Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 14 The Jealousy PART I


คุยกันก่อนอ่านนะคะ

ตอนนี้ลงไปช้านิดนึง แต่ก็จัดไป 20 หน้าเลยนะคะ หวังว่านักอ่านทั้งหลายคงจะชอบกันนะคะ




***Chapter 14 The Jealousy: เริ่มหวาดระแวง***



“นี่มันอะไรกัน!” ลูเซียส มัลฟอยพูดขึ้นขณะที่กำลังมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าที่บอกว่าเขาตกใจมากแค่ไหนที่ได้เห็นภรรยาของเขาและเซเวอร์รัส สเนปมีกริยาที่เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เห็น โดยเฉพาะการที่ตอนนี้ใบหน้าของทั้งคู่นั้นอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงคืบเท่านั้นจนลูเซียสอดสงสัยไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองกำลังทำอะไรกันอยู่ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังมองมาทางสามีของเธอด้วยท่าทีที่บอกว่าเธอตกใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเธอซีดเผือด หญิงสาวรู้สึกราวกับจะเป็นลมขึ้นมากระทันหันเมื่อเธอได้สบดวงตาสีเงินที่มีแววตกใจระคนโกรธเกรี้ยวของชายผมบลอนด์

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดนั้นเอง เซเวอร์รัส สเนปก็มองไปทางร่างที่มาใหม่ด้วยสายตาที่เรียบเฉย เขาลุกขึ้นยืนตรงด้วยท่าทีปกติก่อนจะตอบนายลูเซียสออกไป

“ผมเองก็อยากถามคุณเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น” สเนปพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและสุขุมราวกับว่าเขาและเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแต่อย่างใด ขณะที่ชายผมบลอนด์ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับคำตอบที่เขาคาดไม่ถึงของสเนป แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไรออกไป ชายผมดำก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมภรรยาของคุณถึงเข้ามาอยู่ในห้องทำงานของผม แถมเธอยังมายุ่มย่ามกับเอกสารส่วนตัวของผมอีกด้วย” สเนปพูดออกมาอย่างราบรื่น และเฮอร์ไมโอนี่ก็สามารถจับแววไม่พอใจในน้ำเสียงของเขาได้ แต่หญิงสาวก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอรู้สึกนั้นมาจากการที่สเนปไม่พอใจที่เธอเข้ามายุ่มย่ามในห้องทำงานของเขาจริง ๆ หรือเป็นเพราะว่าเขาต้องการโกหกให้แนบเนียนอย่างที่เขาทำมาตลอด ขณะที่นายลูเซียสมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเขามองสบตาเพื่อนเก่าแก่ของเขา

ใช่แล้ว เซเวอร์รัส สเนปโกหกฝ่ายผู้เสพความตายมาโดยตลอด รวมทั้งเขาได้ทำให้ฝ่ายภาคีเข้าใจว่าเขาเป็นคนทรยศที่ฆ่าสังหารดัมเบิลดอร์เพื่อที่เขาจะได้แฝงตัวอยู่ข้างกายจอมมารได้อย่างแนบเนียนที่สุด เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่าความลับที่เธอเพิ่งค้นพบนั้นมีคนอื่นล่วงรู้หรือไม่หลังจากที่ดัมเบิลดอร์เสียชีวิตไปแล้ว แต่ที่สำคัญก็คือหญิงสาวรู้ดีว่าเธอจะให้ใครก็ตามล่วงรู้ความลับของสเนปที่เธอเพิ่งไปค้นพบเข้าโดยบังเอิญไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะสามีของเธอซึ่งเป็นผู้เสพความตายที่ภักดีกับจอมมารมากที่สุดคนหนึ่ง

“ถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณก็ลองถามภรรยาของคุณดูเองสิ” สเนปพูดอย่างเย็นชา สิ้นคำพูดของชายผมดำ ชายผมบลอนด์ก็หันมามองทางเฮอร์ไมโอนี่ที่บัดนี้นั่งหน้าซีดอยู่ที่โต๊ะทำงานของสเนป หญิงสาวไม่กล้าพอที่จะพูดอะไรออกไป ขณะที่เธอใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการปิดกั้นใจของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าชายทั้งสอง ในกรณีที่นายลูเซียสเกิดระแวงสงสัยเธอจนต้องการพินิจใจเธอขึ้นมา และหลังจากใช้เวลาวิเคราะห์ท่าทีของหญิงสาวอยู่ไม่นานนัก นายมัลฟอยที่ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่สเนปพูดก็หันไปหาเพื่อนผู้เสพความตายของเขาก่อนจะพูดขึ้นมา

“เธอได้รับบาดเจ็บ จาก.....สิ่งของบางอย่างของผม ผมก็เลยจำเป็นต้องพาเธอเข้ามาหายารักษาที่นี่” เขาตอบพลางหันไปมองสเนปด้วยท่าทีราวกับการที่เขาเข้ามาใช้ห้องทำงานของชายผมดำโดยพลการนั้นเป็นเรื่องที่ปกติมากที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็น่าจะบอกผมก่อนซักนิดนะ ลูเซียส” สเนปพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจการกระทำของชายผมบลอนด์ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเขาแกล้งทำมันขึ้นมา หากแต่สเนปแสร้งทำได้แนบเนียนเหลือเกินราวกับเขาไม่พอใจจริง ๆ ที่นายลูเซียสเข้ามาใช้ห้องทำงานของเขาโดยพลการแบบนี้

“ผมไม่มีเวลามาขออนุญาตคุณก่อน คุณก็น่าจะรู้ หรือจะต้องรอให้พิษลามไปทั่วมือของเธอก่อนอย่างนั้นหรือ!” จบคำพูดของชายผมดำ ชายผมบลอนด์ก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ขณะที่สเนปนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย เขามองไปที่เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานของเขา โดยสายตาของเขาเลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ผ้าพันแผลในมือของเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาเพื่อนผู้เสพความตายของเขา

และเมื่อดูจากสีหน้าของสเนป ลูเซียสสามารถบอกได้ว่าเขาพอที่จะเข้าใจเรื่องที่ลูเซียสพยายามจะบอกเขาแล้ว เพราะมันไม่มีความโกรธเคืองเจืออยู่ในน้ำเสียงของชายผมดำอีกต่อไปแล้วเมื่อเขาพูดขึ้น

“ภรรยาของคุณได้รับบาดเจ็บจากสิ่งของศาสตร์มืดชิ้นไหนกัน” สเนปถามขึ้น ขณะที่ชายผมบลอนด์มีท่าทีอึดอัดใจเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกไป

“รูปปั้นงูจากอียิปต์…..มันบรรจุพิษงูเอาไว้” เขาตอบพลางหลบสายตาของชายผมดำ ขณะที่หญิงสาวที่กำลังฟังบทสนทนาของชายทั้งสองอยู่นั้นรู้สึกว่าหัวใจของเธอแกว่งวูบด้วยความหวาดกลัว หลังจากที่ได้รู้ว่ารูปปั้นที่เธอเผลอไปแตะเข้านั้นบรรจุพิษงูเอาไว้ และถ้าหากนายลูเซียสไม่เข้ามาพบเธออย่างทันท่วงทีล่ะก็ เฮอร์ไมโอนี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง

แต่ดูเหมือนสเนปจะไม่แปลกใจในข้อมูลที่เขาเพิ่งจะได้รับเลย ชายผมดำประสานมือของเขาไว้ที่หน้าอกซึ่งเป็นท่าทีที่เขามักทำเสมอเมื่อเขาต้องสอนนักเรียนปรุงยาที่มีความยากเป็นพิเศษพลางมองเพื่อนเก่าแก่ของเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะถามขึ้นอีกครั้ง

“แล้วคุณใส่ยาอะไรให้เธอ” สเนปถามขึ้น ก่อนที่ชายผมบลอนด์จะบอกตัวยาที่เขาใช้รักษาหญิงสาวออกไป ซึ่งมันเป็นตัวยาที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีกว่ามีสรรพคุณในการชำระแผลและถอนพิษอย่างดีเยี่ยม ขณะที่อดีตอาจารย์สอนวิชาปรุงยาของเธอนั้นพยักหน้าอย่างรับรู้

“ถึงคุณจะเลือกตัวยาสำหรับรักษาพิษได้ดี แต่ผมคิดว่าแค่ตัวยาสองอย่างนี้น่าจะไม่สามารถรักษาแผลของภรรยาคุณให้หายสนิทได้ และถ้าให้ผมเดา ผมคิดว่าปากแผลของเธอยังเปิดอยู่ใช่ไหม” สเนปพูดอย่างสุขุม ขณะที่นายลูเซียสมีสีหน้าอึดอัดใจก่อนที่จะตอบออกมา

“ผมไม่แน่ใจ คุณก็รู้ว่าผม......พวกเราถูกเรียกไปพบจอมมารก่อนหน้านี้ ผมเลยไม่ทันได้สังเกตุบาดแผลของเธอ” ชายผมบลอนด์กล่าวขึ้น ก่อนที่สเนปซึ่งมีท่าทีเรียบเฉยจะพูดต่อ

“ถ้าอย่างนั้น ผมสามารถช่วยแนะนำคุณเรื่องตัวยาสำหรับรักษาบาดแผลของภรรยาคุณได้นะ ลูเซียส เพียงแต่ผมคงต้องขอดูแผลของเธอหน่อย” เขาพูดพลางมองไปทางเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสายตาที่ทำให้เธอขนลุก ขณะที่สามีของหญิงสาวมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าให้ชายผมดำอย่างไม่เต็มใจนัก

