Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 15 The Liaison PART I



***Chapter 15 The Liaison: การเจรจาของเจ้าชาย***



ทันทีที่เข้าไปในห้องรับแขกสิ่งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นก็คือแผ่นหลังที่คุ้นเคยของเซเวอร์รัส สเนปซึ่งยืนอยู่บริเวณโซฟาโดยหันหลังให้ประตู แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีชายผมดำก็หันกลับมาเมื่อเขาได้ยินเสียงของหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาในห้อง ใบหน้าของอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอนั้นดูเคร่งขรึมและไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ ดังเช่นทุกวัน เพียงแต่ในวันนี้ดวงตาสีดำของเขานั้นมีแววพิจารณาและแววกังวลแฝงอยู่เท่านั้น และก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้พูดอะไรออกไปนั้นเอง สายตาของสเนปก็เหลือบไปเห็นร่างเล็ก ๆ ที่กำลังยืนอยู่ข้างหญิงสาว ซึ่งมันก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากทิสซี่ซึ่งตามนายหญิงของมันมาจากห้องสมุด และเมื่อเห็นเช่นนั้นชายผมดำจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“คุณนายมัลฟอย หวังว่าผมคงไม่ได้มารบกวนคุณหรอกนะ” เขาพูดขึ้นอย่างเป็นทางการ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับคำพูดแบบนี้จากอดีตอาจารย์ของเธอนั้นต้องใช้เวลาตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตอบออกมา

“ไม่หรอกค่ะ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรหรือคะถึงได้มาหาฉันถึงที่นี่” หญิงสาวได้ยินเสียงตัวเองตอบไปแบบนั้น แถมมันยังมีแววกังวลแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธออีกด้วย แต่ในครั้งนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็ยอมรับว่าเธอกังวลกับการมาเยือนของเซเวอร์รัส สเนปไม่น้อย แต่หญิงสาวกลับไม่ได้กังวลในเรื่องที่เขาจะมาทำร้ายเธอแต่อย่างใด เพราะอย่างมากที่สุดเท่าที่สเนปจะทำก็น่าจะเป็นการลบความทรงจำของเธอซึ่งมันเป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่เป็นกังวลในตอนนี้ก็คือ เธอกลัวว่าสามีของเธอจะกลับมาเจอสเนปอยู่ในบ้านของเขาในระหว่างที่หญิงสาวสมควรจะอยู่บ้านเพียงคนเดียวเข้ามากกว่า ซึ่งผลจากการที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากจะจินตนาการเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่พูดจบ เธอก็เห็นว่าสเนปมองมาทางเธอด้วยสายตาพิจารณาอีกครั้งเหมือนกับสายตาที่เขาใช้มองสำรวจน้ำยาในหม้อใหญ่ของนักเรียนแต่ละคนในตอนท้ายชั่วโมงก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

“ผมแค่เอายาที่เพิ่งปรุงเสร็จมาให้คุณเท่านั้น ซึ่งผมเชื่อว่ามันน่าจะรักษาบาดแผลของคุณให้หายสนิทได้” เขาพูดพลางปรายตามองมือข้างที่พันผ้าพันแผลไว้ของหญิงสาว แต่ถึงกระนั้นชายผมดำก็ยังไม่ได้หยิบขวดยาที่เขาบอกว่านำมาด้วยออกมาแต่อย่างใด

“และผมเกรงว่าจะต้องรบกวนเวลาของคุณในการฟังสรรพคุณและวิธีใช้ยาตัวนี้เสียหน่อย” สเนปพูดขึ้นพร้อมกับมองเธอด้วยแววตาที่มีความหมายซึ่งทำให้เฮอร์ไมโอนี่เข้าใจว่าชายตรงหน้านั้นไม่ได้ต้องการคุยกับเธอแค่ในเรื่องสรรพคุณของยาอย่างแน่นอน และเมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงหันไปยังเอลฟ์ที่ยืนอยู่ข้างกายก่อนจะพูดขึ้น

“ทิสซี่ เธอไปเตรียมน้ำชาและของว่างให้เรียบร้อยแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะคุยกับคุณสเนปเสียหน่อย” เธอพูดออกไปแม้ว่าจะรู้สึกแปลกมากทีเดียวที่ต้องเรียกชายตรงหน้าอย่างเป็นทางการแบบนี้ พอ ๆ กับการที่ได้ยินเขาเรียกเธอว่า ‘ คุณนายมัลฟอย ’ ซึ่งอันที่จริงแล้วหญิงสาวเคยชินกับการเรียกเขาว่า ‘ อาจารย์ ’ มากกว่า พอ ๆ กับที่เขาน่าจะเคยชินในการเรียกเธอว่า ‘ เกรนเจอร์ ’ เช่นเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็รู้ดีว่าพวกเขาควรจะเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกอีกฝ่ายให้เหมาะสมเมื่ออยู่ต่อหน้าเอลฟ์ประจำบ้านที่อาจจะเอาเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันไปรายนายท่านของมันอย่างละเอียดหลังจากนี้ก็เป็นได้

และเมื่อได้ยินคำสั่งของนายหญิงของมันแล้ว เอลฟ์ก็รับคำด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นก่อนที่จะหายตัวไปพร้อมเสียงดังป็อป และเมื่อแน่ใจว่าเอลฟ์ออกจากห้องไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่และสเนปก็หันมามองหน้ากันด้วยสายตาที่บอกว่าต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“คุณมาที่นี่เพื่ออะไรคะ” หญิงสาวถามออกมาตามตรง ขณะที่สเนปมองเธอด้วยสายตาราวกับเธอเพิ่งถามว่าเขาชื่ออะไรออกมา

“เธอก็น่าจะรู้นะว่าฉันมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร มิสเกรนเจอร์” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เขาใช้กับเธอเสมอเวลาที่เธอชอบแย่งตอบคำถามในชั้นเรียนของเขา

“’งั้นคุณก็กำลังจะบอกฉันว่าคุณมาที่นี่เพราะเรื่องความลับของคุณน่ะหรือคะ......” ทันทีที่เธอพูดจบประโยคสเนปก็ยกมือขึ้นพลางมองเธอด้วยแววตาเคร่งเครียด

“เงียบ! ไม่ใช่ที่นี่!” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมล่ะคะ ก็ฉันให้เอลฟ์ออกไปแล้วไง หรือคุณคิดว่าที่นี่มันไม่ปลอดภัยพอที่จะพูดถึงความลับของคุณอย่างนั้นหรือคะ” เธอพูดออกมา และเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามจ้องเธอกลับด้วยแววตาที่ดุดัน หญิงสาวซึ่งไม่อาจจะยั้งปากตัวเองได้ทันก็พูดออกมา

“ถ้าคุณคิดว่าที่นี่มันไม่ปลอดภัยนักล่ะก็ คุณก็น่าจะร่ายคาถากันรบกวนขึ้นนะคะ” หลังจากที่ประโยคนั้นจบลง สเนปก็ย่างสามขุมเข้ามาหาเธอ ร่างใหญ่ของเขาเข้ามายืนค้ำศีรษะของเฮอร์ไมโอนี่พลางมองเธอด้วยแววตาที่แทบจะลุกเป็นไฟ

