Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 19 Seduction PART II




หลังจากที่หญิงสาวตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเธอออกมาและนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอมองเธอด้วยท่าทีที่แสดงออกถึงความผิดหวังอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจจะบรรยายได้แล้วนั้น ในวินาทีต่อมาแววตาสีเงินของนายมัลฟอยก็กลับมาเป็นแววตาที่แลดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งดังเดิมพร้อมกับที่นายลูเซียสปรับสีหน้าของเขาให้ดูเยือกเย็นเฉกเช่นเดิมก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีหญิงสาวและเดินกลับไปที่โต๊ะน้ำชาที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่อีกครั้ง
แต่ละย่างก้าวของชายผมบลอนด์นั้นช่างเชื่องช้าหากแต่มั่นคง ราวกับเขากำลังครุ่นคิดบางอย่างไปด้วยขณะที่เขาเดินกลับไปที่โซฟาบุนวมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เฮอร์ไมโอนี่ยืนอยู่นัก และเมื่อเขาเดินไปถึงชุดรับแขกดังกล่าวนายลูเซียสก็วางมือของเขาลงบนโซฟาหนังที่ดูมีราคาตรงหน้าก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยโทนเสียงที่เฮอร์ไมโอนี่แน่ใจว่าเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะมันช่างเต็มไปด้วยความสับสนและไม่แน่ใจซึ่งฟังดูไม่เหมือนโทนเสียงปกติของนายมัลฟอยเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเธอบอกว่าเธอไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำลงไปได้ ฉันก็คิดว่าเธอไม่ควรจะอยู่ที่นี่” เขาพูดออกมาพร้อมกับหันมาเผชิญหน้าเธอ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ฟังคำพูดนั้นของเขาอยู่รู้สึกราวกับถูกตบหน้าเมื่อสามีของเธอพูดว่าเธอไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวเป็นฝ่ายมาขอปรับความเข้าใจกับเขาในความผิดที่เธอไม่ได้ก่อแม้แต่เพียงนิดเดียว!
และในวินาทีนั้นเอง หลังจากที่คำพูดนั้นซึมเข้าสู่สมองของเธอแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่ามันไปกระตุ้นโทสะของเธออย่างที่ไม่เคยมีคำพูดไหนของชายผมบลอนด์เคยทำได้มาก่อน! แม้กระทั่งในตอนที่เขากล่าวหาว่าเธอนอกใจเขาไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับอดีตอาจารย์ของเธอก็ตาม หญิงสาวรู้สึกถึงแรงโทสะที่ทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวด้วยความโกรธ เธอจ้องมองชายตรงหน้าด้วยสายตาราวกับเธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเธอไม่อาจจะบันดาลโทสะจนไปต่อว่าหรือทำอะไรที่รุนแรงมากกว่านั้นกับชายตรงหน้าลงไปได้ เพราะมันไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย และเมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วหญิงสาวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ มือเล็กของเธอจิกเข้าไปในอุ้งมือเล็กที่กำแน่นเพราะต้องการระงับอารมณ์ก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดขึ้น
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ล่ะค่ะ” ถึงแม้ว่าบริบทของคำพูดที่เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมานั้นจะดูเหมือนเป็นเพียงคำถามธรรมดา ๆ แต่ถ้าหากลองฟังน้ำเสียงของเธอดูให้ดีแล้ว อีกฝ่ายจะรู้ได้ไม่ยากว่าหญิงสาวกำลังโกรธอยู่ แต่ถึงแม้จะรู้เช่นนั้นก็ตาม ทางด้านชายผมบลอนด์ผู้เป็นสามีของหญิงสาวซึ่งกำลังอยู่ห่างจากเธอออกไปเพียงไม่กี่ก้าวกลับมีท่าทีเรียบเฉยต่อคำพูดนั้นของเธอ นายลูเซียสหันมามองภรรยาของเขาด้วยสายตาประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันแค่ต้องการจะบอกเธอว่า สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี้ ที่เธอมาหาฉันเพื่อที่จะอธิบายหรือ ฉันอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองไปก็ได้ว่าเธอต้องการปรับความเข้าใจกับฉันนั้นมันเป็นการเสียเวลาของเธอไปเปล่า ๆ เพราะถ้าหากว่าเธอไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ฉันได้ทำลงไปได้” เขากล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว ก่อนจะหยุดพูด ใบหน้าเย็นชาของนายลูเซียสแสดงถึงความอึดอัดใจออกมาชั่วขณะราวกับเขารู้สึกลำบากใจที่จะต้องพูดประโยคต่อไปออกมา แต่เมื่อชายผมบลอนด์เห็นแววตาคาดคั้นของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังรอฟังคำพูดต่อไปของเขาอย่างใจจดใจจ่อแล้วนั้น นายมัลฟอยจึงถอนใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะพูดออกมา
“ถ้าเธอคิดเช่นนั้น ฉันกับเธอ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะพูดคุยหรือปรับความเข้าใจกันต่อไป” เขาพูดออกมาด้วยท่าทีที่เรียบเฉย หรือไม่ก็พยายามที่จะทำให้มันดูเรียบเฉย ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่นั้นรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่าเธอถูกตบหน้าเสียด้วยซ้ำเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากของสามีของเธอ เขาพูดมาได้อย่างไรกันว่าเธอจำเป็นต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ เธอจำเป็นจะต้องเข้าใจความรู้สึกผู้ชายที่ลงมือข่มเหงรังแกเธอก่อนที่เธอจะปรับความเข้าใจกับเขาด้วยหรือ!
และถึงแม้จะไม่เข้าใจรวมทั้งรู้สึกโกรธเคืองคำพูดที่ฟังดูเห็นแก่ตัวของอีกฝ่ายมากก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกเสียจากการกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือเล็กของเธอเพื่อระงับอารมณ์ เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่สามารถทำอะไรชายตรงหน้าลงไปได้ในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะพูดจาที่แสดงถึงความเห็นแก่ตัวและไร้ความรับผิดชอบออกมาในชนิดที่ว่าถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติหญิงสาวคงจะฟาดฝ่ามือเล็กของเธอลงบนใบหน้าที่ดูเย็นชาราวกับแผ่นหินของนายลูเซียสก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างไม่มีวันที่จะกลับมาเหยียบมันอีกเป็นครั้งที่สองเป็นแน่
หากแต่ถึงเธออยากจะเอาตัวเองออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างที่นายลูเซียสต้องการมากเพียงใด แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าถ้าหากเธอเดินออกไปจากห้องในตอนนี้แล้วเธอก็ไม่อาจจะกลับมาที่นี่อีกครั้งได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแผนการที่เธอกับสเนปได้ตกลงกันไว้ก็คงจะล้มเหลวลงโดยสิ้นเชิง และเมื่อคิดได้เช่นนั้น แม้ว่าในใจของหญิงสาวจะเรียกร้องให้เธอกลับไปยังห้องนอนของเธอและไม่ต้องกลับมาเหยียบห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอยอีกก็ตาม แต่ขาเล็ก ๆ ของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะขยับเพื่อก้าวเดินออกไปได้เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่อาจารย์ได้ฝากฝังให้เธอทำไว้ขณะที่เขาออกไปตามหาเดรโกเพื่อลบความทรงจำของชายหนุ่ม และเป็นเพราะเหตุผลนี้เอง เป็นเพราะความต้องการที่จะรักษาความลับที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของสเนปซึ่งบัดนี้เธอได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของมันไปแล้วนี่เองที่รั้งเฮอร์ไมโอนี่ให้อยู่ในห้องนอนแห่งนี้กับนายมัลฟอยต่อไปได้ ทั้ง ๆ ที่แท้ที่จริงหญิงสาวสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าสถานที่ที่เธอกำลังยืนอยู่นี้นั้นเป็นที่สุดท้ายที่เธอต้องการจะอยู่แม้ว่าจะรวมคุกอัซคาบันและเบื้องหน้าบัลลังค์ของลอร์ดโวลเดอมอร์เข้าไปด้วยก็ตาม!

และหลังจากนึกถึงสิ่งที่เธอจะต้องทำตามที่เธอรับปากอดีตอาจารย์ของเธอไว้ รวมทั้งหลังจากที่เธอรอให้ตัวเองอารมณ์เย็นลงไปบ้างแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจพูดขึ้น
“คุณพูดถูกค่ะ ที่บอกว่าฉันต้องการจะปรับความเข้าใจกับคุณ” หญิงสาวเริ่มพูดอย่างเชื่องช้าหากแต่หนักแน่น ขณะที่ในใจของเธอพยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของตัวเองซึ่งมันผสมปนเปไปด้วยโทสะ ความสับสน ความน้อยใจ และความกดดันเอาไว้อย่างสุดความสามารถก่อนที่เธอจะพูดต่อ
“แต่คุณจะคาดหวังให้ฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณทำกับฉันลงไปได้ยังไงกันคะ ในเมื่อก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น คุณยังไม่เคยพยายามจะเข้าใจหรือแม้แต่รับฟังในสิ่งที่ฉันพยายามจะอธิบายกับคุณเลย” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความกดดันเมื่อเธอเอ่ยถึงเหตุการณ์ก่อนที่ชายผมบลอนด์จะลงมือทำร้ายและขืนใจเธอ ซึ่งเป็นตอนที่เขามาเจอเธออยู่กับสเนปสองต่อสองในห้องทำงานของเขาในคฤหาสน์แห่งนี้ ในตอนนั้นเฮอร์ไมโอนี่จำได้ดีว่าเธอพยายามมากเพียงใดในการอธิบายให้ชายผมบลอนด์ฟังว่าเขากำลังเข้าใจเธอผิด แต่เขาไม่ยอมรับฟังเธอเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาปักใจเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น จนกระทั่งการเหตุการณ์ครั้งนั้นเลยเถิดไปถึงการลงมือทำร้ายและขืนใจเธอของเขาเอง และเมื่อตัวเขาเองยังไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจหรือแม้กระทั่งรับฟังเธอในตอนนั้นแล้ว เขาจะมาหวังให้เธอเข้าใจรวมถึงให้อภัยในสิ่งที่เขาทำลงไปกับเธอได้อย่างไร
และอาจจะเป็นเพราะการเอ่ยถ้อยคำที่อัดอั้นอยู่ในใจของหญิงสาวออกไป หรืออาจจะเป็นเพราะการนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น บวกกับความกดดันที่เธอจำเป็นจะต้องทำสิ่งที่เธอไม่ต้องการจะทำมากที่สุดซึ่งก็คือการถ่วงเวลานายมัลฟอยไว้ตลอดทั้งค่ำคืนนี้นั้นที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ต่าง ๆ ของหญิงสาวที่เธอพยายามจะเก็บกักไว้มาตลอดทั้งวันนี้ได้ผสมปนเปกันจนมันกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาที่รินเอ่อดวงตาคู่สวยออกมาในทันที!
ในแวบแรกเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนผ่าว และในวินาทีต่อมาน้ำตาใสก็ไหลรินอาบแก้มเนียนของเธออย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เธอจะกลั้นมันเอาไว้ได้ทัน และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อหญิงสาวรู้ตัวว่าเธอกำลังร้องไห้ออกมาต่อหน้าชายผมบลอนด์อีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่ผู้ไม่ต้องการจะแสดงความอ่อนแอให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นอีกแม้แต่เพียงครั้งเดียวก็รีบยกมือเล็กขึ้นปาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวยของเธออย่างไม่ขาดสาย แต่การกระทำนั้นก็ไม่รวดเร็วพอที่จะรอดพ้นจากสายตาของนายลูเซียสไปได้ เพราะหลังจากที่ชายผมบลอนด์เงยหน้าขึ้นมาเพื่อฟังถ้อยคำที่ภรรยาของเขาพูดออกมาได้ไม่นานนัก นายมัลฟอยก็สังเกตเห็นดวงตาที่แดงก่ำของหญิงสาวก่อนที่จะมีน้ำตามากมายไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววกดดันของเธอ และถึงแม้ว่าเขาจะเห็นหญิงสาวตรงหน้าร้องไห้มาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ไม่อาจทำใจให้รู้สึกเฉยชากับน้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่ได้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เห็นเธอร้องไห้ จนภายหลังนายมัลฟอยถึงกับคาดหวังด้วยซ้ำว่าเขาจะไม่ต้องเห็นภรรยาสาวของเขาเสียน้ำตาด้วยความโศกเศร้าอีก โดยเฉพาะการร้องไห้โดยมีสาเหตุมาจากเขาแบบนี้!
และถึงแม้ว่าชายผมบลอนด์จะค้นพบว่าสิ่งที่เขาปรารถนานั้นไม่อาจเป็นไปได้ก็ตามเพราะเฮอร์ไมโอนี่กำลังร้องไห้อยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้ แต่น้ำตาของหญิงสาวนั้นกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างที่มันเคยทำให้เขารู้สึกในครั้งก่อน ๆ ตรงกันข้ามมันกลับนำความรู้สึกผิดอย่างมหาศาลมาสู่เขาจนนายลูเซียสสามารถพูดได้ว่าความรู้สึกโกรธเคือง ความไม่พอใจ รวมทั้งความรู้สึกสงสัยเคลือบแคลงใจในตัวภรรยาของเขานั้นได้มลายหายไปเพียงเพราะการที่เขาได้เห็นน้ำตาของเธอในครั้งนี้เท่านั้น และถึงแม้ว่าการกระทำของหญิงสาวในการยกมือขึ้นปาดน้ำตามากมายที่ไหลออกมาจะบอกเขาว่าเธอไม่ต้องการร้องไห้ให้เขาเห็นก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะห้ามตัวเองไม่ให้หยุดร้องไห้ได้เลย ตรงกันข้ามยิ่งหญิงสาวพยายามจะเช็ดน้ำตาให้ตัวเองมากเท่าไหร่ เธอกลับพบว่ายิ่งมีน้ำตาใสที่ไหลเอ่อมาจากดวงตาคู่สวยที่แสนจะบอบช้ำของเธอมากเท่านั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ตระหนักได้ว่าเธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่ไม่ต่างจากสายน้ำที่ไหลบ่าอย่างในตอนนี้ได้ หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาท่ามกลางสายตาของนายมัลฟอยที่กำลังเฝ้ามองเธออยู่ และในวินาทีต่อมาเฮอร์ไมโอนี่ก็ตัดสินใจที่จะเบือนหน้าไปอีกทางและปล่อยให้อารมณ์ที่ท่วมท้นของเธอล้นทะลักออกมาพร้อม ๆ กับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่ขาดสาย
และในขณะที่หญิงสาวซึ่งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ ต่อหน้านายมัลฟอยผู้เป็นสามีของเธออยู่นั้น ชายผมบลอนด์ที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรวมทั้งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอเสียน้ำตาในครั้งนี้ก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อย เพราะแววตาที่ปกติจะแลดูเย็นชาของนายลูเซียสกลับฉายแววที่แสดงถึงความรู้สึกผิดที่เขามีต่อร่างตรงหน้าออกมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสียงสะอื้นไห้ของเฮอร์ไมโอนี่ดังเล็ดลอดฝ่ามือเล็กที่กำลังยกขึ้นปิดใบหน้ารวมทั้งริมฝีปากของหญิงสาวมากระทบเข้ากับโสตประสาทของเขา จนนายลูเซียสรู้สึกว่าหัวใจของเขาหนักอึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะมันถูกกดทับด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อหญิงสาวตรงหน้าซึ่งก็คือภรรยาของเขานั่นเอง และก่อนที่นายมัลฟอยจะได้ทันคิดอะไรลงไป ก่อนที่เขาจะได้ทันคิดว่ามันเหมาะสมหรือไม่ หรือแม้กระทั่งคิดถึงผลที่ตามมาของการกระทำของเขาในครั้งนี้ได้นั้น ชายผมบลอนด์ก็ก้าวเข้าไปใกล้ร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังยืนหันหลังอยู่เบื้องหน้าเขาและคว้าร่างของหญิงสาวเข้ามาสวมกอดโดยที่เขาไม่สนใจว่าเธอจะเต็มใจหรือยินยอมต่อการะทำของเขาหรือไม่!

ส่วนทางด้านเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังร้องไห้เสียใจอยู่นั้น กว่าที่เธอจะรู้ตัวร่างเล็กของหญิงสาวก็ถูกโอบรัดด้วยวงแขนแข็งแกร่งของนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอเสียแล้ว!
“ป……ปล่อย!” หญิงสาวที่เพิ่งรู้สึกตัวพูดออกมาได้เพียงเท่านั้นพร้อมกับดิ้นรนขัดขืน หากแต่การกระทำในครั้งนี้ของเธอก็ไม่แตกต่างจากการดิ้นรนในครั้งก่อน ๆ เลยแม้แต่น้อย เพราะแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระจากการเกาะกุมของร่างใหญ่ตรงหน้ามากเพียงใดก็ตาม แต่แรงของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอก็ไม่อาจจะสู้แรงผู้ชายอกสามศอกที่แข็งแรงกว่าเธอมากเช่นเขาได้ ส่งผลให้ไม่ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะดิ้นรนมากเพียงใดเธอก็ไม่อาจจะหลุดไปจากอ้อมแขนแข็งแกร่งที่กำลังกอดรัดร่างของเธอไว้ได้เลย
หลังจากที่รู้แล้วว่าการดิ้นรนนั้นไม่ใช่การกระทำที่จะทำให้เธอหลุดพ้นไปจากการเกาะกุมของนายลูเซียสได้แล้วนั้น หญิงสาวก็หยุดดิ้นรนขัดขืน เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าเธอต้องการใช้เวลาในการรวบรวมสติเพื่อรับมือสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เธอถูกผู้ชายคนสุดท้ายที่เธอต้องการจะให้แตะต้องตัวเธอนั้นสวมกอดอยู่ในอ้อมแขนของเขา ร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของนายมัลฟอยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบมากกว่าเดิม
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันจะได้ออกไปจากที่นี่เสียที” หญิงสาวพูดออกไปอย่างที่คิด ขณะที่ในใจของเธอรู้สึกสับสนอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่จู่ ๆ นายลูเซียสเข้ามาโอบกอดเธอไว้จนในตอนนี้ร่างของทั้งสองแนบชิดกันจนเฮอร์ไมโอนี่สามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจหรือแม้กระทั่งเสียงเต้นของหัวใจของอีกฝ่าย และขณะที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของสามีที่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงไม่อาจจะทำใจให้คุ้นเคยกับมันได้เลยนั้นหญิงสาวก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่ว่าเหตุใดเขาถึงเข้ามาโอบกอดเธอไว้ทั้ง ๆ เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดเองว่าเขาต้องการให้เธอออกไปจากห้องนอนของเขาก่อนหน้านี้
และในขณะที่เธอกำลังสงสัยถึงการกระทำที่ขัดกับคำพูดเมื่อครู่ของชายผมบลอนด์โดยสิ้นเชิงนั้น นายลูเซียสก็เอ่ยถ้อยคำที่เป็นคำตอบของข้อสงสัยนั้นออกมาว่า
“ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปไหนทั้งนั้น” เขาพูดถ้อยคำที่ยืนยันการกระทำของเขาออกมาอย่างหนักแน่น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมองใบหน้าของสามีอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คุณไม่ต้องการให้ฉันอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อและแสดงถึงความน้อยอกน้อยใจโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย และหลังจากที่เธอพูดออกไปแล้ว ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็อดกังวลไม่ได้ว่าถ้าหากนายลูเซียสยอมปล่อยให้เธอกลับไปที่ห้องของเธอแต่โดยดีนั้นเธอจะทำอย่างไรต่อไป เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น ถ้าเธอจะต้องออกไปจากห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอยแล้ว เธอจะสามารถคอยจับตาดูและถ่วงเวลาเขาได้อย่างไร
แต่ดูเหมือนว่าในครั้งนี้โชคชะตาจะเข้าข้างเฮอร์ไมโอนี่อยู่ไม่น้อยหลังจากที่มันพลิกผันและกลั่นแกล้งหญิงสาวด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ นานามามากเกินพอแล้ว เมื่อเธอรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก” นายลูเซียสกล่าว และเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความสับสนของหญิงสาวในอ้อมแขน ชายผมบลอนด์จึงพูดต่อ
“ฉันต้องการให้เธออยู่ที่นี่กับฉัน” เขาพูดอย่างอ่อนโยนก่อนที่เขาจะยกมือใหญ่ข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา และถึงแม้ว่านายมัลฟอยจะสังเกตเห็นว่าภรรยาของเขาสะดุ้งเล็กน้อยยามที่มือใหญ่ของเขาสัมผัสแก้มเนียนของเธอก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้มีท่าทีดิ้นรนขัดขืนยามที่สามีของเธอเช็ดหยาดน้ำตาที่เปรอะแก้มเนียนของเธออยู่ด้วยมือใหญ่ของเขา นายลูเซียสบรรจงใช้นิ้วโป้งของเขาเช็ดน้ำตาหยดใหม่ที่เพิ่งไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลที่แสนจะอ่อนโยนของเฮอร์ไมโอนี่ก่อนที่เขาจะกระซิบขึ้น
“เงียบซะ” เขากล่าวก่อนจะลดมือลง และจ้องมองใบหน้างามของหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนจนเกือบจะเรียกได้ว่าเห็นอกเห็นใจ จนทำให้ร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาที่รู้สึกแปลกใจรวมทั้งไม่เข้าใจการกระทำของชายผมบลอนด์ในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อยพูดออกมา
“ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ เมื่อกี๊นี้คุณก็บอกว่าอยากให้ฉันออกไปจากที่นี่ แต่พอฉันยินดีจะออกไปคุณก็อยากจะให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อแทน ทำไมกันล่ะคะ” เธอถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินที่ปกติแล้วเธอจะพยายามหลบหลีกไม่ยอมสบตามันแทนที่จะจ้องมองมันตรง ๆ อย่างในวันนี้ แต่ถึงหญิงสาวจะพยายามค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาสีเงินที่เธอไม่อาจจะทำใจให้คุ้นเคยได้คู่นี้ของนายลูเซียสเท่าไหร่ก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะพบเจออย่างอื่นนอกจากแววอ่อนโยนที่แสดงออกมาอย่างเด่นชัดภายใต้ความเย็นชาที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน
นายมัลฟอยไม่ตอบคำถามของภรรยาในตอนแรก ตรงกันข้ามเขากลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาที่เหลืออยู่บนแก้มอีกหยดของเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ ก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ฉันอยากให้เธออยู่กับฉันที่นี่” เสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปากบางของเขานั้นช่างดูหนักแน่นหากแต่มันช่างฟังดูอ่อนโยนเหลือเกิน ราวกลับว่าท่ามกลางสุ้มเสียงที่มีอำนาจของเขานั้นกลับมีความอ้อนวอนแฝงอยู่ และหากเฮอร์ไมโอนี่อ่านแววตาของนายมัลฟอยไม่ผิด หรือไม่ได้ตาฝาดไป เธอสาบานได้ว่าเธอเห็นแววอ้อนวอนแบบเดียวกันฉายอยู่ในดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งของเขาราวกับว่าสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดในตอนนี้ก็คือการที่เธอยอมมาอยู่กับเขาเท่านั้น ซึ่งมันช่างต่างจากคำพูดเมื่อครู่ของเขาที่เอ่ยปากบอกให้เธอออกไปจากห้องนอนของเขาเหลือเกิน
หลังจากได้ยินคำพูดดังกล่าวดังออกมาจากปากของนายมัลฟอยแล้วนั้น ในใจหนึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกยินดีที่เธอจะสามารถใช้ถ้อยคำเชิญชวนนี้ของเขาเป็นใบเบิกทางให้เธออยู่ในห้องนอนแห่งนี้กับเขาต่อเพื่อจับตาดูและถ่วงเวลาเขาตามที่เธอได้ตกลงกับสเนปไว้ แต่ลึก ๆ แล้วหญิงสาวก็กลับรู้สึกหวาดกลัวที่จะต้องอยู่กับสามีของเธอเพียงลำพังในห้องนอนใหม่ของเขา เพราะถึงแม้ว่านายลูเซียสจะแสดงความอ่อนโยนที่มีต่อเธอออกมาอย่างชัดเจนทั้งในขณะนี้และก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะลืมเลือนไปได้เลยว่าคืนก่อนนั้น ผู้ชายคนเดียวกับคนที่กำลังปลอบเธออย่างอ่อนโยนนี้เคยทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสมาแล้วเช่นกัน!
และเมื่อเป็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่หวาดกลัวการอยู่ตามลำพังกับนายลูเซียสหากแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธที่จะไม่ยอมอยู่กับเขาต่อไปได้ด้วยความจำเป็นที่เธอต้องการทำตามข้อตกลงที่เธอให้ไว้กับสเนปนั้น จึงพูดขึ้นอย่างเฉลียวฉลาดหลังจากที่ผ่านการครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวว่า
“คุณอยากให้ฉันอยู่ที่นี่ แต่ถ้าฉันไม่อยากจะอยู่ คุณจะใช้กำลังบังคับฉันหรือเปล่าคะ” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก แววตาสีน้ำตาลฉายแววหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเธอกำลังจินตนาการว่าหากเธอไม่ยอมอยู่ที่ห้องนี้ตามที่นายมัลฟอยต้องการ ชายผมบลอนด์จะใช้กำลังบังคับให้เธออยู่กับเขาตามที่เขาต้องการโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเธออย่างที่เขาเคยใช้กำลังบังคับขืนใจเธอมาแล้วก่อนหน้านี้หรือไม่!
หลังจากหญิงสาวพูดประโยคดังกล่าวออกมา นายลูเซียสก็มองภรรยาสาวของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดซึ่งแฝงไว้ด้วยความเสียใจ ราวกับว่าคำพูดของหญิงสาวนั้นทิ่มแทงและทำร้ายจิตใจเขา ชายผมบลอนด์มองหญิงสาวตรงหน้าราวกับว่าเขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธที่จะไม่ตอบคำถามดังกล่าวออกไปได้ เมื่อนายลูเซียสจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของเธอก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ฉันจะไม่ใช้กำลังทำรุนแรงกับเธออีกแล้ว” ชายผมบลอนด์หยุดพูดครู่หนึ่ง เขามองลึกเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยแววสงสัยเคลือบแคลงของเฮอร์ไมโอนี่ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมากกว่าทุกครั้ง “ฉันให้สัญญากับเธอ”
น้ำเสียงของนายมัลฟอยที่เปล่งออกมานั้นช่างหนักแน่นมั่นคง ราวกับว่ามันไม่ใช่เพียงแค่คำบอกกล่าวทั่วไป และถ้าหากพิจารณาจากแววตาที่เขาใช้มองเธอยามที่เขากล่าวถ้อยคำนั้นออกมาแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะตีความหมายไปว่า นายลูเซียสให้สัญญาว่าเขาจะไม่มีวันทำรุนแรงกับเธอเหมือนกับที่เขาทำในครั้งนั้นซึ่งเป็นคืนที่เขาใช้กำลังขืนใจเธออีก และถึงแม้ว่าคำพูดของผู้เสพความตายที่เคยทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสมาแล้วจะไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นักก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อคำพูดของชายผมบลอนด์ในครั้งนี้ รวมไปถึงเมื่อเธอเลือกที่จะเชื่อว่าเขาจะไม่ใช้กำลังทำรุนแรงกับเธออีกต่อไปแล้วหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แม้ว่าในตอนนี้เธอจะกำลังอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่เคยทำร้ายเธอมาอย่างแสนสาหัสแล้วก็ตาม!