เมื่อได้รับอนุญาตจากนายลูเซียสแล้ว สเนปก็หันมาทางอดีตลูกศิษย์ซึ่งในตอนนี้อยู่ในฐานะภรรยาของเพื่อนผู้เสพความตายของเขา ชายผมดำยื่นมือของเขาออกไปพร้อมกับมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสายตาที่บอกให้เธอส่งมือมาให้เขา และหลังจากลังเลอยู่ไม่นานนักหญิงสาวก็วางมือข้างที่บาดเจ็บของเธอลงบนมือใหญ่ที่รออยู่ของสเนป เฮอร์ไมโอนี่แทบจะหยุดหายใจเมื่อรู้สึกว่านิ้วของชายผมดำค่อย ๆ แกะผ้าที่เธอใช้พันแผลอยู่ออก ขณะที่ดวงตาสีดำของเขาจ้องมองเธอราวกับกำลังอ่านใจเธออยู่ แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นล้วนตกอยู่ภายใต้การสังเกตุการณ์ของนายลูเซียสที่มองมาที่ทั้งสองอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่

หลังจากเปิดผ้าพันแผลออกดูแล้ว สเนปซึ่งใช้เวลาพิจารณาบาดแผลของหญิงสาวเพียงครู่เดียวก็ร่ายคาถาเรียกของขึ้นและในวินาทีต่อมาขวดยาขนาดใหญ่กว่านิ้วโป้งไม่มากนักก็ลอยมาหยุดอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเฮอร์ไมโอนี่พร้อมกับกล่องเล็ก ๆ ที่บรรจุสำลีกล่องหนึ่ง สเนปเปิดจุกของมันด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนที่เขาจะหยิบสำลีออกมาจากกล่องและใช้มันป้ายตัวยาในขวดมาทาให้เธอ

ความรู้สึกเย็นแล่นผ่านผิวเนื้อที่ตัวยาสัมผัสราวกับเขาเพิ่งทาแอลกอฮอลส์ลงบนผิวของเธอ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ชักมือกลับแต่อย่างใด หลังจากแน่ใจว่าเขาได้ทายาจนทั่วบาดแผลของร่างตรงหน้าแล้ว ชายผมดำก็พันแผลกลับให้เธอเหมือนเดิมก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

“ฉันใส่ยาให้แล้ว แผลของเธอน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่เธอต้องปิดปากแผลให้สนิทล่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันแน่ใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย” เขาพูดพลางบีบมือของหญิงสาวแน่นพร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอด้วยสายตาที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าสเนปไม่ได้ความถึงแค่เรื่องแผลของเธอเพียงงอย่างเดียวเท่านั้น

แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรออกไปนั้น เสียงกระแอมก็ดังขึ้นภายในห้อง แน่นอนว่ามันไม่ได้มาจากใครอื่นนอกจากนายลูเซียสสามีของเฮอร์ไมโอนี่ สเนปปล่อยมือของเธอหลังจากที่ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อหญิงสาวหันไปมองชายผมบลอนด์ที่กำลังยืนอยู่หลังร่างสูงของอดีตอาจารย์สอนวิชาปรุงยาของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ก็เห็นว่าดวงตาสีเงินที่กำลังมองเธอและสเนปอยู่นั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

และเมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวก็ไม่รู้ว่าเธอควรจะทำตัวอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้นอกจากก้มหน้าเพื่อหลบสายตาของชายผมบลอนด์ขณะที่เธอได้ยินเสียงของเขาดังขึ้น

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” นายลูเซียสถามขึ้น แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ว่าคำถามนั้นเป็นคำถามสำหรับสเนป และเมื่อชายผมดำพยักหน้า นายมัลฟอยก็พูดต่อ ซึ่งครั้งนี้เขาหันมาพูดกับหญิงสาวที่เป็นภรรยาของเขาแทนขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้ร่างที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานมากขึ้น

“ไม่เจ็บแผลแล้วใช่ไหม” ชายผมบลอนด์ถามเรียบ ๆ เมื่อเขาเข้ามายืนแทนที่สเนปตรงหน้าโต๊ะทำงานที่เฮอร์ไมโอนี่นั่งอยู่ หญิงสาวเงยหน้ามองร่างตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจก่อนที่จะตอบออกไป

“ค่ะ” สิ้นเสียงของเธอ ดูเหมือนว่านายลูเซียสต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกไปแต่เขากลับถูกขัดด้วยคำพูดของสเนปที่ชิงพูดขึ้นก่อน

“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็อยากจะขอให้คุณกับภรรยาช่วยออกไปจากห้องทำงานของผมด้วย ผมมีธุระหลายอย่างที่ต้องจัดการ” ชายผมดำพูดตามตรง แม้ว่ามันจะฟังดูเป็นคำพูดที่ไม่สุภาพเท่าไหร่นัก แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องปกติของเซเวอร์รัส สเนป ก่อนที่สามีของเธอจะหันไปมองเพื่อนผู้เสพความตายของเขาด้วยสายตาที่เรียบเฉยพร้อมกับที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่ของนายลูเซียสเข้ามาโอบรอบเอวของเธอและรั้งร่างของเธอเข้ามาหาเขาจนร่างของทั้งสองเกือบจะแนบชิดกัน ก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

“ก็ได้ ผมเองก็ไม่อยากจะรบกวนคุณไปมากกว่านี้อีกแล้ว เซเวอร์รัส” ชายผมบลอนด์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาซึ่งแตกต่างจากที่เขาเคยใช้พูดกับสเนปก่อนหน้านี้มาก แต่ดูเหมือนว่าชายผมดำจะไม่สนใจในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะในตอนนี้ดวงตาสีเข้มของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่เฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในอ้อมแขนของนายลูเซียสแทน แต่ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้อ่านความหมายในสายตาของอดีตอาจารย์สอนวิชาปรุงยาที่กำลังมองมาทางเธออยู่นั้น ร่างที่กำลังกุมเอวของเธออย่างแสดงความเป็นเจ้าของก็ลากเธอออกมาจากห้องเสียก่อน เมื่อรู้ตัวอีกทีเฮอร์ไมโอนี่ก็มายืนอยู่หน้าระเบียงโดยที่มือนายลูเซียสเปลี่ยนมากุมอยู่ที่ข้อมือของเธอแทน ก่อนที่เขาจะพาเธอเดินอย่างรวดเร็วไปตามระเบียงทางเดินที่อับชื้น

“ลูเซียสคะ เดี๋ยวก่อนสิคะ!” หญิงสาวประท้วงขณะที่มือใหญ่ของสามีเลื่อนมากุมรอบข้อมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บของเธอแน่นราวกับคีมเหล็กพร้อมกับลากร่างเล็ก ๆ ของเธอให้เดินไปตามทางเดินโดยไม่สนใจเลยว่าเธอจะสามารถเดินตามเขาทันหรือไม่จนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเจ็บที่ข้อมือ

“ลูเซียส.....” หญิงสาวพูดได้เพียงเท่านั้นก่อนที่ร่างตรงหน้าจะหันมาทางเธอ และมองเธอด้วยแววตาที่ดุดัน

“เงียบ! ฉันกับเธอจะไปคุยกันที่บ้าน!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ว่ามันเป็นคำขาด ก่อนจะพาหญิงสาวออกเดินอีกครั้ง และในครั้งนี้ร่างเล็กของเธอที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาก็ไม่พยายามที่จะขัดขืนอะไรอีกเลย


…………………………………………….


หลังจากออกจากห้องทำงานของสเนป ชายผมบลอนด์ก็พาเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นมายังชั้นบนของปราสาท เขานำหญิงสาวไปที่ห้องโถงเพื่อใช้เตาผิงสำหรับเดินทางกลับคฤหาสน์ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตัวอีกทีเธอก็กลับมายืนอยู่ที่ห้องโถงของคฤหาสน์มัลฟอยเสียแล้ว ก่อนที่นายลูเซียสจะดึงมือเธอเพื่อให้เธอเดินออกจากเตาผิงอย่างรีบเร่ง และในวินาทีที่เท้าของชายผมบลอนด์แตะพื้นหินแกรนิตของคฤหาสน์ เสียงป็อปก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเอลฟ์ตัวเล็กจ้อยที่สวมปลอกหมอนสีเขียวเข้ม

“ยินดีต้อนรับนายท่านกับนายหญิงกลับสู่คฤหาสน์ขอรับ ไม่ทราบว่า......” ไม่ทันที่เอลฟ์ตัวนั้นจะพูดจบ นายลูเซียสก็ขัดขึ้น

“แกไปได้แล้ว!” เขาตะโกนออกไปอย่างหงุดหงิด

“แต่ฮ็อบปี้มีหน้าที่เอาเสื้อคลุมของนายท่านไปเก็บนะขอรับ” เอลฟ์กล่าวพลางทำหน้าเหรอหรา ขณะที่ชายผมบลอนด์มีท่าทีไม่พอใจมากขึ้น

“ฉันบอกให้แกไปยังไงล่ะ! หรือจะต้องให้ฉันลงโทษแกก่อนหรือไง!” นายลูเซียสตวาดขึ้นในทันที ขณะที่เอลฟ์ร่างเล็กตัวสั่นเมื่อเห็นเจ้านายของมันโกรธ ก่อนที่มันจะก้มศีรษะลงต่ำและรีบหายตัวไปในทันที ราวกับมันกลัวว่าเจ้านายของมันจะเปลี่ยนใจลงโทษมันเข้าในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

หลังจากเห็นว่าเอลฟ์ออกไปจากห้องโถงและทิ้งให้พวกเขาอยู่ตามลำพังแล้ว นายลูเซียสก็หันมาหาเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ ดวงตาสีเงินของชายผมบลอนด์จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของภรรยาอย่างประเมิน แม้ว่าสีหน้าของเขาจะบ่งบอกว่าเขากำลังโกรธก็ตาม แต่นายมัลฟอยก็พยายามที่จะรักษาน้ำเสียงของเขาให้ฟังดูราบเรียบก่อนที่จะพูดขึ้น