“นี่เธอกำลังอวดว่าตัวเองเก่งกาจจนต้องมาแนะนำว่าฉันควรจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ เกรนเจอร์! หรือว่าเธอทนไม่ได้ที่จะต้องทำตัวเป็นเด็กที่รู้มากจนน่ารำคาญกันแน่!” ชายผมดำพูดขึ้น ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะอ้าปากเพื่อโต้เถียงอะไรบางอย่างออกไป แต่สเนปก็ไม่ให้โอกาสเธอพูดขัดเขาขึ้นมาแต่อย่างใด “ถ้าเธอคิดจะมาแนะนำฉันถึงวิธีที่จะเก็บรักษาความลับของฉันเอาไว้ หรือแม้กระทั่งจะมาอวดว่าตัวเองเก่งกาจที่ไปค้นพบความลับพวกนั้นเข้าล่ะก็ ฉันคิดว่าเธอน่าจะเก็บคำพูดของเธอเอาไว้ใช้กับเรื่องที่มันมีประโยชน์กับเธอมากกว่านี้ดีกว่านะ” แม้ว่าคำพูดที่ชายผมดำพูดขึ้นจะเป็นคำพูดที่ถากถางและเหยียดหยามหญิงสาวอย่างเช่นที่เขาเคยพูดกับเธอในชั่วโมงเรียนของเขาก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่าเธอเองไม่ได้โต้ตอบเขาออกไปแต่อย่างใด ตรงกันข้ามการที่สเนปพูดถึงความทรงจำที่เขาอุตส่าห์เก็บซ่อนไว้อย่างดีนั้นมันทำให้หญิงสาวคิดได้ว่าแท้จริงแล้วชายตรงหน้านั้นไม่ได้เป็นศัตรูของเธอและภาคีเลย เขาแทบจะไม่เคยเป็นศัตรูกับเธอเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามเขากลับยืนอยู่ฝ่ายดัมเบิลดอร์มาตลอดตั้งแต่ตอนที่แม่ของแฮร์รี่เสียชีวิตลงแล้ว รวมทั้งการที่เขายอมเสียสละตัวเองเป็นอย่างมากเพื่อแฝงตัวเป็นสายลับอยู่ท่ามกลางผู้เสพความตายแบบนี้มันทำให้เธอไม่อาจจะหาถ้อยคำใด ๆ มาต่อว่าเขากลับได้ ตรงกันข้ามเฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกผิดไม่น้อยที่เธอเคยจงเกลียดจงชังสเนปมาก่อน และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างตรงหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“อาจารย์ก็น่าจะรู้นะคะว่าฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปเจอความทรงจำพวกนั้น” หญิงสาวพูดขึ้น และเธอก็เห็นว่าสเนปมองเธอด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ราวกับเขาประหลาดใจไม่น้อยในคำพูดประโยคนี้ของเธอ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะเรียกเขาว่าอาจารย์อีกครั้งก็เป็นได้
หลังจากจ้องมองร่างเล็กตรงหน้าด้วยสายตาพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ชายผมดำจึงพูดขึ้น

“แต่ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเธอไม่ใช่หรือที่ทำให้เธอไปเจอพวกมันเข้า รวมทั้งทำให้ฉันเดือดร้อนจนฉันต้องมาหาเธอถึงที่นี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปโต้เถียงกับอดีตอาจารย์ของเธอพูดขึ้น

“ฉันว่าคุณคุยธุระของคุณมาก่อนดีกว่าค่ะ ฉันไม่แน่ใจว่าลูเซียสจะกลับมาตอนไหน” แม้ว่ามันจะฟังดูแปลกหูไม่น้อยที่เธอเรียกชื่อต้นของเพื่อนผู้เสพความตายของสเนปราวกับพวกเขาทั้งหมดมีอายุไล่เลี่ยกันแบบนี้ออกมา แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่มีเวลาพอที่จะไปสนใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ในเมื่อเธอมีเรื่องที่สำคัญมากกว่านี้ต้องจัดการ

“ถ้าเธอกลัวว่าลูเซียสจะกลับมาเจอฉันกับเธออยู่ด้วยกันอีก ฉันจะบอกให้เลยนะว่าเขาเพิ่งเข้าประชุมกับจอมมารรวมทั้งผู้เสพความตายคนอื่นไปเมื่อครู่ หลังจากเขาเพิ่งกลับมาจากการทำภารกิจที่จอมมารได้มอบหมาย แล้วการประชุมนี่ก็ไม่น่าจะเลิกในเร็ว ๆ นี้หรอก” เขาพูด และหญิงสาวก็เข้าใจทันทีว่าสเนปนั้นรู้ดีว่าสามีของเธอต้องเข้าไปประชุมตอนไหน เขาจึงเลือกที่จะมาหาเธอในเวลาที่เขาแน่ใจว่านายลูเซียสจะไม่กลับมาเจอพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันอีก ซึ่งนับว่ามันเป็นความคิดที่รอบคอบไม่น้อยทีเดียว แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่รู้สึกแปลกใจในเรื่องนี้นัก เนื่องจากเธอพอจะรู้จักอุปนิสัยของอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาคนนี้ของเธออยู่บ้าง

และเมื่อได้ยินว่าสามีของเธอเพิ่งเข้าประชุมกับจอมมารหลังจากที่เขาเพิ่งปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ หญิงสาวก็อยากรู้เป็นอย่างมากว่าภารกิจที่ลอร์ดโวลเดอมอร์สั่งให้นายลูเซียสไปทำนั้นคืออะไร แต่ถึงกระนั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ถามร่างตรงหน้าออกไป เพราะเธอรู้ดีว่านอกจากสเนปจะไม่ตอบคำถามนี้ของเธอออกมาง่าย ๆ แล้ว การมัวแต่พูดคุยในเรื่องพวกนี้เป็นการเสียเวลาที่มีค่าของทั้งสองไปโดยเปล่าประโยชน์แทนที่พวกเขาจะใช้เวลาอันจำกัดไปหารือเรื่องที่สำคัญมากกว่านี้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอจึงพูดประโยคอื่นขึ้นมาแทน

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ.......” เฮอร์ไมโอนี่เริ่มพูดด้วยท่าทีกังวล แต่ไม่ทันที่เธอจะได้พูดจนจบประโยคเธอก็ถูกชายตรงหน้าขัดขึ้นก่อน

“ที่ฉันต้องการก็แค่ได้คุยกับเธอตามลำพังเท่านั้น แต่ไม่ใช่ที่นี่ เพราะฉันไม่ไว้ใจว่าเอลฟ์จะไม่แอบฟังเรื่องที่เราพูดกัน” เขาพูดพลางมองไปที่ประตูห้องอย่างระมัดระวัง ขณะที่หญิงสาวกำลังจะอ้าปากพูดออกไป สเนปซึ่งไม่ให้โอกาสอดีตลูกศิษย์ของเขาโต้แย้งอะไรออกมาก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“อีกอย่างที่นี่มีเตาผิง ซึ่งฉันไม่แน่ใจว่ามันเชื่อมต่อกับเครือข่ายผงฟลูหรือเปล่า แล้วมันก็คงไม่ดีแน่ถ้าลูเซียสใช้ผงฟลูเข้ามาที่นี่ตอนที่ฉันกับเธอกำลังพูดคุยเรื่องที่ควรจะเป็นความลับกันอยู่” เขากล่าวอย่างรอบคอบ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วพลางกัดริมฝีปากซึ่งเป็นกริยาที่เธอมักทำเป็นประจำเมื่อต้องใช้ความคิด

ในตอนนี้ที่พวกเขาต้องการมากที่สุดก็คือที่เงียบ ๆ เพื่อพูดคุยกันซึ่งต้องอยู่พ้นจากสายตาของพวกเอลฟ์ประจำบ้านและจะต้องเป็นที่ที่ไม่มีเตาผิงซึ่งอาจจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายผงฟลูได้ด้วย และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้ว่าในคฤหาสน์หลังนี้มีเตาผิงอันไหนบ้างที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายผงฟลูอยู่บ้างทำให้ห้องที่มีเตาผิงนั้นต้องถูกตัดออกจากตัวเลือกไป และถึงแม้ว่าห้องอาหารซึ่งเป็นห้องเดียวที่หญิงสาวรู้ว่าเตาผิงที่นั่นไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายผงฟลูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจก็ตาม แต่เธอก็จำเป็นต้องตัดตัวเลือกนี้ออกไปภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้ว่าห้องอาหารนั้นอยู่ใกล้กับห้องครัวมากเกินไปแถมมันยังมีประตูเชื่อมถึงกันอีก ซึ่งเธอไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะไม่มีเอลฟ์ประจำบ้านที่ทำงานในครัวเข้ามาเตรียมสถานที่สำหรับให้เจ้านายของมันทานอาหารเย็นในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่หรือไม่

และหลังจากใช้เวลาระดมสมองอยู่ครู่หนึ่ง คำตอบก็ผุดขึ้นในสมองของเฮอร์ไมโอนี่เหมือนทุกครั้งที่เธอพยายามคิดหาคำตอบของโจทย์ที่ยาก ๆ ในข้อสอบ ซึ่งเธอมักจะได้คำตอบที่ถูกต้องอยู่เสมอ หลังจากใช้สมองอยู่ไม่นานนักหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองอดีตอาจารย์ของเธอพร้อมกับพูดขึ้น
“ฉันคิดได้อยู่ที่นึงค่ะ”



…………………………………………….