แต่หลังจากถ้อยคำที่ที่เปรียบเสมือนสิ่งประกันความปลอดภัยในระดับหนึ่งของหญิงสาวถูกเอ่ยออกมาแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่ก่อตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาด อาจจะเป็นเพราะว่านอกจากน้ำเสียงที่ดูหนักแน่นมั่นคงของเขายามเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมาแล้วนั้น แววตาของชายผมบลอนด์ที่จ้องมองเฮอร์ไมโอนี่ยามพูดถ้อยคำดังกล่าวออกมานั้นแลดูจริงใจมากกว่าอะไรทั้งหมด ราวกับว่าเขาต้องการจะบอกเธอผ่านสายตาของเขาว่าเขาหมายความตามที่พูดทุกประการ และในขณะที่ดวงตาสีเงินที่ดูอ่อนโยนลงกว่าปกติมากนักของนายมัลฟอยกำลังจ้องมองหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอยู่นั้น มือใหญ่ของนายลูเซียสก็ค่อย ๆ สัมผัสแก้มของเฮอร์ไมโอนี่อย่างแผ่วเบา และถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของชายผมบลอนด์อยู่มากก็ตาม แต่หญิงสาวซึ่งเป็นแม่มดที่เฉลียวฉลาดมากที่สุดคนหนึ่งในโลกเวทย์มนต์ก็พอจะมองเห็นช่องทางที่จะทำให้เธอได้ประโยชน์จากสิ่งที่ชายผมบลอนด์เพิ่งพูดออกมา เมื่อเธอตัดสินใจพูดออกไปอย่างชาญฉลาดหลังจากเสียเวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น
“คุณพูดจริงเหรอคะ” เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสงสัย บวกกับดวงตาสีน้ำตาลที่เงยขึ้นสบดวงตาสีเงินของอีกฝ่ายอย่างแปลกใจนั้นสามารถบอกได้เป็นอย่างดีว่าเฮอร์ไมโอนี่สงสัยเคลือบแคลงคำพูดของสามีของเธอมากเพียงไร ซึ่งทางฝั่งนายลูเซียสนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจกับคำพูดที่ภรรยาสาวของเขาเอ่ยขึ้นมาเท่าไหร่นัก เนื่องจากนายลูเซียสเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเพราะการกระทำของเขาเองที่ทำให้เธอเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขา เป็นเพราะเขาเองที่ใช้กำลังบังคับขืนใจหญิงสาวมาก่อนหน้านี้ที่ทำให้เธอไม่ไว้ใจเขาอีกต่อไป พอ ๆ กับที่เขาไม่อาจจะเชื่อใจเธอได้หลังจากที่เขาพบว่าเธออยู่กับเซเวอร์รัส สเนปสองต่อสองในคฤหาสน์เช่นกัน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ด้วยเหตุผลที่ชายผมบลอนด์ก็ไม่อาจจะบอกตัวเองได้ ในครั้งนี้เขากลับต้องการทำให้ความเชื่อใจที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อเขาซึ่งมันอาจจะมลายหายไปตั้งแต่ตอนที่เขาลงมือขืนใจเธอแล้วนั้นหวนคืนกลับมาอีกครั้ง แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินคำถามดังกล่าวของหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาแล้วนั้น นายลูเซียสจึงตัดสินใจพูดออกไป
“ฉันให้สัญญาด้วยเกียรติของฉัน ว่าฉันจะไม่ใช้กำลังฝืนใจเธอในเรื่องนี้อีก” เขากล่าวออกไปในที่สุด หลังจากเสียเวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น และถึงแม้ว่าคำพูดดังกล่าวจะเหมือนกับการที่นายลูเซียสได้ให้การผ่อนปรนและสูญเสียอำนาจบางส่วนที่เขามีต่อภรรยาสาวในอ้อมแขนของเขาไปก็ตาม แต่นายลูเซียสกลับมองว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้เฮอร์ไมโอนี่กลับมาไว้ใจเขาอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผู้ชายที่ผ่านโลกมามากอย่างเช่นเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจจะใช้ไม้แข็งได้ในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ดื้อดึงและเพิ่งบอบช้ำจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเฮอร์ไมโอนี่ ตรงกันข้ามเขากลับคิดว่า ในสถานการณ์เช่นนี้การใช้ไม้อ่อนโดยการยอมผ่อนปรนให้เธอเพื่อซื้อความไว้วางใจจากเธอน่าจะเป็นการกระทำที่เหมาะสมที่สุด
แต่ถึงจะคิดได้เช่นนั้นก็ตาม แต่ในใจลึก ๆ แล้วชายผมบลอนด์กลับรู้สึกว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เขายอมสัญญากับเฮอร์ไมโอนี่ออกไปนั้นไม่ใช่เหตุผลยาวยืดที่เขาใช้บอกตัวเองเหล่านี้ แต่กลับเป็นความรู้สึกส่วนลึกของเขาที่บอกให้เขาทำเช่นนั้นต่างหาก
แต่ไม่ว่าคำพูดและการกระทำของนายลูเซียสนั้นจะมาจากเหตุผลหรือว่าความรู้สึกส่วนตัวก็ตาม คำพูดที่ชายผมบลอนด์เพิ่งพูดออกมานั้นก็พอจะทำให้หญิงสาวที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนเขาแปลกใจได้ไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าคำว่า ‘ สัญญาด้วยเกียรติ ’ ของผู้เสพความตายนั้นจะฟังดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่นักก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะประหลาดใจรวมทั้งดีใจลึก ๆ ไม่ได้ที่ชายผมบลอนด์ถึงกับเอ่ยปากสัญญากับเธอว่าเขาจะไม่ล่วงเกินร่างกายของเธอหากเธอไม่ยินยอมอีกต่อไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าคำพูดในครั้งนี้ของลูเซียส มัลฟอยจะขัดกับการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันโดยสิ้นเชิงก็ตาม แต่ด้วยเหตุผลบางประการที่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเพราะอะไร หญิงสาวกลับรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกรวมทั้งเธอยังรู้สึกว่าอ้อมแขนของนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอนั้นได้กลายมาเป็นสถานที่ที่อบอุ่นและปลอดภัยสำหรับเธอเหมือนก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวสามารถกลับมารู้สึกไว้ใจชายผมบลอนด์ผู้ครั้งหนึ่งเคยทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสได้อย่างประหลาดราวกับความหวาดกลัวที่มีต่อชายคนนี้ได้มลายหายสูญไปพร้อม ๆ กับความวิตกกังวลในเรื่องภารกิจส่วนหนึ่งที่เธอได้รับมาวันนี้เสียแล้ว และเมื่อรู้สึกเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งไม่ติดใจที่จะถามอะไรต่อก็ทำได้แค่ซบใบหน้าของเธอลงบนแผ่นอกของชายผู้ที่เป็นสามีของเธอขณะที่ในใจของเธอได้แต่ภาวนาของให้สิ่งที่ชายผมบลอนด์กล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงและขอให้แผนการที่เธอตั้งใจจะทำในวันนี้นั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

…………………………………………….


หลังจากเสียเวลาให้กับการปรับความเข้าใจและการปลอบโยนกันอยู่ครู่หนึ่งแล้ว และเมื่อแน่ใจว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นหายจากอาการโศกเศร้าเสียใจแล้วนั้น นายลูเซียสก็ได้รั้งตัวภรรยาของเขาออกจากอ้อมกอดของเขาพร้อมกับสำรวจใบหน้างามของเธออีกครั้งเพื่อแน่ใจว่าไม่มีหยาดน้ำตาใด ๆ หลั่งไหลมาจากดวงตาคู่สวยของหญิงสาวอีกต่อไปแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากที่เขาใช้นิ้วโป้งของเขาเช็ดคราบน้ำตาที่เกือบจะแห้งออกจากแก้มของเฮอร์ไมโอนี่แล้วนั้นเขาก็เชื้อเชิญเธอมานั่งที่ชุดโซฟาที่เขากำลังดื่มชาอยู่เมื่อครู่ก่อนที่เธอจะเข้ามา
นายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่มานั่งที่โซฟาก่อนจะเอ่ยปากถามเธอว่าเธอต้องการจะดื่มอะไรซักหน่อยไหม และหลังจากหญิงสาวพยักหน้านายลูเซียสก็ลงมือรินน้ำชาใส่แก้วใบที่ว่างเปล่าอีกใบหนึ่งให้เธอ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นจ้องมองการกระทำของเขาด้วยท่าทีประหม่าระคนประหลาดใจ เพราะภาพที่ลูเซียส มัลฟอยกำลังลงมือรินชาให้คนอื่นนั้นน่าจะเป็นภาพที่หาดูได้ยากแห่งปีเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าคนที่ชายผมบลอนด์กำลังรินชาให้อยู่นั้นจะเป็นเธอซึ่งเป็นภรรยาที่ถูกต้องของเขาก็ตาม
แต่ก่อนที่นายมัลฟอยจะได้ส่งถ้วยชาดังกล่าวให้หญิงสาวนั้นมือใหญ่ของเขาก็ชะงัก ใบหน้าเย็นชาของชายผมบลอนด์แลดูครุ่นคิดก่อนที่เขาจะตัดสินใจวางถ้วยชาลงและพูดขึ้นมาดัง ๆ ว่า “ฮ็อบบี้!”
สิ้นเสียงของนายมัลฟอยเอลฟ์ร่างจ้อยก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเสียงดังป็อป
“นายท่านมีอะไรให้ฮ็อบบี้รับใช้หรือขอรับ” มันกล่าวก่อนจะก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม ขณะที่นายลูเซียสสั่งขึ้นอย่างเรียบ ๆ ขึ้นว่า