“ทีนี้ บอกฉันได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขาพูดด้วยท่าทีที่พยายามจะทำให้ดูเป็นปกติมากที่สุด หากแต่ดวงตาของเขากลับจ้องมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างทิ่มแทง จนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับเธอขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะเมื่อเธอต้องคิดหาคำตอบที่เหมาะสมมาตอบคำถามของสามีพร้อม ๆ กับที่เธอต้องพยายามปิดกั้นใจของเธอจากการมองเห็นของเขา

มันดูกับราวผ่านไปชั่วนิรันดร์ขณะที่หญิงสาวพยายามระดมสมองอย่างหนักเพื่อหาข้อแก้ตัวมาบอกแก่ชายตรงหน้า ขณะที่นายลูเซียสซึ่งได้เห็นท่าทีอึกอักของภรรยาได้ก้าวเข้ามาใกล้เธออีกสองก้าวพลางมองเธอด้วยแววตาคาดคั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอจะต้องพูดอะไรออกไปเสียแล้ว

“คือ มันก็เป็นอย่างที่เขา......ศาสตราจารย์สเนปบอกนั่นแหละค่ะ” หญิงสาวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา พลางเงยหน้าขึ้นสบตาร่างใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอในระยะประชิดอย่างหวาดกลัว

“ฉันอยากได้ยินจากปากของเธอ” เขาพูดอย่างชัดเจนก่อนที่มือใหญ่ของเขาจะเลื่อนไปเชยคางหญิงสาวให้หันมาสบตาเขาหลังจากที่เธอหลบตาเขาไปในตอนที่พูดจบประโยค

เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกหนาวยะเยือกที่ไขสันหลังขึ้นมาทันทีเมื่อเธอต้องสบดวงตาสีเงินที่ดูราวกับจะลุกเป็นไฟของชายตรงหน้า ขณะที่เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายหญิงสาวก็กลืนน้ำลายก่อนจะพูดขึ้น

“ก็.....หลังจากที่ฉันแช่มือจนหายแล้ว ฉันก็รอคุณอยู่ในห้องนั้น แต่คุณยังไม่มา ฉันก็เลยนั่งลงที่โต๊ะทำงานของสเนป แล้วฉันก็เผลอไปดูเอกสารของเขาเข้า……” เธอตอบออกมาด้วยท่าทีที่พยายามจะทำให้มันดูสมจริงมากที่สุด แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ยังคงมองเห็นแววระแวงสงสัยที่ปรากฏอยู่ในดวงตาสีเงินของสามี

“เธอแอบไปอ่านเอกสารที่อยู่บนโต๊ะของเซเวอร์รัสเข้า……แล้วยังไง” นายลูเซียสยังคงคาดคั้นเธอต่อ ขณะที่หญิงสาวมีเวลาคิดหาคำตอบอยู่เพียงครู่เดียวก่อนที่เธอจะพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก

“แล้วสเนปน่ะคะ เขาก็เข้ามาเห็นฉันตอนกำลังอ่านเอกสารของเขาอยู่พอดี........เขาโกรธมาก จู่ ๆ เขาก็เข้ามายืนค้ำหัวฉันแล้วก็ตะโกนใส่ฉัน เขานึกว่าฉันเข้ามาหาความลับอะไร” เธอเล่า

“แล้วหลังจากนั้นคุณก็เข้ามาพอดี” หญิงสาวจบประโยคด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มันฟังดูเหมือนว่าเธอหวาดกลัวสเนปเป็นอย่างมาก ทั้งที่จริง ๆ แล้วคนที่เฮอร์ไมโอนี่กลัวมากกว่าอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอในตอนนี้ก็คือชายตรงหน้าซึ่งในตอนนี้เขามีฐานะเป็นสามีของเธอต่างหาก!

หลังจากฟังเรื่องที่หญิงสาวเล่าจนจบแล้ว นายลูเซียสก็มองร่างเล็กของภรรยาด้วยแววตาพิจารณา จนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับดวงตาสีเงินของเขาที่กำลังมองเธออยู่นั้นทิ่มแทงร่างกายของเธอจนเธอรู้เจ็บปวด หลังจากที่ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวชายผมบลอนด์ก็พูดออกมาอีกครั้ง

“เธอพูดว่าเธอกำลังอ่านเอกสารของเซเวอร์รัสอยู่ในตอนที่เขาเข้ามาเจอเธอใช่ไหม แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นมือของเธอถือกระดาษอะไรอยู่เลยในตอนที่ฉันเข้าไปในห้องล่ะ” นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความสงสัยและไม่ไว้วางใจ ขณะที่หญิงสาวตรงหน้าของเขานั้นรู้สึกราวกับเธอเพิ่งร่วงหล่นจากที่สูงนับพันฟุต หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่แกว่งวูบด้วยความตกใจในสิ่งที่สามีของเธอเพิ่งจะถามเธอออกมา แต่ถึงกระนั้นเธอก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาสีหน้าที่ดูเป็นปกติเอาไว้


หญิงสาวกลืนน้ำลายลงไปยังลำคอที่แห้งผากของเธอก่อนจะตอบออกไป

“คือ.......ก็ตอนที่สเนปเข้ามาเห็นฉันกำลังอ่านเอกสารของเขา..........เขาก็รีบแย่งมันไปจากมือของฉันแล้วน่ะค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินตัวเองตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะสั่นเทา แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาท่าทีปกติไว้แล้วก็ตาม แต่หญิงสาวก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะว่าในขณะนี้นอกจากจะต้องรักษาท่าทีให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว เธอยังต้องแต่งเรื่องขึ้นมาตอบคำถามของสามี รวมทั้งยังต้องปิดกั้นใจของเธอเองจากการมองเห็นของเขาอีก ซึ่งแต่ละเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ เลยแม้ว่าเธอจะได้ชื่อว่าเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่นของเธอก็ตาม

แต่ถึงจะหวาดกลัวชายตรงหน้ารวมทั้งจะต้องการวิ่งหนีไปจากสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ยังคงพยายามที่พูดประโยคต่อไปออกมาจนได้

“อันที่จริงมันไม่มีไรมากเลยค่ะ มันก็แค่เอกสารเกี่ยวกับการปรุงยาแล้วก็รายชื่อส่วนผสมสองสามอย่างเท่านั้นเอง ฉันก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะโกรธมากขนาดนั้น......” หญิงสาวพยายามจะพูดต่อ แต่คำพูดของเธอก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อฝ่ามือใหญ่ของนายลูเซียสเลื่อนเข้ามากุมใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ ขณะที่ดวงตาสีเงินของเขามองมาทางเธอราวกับจะสั่งให้เธออยู่นิ่ง ๆ ซึ่งทางด้านหญิงสาวในตอนนั้นเองก็ไม่กล้าที่จะขัดขืนร่างใหญ่ตรงหน้าเช่นกัน ขณะที่สามีของเธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอด้วยสายตาที่ทิ่มแทงมากกว่าทุกครั้งจนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับเธอกำลังจมลงไปในทะเลสาบในช่วงฤดูหนาวเมื่อต้องสบดวงตาสีเงินเย็นชาคู่นั้นของชายผมบลอนด์

“บอกฉันอีกครั้งซิ ว่าเรื่องที่เธอเล่าให้ฉันฟังก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด” เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่ฟังดูเฉียบขาด ขณะที่หญิงสาวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขานั้นรู้สึกราวกับขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะ เมื่อเธอพยายามขยับริมฝีปากอันแห้งฝากของเธอเพื่อตอบคำถามของสามีออกมา

“ค่ะ มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด” เธอตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้มันฟังดูหนักแน่นพร้อมกับมองสบดวงตาสีเงินที่ดูน่ากลัวของนายลูเซียสในสายตาของเธอ แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่แน่ใจเลยว่าการแสดงของเธอในครั้งนี้พอจะตบตาชายผมบลอนด์ได้มากแค่ไหน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมองเธอด้วยสายตาพิจารณาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะคลายมือที่เกาะกุมใบหน้าของเธออยู่ แต่เขาก็ยังคงไม่ถอยห่างออกจากเธอแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับโน้มร่างเข้ามาใกล้ร่างของหญิงสาวพลางมองร่างตรงหน้าด้วยแววตาที่บอกได้ว่าเขายังคงแคลงใจในสิ่งที่เธอเพิ่งบอกเขาไปไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นนายลูเซียสก็ไม่ได้ถามอะไรภรรยาของเขาต่อแต่อย่างใด เขาเพียงแค่มองร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่อย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น


“การประชุมที่ฉันบอกได้ถูกยกเลิกไปแล้ว” นายลูเซียสพูดขึ้นด้วยท่าทีปกติ ขณะที่หญิงสาวตรงหน้าเขานั้นขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เนื่องจากเธอไม่นึกมาก่อนว่าสามีของเธอจะเปลี่ยนเรื่องพูดได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ ก่อนที่ชายผมบลอนด์จะพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาเห็นสีหน้าของภรรยา

“การประชุมที่จอมมารต้องการจะประชุมกับผู้เสพความตายทั้งหมดในวันนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับเมื่อครู่ทั้งสองไม่ได้เกือบจะทะเลาะเบาะแว้งกันแต่อย่างใด นายลูเซียสทำราวกับเรื่องในห้องทำงานของสเนปนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“อันที่จริงจอมมารต้องการจะขอความคิดเห็นของเธอในการวางแผนขั้นต่อไป แต่เนื่องจากมีเหตุการณ์ด่วนเข้ามาเสียก่อน การประชุมในวันนี้ก็เลยต้องถูกยกเลิกไป” เขาอธิบาย “อันที่จริงที่ฉันรีบกลับมาที่บ้านนี่ก็เพราะฉันต้องพาเธอมาส่งเสียก่อน เพราะเดี๋ยวฉันจะต้องกลับไปที่ศูนย์บัญชาการอีก จอมมารได้มอบหมายภารกิจบางอย่างให้ฉันทำ”

“ภารกิจอะไรกันคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นทันทีที่ชายผมบลอนด์พูดจบ แม้ว่าเธอจะรู้สึกโล่งอกไม่น้อยที่ลอร์ดโวลเดอมอร์ได้ยกเลิกการประชุมที่เขาต้องการให้เธอมีส่วนร่วมไปก่อนที่มันจะได้เกิดขึ้น เพราะแน่นอนว่าการที่จอมมารต้องการจะใช้สติปัญญาและพลังอำนาจของเธอทำร้ายพวกเพื่อน ๆ และคนที่เธอรักนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่หญิงสาวต้องการจะให้เกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นการได้ยินว่าจอมมารได้มอบหมายภารกิจบางอย่างให้นายลูเซียสทำนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมามากเท่าไหร่นัก เพราะภารกิจที่ว่านั้นอาจจะเป็นการโจมตีหรือทำร้ายสมาชิกภาคีรวมทั้งเพื่อนรักของเธอก็เป็นได้
หลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่ถามคำถามของเธอออกไปแล้ว ชายผมบลอนด์ก็มองหญิงสาวตรงหน้าเขาด้วยท่าทีอึดอัดก่อนจะตอบออกมา

“ฉันเกรงว่าฉันคงไม่มีเวลาเล่าให้เธอฟังในเรื่องนั้นหรอกนะ จอมมารสั่งให้ฉันรีบไปในทันที......” ไม่ทันที่สามีของเธอจะพูดจบ เฮอร์ไมโอนี่ก็ขัดขึ้นก่อน

“คุณบอกฉันไม่ได้สินะคะ” เธอพูดอย่างรู้ทันและไม่เกรงกลัวฝ่ายตรงข้าม ในตอนแรกหญิงสาวคิดว่านายลูเซียสจะไม่พอใจเพราะคำพูดของเธอ แต่เธอก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดเมื่อเห็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผมบลอนด์ก่อนเขาจะพูดขึ้น

“ฉันว่าฉันต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายพูดแบบนั้นนะ เพราะฉันเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเธอมีอะไรที่บอกฉันไม่ได้หรือเปล่า” เขาตอบกลับมา ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอายระคนหวาดกลัวเมื่อร่างตรงหน้าเริ่มพูดต่อ พร้อมกับที่เขาเลื่อนมือสวมถุงมือของเขามาแตะที่แก้มของหญิงสาว

“เธอเองก็น่าจะรู้นี่นาว่ามีอยู่วิธีหนึ่งที่สามารถทำให้เราล่วงรู้เรื่องราวที่อีกฝ่ายปกปิดเอาไว้ ง่ายดายเพียงแค่สะบัดไม้กายสิทธิ์เท่านั้น” เขาพูดพลางมองเธอด้วยดวงตาสีเงินล้ำลึกราวกับเขาต้องการจะอ่านใจเธอผ่านการจ้องตา

“แล้วเธอก็น่าจะรู้ดีนี่ว่า ในตอนนี้เธอไม่สามารถเข้ามาล้วงความลับอะไรในใจของฉันได้ ตรงกันข้ามฉันสามารถเข้าไปดูความลับที่เธอซุกซ่อนเอาไว้ในใจได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก” เขาพูดพร้อมกับที่มือสวมถุงมือของเขานั้นลูบแก้มเนียนของหญิงสาวเบา ๆ ขณะที่เธอหันหน้าหลบสายตาที่ทิ่มแทงของร่างตรงหน้าและพยายามอย่างสุดความสามารถในการปิดกั้นใจของเธอจากการมองเห็นของเขา

“เธอต้องการจะให้ฉันทำอย่างนั้นไหมล่ะ เฮอร์ไมโอนี่” นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นต่อ ขณะที่ร่างเล็กตรงหน้าเขากลั้นหายใจพลางข่มความหวาดกลัวก่อนที่เธอจะรวบรวมความกล้าและพูดอออกมา

“คุณบอกฉันว่าคุณรีบไม่ใช่หรือคะ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่รีบไปล่ะคะ เจ้านายของคุณ.......จอมมารคงไม่พอใจแน่ถ้าหากคุณไปสายใช่ไหมคะ” หญิงสาวกล่าวอย่างมีเหตุผล แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงฟังดูเป็นข้ออ้างสำหรับเอาตัวรอดในสายตาของชายผมบลอนด์อยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อเธอไม่ยอมสบตาเขาให้ตลอดในเวลาที่พูดประโยคดังกล่าวออกมาแบบนี้ แต่แทนที่นายลูเซียสจะข่มขู่หญิงสาวที่กำลังจนมุมต่อ เขากลับยิ้มบาง ๆ ขึ้นที่มุมปากพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า

“จริงสินะ เธอรอบคอบเสียจริงนะ ภรรยาที่รัก” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มดุจแพรไหม และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังเงยหน้ามองร่างตรงหน้าอย่างแปลกใจในสรรพนามซึ่งเขาไม่เคยใช้เรียกเธอมาก่อนนั้นเอง หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงใบหน้าของร่างใหญ่ที่โน้มเข้ามาใกล้เธอ และกว่าที่เธอจะทันได้รู้ตัวหรือขัดขืนอะไรออกไปนั้นชายผมบลอนด์ก็โน้มใบหน้าเข้ามาจูบเธอเสียแล้ว

แม้ว่าจะเคยจูบชายตรงหน้ามาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่การจูบของเขาในครั้งนี้นั้นไม่เหมือนทุกครั้งที่เขาเคยจูบเธอ แม้กระทั่งในครั้งแรกที่เขาขโมยจูบของเธอไปในคืนที่เธอเซ็นต์สัญญาแต่งงานให้แก่เขา เพราะแม้ว่าการสูญเสียจูบแรกของเฮอร์ไมโอนี่ให้แก่นายลูเซียสนั้นจะมาจากการกระทำที่รุนแรงและการบังคับฝืนใจของเขาก็ตาม แต่การจูบของเขาในครั้งนี้กลับทำให้ประสบการณ์ในคืนนั้นดูจะกลายเป็นจูบที่นุ่มนวลไปเลย เพราะในครั้งนี้ชายผมบลอนด์จูบหญิงสาวอย่างหนักแน่นและรุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยจูบเธอ นายลูเซียสจูบภรรยาของเขาอย่างล้ำลึกราวกับเขาต้องการจะขโมยวิญญาณของเธอไปด้วยไม่ใช่เพียงแค่ขโมยจูบเท่านั้น ริมฝีปากบางของเขาเข้าครอบครองริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวอย่างถือสิทธิ์ ในขณะที่มือใหญ่ของเขารั้งร่างเล็กของเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนาโดยไม่ให้โอกาสเธอขัดขืนหรือดิ้นรนแต่อย่างใด

เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับมันได้ผ่านไปแล้วชั่วนิรันดร์ในยามที่เขาจูบเธอ หญิงสาวรู้สึกถึงริมฝีปากร้อน ๆ ของสามีที่บดริมฝีปากของเธออย่างไร้ความปราณี ลิ้นของเขาที่แทรกเข้ามาภายในปากของเธออย่างถือสิทธิ์ เธอรู้สึกขาดอากาศหายใจเมื่อเขาจูบเธอต่ออย่างหนักหน่วงราวกับมันเป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกที่เขาต้องการจะทำ ขณะที่เธอพยายามดิ้นรนอย่างหมดหนทางแต่เธอก็ไม่อาจจะหนีไปจากการเกาะกุมของร่างใหญ่นั้นได้ มือแข็งแกร่งของเขากุมแขนเล็ก ๆ ของเธอไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก ราวกับเขาจงใจที่จะกักขังเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาตลอดไป และเธอเองก็ไม่มีทางที่จะหนีไปจากมันได้จนกว่าเขาจะยอมปล่อยเธอออกมา นายลูเซียสจูบหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอย่างล้ำลึกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับจะขาดอากาศหายใจขึ้นมาจริง ๆ ซึ่งส่งผลทำให้เธอดิ้นรนมากขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นสามีของเธอจึงยอมละริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากอิ่มของเธอแต่โดยดี
ชายผมบลอนด์ถอนริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากของหญิงสาวเมื่อเขาจูบเธอจนพอใจแล้ว แต่เขายังคงไม่ยอมปล่อยมือของเขาที่กุมร่างของเธอเอาไว้ และเมื่อใจแล้วว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นไม่มีทีท่าจะโต้ตอบเขาโดยการทำร้ายเขาหรือพยศใด ๆ อีกต่อไปแล้ว นายลูเซียสจึงค่อย ๆ คลายมือใหญ่ของเขาที่รั้งร่างบางเอาไว้ในอ้อมแขนออก ก่อนที่จะมองร่างตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ เลยแม้แต่น้อย และภาพแรกที่เขาเห็นเมื่อจ้องมองร่างตรงหน้าก็คือดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววเจ็บปวดของเฮอร์ไมโอนี่เมื่อเธอยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากที่บอบช้ำของเธอ ซึ่งชายผมบลอนด์คิดว่าภาพนั้นทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะไม่ทำอะไรที่จะเป็นการทำร้ายหญิงสาวออกไปแต่อย่างใด