หลังจากนั้นไม่นานนักเฮอร์ไมโอนี่ก็พาสเนปขึ้นมาที่ห้องสมุด ซึ่งน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดที่พวกเขาจะสามารถคุยกันได้ อันที่จริงแล้วสถานที่ที่หญิงสาวต้องการให้เป็นที่สำหรับการเจรจาระหว่างเธอกับสเนปนั้นไม่ใช่ห้องสมุดที่มีเตาผิงตั้งอยู่ แต่เป็นห้องทำงานของนายลูเซียสซึ่งตั้งอยู่ด้านในของห้องสมุดซึ่งเธอไม่เคยเข้าไปต่างหาก! และสาเหตุที่เธอคิดว่ามันน่าจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดนั้นก็เพราะมันเป็นที่ที่สามีของเธอห้ามเธอเข้าไป ซึ่งแน่นอนว่าในห้องนั้นจะต้องไม่มีเอลฟ์ประจำบ้านตัวไหนกล้าเข้าไปเพ่นพ่านอย่างแน่นอน และที่สำคัญก็คือถ้าหากมีเอลฟ์ตัวไหนเกิดเห็นเธอกับสเนปเดินเข้าไปในห้องสมุดด้วยกัน เธอก็สามารถอ้างได้ว่าพวกเขาแค่เข้าไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวยาที่จะใช้รักษาบาดแผลของหญิงสาวเท่านั้น รวมทั้งการพูดคุยกันในห้องทำงานของนายลูเซียสนั้นดูน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยกว่าในห้องสมุดที่มีเตาผิงอยู่รวมทั้งมันยังเป็นที่นี่เอลฟ์สามารถหายตัวเข้ามาได้ตลอดเวลาอีกด้วย และเอลฟ์ประจำบ้านก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าทั้งเธอและสเนปนั้นเข้าไปในห้องทำงานของนายท่านของมัน เพราะเท่าที่พวกมันจะเห็นได้ก็คือเธอและเขาเดินเข้าไปในห้องสมุดด้วยกันเท่านั้น

เมื่อสามารถหาสถานที่สำหรับพูดคุยกันได้แล้ว หลังจากนั้นไม่นานนักทั้งเฮอร์ไมโอนี่และสเนปก็มายืนอยู่หน้าห้องทำงานของลูเซียส ซึ่งถูกลงคาถาล็อคห้องเอาไว้ และหลังจากที่ผ่านการอธิบายรวมทั้งการซักถามไปครู่หนึ่งแล้ว ชายผมดำซึ่งไม่คัดค้านความคิดเห็นของอดีตลูกศิษย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยสอนมาก็ยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นพร้อมกับร่ายคาถา ‘ อาโลโฮโมร่า ’ เพื่อเปิดประตูห้องทำงาน แต่ปรากฏว่าคาถาดังกล่าวกลับไม่สามารถคลายคาถาที่เจ้าของห้องล็อคห้องเอาไว้ได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นสเนปจึงลองเปลี่ยนไปใช้คาถาอีกคาถาหนึ่งที่มีพลังมากกว่า ซึ่งผลที่ตามมาก็คือประตูห้องดังกล่าวเปิดออกทันทีหลังจากที่ชายผมดำร่ายคาถาจบ

แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เข้ามาในห้องทำงานของนายลูเซียสที่เขาได้สั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาดไม่ให้เธอเข้ามาก็ตาม แต่เธอกลับไม่พบว่ามันมีอะไรน่าสนใจมากเท่าไหร่นัก เพราะในห้องนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางห้องเท่านั้น ส่วนผนังด้านซ้ายและขวานั้นก็เป็นชั้นหนังสือและตู้เก็บเอกสารซึ่งหญิงสาวแน่ใจว่ามันคงต้องเป็นที่เก็บหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์มืดขั้นสูงรวมทั้งเอกสารส่วนตัวของนายมัลฟอยไว้อย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ต้องการที่จะไปสำรวจมันแต่อย่างใด ราวกับว่าเธอรู้ดีว่าในตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าที่จะต้องทำ

หลังจากมองสำรวจห้องทำงานของสามีได้เพียงรอบเดียวเท่านั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็หันกลับไปหาอดีตอาจารย์ของเธอหลังจากที่เขาเพิ่งลงมือปิดประตูห้องและร่ายคาถากันรบกวนเสร็จ และเมื่อเธอทำเช่นนั้นหญิงสาวก็เห็นว่าชายผมดำกำลังดึงอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุม และเมื่อมองให้ดี ๆ แล้วเธอก็พบว่ามันเป็นขวดยาขนาดใหญ่กว่าขวดที่เขาเคยใช้ใส่แผลให้เธอเมื่อวานเล็กน้อย และก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกไปนั้นสเนปก็ส่งขวดยาดังกล่าวให้เธอ

“ฉันเอายานี่มาให้เธอ เอาไว้ทาแผลวันละสองเวลา ไม่เกินสามวันปากแผลของเธอก็จะปิดสนิท” เขาอธิบายเรียบ ๆ พลางส่งขวดยาดังกล่าวให้เฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งหญิงสาวก็รับมันมาโดยดี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างใหญ่ตรงหน้าและเพราะการกระทำนั้นเองที่ทำให้เธอเห็นแววเคร่งเครียดซึ่งฉายอยู่ในดวงตาสีดำของสเนปก่อนที่เขาจะพูดออกมา

“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันเดาเอาว่าเธอคงไม่ได้เล่าให้ลูเซียสฟังใช่ไหม” ชายผมดำเริ่มบทสนทนาอันตึงเครียดของเขาด้วยคำถามที่ฟังดูแล้วน่าจะสำคัญที่สุด แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถามที่เขาเองก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วเช่นกัน

เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าเบา ๆ กับคำถามนั้นก่อนจะพูดออกมา

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้เล่า เพียงแต่เขาเองก็คาดคั้นฉันไม่น้อยว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกังวล

“แล้วเธอตอบเขาไปว่ายังไง” สเนปถาม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากก่อนจะตอบออกมา

“ฉันก็ตอบว่ามันเป็นอย่างที่คุณพูดนั่นแหละค่ะ คือคุณเข้ามาเห็นฉันกำลังอ่านเอกสารของคุณอยู่ คุณก็เลยโกรธมาก” เธอพูด ขณะที่สเนปมีท่าทีราวกับเขากำลังใช้ความคิดอยู่

“แล้วลูเซียสเชื่อที่เธอพูดอย่างนั้นหรือ” เขาถามออกมา

“เขาก็เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อหรอกค่ะ เพียงแต่เขาไม่ได้ถามอะไรต่อเท่านั้นเอง” หญิงสาวตอบออกมาตามตรง ก่อนที่ชายผมดำจะเขยิบเข้ามาใกล้เธออีกก้าวหนึ่งพลางมองเธอด้วยดวงตาสีดำที่ดูเคร่งเครียดของเขา