“น้ำชานี่เย็นหมดแล้ว แกเอาไปเปลี่ยนมาใหม่ แล้วก็เอาของว่างของนายหญิงมาให้ด้วย” เขาพูดก่อนจะหันมาทางเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่เอลฟ์รับคำอย่างแข็งขัน “เธออยากจะได้อะไรเป็นพิเศษไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบหากแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน และเมื่อหญิงสาวกล่าวปฏิเสธว่าเธอไม่ต้องการอะไรเพิ่มพร้อมกับขอบคุณ นายมัลฟอยก็หันไปสั่งให้เอลฟ์ร่างจ้อยที่กำลังมองมาทางทั้งสองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความปิติยินดีที่ได้เห็นนายหญิงกับนายท่านของมันคืนดีกันอีกครั้งพร้อมกับทวนคำสั่งของเขาแล้วกำชับมันให้เอาของที่สั่งมาให้เขาอย่างเร็วที่สุด
และเมื่อสิ้นคำสั่งของนายมัลฟอย ฮ็อบบี้ก็ก้มศีรษะของมันลงต่ำจนจมูกยาว ๆ ของมันแทบจะจรดพื้นก่อนที่มันจะหายวับไปพร้อมกับเสียงดังป็อป

แต่ฮ็อบบี้ก็หายตัวไปได้ไม่นานนักเพราะอีกเพียงครู่เดียวมันก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดเงินที่บรรจุน้ำชาและของว่างตามที่นายมัลฟอยสั่ง และหลังจากจัดวางของว่างลงบนโต๊ะรวมทั้งลงมือรินชาให้กับนายท่านและนายหญิงของมันแล้วนั้น ฮ็อบบี้ก็กล่าวอำลาทั้งสองก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงดังป็อปทิ้งให้เฮอร์ไมโอนี่อยู่ตามลำพังกับสามีของเธอในห้องนอนใหม่ของเขาอีกครั้ง
หากแต่การอยู่ด้วยกันตามลำพังในครั้งนี้ของทั้งสองนั้นไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับหญิงสาวมากเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะถ้อยคำสัญญาที่นายลูเซียสได้ให้ไว้กับเธอเมื่อครู่นั้นเปรียบเสมือนหลักประกันให้กับเธอในระดับหนึ่งแล้วว่าชายตรงหน้าจะไม่ล่วงเกินร่างกายของเธออีกโดยที่เธอไม่ยินยอม และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่มีท่าทีผ่อนคลายขึ้นกว่าเมื่อครั้งแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอยมาแล้วนั้นก็ลงมือจิบน้ำชาของตนเบา ๆ แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้จัดการกับชาของเธอจนหมดนั้น มือใหญ่ของนายลูเซียสก็เลื่อนถาดของว่างเข้ามาตรงหน้าเธอ
แม้จะตกใจไม่น้อยกับการเคลื่อนไหวของร่างใหญ่ตรงหน้าแต่หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป นอกจากการที่ดวงหน้างามของเธอจะเงยขึ้นมองร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“ทานเสียหน่อยสิ” นายลูเซียสพูดขึ้นเรียบ ๆ หากแต่แววตาที่เขาใช้มองเธอนั้นแสดงออกถึงความอ่อนโยนรวมถึงเป็นห่วงเป็นใย และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงค่อย ๆ เลื่อนมือของเธอมาหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากถาดและกัดมันเบา ๆ ท่ามกลางสายตาของนายมัลฟอยที่กำลังเฝ้าดูเธออยู่ ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนที่จะยกน้ำชาขึ้นจิบ และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่จะต้องอยู่กับสามีของเธอเพียงสองต่อสองในห้องนอนใหม่ของเขาแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดรู้สึกประหม่ายามที่เธอถูกจ้องมองด้วยดวงตาสีเงินของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ และหญิงสาวก็รู้ดีว่า ไม่ว่าเธอจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนายมัลฟอยไปเนิ่นนานเพียงใดก็ตาม เธอก็ไม่อาจจะทำใจคุ้นเคยหรือรู้สึกเป็นปกติเมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาที่ราวกับจะแทงทะลุหัวใจเธอของเขาได้เลย ยิ่งการถูกดวงตาของนายมัลฟอยคู่นั้นจ้องมองอย่างพินิจพิจารณาอย่างคราวนี้แล้วนั้น ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าเธอกำลังถูกเขาอ่านทุก ๆ อากัปกริยาของเธอก็ไม่ปาน
และเป็นเพราะเธอมัวแต่รู้สึกประหม่าอยู่เองนั้น ทำให้เฮอร์ไมโอนี่แทบจะไม่ได้ยินสิ่งที่ชายผมบลอนด์กำลังพูดกับเธออยู่ในตอนนี้ เสียงของนายลูเซียสที่ดังขึ้นนั้นราวกับมันล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกลขณะที่หญิงสาวพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะปรับตัวให้เคยชินกับการถูกจ้องมองจากอีกฝ่าย รวมทั้งในตอนนี้เธอก็กำลังเริ่มกังวลแล้วว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปให้สามีของเธออยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้หลังจากที่หญิงสาวสามารถขจัดปัญหาเรื่องที่นายมัลฟอยจะมาล่วงเกินร่างกายเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจไปได้แล้ว
และเป็นเพราะว่าเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่นั้น มันจึงทำให้ชายผมบลอนด์ต้องย้ำในสิ่งที่เขาพูดกับเธอเป็นครั้งที่สองเธอจึงจะได้รู้สึกตัว
“คะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชาของตัวเองแล้วมองอีกฝ่ายอย่างงงงวย ขณะที่สามีของเธอจ้องมองเธอด้วยแววตาสงสัย
“ฉันถามเธอว่าเธอชอบขนมที่ทานไหม” เขาถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการตอบคำถามนั้นออกไปก็ตามเธอก็สามารถเอ่ยมันออกไปด้วยรอยยิ้มที่ดูราวกับทุกอย่างอยู่ในสถานการณ์ปกติมากกว่าอะไรทั้งหมด
“ค่ะ อร่อยมากเลยค่ะ” เธอยิ้มพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบอีกครั้ง แต่ในคราวนี้หญิงสาวกับพบว่าถ้วยชาของเธอนั้นว่างเปล่า เธอจึงต้องรีบวางมันลงพร้อมกับทำท่าทีกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ถึงเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามทำเช่นนั้นก็ตามแต่ทุก ๆ อิริยาบทของเธอนั้นก็ไม่อาจจะเล็ดลอดสายตาของอีกฝ่ายไปได้เลย เมื่อนายมัลฟอยที่กึ่งขบขันกึ่งแปลกใจกับท่าทีของหญิงสาวจนแทบจะยิ้มออกมานั้นเอ่ยปากถามขึ้น
“ถ้าเธอชอบก็ทานอีกสิ” เขากล่าวก่อนที่จะใช้มือใหญ่ของเขาเลื่อนถาดขนมนั้นมาทางเธออีกครั้งราวกับว่าเขาต้องการยกพวกมันให้เธอทั้งหมด ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกับที่เฮอร์ไมโอนี่เลื่อนมือไปจับถาดขนมตรงหน้าพอดีทำให้มือของทั้งสองสัมผัสกันโดยบังเอิญ และในวินาทีนั้นเอง ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นรู้จักรวมทั้งสัมผัสร่างกายของเธอมามากกว่านี้แล้วเนื่องจากเขาเป็นสามีของเธอก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้ ดวงหน้างามเงยหน้าขึ้นมองนายลูเซียสที่นั่งอยู่ห่างจากเธอเพียงแค่โต๊ะน้ำชากั้น ก่อนที่หญิงสาวจะตัดสินดึงถาดขนมนั้นมาไว้ตรงหน้าเธออย่างแช่มช้าส่งผลให้มือของพวกเขาแยกจากกันแทนที่จะชักมือออกมาอย่างกระทันหัน แต่ถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่พยายามที่วางตัวให้ดูสุขุมเพียงใด แต่นายลูเซียสก็สามารถสังเกตเห็นพวงแก้มเนียนที่ขึ้นสีของหญิงสาวได้ไม่ยาก และเมื่อเห็นเช่นนั้นชายผมบลอนด์ก็อดยิ้มบาง ๆ ให้กับสิ่งที่เห็นไม่ได้เมื่อเขารู้ว่าภรรยาสาวของเขา เฮอร์ไมโอนี่ของเขานั้นเป็นหญิงสาวที่ซื่อบริสุทธิ์เพียงใด เพราะอาการหน้าแดงของเธอนั้นคงไม่ได้เป็นการเล่นละครตบตาเขาเป็นแน่ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ภาพหญิงสาวผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ตรงหน้าของนายมัลฟอยนั้นจึงไปลบเลือนภาพของผู้หญิงจัดจ้านที่นอกใจสามีของเธอเองไปกับเพื่อนสนิทของเขาเสียจนหมดสิ้น