“ได้เวลาที่ฉันต้องไปแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะกลับมาทานอาหารเย็นกับเธอได้หรือเปล่า แล้วฉันก็ไม่คิดด้วยว่าเดรโกจะกลับมาที่คฤหาสน์ในเย็นนี้ เพราะฉะนั้นมันอาจจะเป็นไปได้ที่เธอจะต้องทานอาหารเย็นคนเดียว” เขาพูดด้วยท่าทีปกติ ราวกับเมื่อครู่เขาไม่ได้ข่มขู่ว่าจะพินิจใจเธอ รวมทั้งไม่ได้ใช้กำลังบังคับให้เธอจูบกับเขาแต่อย่างใด ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ตอบอะไรสามีของเธอออกไป หญิงสาวทำเพียงแต่พยักหน้าเบา ๆ เท่านั้น และเมื่อเห็นชายผมบลอนด์จึงพูดต่อ

“ที่เธอต้องทำก็คือทำตัวดี ๆ อยู่ที่นี่ ฉันคิดว่าในห้องสมุดคงมีหนังสือเยอะแยะที่เธอสนใจ แต่ที่สำคัญอย่าลืมล่ะว่าเธอสัญญากับฉันไว้ว่ายังไง” เขาเน้นเสียงที่ประโยคสุดท้าย ซึ่งเป็นการบอกหญิงสาวอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการให้เธอไปศึกษาเวทย์มนต์แบบไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีกตามที่เฮอร์ไมโอนี่เคยได้ให้สัญญาไว้กับเขา ซึ่งถ้าจะพูดตามตรงแล้ว นายลูเซียสต่างหากที่เป็นคนบังคับให้เธอสัญญากับเขาว่าจะไม่ศึกษาเวทย์มนต์ประเภทนี้อีก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งรู้ดีว่าเธอไม่มีทางขัดขืนร่างตรงหน้าได้เลย โดยเฉพาะในตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องที่ทำให้เขาระแวงสงสัยในตัวเธอแบบนี้ ดังนั้นเมื่อนายลูเซียสถามเธอขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวจึงมีคำตอบที่เขาน่าจะพอใจรออยู่แล้ว

“เธอเข้าใจไหม” ชายผมบลอนด์ถามขึ้น

“ค่ะ” เธอตอบออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของสามีแล้วเฮอร์ไมโอนี่จึงพูดต่อว่า “ฉันเข้าใจค่ะ” เธอกล่าว ขณะที่นายลูเซียสมองเธอด้วยสายตาประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเบา ๆ ในวินาทีนั้นเองชายผมบลอนด์ทำท่าราวกับจะโน้มร่างเข้ามาเพื่อจูบภรรยาของเขาที่ริมฝีปากอย่างเช่นที่เขามักทำก่อนที่จะออกจากบ้าน แต่ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาชะงักการกระทำของเขาเสียก่อนเมื่อชายผมบลอนด์ถอนใบหน้าของเขาขึ้นแล้วกลับมายืนตรงอยู่ตรงหน้าเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง และโดยไม่มีการร่ำลาใด ๆ อีกนายมัลฟอยก็มองร่างเล็กของภรรยาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินไปที่เตาผิง มือใหญ่ของนายลูเซียสคว้าผงฟลูจากกระถางสีเงินมาไว้ในมือแล้วจึงเดินเข้าไปข้างใน และเมื่อเขาเข้าไปยืนข้างในเตาผิงเรียบร้อยแล้วชายผมบลอนด์ก็โยนผงฟลูลงพื้นพร้อมกับพูดอย่างเสียงดังฟังชัดว่า

“ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืด!” สิ้นเสียงของนายมัลฟอยก็มีเปลวไฟสีมรกตลุกท่วมร่างของเขา และในพริบตาต่อมาร่างใหญ่ของเขาก็หายวับไปพร้อมกับเปลวไฟสีมรกตนั้น!


…………………………………………….


หลังจากที่นายลูเซียสเดินทางกลับไปที่ศูนย์บัญชาศาสตร์มืดแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกโล่งอกและหนักใจไปในเวลาเดียวกัน แม้ว่าเธอจะรู้สึกโล่งอกที่สามีของเธอซึ่งเพิ่งเดินทางไปจากคฤหาสน์นั้นไม่ได้คาดคั้นเธอในเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทำงานของสเนปต่อก็ตาม แต่ลึก ๆ แล้วหญิงสาวก็รู้ดีว่านายลูเซียสนั้นไม่ได้เชื่อเรื่องที่เธอบอกเขาไปเลยแม้แต่น้อย! แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็แน่ใจว่าชายผมบลอนด์ยังคงไม่ล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทำงานของอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธออย่างแน่นอน เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าสามีของเธอนั้นยังไม่ได้เจาะเข้าไปในใจของเธอเพื่อล้วงหาข้อมูลที่เขาต้องการแต่อย่างใด แต่ในขณะเดียวกันเขาเองก็ไมได้เชื่อเฮอร์ไมโอนี่เลยแม้แต่น้อยในเรื่องที่เธอเล่าให้เขาฟังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตามนายมัลฟอยก็ยังไม่แคลงใจพอที่จะพินิจใจของเธอเพื่อค้นหาความจริง แต่เขาทำเพียงแค่ขู่เธอเท่านั้น ซึ่งหญิงสาวคิดว่าเหตุผลที่เขาทำเช่นนั้นมีความเป็นไปได้อยู่สองประการ ประการแรกก็คือนายลูเซียสสงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ความสงสัยนั้นก็ไม่มากพอจะทำให้เขาลงมือพินิจใจเธอ แต่เขาทำเพียงแค่ขู่เธอเท่านั้น เพราะเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเขาเองก็คงไม่ต้องการให้เธอรู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มากนัก ซึ่งมันจะทำให้เธอคิดได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอมากเกินไปจนถึงขั้นหึงหวงเธอเมื่อเขาเห็นเธออยู่ในห้องสองต่อสองกับเซเวอร์รัส สเนปในท่าทีที่น่าสัยเช่นนั้น

‘ หึงหวงอย่างนั้นหรือ ‘ หญิงสาวทวนถ้อยคำในนั้นอย่างไม่แน่ใจว่าคำ ๆ นี้ผุดขึ้นมาในสมองของเธอได้อย่างไร แน่นอนว่านายลูเซียสนั้นไม่มีทางหึงหวงเธอในแง่ของคนรักเป็นแน่ เพราะถึงแม้เขาจะเป็นสามีของเธออย่างถูกต้องก็ตาม แต่การแต่งงานของทั้งคู่นั้นเป็นการแต่งงานที่ปราศจากความรัก อันที่จริงมันเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์มากกว่าถ้าจะให้พูดตามตรง เพราะการแต่งงานระหว่างเขากับเธอในครั้งนี้เป็นการแต่งงานเพื่อจะทำให้อำนาจของเธอมาตกอยู่ที่ฝ่ายผู้เสพความตาย ซึ่งเป็นฝ่ายที่ได้ผลประโยชน์จากการเสียสละของเธอในครั้งนี้ และสำหรับเฮอร์ไมโอนี่แล้วมันเป็นการแต่งงานเพราะถูกบีบบังคับ เธอจำเป็นต้องแต่งงานกับนายมัลฟอยเพื่อรักษาชีวิตของพ่อแม่ของเธอไว้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งคู่นั้นไม่ได้รักกันรวมทั้งยินดีที่จะแต่งงานกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งหญิงสาวยังแน่ใจว่าสามีของเธอน่าจะยังรักภรรยาเก่าของเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไปเพียงปีเดียวอย่างนางนาร์ซิสซาอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายผมบลอนด์จะหึงหวงเธอเมื่อเขามาเห็นเธออยู่ตามลำพังกับเพื่อนผู้เสพความตายของเขาในวันนี้ แต่ถึงกระนั้นการแสดงออกของเขาที่ดูไม่พอใจที่ได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันในสภาพที่สามารถคิดไปได้ว่ามันมีอะไรในเชิงชู้สาวเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเซเวอร์รัส สเนปนั้น รวมทั้งการซักไซ้ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการแสดงความเป็นเจ้าของของเขาทั้งต่อหน้าอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอ รวมทั้งการที่เขาจูบเธออย่างรุนแรงเมื่อครู่นี้แล้วมันจะเรียกว่าอย่างไรได้อีก ถ้าไม่ใช่ความหึงหวง หญิงสาวคิดอย่างสงสัย แต่ในไม่นานนักเฮอร์ไมโอนี่ก็สามารถหาคำตอบให้แก่ความสงสัยของตัวเองได้ อย่างเช่นที่เธอมักหาคำตอบให้แก่คำถามอื่น ๆ ได้เสมอ

