะเลื่อนจูบของเขาไปที่ริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่แทน

จูบครั้งนี้นั้นล้ำลึกมากกว่าจูบอรุณสวัสดิ์ที่เขามอบให้เธอนัก เมื่อนายลูเซียสทาบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากอิ่มของร่างบางอย่างหนักแน่นขณะที่เขาเคลื่อนกายเข้ามาคร่อมร่างของเธอไว้และจูบเธออย่างเร่าร้อนโดยที่หญิงสาวไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่เมื่อเธอพบว่าจูบของชายผมบลอนด์เริ่มเลื่อนต่ำลงมาที่ซอกคอของเธอเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบผลักร่างใหญ่ตรงหน้าออกทันที และเมื่อเธอทำเช่นนั้นนายลูเซียสก็เงยหน้าขึ้นสบตาเธอ

“อย่าค่ะ ฉันว่าหิวแล้วค่ะ” เธอกระซิบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าทั้งชายผมบลอนด์และตัวหญิงสาวเองต่างรู้ดีว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นสามีของเธอก็ยอมตามใจเธอแต่โดยดีเมื่อเขาละจากร่างบางพลางพูดขึ้น

“ก็ได้ที่รัก งั้นเราไปทานอาหารเช้ากัน” นายลูเซียสพูดก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง


…………………………………………….


ทั้งสองใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะลงมาถึงห้องอาหารได้ ซึ่งก็เป็นเพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่ยอมเข้าไปใช้ห้องน้ำพร้อม ๆ กับนายลูเซียส แม้ว่าภายในห้องน้ำที่เชื่อมต่อกับห้องนอนของทั้งสองนั้นจะมีห้องอาบน้ำแยกออกไปถึงสองห้องซึ่งพอที่จะให้พวกเขาใช้ห้องน้ำในเวลาเดียวกันได้ แต่หญิงสาวก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีที่ต้องใช้ห้องน้ำในเวลาเดียวกับนายลูเซียส แม้ว่าห้องอาบน้ำที่ว่าจะมีกระจกแบบทึบกั้นอยู่อย่างมิดชิดก็ตาม

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วทั้งเฮอร์ไมโอนี่และนายลูเซียสก็เดินลงมาที่ห้องอาหารด้วยกัน อาหารเช้านั้นผ่านไปอย่างไม่มีอะไรพิเศษมากนัก แม้ว่าความตึงเครียดของหญิงสาวจะคลายลงไปบ้างแล้วก็ตามหลังจากที่เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์มัลฟอยมามากกว่าหนึ่งวันแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างแม้จริงเมื่อต้องอยู่ต่อหน้านายลูเซียส ดังนั้นอาหารเช้าของพวกเขาจึงดำเนินไปอย่างราบเรียบและค่อนข้างจะเงียบเชียบ เพราะไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมานัก จนกระทั่งหลังจากที่หญิงสาวเริ่มอิ่มแล้ว สามีของเธอก็เอ่ยปากพูดขึ้น

“วันนี้ฉันไม่ต้องออกไปไหน....” เขาเริ่มต้นประโยคอย่างราบเรียบด้วยถ้อยคำที่เธอรู้มาก่อนอยู่แล้ว ก่อนที่จะจิบชาเข้าไปอีกอึกก่อนจึงพูดต่อ “ฉันเลยคิดว่าวันนี้ฉันน่าจะว่างพาเธอไปชมคฤหาสน์”

“แล้วการที่คุณจะพาฉันชมคฤหาสน์มันมีอะไรเกี่ยวกับคนชื่อเฮอร์มีสหรือเปล่าคะ” เธอถามออกมาในทันทีราวกับว่าการชอบถามในสิ่งที่สงสัยเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกในตัวของเธอเสียแล้ว แต่แทนที่นายลูเซียสจะรู้สึกไม่พอใจกับการตั้งคำถามในทุกเรื่องที่เธอสงสัยของหญิงสาว เขากลับยิ้มน้อย ๆ ด้วยท่าทีขบขันราวกับเธอเป็นเด็กที่พูดอะไรบางอย่างผิดอย่างน่าเอ็นดู

“เดี๋ยวเธอก็ได้เห็นเองแหละ ว่าแต่เธออิ่มแล้วใช่ไหม” เขาถามอย่างสุภาพเมื่อเห็นหญิงสาวเช็ดปากของเธอกับผ้าเบา ๆ และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าให้เขารวมทั้งเห็นว่าเธออิ่มจากการทานอาหารเช้าแล้วจริง ๆ ชายผมบลอนด์จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และยื่นมือมาให้หญิงสาวจับ

เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลังเลอยู่เพียงครู่เดียวก่อนที่จะวางมือของเธอลงบนมือใหญ่ของสามีเพื่อให้เขาพาเธอเดินออกจากห้องอาหารไป แต่หญิงสาวกลับต้องแปลกใจเมื่อเธอพบว่านายลูเซียสพาเธอเดินผ่านห้องโถงออกไปนอกคฤหาสน์ แต่ถึงจะเห็นสายตาของภรรยาที่มองมาอย่างแปลกใจก็ตามชายผมบลอนด์ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปหรือหยุดเดินแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อทั้งสองได้เดินออกมาภายนอกคฤหาสน์คำตอบที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังสงสัยอยู่นั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ เพราะในลานกว้างเบื้องหน้าคฤหาสน์นั้นมีม้าตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสง่างามท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่หญิงสาวมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงก่อนจะหันไปทางสามีของเธอด้วยความประหลาดใจ

“ฉันจะพาเธอชมรอบ ๆ คฤหาสน์ก่อน ซึ่งมันคงต้องใช้เวลาทั้งวันแน่ถ้าหากเราเดินกันไป” เขาอธิบายอย่างมีเหตุผล แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่อาจทำให้ความสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่หมดไปได้แต่อย่างใด

“เรื่องนั้นฉันเข้าใจค่ะ แต่ฉันไม่คิดมาก่อนว่าคุณ....จะขี่ม้าเป็นด้วย” เธอพูดพลางผายมือไปยังม้ามีเทาตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง แม้ว่าจะแปลกใจกับสิ่งที่เห็นมากก็ตามเพราะเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างลูเซียส มัลฟอยจะมีม้าอยู่ในครอบครองรวมทั้งเขาจะสนใจการขี่ม้าซึ่งเป็นกิจกรรมของพวกมักเกิ้ลด้วย แต่หญิงสาวก็พอจะดูออกว่าม้าตัวนี้เป็นม้าชั้นดีเช่นเดียวกับสมบัติทุกอย่างที่อยู่ในการครอบครองของนายมัลฟอยซึ่งล้วนแต่เป็นของชั้นดีและมีราคาทั้งสิ้น ในขณะที่สามีของเธอมีสีหน้าเหมือนเธอเพิ่งพูดอะไรที่หยาบคายออกมา

“แน่นอนว่ามัลฟอยทุกคนขี่ม้าเป็น มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย” เขาพูดอย่างไว้ตัว ราวกับเขาภาคภูมิใจอย่างมากในความเป็นมัลฟอยของตัวเอง ขณะที่หญิงสาวที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นคุณนายมัลฟอยคนใหม่อย่างเธอยังอดไม่ได้ที่จะมองสามีของเธอสลับกับมองม้าตัวนั้นอย่างแปลกใจ แต่อยู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกราวกับมีใครมีกดสวิตส์ไฟในสมองของเธอเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองนายลูเซียสอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้น

“คุณนั่นเอง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเธอเพิ่งค้นพบวิธีปรุงยาเสริมกำลังแบบใหม่ และเมื่อชายผมบลอนด์มองเธออย่างไม่เข้าใจ เธอก็พูดต่อ
“คุณใช่ไหมคะที่เป็นคนเสกผู้พิกทักษ์ที่เป็นม้าขึ้นในกองปริศนา” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

เฮอร์ไมโอนี่จำได้ดีว่าในตอนแรกที่เธอถูกล่อเข้าในกองปริศนาและผู้คุมวิญญาณปรากฏตัวขึ้นนั้นมีผู้พิทักษ์รูปร่างเป็นม้าปรากฏตัวขึ้นและช่วยเธอจากผู้คุม รวมทั้งนำเธอไปยังชั้นที่มีลูกแก้วพยากรณ์ของเธออยู่ด้วย ซึ่งในตอนนั้นหญิงสาวไม่ได้คิดเลยว่าคนที่เสกผู้พิทักษ์เพื่อช่วยชีวิตเธอไว้นั้นจะเป็นลูเซียส มัลฟอย แต่เมื่อลองพิจารณาจากการที่เขาเป็นคนหลอกเธอเข้าไปในกองปริศนารวมทั้งใช้ผู้พิทักษ์ของเขาหลอกล่อเธอไปหยิบลูกแก้วพยากรณ์ขึ้นมาซึ่งส่งผลทำให้เธอต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับเขาในเวลาต่อมาแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกว่าการที่เขาช่วยเธอไว้จากผู้คุมวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่เล็กน้อยไปเลยทีเดียว ขณะที่นายลูเซียสมองเธอด้วยท่าทีแปลกใจ
“ฉันนึกว่าเธอรู้เรื่องนี้แล้วเสียอีก” เขาพูด พลางพาหญิงสาวเดินไปยังม้าตัวนั้นซึ่งน่าจะมีชื่อว่า ‘ เฮอร์มีส ’ “แต่ถึงเธอเพิ่งจะรู้เรื่องก็ตาม มันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะขอบคุณฉันหรอกนะ” เขาพูดพลางมองหน้าเธอด้วยสีหน้าและแววตาแบบมัลฟอยของแท้ และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรออกมา ชายผมบลอนด์ก็ยิ้มมุมปากกับท่าทีของหญิงสาว และโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าหรือการให้โอกาสเธอตั้งตัวแต่อย่างใดเขาก็ออกแรงอุ้มร่างบางไว้และยกเธอขึ้นนั่งบนหลังม้าโดยไม่สนใจเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของเธอแต่อย่างใด