“แล้วเขาได้พินิจใจเธอไหม” ชายผมดำถามตามตรง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กลืนน้ำลายก่อนจะตอบออกมา

“เขาขู่ว่าจะทำอย่างนั้นค่ะ” หญิงสาวบอก ขณะที่สเนปพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะถามต่อ

“แต่เขาไม่ได้ทำจริง ๆ ใช่ไหม”

“ไม่ค่ะ” เธอตอบพร้อมกับส่ายหน้า “เขาแค่ขู่เท่านั้น”

“แล้วถ้าหากเขาพินิจใจเธอขึ้นมาจริง ๆ เธอคิดว่าเธอจะรับมือกับมันได้ไหม” สเนปถาม

“ฉันไม่แน่ใจค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบออกไปตามตรง และหลังจากเธอพูดจบสิ่งที่หญิงสาวได้รับก็คือสายตาที่มองมาทางเธออย่างเคร่งเครียดของฝ่ายตรงข้าม แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่ก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยการถามขึ้นว่า

“เรื่องที่เกิดขึ้น.......ความทรงจำที่ฉันได้ดูนั้น มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ” เธอถามออกมา และสิ่งที่เธอได้รับจากคำถามนั้นก็คือสายตาที่เกือบจะเรียกได้ว่าเหยียดหยามของอดีตอาจารย์ของเธอเอง

“ฉันไม่รู้นะว่าเธอถามคำถามสิ้นคิดแบบนี้ออกมาได้ยังไง เกรนเจอร์ เพราะถ้าเรื่องที่เธอเห็นมันไม่ใช่เรื่องจริงล่ะก็ฉันคงไม่ต้องดั้นด้นมาพบเธอถึงที่คฤหาสน์นี่หรอก” สเนปพูดอย่างประชดประชัน และแม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาจะรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอายเพราะคำพูดของเขาก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรออกไป

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ ฉันแค่.....” เฮอร์ไมโอนี่อึกอัก เธอมองสบตาอีกฝ่ายอย่างลำบากใจก่อนจะพูดออกมา “เพียงแต่สิ่งที่ฉันเห็นนั้นมัน.........ฉันไม่คิดมาก่อนว่าคุณจะภักดีต่อดัมเบิลดอร์ถึงขนาดนี้” เธอพูดออกมาตามตรงพลางมองร่างตรงหน้าอย่างหวาดระแวง ราวกับเธอกลัวว่าเขาอาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง แต่หญิงสาวกลับคิดผิดเพราะสเนปไม่ได้มีท่าทีโมโหกับคำพูดของเธอแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับมีท่าทีเรียบเฉยแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชา

“บางทีเธออาจจะเข้าใจผิดก็ได้ที่คิดว่าสิ่งที่ฉันมีให้ดัมเบิลดอร์คือความจงรักภักดี ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอก็น่าจะรู้ว่าฉันกับดัมเบิลดอร์ได้ตกลงอะไรกันไว้” เขาพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่ดวงตาสีดำของสเนปนั้นจ้องมองเฮอร์ไมโอนี่อย่างไม่วางตาราวกับเขาต้องการจะสังเกตุหญิงสาวในทุก ๆ อากัปกริยาของเธอ ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเองเฮอร์ไมโอนี่เองก็ลอบสังเกตุท่าทีของเขาด้วยเช่นกัน และจากการพิจารณาของเธอแล้วเธอก็คิดว่าสิ่งที่ชายผมดำพูดออกมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างของเขาเท่านั้น เนื่องจากเธอพอจะรู้มาบ้างว่าสเนปนั้นไม่ใช่คนที่ปากตรงกับใจสักเท่าไหร่นัก เพราะเท่าที่เธอรู้จักเขามาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ฮอกวอตส์นี้ ดูเหมือนว่าชายผมดำจะไม่ค่อยพูดสิ่งที่เขาคิดออกมาโต้ง ๆ เสียเท่าไหร่นัก อาจจะยกเว้นตอนที่เขาวิจารณ์เนวิลล์ว่ากะโหลกหนาแค่ไหนในชั่วโมงเรียนวิชาปรุงยาของเขาเท่านั้น

“แต่คุณก็เสียสละเพื่อดัมเบิลดอร์รวมทั้งแฮร์รี่มาเยอะไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวพูดออกไป ในขณะเดียวกันนั้นเธอก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ก่อนหน้านี้เธอเคยเกลียดชังรวมทั้งเคยด่าทอสเนปมาก่อน เพราะเธอเข้าใจว่าเขาเป็นฆาตกรที่ฆ่าสังหารดัมเบิลดอร์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเธอกลับไม่รู้เลยว่าการกระทำของสเนปนั้นเป็นการช่วยดัมเบิลดอร์ให้มีจุดจบอย่างที่เขาต้องการต่างหาก

และดูเหมือนว่าชื่อเพื่อนรักของเธอนั้นจะไปกระตุ้นต่อมโกรธของสเนปเข้า เพราะหลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่พูดจบ อดีตอาจารย์ของเธอก็ย่างสามขุมเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวว่า

“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้เธอชื่นชมหรือวิจารณ์การกระทำของฉันหรอกนะ เกรนเจอร์” สเนปพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเดียวกับที่เขามักใช้พูดกับเธอในตอนที่เธอพยายามจะเสนอความคิดเห็นในชั้นเรียนของเขาโดยที่เขาไม่ต้องการ แต่ในครั้งนี้เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้เอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบแล้วยอมให้เขาดุว่าเหมือนสมัยที่เธอยังเป็นนักเรียนของเขาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามเธอกลับเถียงขึ้นมาว่า

“แล้วคุณมาที่นี่เพื่ออะไรกันคะ เพื่อลบความทรงจำของฉันอย่างนั้นใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามออกไปตามตรง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นมองเธออย่างแปลกใจ ความโกรธเกรี้ยวดูราวกับจะจางหายไปจากใบหน้าของเซเวอร์รัส สเนปในทันที ดวงตาสีดำที่เคยดูเกรี้ยวกราดของเขาในตอนนี้ได้เปลี่ยนกลับมาเป็นดวงตาที่ดูลึกลับตามแบบฉบับของชายผมดำเมื่อเขาพูดออกมา

“อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้นกัน มิสเกรนเจอร์” เขาถามพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่มักเต็มไปด้วยแววอยากรู้อยากเห็นของอดีตลูกศิษย์ และเมื่อถึงตอนนี้สเนปก็ได้ล่วงรู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าของเขานั้นได้ตระหนักถึงผลร้ายของความอยากรู้อยากเห็นที่เกินขอบเขตของตัวเองเสียแล้วเมื่อเธอพูดขึ้น

“ก็มันเป็นสิ่งที่คุณควรจะทำมากที่สุดไม่ใช่หรือคะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างมีเหตุผล ขณะที่ชายผมดำเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าเขานั้นได้เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะเธอได้เปลี่ยนจากเด็กสาวที่ฉลาดแค่ทางด้านปัญหาแต่ยังขาดความสมดุลย์ทางด้านอารมณ์ มาเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดและเข้มแข็งขึ้นมาในระยะเวลาเพียงไม่นานเมื่อเขาฟังเธอพูดต่อ

“ฉันไปล่วงรู้ความลับของคุณเข้าโดยบังเอิญ และจากที่คุณพูด มันก็น่าจะมาจากความอยากรู้อยากเห็นของฉันเอง ซึ่งฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเลยนะคะ แล้วถ้าหากฉันรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเป็นแบบนี้ฉันก็คงจะไม่ไปแตะต้องความทรงจำพวกนั้นของคุณอย่างแน่นอนค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมาจากใจจริงว่าเธอรู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเอง รวมทั้งเธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปยุ่งกับความทรงจำที่สำคัญยิ่งของสเนปจริง ๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตามสายตาที่ชายผมดำใช้มองหญิงสาวตรงหน้านั้นกลับไม่ได้ดูอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย แต่มันยังคงจับจ้องเธอด้วยแววพิจารณาอยู่ตามเดิม

“ถึงเธอจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปได้หรอก” สเนปพูดอย่างเย็นชา ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่ที่คาดคิดไว้อยู่แล้วว่าชายผมดำจะตอบเธอว่าอะไรก็พูดขึ้น

“คุณก็เลยจะมาที่นี่เพื่อลบความทรงจำของฉันใช่ไหมคะ” เธอถามกลับไปอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมองสบตาเธอด้วยท่าทีอึดอัดใจ


ใช่แล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงที่เซเวอร์รัส สเนปมาที่นี่ก็เพราะเขาต้องการจะลบความทรงจำของเฮอร์ไมโอนี่ออกเสีย แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับชายผมดำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการรักษาความลับที่สำคัญเทียบเท่าชีวิตของเขาไว้อย่างปลอดภัยโดยที่เขาจะให้ใครล่วงรู้เกี่ยวกับความลับดังกล่าวนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่เมื่อหญิงสาวซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ของเขาได้มารับรู้ความลับนี้เข้าเสียแล้ว สเนปก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะลบความทรงจำของเธอเสีย เพื่อที่เธอจะจำเรื่องราวที่เธอไม่ควรจะไปรับรู้เหล่านั้นไม่ได้อีกต่อไป และที่เขาเลือกมาหาหญิงสาวในตอนที่สามีของเธอไม่อยู่บ้าน รวมทั้งที่เขาต้องการจะพูดคุยกับเธอเพียงลำพังนั้นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้เอลฟ์หรือใครก็ตามล่วงรู้ในสิ่งที่เขากำลังจะทำกับเฮอร์ไมโอนี่ และหลังจากที่ลบความทรงจำของหญิงสาวแล้ว สเนปก็จะปรับความทรงจำของเธอเสียใหม่ โดยให้เธอเข้าใจว่าเธอเพียงแค่บาดเจ็บที่มือแล้วเข้าไปหายารักษาที่ห้องทำงานของเขาเท่านั้น และหลังจากที่เธอกลับมาที่คฤหาสน์แล้ว เขาก็มาเยี่ยมเธอที่นี่เพื่อเอายาสำหรับใส่แผลมาให้ เผื่อว่าภายหลังเมื่อลูเซียส มัลฟอยผู้เป็นสามีของเฮอร์ไมโอนี่และเพื่อนผู้เสพความตายของเขากลับมาที่บ้านและเกิดได้ฟังคำบอกเล่าจากเอลฟ์ประจำบ้านว่าเขามาเยี่ยมภรรยาของชายผมบลอนด์ที่คฤหาสน์ในเวลาที่เขาไม่อยู่บ้าน ความทรงจำที่เขาแต่งขึ้นนี้จะสามารถนำไปใช้เป็นข้ออ้างกับสามีของหญิงสาวได้

แต่ถึงจะวางแผนดังกล่าวมาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วก็ตาม แต่สเนปก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่เฮอร์ไมโอนี่นั้นสามารถคาดเดาการกระทำของเขาได้อย่างแม่นยำอย่างที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน แต่เมื่อลองพิจารณาจากสติปัญญาของหญิงสาว รวมทั้งความน่าจะเป็นในสถานการณ์ดังกล่าวแล้วเขาก็พบว่าการที่เฮอร์ไมโอนี่สามารถคาดเดาการกระทำของเขาออกนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกแต่อย่างใด และเมื่อเป็นเช่นนั้นชายผมดำจึงมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่ดูเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งของอดีตลูกศิษย์ก่อนจะพูดขึ้น

“ใช่ ฉันตั้งใจจะทำอย่างนั้น” เขาสารภาพออกไปตามตรง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีตกใจอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเธอจะได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตามว่าสเนปจะตอบเธอออกมาแบบนี้ และเพราะความตกใจนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวถอยห่างออกจากร่างตรงหน้าไปหนึ่งก้าว ราวกลับเธอกลัวว่าชายผมดำจะชักไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาและเสกคาถาลบความทรงจำใส่เธอในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลของเธอมองร่างสูงตรงหน้าอย่างหวาดหวั่นก่อนที่เธอจะรวบรวมความกล้าพูดออกไป

“แล้วถ้าฉันขอร้องไม่ให้คุณทำแบบนี้ล่ะค่ะ” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ขณะที่ร่างตรงหน้านั้นมองเธออย่างแปลกใจ

“แล้วเธอมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้ฉันทำแบบนี้ล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่นั้นค่อย ๆ เดินถอยหลังไปอีกสองก้าวจนหลังของเธอไปชนกับโต๊ะทำงานที่วางอยู่กลางห้อง และเมื่อรู้ตัวว่าเธอไม่อาจหนีไปไหนได้อีกแล้วหญิงสาวจึงพูดขึ้น

“เพราะว่า......เพราะฉันไม่อยากกลับไปเกลียดคุณอีกค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่สารภาพออกไป และสิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือสายตาของสเนปที่มองมาทางเธออย่างประหลาดใจมากที่สุด ราวกับเขาเพิ่งได้ยินคำพูดที่แปลกประหลาดมากที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา แต่ถึงร่างตรงหน้าจะมองมาทางเธอด้วยสายตาราวกับเธอเป็นคนเสียสติก็ตาม แต่หญิงสาวก็ยอมรับว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปนั้นเป็นความจริงทุกประการ เพราะเหตุผลหลัก ๆ ที่เธอไม่ต้องการให้สเนปลบความทรงจำของเธอแม้จะรู้ดีว่ามันเป็นทางเดียวที่จะปกป้องความลับของเขาไว้ได้เป็นเพราะเธอไม่ต้องการที่จะกลับไปเกลียดเขารวมทั้งเข้าใจว่าเขาเป็นฆาตกรอีกต่อไป ในเมื่อเธอได้รู้ความจริงแล้วว่าเขาเป็นผู้ที่เสียสละมาโดยตลอด

“อะไรทำให้เธอคิดว่าฉันไม่ต้องการจะให้เธอเกลียดฉันกัน มิสเกรนเจอร์” สเนปพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เธอคิดว่าฉันสนอย่างนั้นหรือว่าเธอจะเกลียดฉันหรือเปล่า ในเมื่อตอนนี้ทุกคนในภาคีก็น่าจะคิดแบบเดียวกับเธอก่อนหน้านี้ แล้วเธอคิดว่าฉันสนเรื่องที่คนอื่นเชื่อว่าฉันเป็นฆาตกรที่ฆ่าดัมเบิลดอร์งั้นหรือ เธอคิดว่าฉันยังจะสนใจว่าคนอื่นจะคิดกับฉันยังไง หรือจะเกลียดฉันแค่ไหนอีกอย่างงั้นหรือ” ชายผมดำพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่ลึก ๆ แล้วเฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกว่าเขาต้องการจะตอกย้ำถ้อยคำนั้นกับตัวเองมากกว่าที่จะบอกมันกับเธอ

“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นค่ะ” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “เพียงแต่ฉันไม่ต้องการกลับไปเข้าใจคุณในแบบที่ฉันเคยเข้าใจอีก ฉัน........ฉันรู้สึกผิดนะคะ....ที่เคยคิดว่าคุณ…….อาจารย์เป็นคนทรยศ” เธออธิบาย แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้สเนปจะไม่ยอมฟังเธออีกต่อไป

“ฉันบอกแล้วไง เกรนเจอร์ ว่าฉันไม่สนว่าคนอื่นจะมองฉันยังไง เพราะถ้าฉันสนใจเรื่องนั้นล่ะก็ ฉันคงไม่ยอมทำงานให้ดัมเบิลดอร์ตั้งแต่แรกแล้ว!” เขาพูดด้วยเสียงอันดังราวกับความอดทนของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยังคงไม่ล้มเลิกความพยายามของเธอ เพราะหลังจากที่เห็นว่าชายตรงหน้าระเบิดโทสะออกมาเรียบร้อยแล้วและเริ่มมีท่าทีที่สงบลงแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ร่างใหญ่ที่เธอเคยถอยหนีไปก่อนหน้าเล็กน้อย หญิงสาวมองเข้าไปในดวงตาสีดำที่ยังคงครุกรุ่นอยู่ด้วยอารมณ์โกรธของอดีตอาจารย์ของเธอก่อนจะพูดออกมา