บางทีความรู้สึกที่นายลูเซียสมีต่อเธอนั้นอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกหึงหวงแบบคนรักก็ได้ แต่อาจจะเป็นความรู้สึก ‘ หวง ’ แบบที่เขาหวงสมบัติส่วนตัวของเขา แน่นอนว่าเขาไม่ได้รักเฮอร์ไมโอนี่พอ ๆ กับที่เธอก็ไม่ได้รักเขาเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา เธอแต่งงานกับเขาอย่างถูกต้องตามมุมมองของเขา และเหตุผลเดียวที่ชายผมบลอนด์ยอมตกลงแต่งงานกับเธอนั้นก็เป็นเพราะเขาต้องการทำตามคำสั่งของจอมมารซึ่งเป็นเจ้านายสูงสุดของเขา รวมทั้งเขาต้องการที่จะได้ครอบครองอำนาจของเธอไว้ในมือของเขาอีกด้วย ดังนั้นความรู้สึกที่นายลูเซียสมีต่อเธอนั้นน่าจะเป็นความรู้หึงหวงเธอในฐานะที่เธอเป็นภรรยาของเขา ในฐานะสมบัติส่วนตัวของเขามากกว่าความรู้สึกหึงหวงในแง่ของคนที่รักกัน อีกทั้งถ้าลองคิดดูแล้วการที่เธอไปสนิทสนมหรือไปมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับเพื่อนผู้เสพความตายของเขาคงจะเป็นการดูหมิ่นเขาอย่างมากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้อย่างแน่นอน ซึ่งคนที่รักศักดิ์ศรีและเกียรติยศอย่างนายลูเซียสคงไม่มีวันยอมอยู่เฉยถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเป็นแน่ ดังนั้นสาเหตุที่สามีของเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้พินิจใจเธอหากแต่ขู่เธอว่าเขาจะทำเช่นนั้นเป็นเพราะจริง ๆ แล้วเขาหวงเธอในฐานะที่เธอเป็นสมบัติส่วนตัวของเขา เป็นสมบัติที่ล้ำค่าซึ่งจะนำชัยชนะในสงครามที่จะเกิดขึ้นมาให้เขา แต่ในขณะเดียวกัน ชายผมบลอนด์เองก็กลัวว่าเธอจะรู้ว่าเขาหึงหวงเธอ รวมทั้งกลัวว่าเธอจะตีความไปเองว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเธอนั้นเป็นความหึงหวงในเชิงคนรักมากกว่าการหึงหวงในทรัพย์สมบัติส่วนตัวแบบที่เขารู้สึกกับเธอ ซึ่งมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองสำคัญขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะขู่เธอมากกว่าที่จะลงมือพินิจใจเธอจริง ๆ

ส่วนสาเหตุประการที่สองนั้นเฮอร์ไมโอนี่เดาว่า อาจจะเป็นเพราะชายผมบลอนด์นั้นไม่ได้เชี่ยวชาญในการพินิจใจอย่างแท้จริง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะในโลกนี้มีพ่อมดแม่มดเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้นที่สามารถใช้เวทย์มนต์เกี่ยวกับการพินิจใจได้อย่างเชี่ยวชาญ หรือแม้กระทั่งเฮอร์ไมโอนี่เองเธอก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่สามารถพินิจใจคนอื่นได้เช่นกัน เพราะการพินิจใจนั้นเป็นเวทย์มนต์แขนงที่ซับซ้อนและยากต่อการศึกษามากกว่าการสกัดใจมากนัก และเท่าที่หญิงสาวรู้ในอังกฤษนี้มีพ่อมดแม่มดเพียงไม่มีคนเท่านั้นที่เชี่ยวชาญศาสตร์ทางด้านนี้ ซึ่งคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการพินิจใจมากที่สุดก็คือ ลอร์ดโวลเดอมอร์ อีกคนหนึ่งก็น่าจะเป็นเซเวอร์รัส สเนป ซึ่งดัมเบิลดอร์ไว้ใจให้เขาสอนการสกัดใจให้แฮร์รี่เมื่อตอนที่เขาอยู่ปีห้า และอีกคนหนึ่งก็คือแม่มดที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการพินิจใจที่ดีที่สุดของศตวรรษนี้ขึ้น และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย เพราะถ้าหากว่ามันเป็นตามที่เธอคิดจริงล่ะก็ หญิงสาวก็สามารถคลายความกังวลในเรื่องที่อาจจะถูกสามีของเธอพินิจใจจนเขาล่วงรู้ความลับของเซเวอร์รัส สเนปที่เธอเพิ่งค้นพบมาได้ เพราะถึงแม้ว่าเธอจะไม่เชี่ยวชาญการพินิจใจเช่นเดียวกับพ่อมดแม่มดคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่เธอก็เคยเรียนวิชาการสกัดใจมาตอนที่เธออบรมเป็นมือปราบมาร และเธอก็ทำได้ดีไม่น้อยในการสกัดใจ อันที่จริงเธอทำคะแนนได้ที่หนึ่งของชั้นเรียนและมันก็เป็นเพียงวิชาเดียวเท่านั้นที่เธอสามารถเอาชนะแฮร์รี่ เพื่อนรักของเธอซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเกิดมาเป็นมือมารปราบที่เก่งกาจที่สุดในอังกฤษได้

หลังจากที่ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับกระแสความคิดและพยายามหาทางที่จะเข้าใจความคิดของนายลูเซียสอยู่ซักพักหนึ่งแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มรู้สึกโล่งอกและคลายจากความตึงเครียดแล้ว เนื่องจากเธอรู้แล้วว่าเรื่องระหว่างเธอและสามีนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดอีกต่อไป เพราะถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยในความสัมพันธ์ของเธอกับสเนปก็ตาม แต่เขาก็ไม่น่าที่จะล่วงรู้ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ยกเว้นแต่ว่านายลูเซียสจะสั่งให้เอลฟ์ใส่สัจจะเซรุ่มลงไปในเครื่องดื่มของเธอในเวลาอาหารเช้า ซึ่งหญิงสาวก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น

แต่สิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่กังวลมากกว่าในตอนนี้ก็คือเธอจะสามารถเก็บเรื่องราวที่เธอได้รับรู้เอาไว้ได้มากแค่ไหนถ้าหากเธอต้องไปเผชิญหน้ากับลอร์ดโวลเดอมอร์อีกครั้ง เพราะถึงแม้จะมั่นใจในความสามารถในการสกัดใจของตัวเองก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจหาญพอที่จะทดสอบมันกับจอมมารซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักพินิจใจที่ดีที่สุดที่โลกเคยมีมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เธอมีข้อมูลที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของเซเวอร์รัส สเนป และอนาคตของโลกเวทย์มนต์อยู่ในมือแบบนี้ และเมื่อคิดถึงตรงนี้หญิงสาวก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่อดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอสามารถเก็บความลับของเขาให้รอดพ้นจากการอ่านใจของจอมมารมาได้ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ แม้จะเห็นได้ชัดว่าสเนปเลือกที่จะเก็บความทรงจำที่เป็นความลับอันสำคัญยิ่งของเขาไว้ในเพนชิฟซึ่งเธอบังเอิญไปพบมันเข้าก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาสามารถที่จะควบคุมกระแสความคิดของเขาไม่ให้มีเรื่องที่เป็นความลับเล็ดรอดออกมาตอนที่อยู่ต่อหน้าจอมมารได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถจะจินตนาการได้เลย และเมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็คงต้องยอมรับในความสามารถในการสกัดใจของสเนปที่น่าจะเชี่ยวชาญที่สุดในอังกฤษเสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่มีเวลาที่จะมาชื่นชมความสามารถของอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอเท่าไหร่นัก เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าเธอควรที่จะเอาเวลาไปคิดว่าเธอจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเก็บรักษาความลับที่เธอได้รับรู้มาไว้ให้ดีที่สุดมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเธอรู้ว่าเธอจะต้องเผชิญหน้ากับจอมมารต่อไปในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นถ้าหากเธอไม่สามารถเก็บรักษาความลับของสเนปที่เธอบังเอิญไปล่วงรู้มาจากการรู้เห็นของลอร์ดโวลเดอมอร์ได้ล่ะก็ ความผิดพลาดนี้คงจะส่งผลร้ายอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งตัวสายลับเพียงคนเดียวของดัมเบิลดอร์รวมทั้งต่อโลกเวทย์มนต์ด้วยอย่างแน่นอน


…………………………………………….


หลังจากที่นายลูเซียสออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว ตลอดทั้งวันนั้นเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น กระแสความคิดของหญิงสาววนเวียนอยู่ระหว่างความทรงจำของสเนปซึ่งเธอบังเอิญได้ไปรับรู้เข้ากับหนทางที่จะรักษาความทรงจำอันควรเป็นความลับนี้ไว้รวมทั้งความสงสัยที่ว่าสเนปสามารถรักษาความลับนี้ไว้ได้อย่างไรตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาสามารถปกปิดตัวเองในฐานะสายลับแบบนี้ได้อย่างไร มันจะอึดอัดแค่ไหนกันที่จะต้องโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ รวมทั้งเขาจะรู้สึกหวาดกลัวบ้างหรือไม่ในการที่เขาเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวงโดยการยอมเป็นสายลับของดัมเบิลดอร์ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดจอมมารมากที่สุดแบบนี้ นั่นเป็นคำถามที่เฮอร์ไมโอนี่เชื่อว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารรถตอบได้ ยกเว้นเพียงคนที่กำลังเผชิญเรื่องนี้อยู่อย่างสเนปคนเดียวเท่านั้น

และเพราะความต้องการที่จะรักษาความลับที่เธอไม่ควรจะไปล่วงรู้นี้ไว้ให้ดีที่สุด เฮอร์ไมโอนี่จึงไปที่ห้องสมุดหลังจากที่ทานอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวต้องการจะหาหนังสือเกี่ยวกับการสกัดใจเพื่อที่จะศึกษามัน และฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น เพราะเธอรู้ดีว่ามันเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอเก็บรักษาความลับของสเนปไว้ได้ แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจก็ตามว่าการทำแบบนี้จะสามารถช่วยให้เธอพัฒนาการสกัดใจของเธอไปได้มากแค่ไหน