และเมื่อแน่ใจว่าภรรยาของเขาได้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว นายลูเซียสก็ปีนตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว วงแขนแข็งแกร่งของเขาโอบกอดร่างเล็ก ๆ ที่สั่นเทาของหญิงสาวไว้ก่อนจะกระซิบเข้าที่ข้างหูของเธอ

“เธอไม่เคยขี่ม้ามาก่อนอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แม้ว่าจะรู้คำตอบจากท่าทีของเฮอร์ไมโอนี่แล้วก็ตาม ขณะที่หญิงสาวสั่นศีรษะน้อย ๆ อย่างหวาดกลัว อันที่จริงเธอเคยลองขี่ม้ามาก่อนในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแต่เธอมีประสบการณ์ที่ไม่ดีนักกับการขี่ม้า จนหญิงสาวคิดว่าถ้าหากเธอต้องเลือกระหว่างการขี่ม้ากับการขี่ไม้กวาดล่ะก็ เธอยอมเลือกการขี่ไม้กวาดเสียดีกว่า เพราะเธอคิดว่าการฝากชีวิตไว้กับวัตถุที่ถูกกำกับเวทย์มนต์ให้บินได้นั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าการจะฝากชีวิตไว้กับสัตว์ร่างใหญ่ที่พร้อมจะพยศได้ทุกเมื่อหากผู้ขี่ทำอะไรผิดพลาดลงไปอย่างแน่นอน

ส่วนทางด้านนายลูเซียสนั้นเมื่อเห็นว่าภรรยาของเขาไม่ได้ตอบอะไรออกมามากกว่าการสั่นศีรษะอย่างหวาดกลัวเขาจึงตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างที่น่าจะทำให้เธอมั่นใจและคลายความกังวลลงไปได้ออกไป

“ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่ทำเธอร่วงอย่างแน่นอน” เขากระซิบเข้าที่ข้างหูของหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าเขาจนเฮอร์ไมโอนี่สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของเขาที่ปะทะอยู่ที่ข้างแก้ม ก่อนที่นายลูเซียสจะดึงสายบังเหียนเบา ๆ และเจ้าเฮอร์มีสก็เริ่มออกเดิน


…………………………………………….


แม้ว่าการอยู่บนหลังม้าจะเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่กลัวมากกว่าการบินก็ตาม แต่ความกลัวและความประหม่าที่ต้องขี่ม้าไปกับลูเซียส มัลฟอยโดยที่แผ่นหลังของเธอแทบจะแนบชิดกับแผ่นอกของเขานั้นดูเหมือนจะจางหายไปบางส่วนเมื่อหญิงสาวได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามภายในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของคฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้ จนเธออดเห็นด้วยกับความคิดของสามีไม่ได้ที่เขาต้องการพบเธอชมคฤหาสน์โดยการขี่ม้าแบบนี้

นายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่ไปชมสวนที่รายรอบคฤหาสน์ซึ่งถูกตกแต่งอย่างปราณีตเป็นอันดับแรกก่อนจะพาเธอไปยังทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังของคฤหาสน์ในเวลาต่อมา และแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ที่คฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความงดงามของทิวทัศน์บริเวณรอบทะเลสาบซึ่งประกอบไปด้วยภูเขาสูงที่เป็นตั้งตระหง่านอยู่ราวกับมันเป็นฉากหลังของทิวทัศน์นี้เรื่อยไปจนถึงพรรณไม้นานาชนิดที่ขึ้นอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบแห่งนี้ และเพราะความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ ทะเลสาบนี้เองหญิงสาวจึงไม่ประท้วงออกมาแต่อย่างใดเมื่อนายลูเซียสหยุดม้าเมื่อพวกเขามาถึงบริเวณริมทะเลสาบก่อนจะอุ้มเธอลงจากหลังของเจ้าเฮอร์มีสเพื่อที่เขาจะสามารถพาเธอไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบได้