“อาจารย์คะ ได้โปรดเถอะนะคะ อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูด พลางมองชายผมดำด้วยสายตาที่บอกว่าเธอหมายความตามที่พูดจริง ๆ และแม้ว่าหญิงสาวจะรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินตัวเองพูดแบบนั้นออกไป แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าทำไมเธอถึงไม่ต้องการให้สเนปลบความทรงจำของเธอมากจนถึงขนาดยอมเอ่ยปากขอร้องเขาแบบนี้ ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงของเธอนั้นไม่ได้เป็นเพราะเธอไม่ต้องการที่จะกลับไปเกลียดชังเซเวอร์รัส สเนปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่แท้ที่จริงเหตุผลหลักของเฮอร์ไมโอนี่ในการทำเช่นนี้เป็นเพราะเธอไม่ต้องการที่จะสูญเสียความทรงจำของพ่อมดเพียงคนเดียวที่ภักดีกับดัมเบิลดอร์และอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอท่ามกลางเหล่าผู้เสพความตายที่ล้วนแต่เป็นสมุนที่ซื่อสัตย์ของลอร์ดโวลเดอมอร์ซึ่งรายล้อมอยู่รอบกายของเธอในตอนนี้ เนื่องจากการสูญเสียความทรงจำที่เธอเพิ่งได้รับรู้มาก็เท่ากับเป็นการสูญเสียคนที่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอเพียงคนเดียวในโลกของผู้เสพความตายนี้ไปด้วย และถึงแม้ว่าหญิงสาวจะรู้ดีว่าสเนปนั้นไม่อาจจะช่วยเหลือเธอให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่นี้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเธอก็รู้สึกอุ่นใจไม่น้อยที่ได้พบว่ามีคนที่ภักดีต่อดัมเบิลดอร์อยู่ใกล้เธอคนหนึ่ง ท่ามกลางผู้เสพความตายนับร้อยที่รายล้อมเธออยู่ในตอนนี้

หลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยปากขอร้องสเนปออกไปนั้นเอง เขาก็มองเธอด้วยสายตาราวกับเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ท่าทีของชายผมดำหลังจากที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาวนั้นดูหงุดหงิดมากกว่าอะไรทั้งหมด ซึ่งมันดูเหมือนท่าทีในตอนที่เฮอร์ไมโอนี่ชิงตอบคำถามที่เขาไม่ต้องการจะให้เธอเป็นคนตอบในชั้นเรียนของเขามาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ชักไม้กายสิทธิ์ออกมาร่ายคาถาลบความทรงจำของเธอแต่อย่างใด ตรงกันข้ามสเนปกลับมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างลำบากใจระคนหงุดหงิดใจก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

“เธอคิดจริง ๆ หรือมิสเกรนเจอร์ว่าฉันจะยอมเห็นแก่คำขอร้องของเธอแล้วปล่อยให้แผนการของดัมเบิลดอร์รวมทั้งชีวิตของฉันเองต้องมาเสี่ยงต่ออันตรายอย่างใหญ่หลวงเพียงเพราะว่าเธอขอร้องฉันน่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญราวกับว่าเขาต้องมาอธิบายวิธีการหั่นรากเดซี่เบื้องต้นให้แม่มดที่บรรลุนิติภาวะแล้วอย่างเฮอร์ไมโอนี่ฟัง

“แล้วถ้าหากฉันสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายความลับของคุณออกไปให้ใครก็ตามได้รู้ รวมทั้งฉันจะทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาความลับนี้ไว้ล่ะคะ” เธอพูด และสเนปก็มีท่าทีหงุดหงิดมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ฉันแน่ใจว่าเธอเป็นแม่มดที่มีความสามารถ รวมทั้งเธอยังเป็นทายาทของเรเวนคลออีกด้วย และบางทีเธออาจจะปิดกั้นใจตัวเองออกจากการมองเห็นของลูเซียสได้ ซึ่งฉันไม่อยากจะพูดสบประสาทเขาหรอกนะ แต่ลูเซียสไม่ใช่นักพินิจใจที่ดีเท่าไหร่ แต่ฉันคิดว่าถึงเธอจะสามารถปิดกั้นใจของตัวเองจากการพินิจใจของพ่อมดที่เก่งกาจมากกว่านี้ได้แต่เธอก็คงไม่สามารถปิดกั้นใจตัวเองจากการมองเห็นของจอมมารซึ่งเป็นนักพินิจใจที่ดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาได้ เพราะฉะนั้น......” ไม่ทันที่ชายผมดำจะพูดจบ เฮอร์ไมโอนี่ก็ขัดขึ้นก่อน

“แต่คุณก็สามารถทำได้ไม่ใช่หรือคะ คุณสามารถปิดกั้นใจตัวเองจากจอมมารมาได้ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่” เธอพูดตามตรง ขณะที่อีกฝ่ายนั้นมีท่าทีหัวเสียมากขึ้น

“นั่นมันไม่ใช่ประเด็น เกรนเจอร์!” สเนปแผดเสียงออกมา เห็นได้ชัดว่าความอดทนของเขาได้หมดลงแล้ว “แล้วถ้าเธอไม่เลิกต่อล้อต่อเถียงกับฉันด้วยเรื่องไร้สาระนี่อีกล่ะก็......” แต่ไม่ทันที่ชายผมดำจะได้พูดจบ หญิงสาวตรงหน้าเขาก็ขัดขึ้นก่อน

“แล้วทำไมคุณไม่ลองทดสอบดูล่ะคะ ว่าฉันสามารถสกัดใจได้ดีแค่ไหน” เธอพูดออกมา และดูราวกับคำพูดนั้นเป็นข้อสรุปที่ให้กับการถกเถียงทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมทั้งเป็นหนทางไปสู่ทางออกในการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมอย่างยิ่งอีกด้วย เพราะถ้าหากสเนปทดสอบเฮอร์ไมโอนี่แล้วพบว่าเธอไม่สามารถปิดกั้นใจตัวเองจากนักพินิจใจที่มีพลังอำนาจสูงได้ สเนปก็ควรที่จะลบความทรงจำของเธอเสียด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องความลับเขาไว้ได้ แต่ถ้าหากหญิงสาวสามารถปิดกั้นใจของเธอจากการมองเห็นของเขาได้ ก็แสดงว่าเธอมีความสามารถพอที่จะรักษาความลับของชายผมดำไว้ได้ และการลบความทรงจำของเธอนั้นก็จะไม่เป็นเรื่องจำเป็นอีกต่อไป

แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบความคิดที่หญิงสาวเสนอขึ้นมานักก็ตาม แต่เพราะเหตุผลอะไรบางอย่างที่สเนปก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้เขากลับยอมทำตามที่เฮอร์ไมโอนี่ขอแต่โดยดี หลังจากที่ได้มองดวงตาสีน้ำตาลที่เด็ดเดี่ยวของเธอแล้ว ราวกับลึก ๆ แล้วสเนปเองก็ต้องการจะทดสอบความสามารถในการสกัดใจของอดีตลูกศิษย์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่นของเขาคนนี้เหมือนกัน

และโดยไม่มีการเตือนใด ๆ ทั้งสิ้นชายผมดำก็ยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นชี้ไปที่ร่างตรงหน้าพร้อมกับเพ่งสมาธิและเริ่มเจาะเข้าไปในใจของหญิงสาว!


…………………………………………….