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น ความรู้สึกเอ็นดูที่เขามีต่อหญิงสาวตรงหน้าเหมือนในตอนช่วงแรก ๆ ที่พวกเขาแต่งงานกันจึงกลับมาอีกครั้ง อันที่จริงนายลูเซียสคิดอยากจะสัมผัสร่างเนียนตรงหน้ามากกว่านี้ เขาอยากจะใช้มือใหญ่ของเขาประคองใบหน้างามของเฮอร์ไมโอนี่ไว้และจูบเธอที่ริมฝีปากก่อนจะไล่ไปยังแก้มเนียนของเธอ เขาอยากจะเห็นท่าทีเขินอายของเธอยามที่เขาสัมผัสร่างกายของเธออีกครั้ง แต่ชายผมบลอนด์ก็ได้เพียงแต่คิดเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าในตอนนี้ หลังจากที่เขาได้ให้สัญญาไปกับเธอแล้วว่าเขาจะไม่ล่วงเกินร่างกายของหญิงสาวโดยที่เธอไม่เต็มใจอีกนั้นส่งผลให้เขาไม่อาจจะทำอะไรลงไปโดยพลการได้ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่มองภาพภรรยาสาวที่แสนจะน่าเอ็นดูของเขาอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในใจลึก ๆ ของนายลูเซียสนั้นก็รู้ดีว่ามันมีช่วงโหว่ในสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับเธออยู่ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะสัญญากับเธอว่าจะไม่ล่วงเกินร่างกายของเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจ แต่เขาก็สามารถแตะต้องเธอได้อีกครั้งถ้าหากเธอยินยอมพร้อมใจให้เขาทำเช่นนั้น และเขาก็คิดว่าการเปลี่ยนใจหญิงสาวตรงหน้าให้ยินยอมให้เขาได้มาใกล้ชิดกับเธออีกครั้งนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นจนเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ว่าเขาอาจจะต้องอดทนรอคอยเสียหน่อยเท่านั้น ใช่แล้ว เขาจะต้องรอคอยให้เธอไว้ใจเขาอีกครั้งให้ได้เสียก่อน และเมื่อถึงตอนนั้น ตอนที่เธอได้มอบความไว้วางใจให้เขาอีกครั้งแล้วนั้น ทุกอย่างก็จะกลับมาสู่สภาพเดิมอย่างที่มันเคยเป็นก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวบาดหมางระหว่างเขาและเธอ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการอดทนรอคอยและทำให้เธอไว้ใจเขาอีกหนให้ได้
ในขณะเดียวกันนั้นเฮอร์ไมโอนี่ผู้ที่กำลังลงมือรินน้ำชาถ้วยใหม่ให้ตนเองอยู่ก็ไม่รู้เลยว่านายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอนั้นมีแผนการที่เกี่ยวข้องกับตัวเธออย่างใดบ้าง เธอไม่รู้เลยว่าชายตรงหน้าวางแผนที่จะทำให้เธอไว้ใจอีกครั้งเพื่อปูทางไปสู่สิ่งที่เขาต้องการ คือการได้ครอบครองร่างกายรวมทั้งจิตใจของเธออีกครั้ง เพราะในขณะเดียวกันนั้นทางด้านหญิงสาวเองก็มีแผนการของเธออยู่ในใจเช่นกัน ซึ่งก็คือแผนการที่เธอได้ตกลงกับอาจารย์ของเธอไว้ว่าเธอจะกักตัวนายมัลฟอยให้อยู่กับเธอขณะที่สเนปออกไปตามหาเพื่อลบความทรงจำของเดรโก มัลฟอย และเมื่อคิดได้เช่นนั้น หลังจากผ่านการทุ่มเถียง รวมทั้งการดื่มชาที่น่าอึดอัดและชวนประหม่ามากที่สุดเท่าที่เธอเคยทำมาไปแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องคิดหาแผนการที่จะทำให้ชายผมบลอนด์อยู่กับเธอตลอดทั้งค่ำคืนนี้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็นานเพียงพอที่จะเอื้ออำนวยให้สเนปทำภารกิจของเขาสำเร็จได้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น หลังจากผ่านช่วงเวลาที่เงียบเชียบและแทบจะไม่ได้พูดคุยกันระหว่างดื่มน้ำชาไปพอสมควรแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงลดถ้วยชาของเธอลงและเริ่มเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายคุย
“ปกติคุณดื่มชาตอนบ่ายประจำเลยเหรอคะ” เธอถามคำถามที่เรียบง่ายและใกล้ตัวที่สุดเท่าที่เธอจะนึกได้ออกมา ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูไม่เหมือนคำถามที่ภรรยาควรจะถามสามีที่เธอควรจะรู้เรื่องของเขาดีมากกว่านี้ก็ตาม แต่นายมัลฟอยก็ไม่มีมีท่าทีแปลกใจกับคำถามนั้นของหญิงสาว ตรงกันข้ามเขากลับตอบออกมาอย่างราบเรียบ
“ฉันก็ดื่มชาเป็นปกติถ้าฉันไม่ได้ออกไปข้างนอกนะ” เขาพูดพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่าย ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เพิ่งรู้สึกว่าเธอไม่น่าถามคำถามดังกล่าวออกไปเลย เพราะมันดูเป็นคำถามที่โง่เง่ามาก รวมทั้งเป็นการบอกออกไปโต้ง ๆ ด้วยว่าเธอที่ไม่เคยดื่มชาตอนบ่ายกับนายลูเซียสเลยสักครั้งนั้นไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสามีของเธอเลย แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ อย่างเช่นการดื่มชาที่เป็นกิจวัตรของเขาแบบนี้ แต่เมื่อหญิงสาวลองคิดดูอีกครั้งมันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เธอจะต้องไปล่วงรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของนายมัลฟอยในเมื่อการแต่งงานของพวกเขาครั้งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอเต็มใจจะให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แต่ถึงจะคิดได้เช่นนั้น และถึงแม้ว่าคำถามแรกที่เฮอร์ไมโอนี่ใช้เปิดบทสนทนาระหว่างเธอกับชายผมบลอนด์นั้นอาจจะฟังดูโง่เง่าในสายตาของเขามากก็ตาม แต่หญิงสาวก็จำเป็นจะต้องหาเรื่องมาพูดคุยกับเขาต่อเพื่อดึงความสนใจของเขาไว้ตามที่เธอได้ตกลงกับสเนปเอาไว้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงพยายามที่จะหาเรื่องเพื่อพูดคุยกับชายผมบลอนด์ต่อ
“แล้วปกติคุณทานน้ำชาที่ไหนเหรอคะ” เธอถามต่อขณะที่ในใจของหญิงสาวนั้นคิดว่าเธอไม่เคยเห็นเขาทานน้ำชาในคฤหาสน์หลังนี้แม้แต่เพียงครั้งเดียว ถึงแม้ว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ได้หลายอาทิตย์แล้วก็ตาม
“ก็แล้วแต่นะ” นายลูเซียสตอบพลางมองไปทางอื่นอย่างครุ่นคิด “บางครั้งฉันก็ทานในห้องทำงานของฉัน บางครั้งก็ในห้องนั่งเล่นชั้นล่างติดสวนของคฤหาสน์” เขากล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวจึงถามต่อ
“สวนที่คุณเคยพาฉันไปหรือคะ” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความประหลาดใจ เนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีห้องนั่งเล่นที่ติดกับสวนของคฤหาสน์ด้วย แต่เมื่อลองมาคิดดูอีกที หญิงสาวก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดที่เธอจะยังไม่รู้จักคฤหาสน์หลังนี้ดี เพราะเฮอร์ไมโอนี่เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานบวกกับความจริงที่ว่าหญิงสาวมักจะใช้เวลาอยู่แค่ในห้องสมุดหรือห้องนอนของเธอเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้เธอรู้จักคฤหาสน์ที่ตอนนี้เปรียบเสมือนที่พักถาวรของเธอหลังนี้ได้ไม่ทั่วถึงเท่าไหร่นัก
และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่นั้น นายลูเซียสก็ตอบเธออกมาด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก เมื่อเขานึกถึงวันที่สองหลังการแต่งงานของพวกเขาซึ่งเป็นวันที่เขาพาเธอไปเที่ยวชมคฤหาสน์ตามลำพัง
“ใช่ แต่ที่ ๆ ฉันเคยพาเธอไปจะเห็นได้แค่ริมสวนเท่านั้น” เขากล่าว “แต่สวนที่เธอว่านี่ถ้ามองจากระเบียงจะเห็นชัดกว่านั้นมาก” นายลูเซียสพูดอย่างอ่อนโยน และสิ่งที่เขาได้รับตอบกลับมาก็คือแววตาที่ดูกระตือรือร้นและตื่นเต้นราวกับเด็ก ๆ ของเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่เธอตอบเขากลับมาว่า “เหรอคะ” พร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ผุดขึ้นที่มุมปากของเธอ รอยยิ้มที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นมันบ่อยนักโดยเฉพาะหลังจากที่เขาลงมือทำร้ายเธอในครั้งก่อนนั้น
และเป็นเพราะท่าทางดังกล่าวบวกกับรอยยิ้มของหญิงสาวนั้นเองที่ทำให้ชายผมบลอนด์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูเธอมากขึ้นจากเดิมที่เขาก็รู้สึกเอ็นดูเธออยู่แล้วแม้ว่าจะมีหลายครั้งที่หญิงสาวตรงหน้าของเขาจะทำตัวดื้อรั้นและก่อปัญหาให้เขาต้องหนักใจก็ตาม แต่ในครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มที่สดใสของเธอที่เขาเพิ่งได้เห็นมันอีกครั้งก็เป็นได้ที่ทำให้นายลูเซียสยิ้มตามเธอได้อย่างไม่อยากเย็นอะไรพร้อมกับความรู้สึกเอ็นดูของเขาที่มีต่อเธอที่ทับทวีมากขึ้น จนนายมัลฟอยถึงกับต้องการจะตามใจเฮอร์ไมโอนี่โดยการพาเธอไปชมสวนสวยดังกล่าวที่เธอไม่มีโอกาสได้เห็นจากปีกตะวันออกซึ่งเป็นที่พักของเธอด้วยซ้ำ เนื่องจากนายลูเซียสคิดว่าเขาอาจจะได้เห็นรอยยิ้มของเธอมากขึ้นหากเขาพาเธอไปชมสวนที่เธอท่าทีสนใจมันแบบนี้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นนายมัลฟอยจึงลุกขึ้นพร้อมกับเดินมาหาภรรยาสาวของเขาก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า
“มาสิ ฉันจะพาเธอไปดูสวนที่ว่า” เขากล่าวพลางยื่นมือใหญ่ของเขาให้เธอจับ ขณะที่หญิงสาวตรงหน้านั้นเงยหน้ามองเขา ดวงตาสีน้ำตาลของเธอนั้นมีร่องรอยของความลังเลใจปรากฎขึ้นแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่เธอจะตัดสินใจวางมือเล็กของเธอลงบนมือใหญ่ของเขาและลุกขึ้นยืนเพื่อให้นายลูเซียสพาเธอไปยังระเบียงเพื่อชมสวนอันทอดตัวยาวอยู่ที่เบื้องล่างของคฤหาสน์

…………………………………………….