เฮอร์ไมโอนี่มองภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจหลังจากที่เธอได้ลงจากหลังม้าแล้ว หญิงสาวมองพื้นน้ำสีน้ำเงินที่ทอดตัวไปจนจรดเนินเขาที่อยู่ไกลออกไปจนไม่น่าเชื่อว่าอาณาเขตของคฤหาสน์มัลฟอยจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดตรงนั้นอย่างประทับใจ และเมื่อเธอเดินมาถึงริมทะเลสาบเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านใบหน้าของเธอเบา ๆ ขณะที่เธอหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติโดยมีสามีของเธอยืนมองอยู่เธออยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทีเอ็นดู และเมื่อหญิงสาวชื่นชมความงามของทะเลสาบจนพอใจแล้วเธอก็เริ่มสำรวจบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณนั้น แต่ต้นไม้เหล่านั้นก็ไม่ได้มีขนาดสูงใหญ่มากจนเกินไปนัก แต่พวกมันมีขนาดที่กำลังพอดีแถมต้นไม้บางต้นยังมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับต้นบีชริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์ซึ่งเธอชอบไปนั่งอ่านหนังสือที่นั่นเป็นประจำอีกด้วย
และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังเดินสำรวจอยู่ตรงโคนต้นไม้ริมทะเลสาบจึงพูดขึ้น

“ที่ตรงนี้เหมือนกับทะเลสาบที่ฮอกวอตส์เลยค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ฉันจำได้ว่าฉันชอบไปนั่งอ่านหนังสือตรงนั้นประจำ.....” เธอพูดพลางคิดไปถึงช่วงเวลาที่เธออยู่ที่ฮอกวอตส์ที่เธอได้ใช้เวลาในช่วงวัยเด็กเคียงข้างไปกับเพื่อนรักของเธออย่างแฮร์รี่และรอน ถึงแม้ว่ามิตรภาพของทั้งสามจะมีเรื่องวุ่นวายรวมทั้งเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอยู่มากก็ตาม แต่ช่วงเวลาที่เฮอร์ไมโอนี่ได้อยู่กับเพื่อนทั้งสองนั้นนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเธอทีเดียว และเพราะการคิดถึงเพื่อนรักทั้งสองนั้นเองทำให้หญิงสาวรู้สึกเบาโหวงในท้องพร้อม ๆ กับความเจ็บปวดที่เริ่มเอ่อล้นภายในอกของเธอ จนกระทั่งร่างกายของเธอซึ่งทนไม่ได้ไหวกับความเจ็บปวดนั้นบังคับให้ดวงตาคู่สวยหลั่งน้ำตาออกมา และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงรีบหันหลังให้กับร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองเบา ๆ แต่การกระทำของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่รวดเร็วพอที่นายลูเซียสจะไม่สังเกตุเห็นได้เมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับคว้าร่างของหญิงสาวเอาไว้และบังคับให้เธอกลับมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง และสิ่งที่ชายผมบลอนด์เห็นต่อมาก็คือน้ำตาที่คลอเอ่อดวงตาคู่สวยของเฮอร์ไมโอนี่

นายลูเซียสถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แต่เมื่อหญิงสาวทำท่าจะยกมือขึ้นซับน้ำตาของตัวเอง ชายผมบลอนด์กลับจับมือของเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างของเขาไปเช็ดน้ำตาให้เธอเบา ๆ

“อย่าร้อง” เขากระซิบพลางเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเบามือ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาเบา ๆ เพราะสัมผัสของร่างตรงหน้า แต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะขัดขืนการกระทำของเขาแต่อย่างใด แม้กระทั่งตอนที่นายลูเซียสแนบมือใหญ่ของเขาเข้ากับแก้มเนียนที่ปราศจากน้ำตาของหญิงสาวก่อนที่เขาจะก้มลงจูบเธออย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากก็ตาม

ชายผมบลอนด์จูบเฮอร์ไมโอนี่อย่างอ่อนโยนราวกับจุดประสงค์ในการที่เขาจูบเธอในครั้งนี้นั้นไม่ได้เป็นเพราะความต้องการที่จะครอบครองริมฝีปากของเธอเพียงอย่างเดียว หากแต่เขาต้องการปลอบโยนหญิงสาวที่กำลังโศกเศร้าเสียใจมากกว่า แต่ที่น่าแปลกก็คือเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืนการกระทำของร่างตรงหน้าแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเธอกลับจูบเขาตอบอย่างแผ่วเบาราวกับเธอก็รับรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการที่เขามาจูบเธอในครั้งนี้ หลังจากที่ทั้งสองแลกจูบที่อ่อนโยนกันอยู่ครู่หนึ่ง นายลูเซียสก็ถอนริมฝีปากออกมาก่อนจะจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจนั้นไม่ได้มีเพียงแค่การที่ชายผมบลอนด์เข้ามาจูบเธออย่างปลอบโยนเท่านั้น แต่เป็นการที่ตัวเธอเองกลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยภายใต้การดูแลของชายตรงหน้า ทั้งที่จริงแล้วเขาควรจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลกที่เฮอร์ไมโอนี่จะต้องการให้มาแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกถึงความปลอดภัยรวมทั้งรู้สึกไว้วางใจเขาได้อย่างไรนั้นเธอเองก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ให้กับตัวเองได้เลย


…………………………………………….


ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของเดือนกันยายน ณ บริเวณริมทะเลสาบซึ่งอยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์มัลฟอย ร่างสองร่างกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ริมทะเลสาบ อันที่จริงเรียกว่านั่งก็ไม่ถูกนักเพราะว่าภาพที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นภาพของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนผ้าปูสีเข้มใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ผมสีน้ำตาลของเธอสยายไปตามแรงลม ขณะที่ลูเซียส มัลฟอยสามีของเธอนั้นกำลังนอนหลับอยู่โดยใช้ตักของภรรยาต่างหมอนหนุน ผมสีบลอนด์ของเขาปกคลุมไปตักของหญิงสาว แม้ว่ามันจะเป็นภาพที่แปลกประหลาดอย่างมากก็ตามแต่ในขณะเดียวกันภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ก็กลับเป็นภาพที่สวยงามและให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากที่นายลูเซียสเห็นว่าภรรยาของเขาร้องไห้ออกมาอีกครั้งและได้ปลอบโยนรวมทั้งเช็ดน้ำตาให้เธอแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งไม่ต้องการจะให้ชายผมบลอนด์เห็นความอ่อนแอของเธอมากไปกว่านี้ก็แสร้งทำตัวเป็นปกติด้วยการยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดกลบเกลื่อน ซึ่งในตอนนั้นหญิงสาวก็ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นออกนอกจากเล่าให้สามีของเธอฟังต่อว่าบริเวณริมทะเลสาบนี้เหมือนกับริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์ซึ่งเธอชอบมานั่งอ่านหนังสือเป็นประจำโดยเฉพาะช่วงใกล้สอบซึ่งห้องสมุดจะมีนักเรียนมาใช้บริการมากเกินกว่าปกติ และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงบอกเฮอร์ไมโอนี่ว่าถ้าหากเธอต้องการเธอก็สามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ซักพักหนึ่งได้ เนื่องจากเขาเองก็ไม่มีธุระอื่นที่ต้องไปทำในวันนี้ และหลังจากที่ภรรยาของเขาบอกว่าเธออยากจะใช้เวลาอยู่ที่ริมทะเลสาบแห่งนี้ซักพัก ชายผมบลอนด์ก็เสกผ้าปูขึ้นมาตรงใต้ต้นไม้ที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่และชวนให้หญิงสาวนั่งลง และถึงแม้ว่าการที่ได้เห็นลูเซียส มัลฟอยนั่งลงบนอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เก้าอี้ที่หรูหราหรือโซฟาหนังชั้นดีนั้นจะเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ก็ตาม แต่มันก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ชายผมบลอนด์พูดกับเธอต่อไป

“เธออยากจะหาอะไรมาอ่านหน่อยไหม” เขาถามด้วยท่าทีปกติ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาอย่างงุนงง

“คุณว่าอะไรนะคะ” เธอถามออกไปเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่สามีของเธอเพิ่งพูดออกมา

“ฉันถามว่าเธออยากหาอะไรมาอ่านหน่อยไหม เธอบอกฉันเองนี่ว่าเธอชอบมานั่งอ่านหนังสือริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์ ถ้าเธออยากอ่านอะไรล่ะก็ฉันจะใช้คาถาเรียกของเอาหนังสือที่เธอต้องการมาจากห้องสมุดให้” นายลูเซียสพูดอีกครั้ง แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่มีแววหงุดหงิดปนอยู่แต่อย่างใด

“แต่แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่หนังสือที่ฉันห้ามไม่ให้เธออ่าน” เขาเสริมขึ้นพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว ขณะเฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ไม่นานเธอจึงบอกเขาออกไปว่าเธอต้องการอ่านหนังสือการแปลงร่างขั้นสูงของเอ็มเมริก สวิทซ์ และเมื่อได้ยินเช่นนั้นชายผมบลอนด์ก็หยิบไม้กายสิทธิ์ของเขาออกมาจากเสื้อคลุม ซึ่งคราวนี้มันไม่ได้ซ่อนอยู่ในไม้เท้าเหมือนอย่างปกติออกมาก่อนจะร่ายคาถาเบา ๆ หลังจากนั้นไม่นานนักหนังสือเล่มหนึ่งก็ลอยมาทางทั้งสองอย่างรวดเร็ว นายลูเซียสรับมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่งหลังจากที่เขาเก็บไม้กายสิทธิ์เข้าเสื้อคลุมเรียบร้อยแล้วก่อนจะส่งมันให้เฮอร์ไมโอนี่

หญิงสาวรับหนังสือมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสามี

“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดพลางยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนจะเริ่มเปิดหนังสืออ่าน
แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ชายผมบลอนด์กำลังทำอยู่นักก็ตาม แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่ปฏิเสธมัน แน่นอนว่าชีวิตหลังการแต่งงานของเธอกับนายลูเซียสนั้นแตกต่างจากที่หญิงสาวเคยคิดไว้อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่จะจินตนาการเอาไว้ว่าชีวิตหลังแต่งงานของเธอกับชายตรงหน้าคงจะต้องเลวร้ายมากเป็นแน่หลังจากที่เธอตกเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยนักสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ในการที่จะต้องมาอยู่ในฐานะคุณนายมัลฟอยของเขาแบบนี้ แต่เธอก็ไม่คิดมาก่อนว่าสามีของเธอจะอ่อนโยนกับเธอรวมทั้งทำอะไรหลายอย่างเพื่อเธอแบบนี้ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคู่สามีภรรยาคู่อื่นก็ตาม แต่ถ้าลองคิดว่าการกระทำเหล่านั้นมาจากลูเซียส มัลฟอยแล้วล่ะก็มันทำทุกสิ่งที่เขาทำให้เธอนั้นดูกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อไปเลยทีเดียว

ในขณะที่หญิงสาวกำลังอ่านหนังสือแต่ในใจของเธอก็แอบวิเคราะห์พฤติกรรมของชายผมบลอนด์อยู่นั้น นายลูเซียสก็ลอบสังเกตุหญิงสาวตรงหน้าอยู่เงียบ ๆ สายตาของเขาพิจารณาใบหน้างามของเฮอร์ไมโอนี่รวมทั้งอากัปกริยาของหญิงสาวอยู่เกือบจะทุกอิริยาบท แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นผู้หญิงที่งดงามและเฉลียวฉลาดมาก แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของเธอกลับแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาอย่างไม่มีการปิดบังหรือเสแสร้งแต่อย่างใดจนทำให้คนอื่นสามารถเดาความคิดของเธอออกได้อย่างง่ายดาย อย่างเช่นในตอนนี้ถ้าดูจากสีหน้าของเธอแล้วนายลูเซียสแน่ใจว่าเธอคงกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ และถ้าไม่ใช่ว่าเธอกำลังใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจหนังสือตรงหน้าอยู่ล่ะก็ เธอก็คงกำลังครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องที่ต้องใช้การระดมสมองอย่างหนักในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับมันเป็นแน่ และเพราะการลอบมองภรรยาของเขาเองที่กำลังอ่านหนังสืออยู่แบบนี้มันทำให้ชายผมบลอนด์นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาได้พบครอบครัวซิลเวียเป็นครั้งแรก เพราะท่าทีของหญิงสาวนั้นเตือนให้เขานึกถึงพ่อแท้ ๆ ของเธอซึ่งก็คือหลุยส์ ซิลเวีย แม้ว่าหญิงสาวจะมีใบหน้าที่ถอดแบบมาจากแม่ของเธอซึ่งเป็นแม่มดที่งดงามที่สุดในฝรั่งเศสก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็มีแววตาคงแก่เรียนแบบเดียวกับพ่อของเธอซึ่งเธอได้รับมรดกในเรื่องของสติปัญญามาจากเขา คิ้วของเธอที่ขมวดเล็กน้อยบวกกับแววตาที่ดูจริงจังคล้ายพ่อของเธอในตอนนี้นั้นทำให้นายลูเซียสเดาได้ว่าเรื่องที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถขบคิดได้ตกเป็นแน่หญิงสาวจึงมีสีหน้าแบบนี้

แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งในมุมมองของนายลูเซียส เธอเป็นหญิงสาวที่งดงาม เฉลียวฉลาด และมีชาติกำเนิดที่ดี รวมทั้งเธอมีฐานะเป็นถึงทายาทของเรเวนคลอและเจ้าหญิงแห่งความมืดด้วย แต่เฮอร์ไมโอนี่เองก็มีข้อเสียหลายประการซึ่งทำให้การปราบพยศหญิงสาวตรงหน้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เขาเคยคิดไว้ เพราะความดื้อดึงของเธอรวมทั้งการรักความถูกต้องจนเกินเหตุและความไร้เดียงสามากจนเกินไปของเธอนั้นเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการก้าวไปสู่อำนาจของเธอรวมทั้งของเขาเองด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ตามชายผมบลอนด์ก็แน่ใจว่าเขามีหนทางที่จะจัดการกับเรื่องนี้ เพราะเขามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนเธอให้เป็นในแบบที่เขาต้องการได้ เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าที่เขาได้เคยคาดคิดไว้เท่านั้น

ขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นเองเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงนายลูเซียสเหยียดขาของเขาออก ก่อนที่เขาจะเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่เบื้องหลังของทั้งคู่ และเมื่อเขาจัดการเปลี่ยนท่านั่งของตัวเองเรียบร้อยแล้วชายผมบลอนด์ก็เอื้อมมือไปคว้าร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวเข้ามาใกล้เขามากขึ้นโดยใช้แขนข้างหนึ่งของเขาโอบกอดเธอไว้ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่หันไปมองทางร่างใหญ่ข้าง ๆ สิ่งแรกที่เธอได้เห็นก็คือสีหน้าที่ดูง่วงงุนของสามี

“คุณง่วงนอนหรือคะ” เธอถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่ชายผมบลอนด์ส่ายศีรษะเบา ๆ ในเชิงต้องการไล่ความง่วงงุนมากกว่าจะปฏิเสธคำถามของเธอ
“นิดหน่อยน่ะ” เขาตอบพลางก้มลงจูบผมของหญิงสาวเบา ๆ ซึ่งการกระทำของเขานั้นก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาในทันทีแต่เธอก็เลือกที่จะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกไป

“คุณอยากกลับก่อนไหมคะ” เธอถามพลางปิดหนังสือ

“เธอไม่อยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือ” เขาถามกลับ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะเอ่ยปากตอบคำถามของเขา แต่เธอก็เปลี่ยนใจเสียก่อนเมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ควรที่จะเกรงใจหรือใส่ใจความรู้สึกของชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีท่าทีจะตอบอะไรออกมานายลูเซียสจึงพูดขึ้น

“ฉันว่าเราอยู่ที่นี่กันซักพักแล้วค่อยกลับไปทานอาหารกลางวันหลังเที่ยงก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันอยากพักสักหน่อย” เขาพูดพลางจัดแจงล้มตัวลงนอนลงบนตักของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งหญิงสาวก็มีท่าทีจะประท้วงในตอนแรกแต่เธอกลับพบว่าเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเนื่องจากชายผมบลอนด์ได้นอนลงบนตักของเธอและหลับตาลงเรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างหงุดหงิดที่เธอต้องยอมปล่อยให้เขาใช้ตักของเธอต่างหมอนหนุนไปโดยที่เธอไม่อาจทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ ก่อนที่เธอจะหยิบหนังสือขึ้นมาและเริ่มอ่านต่ออีกครั้ง


…………………………………………….


เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่เธอนั่งอ่านหนังสือโดยมีนายลูเซียสนอนหนุนตักของเธออยู่แบบนี้ และเมื่อหญิงสาวพบว่าสายตาของเธอเริ่มเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือเธอจึงปิดมันลงและวางมันไว้ข้าง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นชื่นชมธรรมชาติเบื้องหน้า แน่นอนว่าทิวทัศน์เบื้องหน้าของหญิงสาวสาวนั้นเป็นภาพที่งดงามมาก แต่มันกลับไม่น่าสนใจเท่ากับร่างที่กำลังหลับใหลอยู่บนตักของเฮอร์ไมโอนี่ในตอนนี้เลยเมื่อหญิงสาวละสายตาจากภาพทะเลสาบสีครามไปยังใบหน้ายามหลับใหลของสามี

ใบหน้ายามหลับของนายลูเซียสนั้นแลดูสงบสุขแต่ก็แตกต่างจากใบหน้าปกติในยามที่เขาตื่นนอนเสียเหลือเกิน เพราะมันดูแปลกตาไม่น้อยยามที่ได้เห็นใบหน้าของเขาโดยไม่มีดวงตาสีเงินที่ทิ่มแทงหรือรอยยิ้มเย้ยหยันของเขาประดับอยู่ แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องยอมรับว่าชายตรงนั้นหน้ามีใบหน้าดูดีทีเดียวแม้ว่าอายุของเขาจะล่วงเลยเข้าเลขสี่มาแล้วก็ตาม อีกทั้งหญิงสาวยังคิดว่าชายผมบลอนด์นั้นดูดีไม่น้อยเมื่อได้เห็นเขาท่ามกลางแสงแดดแบบนี้ เพราะมันทำให้ผิวพรรณที่ซีดเผือดของเขานั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้นจนเฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะสำรวจมัน

นายลูเซียสนั้นมีใบหน้าที่มีเค้าโครงเดียวกับเดรโกหากแต่ดูมีอายุมากกว่า เนื่องจากทั้งคู่มีคางที่แหลมเหมือนกัน แม้ว่าจมูกของเดรโกจะเรียวกว่าจมูกของพ่อเขาก็ตามแต่ริมฝีปากบางเฉียบของทั้งสองนั้นเหมือนกันราวกับถอดแบบกันออกมา รวมทั้งดวงตาสีเงินของทั้งคู่ที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนอีกด้วย

สายตาของเฮอร์ไมโอนี่สำรวจไปทั่วใบหน้าของสามีก่อนจะไล่ไปยังผมสีบลอนด์ยาวที่สว่างไสวอยู่ท่ามกลางแสงแดดของเขา และเนื่องจากนายลูเซียสมีผมสียาวและเหยียดตรงแบบที่ผมของเฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถทำได้ เธอจึงรู้สึกสนใจมันเป็นพิเศษ และเมื่อรู้ตัวอีกทีมือของหญิงสาวก็เลื่อนไปสัมผัสผมสีบลอนด์ของร่างที่กำลังหลับใหลอยู่เสียแล้ว

ผมของนายลูเซียสให้ความรู้สึกนุ่มมืออย่างที่เธอคิดไว้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสเส้นผมสลวยของเขามากขึ้นโดยการไล้มือของเธอผ่านผมสีบลอนด์ยาวของเขาโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าร่างที่เธอคิดว่ากำลังนอนหลับอยู่นั้นได้ตื่นจากหลับใหลตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอจับผมของเขาแล้ว และก่อนที่เธอจะได้สัมผัสเส้นผมของเขาไปมากกว่านั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงมือใหญ่ของสามีที่เลื่อนเข้ามาจับมือของหญิงสาวไว้ก่อนที่เธอจะเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าของนายมัลฟอยและเห็นว่าดวงตาสีเงินของเขากำลังมองเธออยู่

“เธอชอบผมของฉันอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงรู้ทัน ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีสีหน้าเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำผิด แต่เมื่อเธอพยายามจะดึงมือของเธอกลับมานายลูเซียสกลับจับมือเล็กของเธอไว้และยกมันขึ้นสัมผัสกับริมฝีปากของเขาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำราวกับถูกแดดเผา และเมื่อเห็นว่าเขาปล่อยมือของเธอออกแล้วเฮอร์ไมโอนี่จึงพูดขึ้น

“คุณตื่นนานแล้วหรือคะ” เธอพูดขณะที่พยายามจะรักษาสีหน้าให้ดูปกติมากที่สุด

“ก็ไม่นานนักหรอก” เขาตอบ “ฉันหลับไปนานไหม”

“ก็พักหนึ่งค่ะ” หญิงสาวตอบออกมา แต่ที่จริงแล้วเธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชายตรงหน้านอนหลับอยู่บนตักของเธอนานนานเท่าไหร่ และเมื่อได้ยินเท่านั้นนายลูเซียสจึงลุกขึ้นมานั่ง ผมบลอนด์ของเขาดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการนอนหลับเมื่อครู่

“เธอหิวรึยัง” มันเป็นคำถามที่แสนจะธรรมดาเหลือเกิน แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่าจะตอบเขาออกไปอย่างไรดี เธอจึงได้แต่พยักหน้าเบา ๆ และในวินาทีต่อมาหญิงสาวก็เห็นว่าสามีของเธอลุกขึ้นยืนและส่งมือของเขามาให้เธอจับพร้อมกับพูดขึ้น

“งั้นฉันว่าเรากลับไปทานอาหารที่คฤหาสน์กันดีกว่าไหม” เขาถาม ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่ที่เห็นด้วยกับคำพูดของเขาจะวางมือของเธอลงบนมือใหญ่ของชายผมบลอนด์เพื่อให้เขาช่วยให้เธอลุกขึ้นยืน และในนาทีต่อมาหญิงสาวก็ขึ้นมาอยู่บนหลังม้าโดยมีสามีของเธอตามเธอขึ้นมาติด ๆ นายลูเซียสกระซิบเข้าที่ข้างหูเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ ว่าให้เธอนั่งดี ๆ ก่อนที่เขาจะดึงสายบังเหียนและเจ้าเฮอร์มีสก็ออกวิ่งไปในทิศทางที่มุ่งตรงไปสู่คฤหาสน์



…………………………………………….





มีต่อ PART III นะคะ


Create Date : 23 สิงหาคม 2555
Last Update : 23 สิงหาคม 2555 18:24:41 น. 0 comments
Counter : 1804 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.