ในขณะเดียวกันกับที่สเนปกำลังเจาะเข้าไปในใจของเฮอร์ไมโอนี่เพื่อทดสอบความสามารถในการสกัดใจของเธออยู่นั้น ณ ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดที่ตั้งอยู่ห่างจากคฤหาสน์มัลฟอยไปหลายร้อยไมล์ ลูเซียส มัลฟอยกำลังนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในที่ประชุมระหว่างจอมมารและสมุนที่เพิ่งทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาสำเร็จ อันที่จริงนายมัลฟอยนั้นนั่งประชุมอยู่ด้วยความอึดอัดใจมาเป็นเวลานานกว่า 15 นาทีแล้วหลังจากที่เขาได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่คฤหาสน์ของเขา

หลังจากที่ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจให้เจ้านายของเขาตั้งแต่เช้าแล้ว นายลูเซียสรวมทั้งผู้เสพความตายคนอื่น ๆ ที่ไปร่วมปฏิบัติภารกิจกับเขาเสร็จสิ้นแล้วก็ต้องมาเข้าประชุมกับลอร์ดโวลเดอมอร์เพื่อรายงานผลของการปฏิบัติภารกิจรวมทั้งวางแผนในขั้นต่อไปด้วย และในระหว่างการประชุมที่ยาวนานนั้นเอง ชายผมบลอนด์ก็รู้สึกร้อนบริเวณกระเป๋าเสื้อคลุม และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงล้วงมือเข้าไปหยิบของบางอย่างในกระเป๋าออกมา

วัตถุที่นายมัลฟอยหยิบออกมานั้นมีลักษณะเหมือนนาฬิกาพกของผู้ชายที่มีเรือนสีทองและมีสายสำหรับห้อยคอ นายลูเซียสจ้องมองสิ่งของในมือของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนที่จะเปิดมันออก

แม้ว่ารูปร่างภายนอกของสิ่งที่อยู่ในมือชายผมบลอนด์นั้นจะดูเหมือนนาฬิกามากก็ตาม แต่ภายในของมันกลับไม่ได้มีเข็มนาฬิกาที่ใช้บอกเวลาอยู่แต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับประกอบด้วยอัญมณีที่มีสีต่าง ๆ กันจำนวนสี่เม็ดเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งอัญมณีแต่ละเม็ดนั้นเป็นตัวแทนของสถานที่ที่นายลูเซียสได้ร่ายคาถาป้องกันขั้นสูงไว้ รวมทั้งเขาได้ร่ายคาถาเตือนภัยซึ่งเชื่อมต่อกับวัตถุเวทย์มนต์ที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้ด้วย ซึ่งมันจะเตือนเขาทุกครั้งที่มีผู้บุกรุกเข้าไปในสถานที่เหล่านั้น ซึ่งสถานที่ดังกล่าวก็มี ห้องทำงานของชายผมบลอนด์ที่ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดซึ่งเขาใช้เป็นที่เก็บสิ่งของศาสตร์มืดรวมทั้งเอกสารสำคัญต่าง ๆ ห้องลับใต้ดินของคฤหาสน์ซึ่งเป็นสถานที่เดิมที่เขาเคยใช้เก็บสิ่งของศาสตร์มืดรวมทั้งมันยังคงเป็นที่เก็บสิ่งของบางชิ้นที่ยังไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายมาที่ศูนย์บัญชาการฯ ที่ที่สามคือห้องเก็บสมบัติประจำตระกูลของเขาซึ่งเป็นห้องลับซ่อนอยู่ในปีกด้านตะวันตกของคฤหาสน์ มันเป็นที่ที่นายมัลฟอยใช้เก็บของมีค่าประจำตระกูลซึ่งส่วนมากเป็นทองจำนวนหนึ่งที่เขาไม่ได้นำไปฝากไว้ที่กริงกอตส์รวมทั้งเพชรพลอยจำนวนมากอีกด้วย

ส่วนที่สุดท้ายนั้นก็คือห้องทำงานของเขาที่อยู่ติดกับห้องสมุดซึ่งทั้งเฮอร์ไมโอนี่และสเนปตัดสินใจใช้เป็นสถานที่สำหรับพูดคุยกันโดยที่พวกเขาไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่ามันถูกกำกับด้วยเวทย์มนต์สำหรับเตือนภัยไว้นอกเหนือไปจากเวทย์มนต์ที่มีอำนาจป้องกันการบุกรุกจากคนภายนอกซึ่งสเนปได้ร่ายคาถาทำลายลงแล้ว

แน่นอนว่านายลูเซียสนั้นไม่ได้ล่วงรู้ว่าเซเวอร์รัส สเนปมาพบภรรยาของเขาที่คฤหาสน์รวมทั้งพวกเขาได้เข้าไปเจรจากันในห้องทำงานซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาได้สั่งห้ามเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้แล้วว่าไม่ให้เธอเข้าไปในห้องนั้นโดยเด็ดขาด แต่เท่าที่ชายผมบลอนด์รู้จากการที่อัญมณีสีน้ำเงินบนหน้าปัดของวัตถุเวทย์มนต์ในมือส่องแสงขึ้นมาบอกเขาแค่ว่ามีใครบางคนบุกรุกเข้าไปในห้องทำงานของเขา ส่วนอัญมณีสีเหลือง สีเชียว และสีแดงนั้นต่างก็แทนสถานที่อื่น ๆ ที่เขาได้ร่ายคาถาเตือนภัยเอาไว้ ซึ่งมันก็จะเรืองแสงเตือนเช่นกันหากมีคนบุกรุกเข้าไปในห้องอื่น ๆ ด้วย

หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากเครื่องเตือนภัยดังกล่าวแล้ว นายมัลฟอยก็ปักใจเชื่อทันทีว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นผู้บุกรุกเข้าไปในห้องทำงานของเขาทั้ง ๆ ที่เขาสั่งห้ามเธอแล้วไม่ให้เข้าไปในนั้นแล้ว แม้จะรู้สึกสงสัยไม่น้อยว่าหญิงสาวสามารถเข้าไปในห้องทำงานซึ่งเขาได้ร่ายคาถาป้องกันการบุกรุกไว้อย่างดีแล้วได้อย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับนายลูเซียสมากกว่าในตอนนี้ก็คือการไปเอาตัวเฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากห้องดังกล่าวให้เร็วที่สุด เพราะนอกจากห้องทำงานของเขาจะเป็นสถานที่สำหรับเก็บเอกสารสำคัญ ๆ หลายอย่างแล้ว นายลูเซียสยังเก็บไม้กายสิทธิ์ของเธอที่เขายึดมาไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานที่อยู่ในห้องนั้นอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องไปเอาตัวภรรยาของเขาออกมาจากที่นั่นก่อนที่เธอจะมีโอกาสเข้าไปยุ่มย่ามกับข้าวของของเขารวมทั้งค้นพบไม้กายสิทธิ์ของเธอที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้เข้า!