ไม่นานนักร่างของทั้งสองก็เดินมาถึงระเบียงห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอยซึ่งเป็นระเบียงสีขาวรูปทรงงดงามขนาดกว้างขวางปูด้วยหินแกรนิตอย่างดี แต่ความงดงามรวมทั้งความละเอียดปราณีตของสถาปัตยกรรมของคฤหาสน์มัลฟอยนั้นก็ไม่อาจจะเทียบกับความงดงามของสวนของคฤหาสน์เมื่อมองจากมุมสูงได้ เพราะสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นยามทอดสายตามองไปเบื้องล่างในขณะนี้นั้นก็คือสวนที่ถูกตัดแต่งอย่างงดงามและเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันที่แข่งกันออกดอกชูชันอย่างงดงามแม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งปกติแล้วพืชพันธุ์ต่าง ๆ นั้นจะโรยราและดอกไม้ก็จะเหี่ยวเฉาลงตามธรรมชาติของช่วงเวลานี้ และในขณะที่กำลังชื่นชมความงามของสวนเบื้องล่างที่มองมาจากปีกตะวันตกอยู่นั้นหญิงสาวก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่าที่สวนดังกล่าวนั้นมีการใช้เวทย์มนต์เพื่อช่วยให้ดอกไม้เหล่านี้ยังคงเบ่งบานอยู่ได้แม้ในช่วงเวลานี้ของปีหรือไม่
และเป็นเพราะการได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจตรงหน้าซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากปีกตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของห้องนอนของเธอได้แล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมภาพทิวทัศน์ตรงหน้าด้วยความสนใจระคนประทับใจ หญิงสาวค่อย ๆ เดินไปที่ริมระเบียงที่ทำจากหินแกะสลักลวดลายงดงาม มือเล็กของเธอแตะขอบระเบียงสีขาวสะอาดขณะที่สายตาของเธอกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพเบื้องหน้าตั้งแต่สวนที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามเบื้องล่าง น้ำพุซึ่งถูกจัดวางอย่างปราณีตอยู่ท่ามกลางสวนสวย เลยไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไปซึ่งดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำเตรียมที่จะลาลับขอบฟ้าในอีกไม่นาน และอาจจะเป็นเพราะเธอมัวแต่ดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติซึ่งแตกต่างไปจากทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นจากปีกตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของห้องนอนเธออยู่นั้นเอง ทำให้หญิงสาวไม่รู้ตัวถึงการมาของชายผมบลอนด์ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เธอเลยแม้แต่น้อย และกว่าที่เฮอร์ไมโอนี่จะรับรู้ถึงการมาของสามีของเธอนั้นก็เป็นตอนที่ร่างใหญ่ของนายมัลฟอยเข้ามาประชิดร่างเล็กของเธอเสียแล้ว
นายลูเซียสเคลื่อนตัวเข้ามาประชิดหญิงสาว รวมทั้งเขาได้ใช้มือข้างหนึ่งของเขาอ้อมร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ไปจับราวระเบียงซึ่งส่งผลให้ร่างของเธอตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา และถึงแม้ว่าจะแปลกใจกับการที่ร่างใหญ่เข้ามาใกล้ชิดเธอถึงขนาดนี้ก็ตาม แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไปเมื่อชายผมบลอนด์ก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เธอชอบไหม” เขาถามพลางก้มมองร่างเล็กที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในอ้อมแขนของเขาในตอนนี้ด้วยท่าทีปกติมากที่สุดราวกับว่าการที่เขาแทบจะรั้งร่างของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนของเขาแบบนี้นั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด และเมื่อเป็นเช่นนั้น ทางด้านเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งรู้ดีกว่าการไปขัดขืนหรือโต้แย้งอะไรชายผมบลอนด์ออกไปนั้นอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ที่บอบบางภายใต้ข้อตกลงและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้นเกิดการสั่นคลอนได้ เธอจึงจำเป็นต้องปล่อยเรื่องที่นายลูเซียสเข้ามาใกล้ชิดเธอมากเกินไปในครั้งนี้ให้ผ่านเลยไปและทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าในตอนนี้ตัวเธอเองนั้นจะไม่ต่างกับถูกชายตรงหน้าสวมกอดไว้อย่างหลวม ๆ ก็ตามเมื่อเธอตัดสินใจเอ่ยปากตอบออกมา
“ชอบค่ะ วิวที่มองจากระเบียงนี้สวยจริง ๆ ค่ะ” เธอกล่าวพลางแสร้งมองทิวทัศน์เบื้องหน้าโดยไม่สบตาร่างที่อยู่ข้างกาย
“วิวที่ฝั่งตะวันออกไม่เหมือนที่นี่เลยค่ะ” หญิงสาวพูดออกมา “ฉันหมายถึงวิวฝั่งนั้นก็สวยค่ะ แต่มันแตกต่างกับฝั่งนี้มากทีเดียว” เฮอร์ไมโอนี่รีบสำทับเมื่อเธอคิดได้ว่าเธอพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกไป เพราะการพูดเปรียบเทียบว่าทิวทัศน์จากห้องนอนของเธอนั้นไม่งดงามเท่าทิวทัศน์ที่มองจากฝั่งตะวันตกแห่งนี้เป็นคำพูดไม่ค่อยจะเหมาะสมเสียเท่าไหร่นัก เพราะสามารถถูกเข้าใจไปได้ว่าเธอไม่พอใจวิวที่มองจากฝั่งตะวันออก รวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ไม่ต้องการจะให้นายลูเซียสเข้าใจว่าเธอไม่พอใจที่เขาจัดให้ห้องนอนของเธอรวมถึงของเขาด้วยไว้ทางฝั่งตะวันออกเธอจึงต้องรีบพูดเสริมออกไปเช่นนั้น แต่เมื่อหญิงสาวพบว่าหลังจากที่เธอพูดจบ ร่างที่ตอนนี้อยู่เกือบจะแนบชิดกับเธอนั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเธอจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเขา
และเมื่อเธอทำเช่นนั้น สิ่งที่เธอได้เห็นก็คือสีหน้าที่แปลกประหลาดของชายผมบลอนด์ซึ่งมันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกอึดอัดมากกว่าอะไรทั้งหมด ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่จึงเข้าใจไปว่าเขาคงไม่พอใจที่เธอพูดออกไปเช่นนั้น เธออาจจะพูดอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรออกมาจนทำให้ชายผมบลอนด์รู้สึกอึดอัดก็เป็นได้ แต่เมื่อหญิงสาวได้เห็นสีหน้ารวมถึงท่าทางของนายมัลฟอยอย่างชัดเจนแล้วนั้น เธอก็เข้าใจในทันทีว่าสิ่งที่ทำให้เขาอึกอัดนั้นไม่ได้มาจากคำพูดของเธอ แต่มันมาจากบางสิ่งบางอย่างซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมารองรับสมมติฐานของเธอก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าดังกล่าวของสามีแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็คาดเดาไปเองว่า มันอาจจะเป็นความตั้งใจของชายผมบลอนด์เองที่จะให้เธอรวมทั้งตัวเขาเองด้วยพักอยู่ที่ปีกตะวันออกของคฤหาสน์หลังจากงานแต่งงาน ทั้ง ๆ ที่วิวทิวทัศน์รวมถึงการตกแต่งของปีกตะวันออกนั้นไม่อาจจะเทียบกับปีกตะวันตกได้ แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าปีกตะวันตกนี้นั้นเป็นที่ตั้งของห้องนอนเก่าของเขารวมทั้งเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำของชีวิตคู่ครั้งก่อนของเขากับนางนาร์ซิสซาก็เป็นได้ นายลูเซียสจึงเลือกที่จะเริ่มต้นการแต่งงานครั้งใหม่ของเขาด้วยการเลือกเรือนหอที่ห่างจากปีกตะวันตกมากที่สุดอย่างห้องนอนที่อยู่สุดทางเดินของปีกตะวันออกที่เฮอร์ไมโอนี่พักอยู่ในปัจจุบันนี้
และแม้ว่าหญิงสาวจะได้ทราบข้อมูลอันมาจากข้อสันนิษฐานของตนเองเกี่ยวกับนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอเพิ่มขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่อาจช่วยเหลือเธอในด้านใดได้เลยในสถานการณ์เช่นนี้ หากแต่สิ่งที่เธอจะต้องทำเพื่อช่วยเหลือทั้งอดีตอาจารย์ของเธอและตัวเธอเองนั้นก็คือการถ่วงเวลานายมัลฟอยไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงละความสนใจจากเรื่องราวที่เธอเพิ่งค้นพบ ก่อนที่จะพุ่งความสนใจไปยังหัวข้อสนทนาที่เธอจะต้องนำขึ้นมาชวนชายผมบลอนด์พูดคุยต่อเพื่อดึงความสนใจของนายลูเซียสให้อยู่กับเธอนานที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้แทน
และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงละสายตาจากสีหน้าที่แสดงถึงความอึดอัดของสามีก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมองทิวทัศน์เบื้องล่างและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ตรงนั้นคืออะไรหรือคะ” เธอกล่าวพลางชี้มือไปยังแนวต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปทางซ้ายมือของเธอซึ่งเป็นซุ้มประตูหินอ่อนสีขาวตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้ที่บดบังสายตาของเธอจากสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมันเอาไว้
ความตั้งใจในการถามคำถามนี้ของเฮอร์ไมโอนี่นั้นคือการเปิดบทสนทนาใหม่ขึ้นเพื่อจะทั้งเธอและเขาออกจากการสนทนาที่น่ากระอักกระอ่วนใจซึ่งเธอเป็นผู้เริ่มขึ้นเมื่อครู่ แต่หญิงสาวกลับไม่รู้เลยว่าคำถามนี้ของเธอนั้นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายนั้นรู้สึกลำบากใจมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีกเมื่อเขาตอบคำถามของเธอออกมาด้วยน้ำเสียงซึ่งเขาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้มันดูสุขุมว่า
“ตรงนั้นเป็นทางเข้าสุสานของตระกูลมัลฟอย” นายลูเซียสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทีอึดอัดใจหากแต่เขาก็พยายามรักษาท่าทีเรียบเฉยไว้ “สมาชิกของตระกูลเราถูกฝังที่นั่นมาหลายรุ่นแล้ว” และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่รู้ว่าเธอได้ถามคำถามผิดไปเสียแล้วนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า
“ฉันขอโทษค่ะ ลูเซียส ฉันไม่รู้……” หญิงสาวพยายามพูด หากแต่สามีของเธอกลับตัดบทขึ้นก่อน
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เธอก็เป็นมัลฟอยคนนึงแล้ว เธอมีสิทธิ์ที่จะรู้” เขากล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่เขากลับชักแขนที่โอบร่างของเธอกลับมาไว้ข้างตัวแทน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่คิดว่าเธอไม่น่าถามคำถามโง่เง่าพวกนั้นออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าเลยก็รู้สึกใจหายและโกรธตัวเองไม่น้อย เมื่อเธออาจจะเป็นคนที่ทำแผนการที่เธอและสเนปตกลงกันไว้อย่างดีแล้วนั้นพังทลายลงก็เป็นได้ แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นก็ตาม หญิงสาวก็ไม่อาจจะยอมให้แผนการซึ่งเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของสายลับเพียงคนเดียวของดัมเบิลดอร์รวมถึงของตัวเธอเองด้วยจะต้องมาพังครืนลงตรงหน้าเธอได้เป็นแน่ เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่เธอจะพูดออกไป
“ฉันเสียใจค่ะ ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้น……..” เธอเริ่มพูดก่อนจะกัดริมฝีปากราวกับว่าเธอกำลังตัดสินใจว่าจะพูดต่อไปจนจบดีหรือไม่ก่อนที่เธอจะพูดต่อ
“แต่ดูเหมือนว่าบางครั้งฉันก็ควรจะเก็บความสงสัยของฉันไว้บ้าง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำราวกับเธอรู้สึกผิด และเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดเช่นนั้นจริง ๆ แต่เธอไม่ได้รู้สึกผิดในฐานะที่เธออาจพูดสิ่งที่ชายผมบลอนด์ไม่อยากจะได้ยินออกไป แต่เธอกลับรู้สึกไม่พอใจที่ตัวเธอเองได้ถามคำถามที่อาจจะไปทำลายบทสนทนาอันราบรื่นของเธอกับนายมัลฟอยออกไป จนมันอาจจะไปทำให้เขาไม่ต้องการจะพูดคุยกับเธอต่อทั้ง ๆ ที่ในตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือการรั้งตัวนายลูเซียสให้อยู่กับเธอนานที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ แต่มันกลับกลายเป็นว่าแผนการระหว่างเธอกับสเนปครั้งนี้นั้นอาจจะต้องล้มเหลวลงเพียงเพราะการพูดโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนของเธอเอง!