หลังจากใช้เวลาคร่ำเคร่งอยู่กับการค้นคว้าเรื่องการสกัดใจอยู่ตลอดทั้งบ่าย เฮอร์ไมโอนี่ก็จำเป็นจะต้องเลิกอ่านหนังสือเมื่อเวลาอาหารเย็นมาถึง เนื่องจากหญิงสาวกลัวว่าสามีของเธอจะกลับมาที่บ้านและพบว่าเธอกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับการสกัดใจซึ่งมันเป็นการบอกเขาว่าเธอมีเรื่องที่ปิดบังเขาอยู่แบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามนายลูเซียสก็ไม่ได้กลับมาทานอาหารเย็นกับเฮอร์ไมโอนี่อย่างที่เขาได้คาดการณ์ไว้ รวมทั้งเดรโกเองก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะกลับมาที่บ้านในคืนนี้ด้วย ดังนั้นหลังจากที่ต้องรับประทานอาหารเย็นเพียงลำพัง (แต่หญิงสาวกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก) เฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่แน่ใจว่าสามีของเธอจะกลับมาที่บ้านในตอนไหนก็เดินไปที่ห้องสมุดอีกครั้งเพื่อหยิบหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างที่เธออ่านจบถึงสองรอบแล้วมาเพื่อที่จะเอาไปอ่านซ้ำอีกรอบที่ห้องนอน

แม้ว่าจะไม่เคยเข้านอนโดยไม่มีนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธออยู่ด้วยมาก่อนก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อยที่เธอได้ใช้เวลาอยู่ในห้องนอนตามลำพังบ้าง หลังจากที่เธอจำต้องใจนอนร่วมเตียงกับชายผมบลอนด์มาตั้งแต่ทั้งสองแต่งงานกัน และแม้จะรู้สึกว่าเตียงที่เธอนอนอยู่นั้นใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อไม่มีร่างอีกร่างหนึ่งมานอนข้าง ๆ ก็ตาม แต่หญิงสาวก็รู้สึกดีไม่น้อยที่เธอได้อยู่ในห้องนอนตามลำพังอย่างแท้จริงในตอนนี้

หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมจะเข้านอนแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ขึ้นไปบนเตียงนอนพร้อมกับถือหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างขึ้นมาอ่านด้วย แต่หลังจากที่คร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือได้เพียงไม่ถึงสองชั่วโมง หญิงสาวที่เริ่มรู้สึกง่วงรวมทั้งรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยมีสมาธิในการอ่านหนังสือเท่าไหร่นัก เพราะว่าความคิดของเธอยังคงวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงวางหนังสือในมือลงและหันไปดูนาฬิกา และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่เห็นว่ามันบอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว เธอก็ตัดสินใจเข้านอน หญิงสาวดับไฟบริเวณหัวเตียงจนเหลือแค่ไฟจากเตาผิงไว้ในห้องเท่านั้น ก่อนที่เธอจะสอดร่างเล็กไปในผ้าห่มแล้วจึงหลับตาลงเพื่อเข้านอน

แม้ว่าจะเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มดีก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับค้นพบหลังจากที่เวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วว่าเธอไม่สามารถข่มตาหลับได้ง่าย ๆ เลย เพราะทุกครั้งที่เธอพยายามจะหลับ กระแสความคิดของเธอก็จะวนเวียนไปนึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น รวมทั้งความทรงจำต้องห้ามที่เธอไม่ควรจะได้ไปรับรู้ก็มักจะแวบเข้ามาในสมองของเธอก่อนที่เธอจะหลับทุกครั้งไป ซึ่งมันทำให้หญิงสาวไม่สามารถข่มตาหลับลงได้เลย นอกจากนี้แล้ว ความคิดเหล่านั้นยังเป็นตัวนำความกระวนกระวายมาสู่เฮอร์ไมโอนี่อีกด้วย เพราะนอกจากเธอจะเผลอใจไปคิดถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้มาแล้ว หญิงสาวยังต้องมากังวลต่ออีกว่าถ้าหากว่าเธอไม่สามารถเก็บรักษาความลับที่เธอบังเอิญไปล่วงรู้เข้าไว้ได้ จะเกิดอะไรขึ้นตามมา ถ้าหากว่ามีคนอื่นอย่างเช่นสามีของเธอหรือแม้กระทั่งจอมมารล่วงรู้ความลับนี้เข้าล่ะก็ ผลที่ตามมานั้นจะหนักหนาสาหัสสักเพียงใดนั้นเฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจจะคาดเดาได้เลย แต่เท่าที่เธอรู้ในตอนนี้ก็คือมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เธอสามารถทำได้เพื่อไม่ให้ผลพวงที่เลวร้ายเกินจินตนาการของเธอนั้นเกิดขึ้น ซึ่งก็คือการเก็บรักษาความลับที่บัดนี้เธอได้กลายมาเป็นผู้รู้เห็นอีกคนหนึ่งไปแล้วอย่างสุดความสามารถ แม้ว่าลึก ๆ แล้วหญิงสาวจะไม่แน่ใจเลยว่าเธอจะสามารถปกปิดเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับรู้มานั้นให้รอดพ้นจากการรู้เห็นของจอมมารหรือแม้กระทั่งลูเซียส มัลฟอยได้ดีแค่ไหน

และเพราะความกังวลเหล่านั้นเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเธอนอนลืมตาในความมืดมานานเท่าไหร่แล้ว แต่เมื่อเธอรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เธอได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของผู้ชายที่เดินเข้ามาในห้อง แน่นอนว่าร่างที่เพิ่งเข้ามาในห้องนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนายลูเซียส สามีของเฮอร์ไมโอนี่เอง
หญิงสาวแกล้งทำเป็นหลับทันทีที่รับรู้การปรากฏตัวของชายผมบลอนด์ เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของร่างใหญ่ที่เริ่มเดินเข้ามาในห้องซึ่งตรงมายังเตียงนอนที่เธอกำลังนอนอยู่ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่พยายามกวาดสายตามองไปยังนาฬิกาตั้งพื้นที่แขวนอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง แต่เธอกลับไม่สามารถอ่านเวลาที่บอกอยู่บนหน้าปัดของมันได้เนื่องจากความมืดภายในห้องที่มีเพียงแค่แสงจากเตาผิงที่ให้ความสว่างอยู่เท่านั้น แต่หญิงสาวก็แน่ใจไม่น้อยว่าตอนนี้ใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว เพราะเธอจำได้ว่าเธอได้ยินเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาห้าทุ่มไปเมื่อนานมาแล้วพลางนึกสงสัยในใจว่าสามีของเธอไปทำภารกิจอะไรมาเขาถึงได้กลับบ้านช้าแบบนี้ ในขณะเดียวกันนั้นร่างใหญ่ของนายมัลฟอยก็เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เตียงนอนของทั้งสอง เขาไม่ได้ร่ายคาถาเพื่อจุดไฟขึ้นในห้องแต่อย่างใด ราวกับว่าแสงจากเตาผิงก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขามองเห็นภายในห้องนอนได้ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าสามีของเธอมายืนมองร่างของเธอมาจากเตียงอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเธอกำลังนอนหันหลังให้อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเดินไปจากเตียงโดยมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำแทน และเมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงประตูห้องแต่งตัวที่ปิดลง เธอก็รู้ว่านายลูเซียสเดินไปยังห้องน้ำซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับห้องแต่งตัวเสียแล้ว

แม้ว่าชายผมลอนด์จะหายเข้าไปในห้องน้ำเป็นเวลาพักหนึ่งก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ยังไม่อาจข่มตาให้หลับได้ในตอนที่เขากลับเข้ามาในห้อง เพราะเมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เธอได้ยินเสียงประตูห้องแต่งตัวที่เปิดขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าของนายลูเซียสที่ออกจากห้องน้ำมาและเดินตรงมายังเตียงนอน หลังจากนั้นไม่นานเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกว่าที่นอนอีกฝั่งหนึ่งนั้นยวบลงเล็กน้อยเมื่อร่างใหญ่ของสามีขึ้นมานอนอยู่บนเตียงข้าง ๆ เธอ

และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงไม่มีทางเลือกใดนอกจากที่จะแกล้งทำเป็นหลับต่อโดยที่เธอแอบภาวนาในใจให้ชายผมบลอนด์ไม่ทันสังเกตุเห็นว่าเธอยังคงตื่นอยู่ รวมทั้งขอให้เขาเข้านอนไปโดยที่ไม่สนใจเธอ แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับต้องผิดหวังเพราะหลังจากที่เธอรู้สึกว่าร่างใหญ่ข้างกายดึงผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมตัวแล้ว เขาก็เริ่มเขยิบเข้ามาใกล้ร่างเล็กที่นอนอยู่อีกมุมหนึ่งของเตียง มือใหญ่ของนายลูเซียสเอื้อมมาแตะที่ไหล่ของภรรยาที่ตอนนี้กำลังนอนตะแคงข้างและหันหลังให้เขาอยู่พร้อมกับเรียกชื่อเธอ

“เฮอร์ไมโอนี่” แม้ว่าเสียงที่ดังขึ้นนั้นจะแผ่วเบามากก็ตาม แต่หญิงสาวกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่เลือกที่จะตอบอะไรไปและพยายามที่จะนอนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น แต่แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเธอพบว่าสัมผัสต่อมาที่ชายผมบลอนด์มอบให้เธอนั้นไม่ได้มาจากมือใหญ่ของเขา แต่มันมาจากริมฝีปากของนายลูเซียสที่ก้มลงจูบเธอที่หัวไหล่ หลังจากที่มือใหญ่ของเขาเลื่อนมาปลดสายชุดนอนบางเบาออกจากไหล่เนียนของภรรยา ริมฝีปากบางยกสูงเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าร่างตรงหน้านั้นสะดุ้งเพราะสัมผัสของเขา แน่นอนว่านายลูเซียสดูออกในทันทีว่าเฮอร์ไมโอนี่แกล้งหลับ แต่เขากลับไม่ต้องการจะเปิดโปงหญิงสาวเร็วเกินไปนัก ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกขบขันที่ว่าการแกล้งหลับของเธอนั้นช่างเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธออยู่บนเตียงนอนกับเขาสองต่อสองแบบนี้ซึ่งเขาสามารถจะทำอะไรกับเธอก็ได้ไม่ว่าจะเป็นยามหลับหรือยามตื่นก็ตาม!

เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายผมบลอนด์จึงก้มลงจูบเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง โดยคราวนี้จูบของเขาเลื่อนสูงขึ้นจากหัวไหล่ไปยังซอกคอขาวผ่อง ขณะที่มือใหญ่ของเขาเลื่อนไปปัดผมหยักศกของเธอออกจากซอกคอของหญิงสาวก่อนที่เขาจะเลื่อนไปประทับริมฝีปากของเขาเข้ากับผิวเนียนนุ่มบริเวณซอกคอของเธออย่างดูดดื่ม ส่วนอีกมือหนึ่งของเขาก็เลื่อนไปโอบเอวของร่างเล็กไว้ก่อนที่จะลูบไล้มันไปตามเรียนร่างสมส่วนของเธอ

เมื่อได้รับรู้ถึงการกระทำของอีกฝ่ายเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ว่าเธอกำลังตกที่นั่งลำบากเสียแล้วเมื่อนายลูเซียสรุกรานร่างกายของเธออย่างไม่เกรงใจโดยไม่สนว่าเธอกำลังนอนหลับอยู่หรือไม่แบบนี้ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวเองก็ไม่อาจขัดขืนเขาออกไปโต้ง ๆ ได้ เพราะมันจะเป็นการบอกเขาว่าเธอแกล้งทำเป็นหลับมาตลอดตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาบนนอนเตียง แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ต้องการที่จะให้เขาล่วงเกินร่างกายของเธอไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งคิดหาทางออกได้จึงแกล้งขยับตัวน้อย ๆ ด้วยท่าทีราวกับคนละเมอ แต่เมื่อเธอเห็นว่าสามีของเธอยังไม่หยุดการกระทำของเขาอีก เฮอร์ไมโอนี่จึงออกแรงเบี่ยงตัวหลบสัมผัสจากร่างใหญ่ข้างกายด้วยท่าทีที่ไม่ดูว่าเธอจงใจจนเกินไปนัก ซึ่งคราวนี้การกระทำของหญิงสาวนั้นได้ผลเมื่อนายลูเซียสชะงักการกระทำของเขา ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะหันกลับไปหาสามีของเธอแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลืมราวกับคนเพิ่งตื่นนอนว่า

“คุณกลับมาแล้วเหรอคะ” เธอพูด ขณะที่ร่างตรงหน้ายิ้มน้อย ๆ กับการแสดงที่ดูสมจริงไม่น้อยของภรรยา

“เธอไม่รู้หรอกหรือว่าฉันกลับมาตอนไหน” เขาถาม พลางเคลื่อนกายเข้ามาโอบกอดร่างเล็กตรงหน้าเอาไว้ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีตกใจไม่น้อยกับการกระทำของเขา แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา

“คุณไปไหนมาเหรอคะ” เธอแกล้งถามออกไป แม้ว่ามันจะเป็นคำถามที่ฟังดูปกติธรรมดามากที่สุดที่ภรรยาจะถามสามีได้ก็ตาม แต่ในกรณีของพวกเขาทั้งสองนั้นหญิงสาวรู้ดีว่าสามีของเธอไม่มีคำตอบให้เธอสำหรับคำถามนี้
และก็เป็นอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่คิดจริง ๆ เมื่อเธอพบว่าร่างใหญ่ตรงหน้านั้นยิ้มบาง ๆ เพราะคำพูดนั้นของเธอก่อนที่จะพูดขึ้น

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะปิดบังเธอหรอกนะที่รัก แต่ฉันไม่อยากจะพูดถึงมันตอนนี้เท่าไหร่หรอก ในเมื่อมันมีเรื่องอื่นที่น่าทำมากกว่า” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์แล้วก็ก้มลงจูบหญิงสาวที่แก้มก่อนจะไล่ริมฝีปากไปยังใบหูของเธอ เรื่อยไปจนถึงซอกคอขาวผ่องจนเฮอร์ไมโอนี่ต้องกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงของตัวเองเมื่อพบว่าริมฝีปากบางของนายลูเซียสเม้มผิวเนื้อของเธอเล่นอย่างเพลินเพลิน แม้ว่าที่ผ่านมาหญิงสาวจะเคยปล่อยให้ความต้องการของตัวเองต่อสัมผัสของร่างตรงหน้ามาเอาชนะเธอได้ในทุกครั้งที่สามีของเธอรุกรานร่างกายของเธอก็ตาม แต่ในครั้งนี้เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ยอมปล่อยให้ชายผมบลอนด์เป็นฝ่ายมีชัยชนะเหนือเธอได้อีกต่อไปเมื่อหญิงสาวรวบรวมกำลังเพียงน้อยนิดที่เธอมีผลักร่างใหญ่ตรงหน้าออกไป

สีหน้าของนายมัลฟอยนั้นดูตกใจไม่น้อยเมื่อเขาได้เห็นการตอบสนองของภรรยา แต่ถึงกระนั้นนายลูเซียสก็ไม่ได้เลือกที่จะโต้ตอบร่างตรงหน้าด้วยวิธีที่รุนแรง ตรงกันข้ามเขากลับมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจเท่านั้น และเมื่อเห็นแววตาของสามีที่มองมาซึ่งแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจระคนตกใจเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบพูดขึ้น

“ฉันง่วงแล้วน่ะค่ะ” เธอพึมพำข้ออ้างแรกที่คิดได้ออกมา แต่ถึงกระนั้นข้ออ้างนี้ของเธอก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ชายตรงหน้าเชื่อเธอแต่อย่างใด ดังนั้นหญิงสาวจึงพูดขึ้นอีกครั้ง

“วันนี้คุณกลับมาซะดึกเลย พักผ่อนดีกว่านะคะ” เฮอร์ไมโอนี่พยายามพูดถ้อยคำนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนหวานมากที่สุด ขณะที่ชายผมบลอนด์มองเธออย่างแคลงใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้าเบา ๆ อย่างรับรู้
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เข้านอนเถอะ” เขาพูดอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่นัก ก่อนที่จะก้มลงจูบหญิงสาวที่หน้าผากเบา ๆ แล้วจึงล้มตัวลงนอน แต่ถึงกระนั้นนายลูเซียสก็ไม่มีทางที่จะปล่อยภรรยาของเขาไปได้ง่าย ๆ อย่างที่เธอคาดหวังไว้เลย เพราะหลังจากที่เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมร่างของทั้งเขาและเฮอร์ไมโอนี่แล้ว นายลูเซียสก็ไม่ลืมที่จะคว้าร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่มาโอบกอดไว้ในอ้อมแขนเหมือนที่เขาทำทุกคืน วงแขนแข็งแรงของเขากอดรัดร่างบอบบางของภรรยาไว้อย่างแน่นหนาราวกับเขาต้องการกักขังเธอไว้ในอ้อมกออดของเขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ในขณะที่หญิงสาวรู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะดิ้นรนมากเพียงใดเธอก็ไม่อาจจะหนีไปจากอ้อมกอดของชายตรงหน้าได้เลย ตรงกันข้ามเธอจะต้องถูกกักขังอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งนี้ในฐานะภรรยาของนายลูเซียสสไปตลอดชีวิตของเธอ!

หลังจากเข้านอนได้ไม่นานนักเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ว่านายลูเซียสนั้นได้นอนหลับไปแล้วจากการที่เธอสังเกตุได้ว่าลมหายใจของเขานั้นเริ่มผ่อนคลายลง เขาเริ่มหายใจยาว ๆ และแผ่วเบาขึ้นเมื่อเขาเริ่มหลับสนิท ในขณะที่เธอกำลังนอนฟังเสียงหายใจรวมทั้งเสียงเต้นของหัวใจของสามีอยู่ท่ามกลางความมืดอยู่นั้น หญิงสาวก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏอยู่บนแขนแข็งแกร่งของร่างใหญ่ซึ่งตอนนี้กำลังโอบกอดร่างของเธอไว้ ชุดคลุมสำหรับใส่นอนที่เลิกขึ้นมาเผยให้เธอเห็นรอยสักบนท้องแขนซ้ายของสามีที่มีลักษณะเป็นรูปหัวกะโหลกที่มีลิ้นเป็นงู และอาจจะเป็นเพราะแสงไฟจากเตาผิงก็เป็นได้ที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าตรามารบนท้องแขนของชายผมบลอนด์นั้นดูราวกับมีชีวิตขึ้นมา หัวกะโหลกนั้นดูราวกับกำลังแสยะยิ้มให้เธอซึ่งมันทำให้หญิงสาวนึกไปถึงใบหน้าที่ดูไม่ต่างจากหัวกะโหลกนี้เท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นใบหน้าที่ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นใบหน้าของมนุษย์ได้ของจอมมารนั่นเอง และเพราะเหตุผลบางอย่างทำให้การที่เธอบังเอิญได้เห็นตรามารบนท้องแขนของร่างที่กำลังโอบกอดเธออยู่ในตอนนี้ส่งผลให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้แต่อย่างใด ตรงกันข้ามหญิงสาวกลับต้องนอนลืมตาโพลงอยู่ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงสว่างจากเตาผิงในอ้อมกอดของผู้เสพความตายที่ตอนนี้อยู่ในฐานะสามีของเธอไปเกือบจะตลอดทั้งคืน โดยที่ในใจของเธอได้แต่ภาวนาอย่างสิ้นหวังให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น


…………………………………………….




มีต่อ PART 2 ค่ะ


Create Date : 01 ธันวาคม 2555
Last Update : 1 ธันวาคม 2555 23:06:05 น. 0 comments
Counter : 1428 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.