แต่ถึงจะต้องการกลับไปที่คฤหาสน์มากเพียงใดก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ไม่สามารถลุกออกไปจากที่ประชุมขณะที่เจ้านายของเขากำลังเป็นประธานในที่ประชุมได้ ตรงกันข้ามชายผมบลอนด์จำเป็นต้องนั่งประชุมต่อด้วยความอึดอัดและกังวลใจไปอีกระยะหนึ่ง จนกระทั่งเจ้านายของเขาสังเกตุเห็นท่าทีผิดปกติของลูกสมุนขึ้นมา

“เจ้าดูแปลกไปนะลูเซียส” จอมมารเอ่ยขึ้นหลังจากที่สังเกตุเห็นท่าทีกระสับกระส่ายของชายผมบลอนด์มาได้ครู่หนึ่งแล้ว “ท่าทางของเจ้าดูเหมือนว่าเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจอยู่” โวลเดอมอร์ถาม แต่นายลูเซียสนั้นรู้ดีว่าคำถามของเจ้านายเป็นคำตำหนิมากกว่าการแสดงถึงความห่วงใย และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงก้มศีรษะลงเล็กน้อยในเชิงสำนึกผิดก่อนจะพูดออกมา

“ขออภัยครับ นายท่าน ข้ามีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย” ชายผมบลอนด์พูดออกมา “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนักหรอกครับ”

“ถึงเจ้าจะพูดเช่นนั้นแต่ข้าคิดว่ามันคงสำคัญสำหรับเจ้าไม่น้อยนะลูเซียส ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะสนใจฟังสิ่งที่พวกเรากำลังประชุมกันมากกว่านี้” ลอร์ดโวลเดอมอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีแววไม่พอใจ ขณะที่ใบหน้าของนายมัลฟอยเริ่มขาวซีด เขารีบพูดออกมาในทันที

“ข้าต้องขออภัยนายท่านด้วยขอรับ หากข้าทำให้นายท่านขุ่นเคืองใจ เพียงแต่ข้าเพิ่งได้รับข้อมูลบางอย่างที่ทำให้ข้าเป็นกังวล” เขาอธิบาย
“แล้วข้อมูลที่เจ้าได้รับมันเกี่ยวกับอะไรล่ะ” จอมมารถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ แต่แววตาสีแดงของเขานั้นแฝงไว้ด้วยความสนใจไม่น้อย ขณะที่ลูกสมุนของเขานั้นมีท่าทีลำบากใจก่อนจะพูดออกมา

“มัน.......เกี่ยวกับเจ้าหญิงขอรับ” นายลูเซียสพูดออกไป และเมื่อเขาเห็นสายตาของจอมมารที่มองมาแล้ว ชายผมบลอนด์ก็รู้ดีว่าเขาควรจะอธิบายต่อ

“ข้าเพิ่งทราบว่านางได้เข้าไปในห้องทำงานของข้าซึ่งข้าสั่งนางเอาไว้ไม่ให้เข้าไปยุ่มย่ามในนั้น เพราะว่ามันเป็นที่ที่ข้าใช้เก็บเอกสารที่สำคัญรวมทั้งไม้กายสิทธิ์ของนางก็ถูกเก็บไว้ที่นั่นด้วย ข้าเลยเกรงว่านางจะไปค้นเจอมันเข้า” เขาอธิบาย ท่ามกลางสายตาของผู้เสพความตายคนอื่นที่มองมาทางเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งสายตาที่ดูพิจารณาของจอมมารก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามขึ้น

“เจ้ารู้ว่านางเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านานหรือยัง ลูเซียส” เจ้าแห่งศาสตร์มืดถาม

“พักหนึ่งแล้วขอรับ เจ้านาย” นายมัลฟอยตอบด้วยท่าทีเป็นกังวล

“แล้วเจ้าคิดจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้” จอมมารถามเขาต่อ ซึ่งในครั้งนี้ชายผมบลอนด์ไม่ต้องใช้เวลาคิดไตร่ตรองมากเท่าไหร่เขาก็สามารถตอบเจ้านายของเขาออกไปได้

“ข้าคิดว่าข้าควรจะกลับไปที่บ้านเพื่อไปเอาตัวเธอออกมาจากที่นั่นขอรับ” เขาพูดออกไปโดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจอมมารจะเข้าใจเหตุผลของเขาและยอมให้เขาออกจากการประชุมก่อน แต่นายลูเซียสก็ต้องผิดหวังเมื่อเจ้านายของเขาไม่ได้ให้ข้อเสนอเช่นนั้นกับเขา ตรงกันข้ามจอมมารกลับถามขึ้นต่อด้วยท่าทีสบาย ๆ

“แล้วเจ้าหญิงของเราเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากที่นางแต่งงานกับเจ้าไปแล้ว” ลอร์ดโวลเดอมอร์ถาม

“นาง.......นางก็ยอมทำตามที่สัญญาระบุไว้เป็นอย่างดีขอรับ แม้ว่านางจะดื้อดึงในบางเรื่องอยู่บ้าง” เขาตอบออกไป ก่อนที่จอมมารจะพยักหน้าอย่างรับรู้

“แต่เจ้าจะสามารถทำให้นางเชื่อฟังเจ้ารวมทั้งยอมหันมาภักดีต่อข้าได้ใช่ไหม ลูเซียส” ประโยคดังกล่าวนั้นไม่ใช่คำถามเลยในสายตาของนายมัลฟอย เพราะถึงแม้มันจะฟังดูเหมือนประโยคคำถามมากก็ตาม แต่ชายผมบลอนด์ก็รู้ดีว่าเจ้านายของเขาไม่มีทางยอมรับคำว่า ‘ ไม่ได้ ’ เป็นคำตอบอย่างแน่นอน

“แม้ว่านางจะยังเด็กแล้วก็ดื้อดึงอยู่มาก แต่ข้าก็แน่ใจว่าข้าจะทำให้นางมาภักดีกับนายท่านได้อย่างแน่นอนขอรับ” เขาพูดพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อม และหลังจากที่รู้สึกว่าเจ้านายของเขาใช้สายตาพิจารณาเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว นายลูเซียสก็ได้ยินเสียงของจอมมารที่พูดขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับไปที่คฤหาน์ของเจ้าเถอะลูเซียส เพราะเท่าที่ข้าเห็นเจ้าคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการทำให้เจ้าหญิงมาภักดีต่อข้าได้อย่างแท้จริง” ลอร์ดโวลเดอมอร์พูดราวกับเขามองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าในตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่นั้นไม่ได้ยอมโอนอ่อนผ่อนตามสามีของเธอเสียทุกเรื่อง และก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมให้เขาควบคุมชีวิตของเธอได้ง่าย ๆ อีกด้วย ในขณะที่ชายผมบลอนด์ดูตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่เจ้านายของเขาพูดออกมา

“นายท่าน.....” ไม่ทันทีที่นายลูเซียสจะพูดจบลอร์ดโวลเดอมอร์ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“ที่ข้าต้องการไม่ใช่แค่อำนาจของเจ้าหญิงที่บัดนี้ตกมาอยู่ในกำมือของเจ้าเท่านั้น แต่เป็นความจงรักภักดีที่นางจะต้องมอบให้ข้าด้วย เพราะนอกจากอำนาจของนางที่จะช่วยให้ข้าชนะสงครามแล้วข้ายังต้องการมันสมองของนางมาใช้ในการปกครองโลกเวทย์มนต์ต่อไปอีก เจ้าคงจะทำให้ความหวังของข้าเป็นจริงได้ใช่ไหม ลูเซียส” จอมมารพูดพลางมองลูกสมุนของเขาด้วยดวงตาสีแดงที่เหมือนปีศาจร้ายจนทำให้นายลูเซียสรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัวเมื่อเขาเอ่ยปากตอบคำถามของเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ของเขาออกมา

“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอนครับ เจ้านาย” เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่สุด และหลังจากที่เขาพูดจบจอมมารก็มองพิจารณาลูกสมุนของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

“งั้นเจ้ากลับไปจัดการเรื่องของเจ้าเสียเถอะ ลูเซียส แล้วก็อย่าลืมที่เจ้ารับปากกับข้าไว้ด้วยล่ะ” ลอร์ดโวลเดอมอร์กล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้นนายลูเซียสรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะก้มศีรษะลงเพื่อบอกลาเจ้านายของตน

“ขอรับนายท่าน ข้าลาก่อน” เมื่อพูดจบ เขาก็หันไปพยักหน้าให้เพื่อนผู้เสพความตายที่เหลือก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องประชุมไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งไปยังห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่เดียวในศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดที่เขาสามารถใช้เตาผิงเพื่อเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์ได้


…………………………………………….


มีต่อ PART 2 นะคะ





Create Date : 15 ธันวาคม 2555
Last Update : 15 ธันวาคม 2555 17:36:36 น. 0 comments
Counter : 1309 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.