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น ขณะที่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบกับคำขอโทษที่เธอได้พูดออกไปนั้น หญิงสาวก็เพิ่งรู้ตัวเป็นครั้งแรกว่าบางครั้งเธอก็อาจจะอยากรู้อยากเห็นมากเกินไปอย่างที่อดีตอาจารย์ของเธอเคยพูดสมัยตอนที่เธอเรียนอยู่ที่ฮอกวอตส์จริง ๆ และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังเตรียมใจรับกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างเช่นว่า นายลูเซียสรู้สึกรำคาญกับคำถามที่ไปสะกิดใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขาไล่เธอออกจากห้องนอนเป็นครั้งที่สองของวันนี้อยู่นั้น หญิงสาวก็รู้สึกถึงสายตาของร่างใหญ่ตรงหน้าที่กำลังจ้องมองเธอพร้อมกับมือใหญ่ของเขาที่ยกขึ้นมาสัมผัสเส้นผมของเธออย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า
"ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอนี่ อีกอย่างฉันก็ชักจะชินกับนิสัยนี้ของเธอเสียแล้วล่ะ” เขาพูดพลางลูบศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน ราวกับสำหรับเขาแล้วนั้น เธอไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเด็กตัวเล็ก ๆ ที่อยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กเท่านั้น และเมื่อเห็นเช่นเฮอร์ไมโอนี่จึงกระพริบตาด้วยความแปลกใจ แต่ก่อนที่จะห้ามตัวเองได้ทันอีกครั้งหญิงสาวก็พบว่าตัวเองได้เอ่ยปากถามชายผมบลอนด์ออกไปอีกหน
“คุณไม่โกรธฉันหรือคะ” เธอถามออกมาตามตรง และสิ่งที่เธอได้รับแทนคำตอบจากสามีของเธอก็คือรอยยิ้มบาง ๆ ที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากบางซึ่งปกติมักจะประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์หรือเหยียดหยันเสียมากกว่า แต่ในคราวนี้นายลูเซียสกลับยิ้มให้เธออย่างเอ็นดูราวกับเธอเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ทำผิดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้นก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ไม่หรอก” เขาพูดพลางใช้มือใหญ่ของเขาปัดปอยผมที่โดนลมยามเย็นพัดขึ้นทัดหูเธอก่อนที่เขาจะเสริมขึ้น “ครั้งนี้ฉันไม่โกรธเธอหรอก”
เขาเสริมขึ้นด้วยประโยคที่มีใจความว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาจะไม่โกรธเธอเพราะนิสัยอยากรู้จนบางครั้งหลายคนก็รู้สึกรำคาญกับมัน ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่คงจะไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อยว่าความอยากรู้อยากเห็นของเธอหรือการที่เธอชอบเอ่ยปากถามเรื่องที่เธอสงสัยออกมาตรง ๆ โดยไม่คิดทบทวนให้ดีก่อนนั้นจะทำให้นายลูเซียสรำคาญใจหรือไม่ ตรงกันข้ามหญิงสาวกลับไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าสามีของเธอจะคิดว่าเธอน่ารำคาญหรือรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับนิสัยนี้ของเธอไหม แต่ในครั้งนี้หญิงสาวจำเป็นที่จะต้องใส่ใจกับความรู้สึกของเขาเนื่องจากเธอต้องการจะรั้งตัวเขาให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้ ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้เฮอร์ไมโอนี่ที่จำเป็นต้องใส่ใจต่อความรู้สึกของชายผมบลอนด์มากเป็นพิเศษ จนทำให้หญิงสาวที่รู้สึกผิดกับสิ่งเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นตัดสินใจพูดออกไป
“แต่มันอาจจะไม่ใช่นิสัยที่ดีเท่าไหร่นักหรอกค่ะ…” เธอหยุดครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “มี…..หลายคนที่ไม่ชอบนิสัยนี้ของฉัน” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวออกมาในที่สุด และถึงแม้ว่าถ้อยคำนั้นจะเปรียบเสมือนการยอมรับความผิดของเธอต่อคำพูดที่อาจจะไม่ถูกกาลเทศะเท่าไหร่นักเมื่อครู่นี้ก็ตาม แต่การที่เธอทำเช่นนั้นก็ไม่อาจจะไปลบเลือนรอยยิ้มที่มุมปากและแววตาอ่อนโยนที่นายลูเซียสมีต่อเธอได้เลยเมื่อเขาฟังเธอพูดต่อ
“เพราะอย่างนี้ ฉันก็เลยคิดว่า บางทีฉันก็น่าจะคิดก่อนพูดซักนิด มันน่าจะดีกว่านี้น่ะค่ะ” เธอกล่าวพลางสังเกตท่าทีของฝ่ายตรงข้าม แต่นายลูเซียสนั้นกลับไม่ตอบอะไรออกมา มีเพียงแค่ดวงตาสีเงินที่ปกติจะแลดูเย็นชาของเขาเท่านั้นที่กำลังมองสำรวจใบหน้าของหญิงสาวด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันชักชินกับนิสัยนี้ของเธอแล้ว เพราะฉะนั้นฉันก็เลยคิดว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนอะไรหรอก” เขาพูดด้วยท่าทีเรียบเฉยหากแต่แววตาที่ใช้มองเธอนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรออกไปหรือจะได้คิดว่าเธอควรจะดำเนินบทสนทนาระหว่างเธอกับชายผมบลอนด์ไปในทิศทางไหนดีนั้น นายลูเซียสก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“อีกอย่างฉันก็ไม่เคยบอกเธอด้วยว่าตรงนั้นเป็นอะไร มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าเธอจะถาม” เขากล่าว
และเมื่อได้ยินเช่นนั้น บวกกับการสังเกตอากัปกริยาของอีกฝ่ายตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้องนอนใหม่ของเขาแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ทันทีว่าทั้ง คำพูด กริยาท่าทาง และการเอาอกเอาใจเธอในแบบที่นายมัลฟอยแสดงออกมานั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เปิดเผยมันออกมาตรง ๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้นั้นน่าจะมาจากการที่เขารู้สึกผิดต่อการกระทำอันโหดร้ายที่เขาได้ทำลงไปกับเธอในคืนก่อนหน้านี้ และถึงแม้ว่านายลูเซียสจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเสียใจกับการกระทำของเขา หรือแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาพยายามเอาอกเอาใจเธอเหมือนกับคู่รักทั่วไปยามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทำต่ออีกฝ่ายก็ตาม แต่สำหรับลูเซียส มัลฟอยแล้วนั้น แค่การที่เขาสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินร่างกายเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจบวกกับการเอาอกเอาใจเล็ก ๆ น้อยจากเขา เพียงเท่านี้ก็มากเกินกว่าที่หญิงสาวคิดว่าเธอจะได้รับจากผู้เสพความตายเลือดเย็นผู้เป็นมือขวาของโวลเดอมอร์คนนี้แล้ว
และเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่อจะรู้แล้วว่าลึก ๆ แล้วว่าการที่ชายผมบลอนด์ต้องการเอาใจเธอเป็นเพราะเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไปก่อนหน้าก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็เห็นว่ามันเป็นโอกาสดีไม่น้อยที่เธอจะสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้แผนการของเธอสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะถ้าหากว่าหญิงสาวอ่านอากัปกริยาของอีกฝ่ายไม่ผิดไปล่ะก็ การที่นายลูเซียสรู้สึกผิดกับเธอจากการกระทำของเขาจนเขาพยายามมาเอาอกเอาใจเธอและพยายามโอนอ่อนให้กับเธอในบางเรื่องแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็จะสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อรั้งตัวเขาให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้ได้ไม่ยาก และเมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วหญิงสาวจึงเลือกที่จะดำเนินบทสนทนาต่อไปอย่างชาญฉลาดเมื่อเธอพูดต่อ
“จริง ๆ เป็นเพราะคฤหาสน์ของคุณกว้างใหญ่เกินไปมากกว่าค่ะ คุณอธิบายให้ฉันฟังไม่หมดว่าอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง” เธอพูดในเชิงเอาอกเอาใจตอบหลังจากที่เสียเวลาครุ่นคิดอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมา
“ฉันสงสัยมานานแล้วค่ะว่าที่นี่สร้างขึ้นเมื่อไหร่หรือคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามออกไปด้วยสีหน้าและแววตาที่แสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอะไรทั้งหมด และถึงแม้ว่าสามีของเธอจะมีท่าทีแปลกใจในคำถามนี้ของเธอมากก็ตาม แต่หลังจากที่ดวงตาสีเงินของนายลูเซียสเลื่อนมามองหญิงสาวด้วยความประหลาดใจที่จู่ ๆ ที่ภรรยาสาวของเขาอยากรู้ประวัติของคฤหาสน์หลังนี้ขึ้นมาได้สบกับดวงตาที่ฉายแววอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอะไรทั้งหมดของเฮอร์ไมโอนี่ ชายผมบลอนด์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ให้กับสีหน้านั้นของเธอ ดวงตาสีเงินของเขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดูระคนอ่อนโยนก่อนที่เขาจะละสายตาไปมองสวนด้านล่างเมื่อเขาตอบคำถามของภรรยาออกมา
“คฤหาสน์หลังนี้เริ่มสร้างจริง ๆ ก็ในศตวรรษที่ 16 แต่ที่ดินผืนนี้น่ะ ตระกูลของเราได้มาครอบครอง ก่อนหน้านั้นแล้ว………” และแล้วนายลูเซียสเริ่มเล่าประวัติของคฤหาสน์ขึ้นท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาทางเขาอย่างอยากรู้อยากเห็นของหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างเขาภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดส่องเข้ามาจับร่างของพวกเขาและสายลมเย็นที่ห่อหุ้มร่างของทั้งสองไว้ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบและสวยงาม ณ ระเบียงฝั่งตะวันตกของคฤหาสน์มัลฟอย


…………………………………………….


มีต่อ PART III ค่ะ





Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2558 1:46:35 น. 0 comments
Counter : 905 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.