Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 17 The Diary of Jane PART I



คุยกันก่อนอ่านนะคะ



ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากขอโทษที่มาลงช้าและเลื่อนการอัพหลายครั้งเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ไรเตอร์ยุ่งจริง ๆ ค่ะ เพราะต้องเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทุ่มให้กับเรื่องเรียนและเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ถึงจะลงช้าไปบ้างก็ตาม (ก็ไม่บ้างล่ะนะ -*-) ตอนนี้ไรเตอร์ก็จัดเต็มให้นักอ่านหายคิดถึงเลยค่ะ เพราะอัพไปถึง 32 หน้า รับรองอ่านกันตาแฉะแน่นอนค่ะ

สำหรับฟิคตอนนี้ขอมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังของคุณ severus_zach ซึ่งเป็นบก. ที่น่ารักที่ช่วยพิกตรวจคำผิดและออกความเห็นมากมายในฟิคเรื่องนี้นะคะ ตอนนี้จัดเต็มฉากป๋าเนปให้เรยนะ ไปฟินเอาละกัน ^^

เอาเป็นว่าสุดท้ายนี้ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ แล้วก็อย่าลืมเอาใจช่วยนางเอกแสนสวยของเราด้วยล่ะค่ะ ^^ มาลุ้นกันว่าตอนนี้นู๋เฮอร์จะลำบากเพราะไรเตอร์อีกไหม (ไรเตอร์มาโหมดซาดิส)













***Chapter 17 The Diary of Jane: บันทึกของหญิงสาว***



Something's getting in the way.
Something's just about to break.
I will try to find my place in the diary of Jane.
So tell me how it should be.



Diary of Jane – Breaking Benjamin





“เธอเป็นของฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น” นายลูเซียสกระซิบถ้อยคำนั้นกับหูของเฮอร์ไมโอนี่อย่างหนักแน่นก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปราวกับว่าถ้อยคำดังกล่าวนั้นเป็นคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น มันเป็นทั้งเหตุผลในการกระทำอันโหดร้ายของชายผมบลอนด์ที่ได้ทำลงไปกับภรรยาของเขาเอง รวมทั้งเป็นความจริงที่เขาต้องการจะย้ำเตือนกับหญิงสาวด้วยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเธอจะต้องการแต่งงานกับใครมากกว่าเขาก็ตาม เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่าเธอได้ตกเป็นภรรยาของเขา เป็นของผู้ชายที่ชื่อลูเซียส มัลฟอยไปแล้วได้เลย!

แต่หลังจากที่เขาได้กระซิบถ้อยคำนั้นที่ข้างหูของหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเขาเสร็จรวมทั้งชายผมบลอนด์ได้เดินออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่รู้เลยว่าถ้อยคำรวมทั้งการกระทำของเขานั้นได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของเฮอร์ไมโอนี่ราวกับรอยแผลที่ยากจะลบเลือน!



เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่าเธอนอนร้องไห้มาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วตั้งแต่เธอถูกผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอเองทำสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นอย่างอื่นนอกจากการขืนใจลงไป และเธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้ำตากี่หยดแล้วที่เธอได้เสียไปตั้งแต่เธอถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้ หากแต่อย่างเดียวที่หญิงสาวรู้ก็คือเธอไม่ได้ร้องไห้แบบฟูมฟายราวกับจะขาดใจในแบบเดียวกับที่เธอทำเมื่อตอนที่นายลูเซียสออกจากห้องนอนไปใหม่ ๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะในตอนนี้เธอแค่นอนซบใบหน้าเข้ากับหมอนในท่านอนตะแคง หากแต่ก็มีน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินมาจากดวงตาสีน้ำตาลที่บอบช้ำของเธออย่างต่อเนื่อง ราวกับสายน้ำในลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลเอื่อย

เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว รวมทั้งเธอก็ไม่รู้ว่าหากเธอนอนอยู่นิ่ง ๆ แบบนี้ต่อไปน้ำตาของเธอจะเหือดแห้งไปพร้อมกับหัวใจของเธอที่ได้แตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วหรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่หญิงสาวรู้สึกได้ นอกจากความเจ็บปวดที่ท่วมท้นอยู่เต็มอกของเธอก็คือความปวดร้าวที่ร่างกายของเธอได้รับจากการปฏิบัติต่อเธออย่างทารุณจากสามีของเธอเอง เพราะหลังจากที่นอนร้องไห้มาได้ระยะหนึ่งแล้วหญิงสาวก็พยายามจะลุกขึ้นจากเตียง แต่เมื่อเธอขยับตัวความเจ็บปวดบริเวณกลางกายก็แล่นผ่านร่างกายของเธอจนเฮอร์ไมโอนี่ต้องครางออกมาและล้มตัวลงบนที่นอนอีกครั้ง พร้อม ๆ กับที่เธอต้องพยายามใช้แขนของเธอพยุงร่างของตัวเองไม่ให้ล้มลงบนเตียงนอน และการกระทำเช่นนั้นก็ทำให้เธอสังเกตเห็นรอยแผลที่ข้อมือบอบบางของเธอซึ่งเกิดจากเชือกเวทย์มนต์ที่นายลูเซียสใช้พันธนาการเธอเพื่อให้รอรับการลงโทษจากเขา และการได้เห็นบาดแผลที่เป็นหลักฐานถึงการกระทำที่รุนแรงของสามีของเธอเองนั้นทำให้น้ำตาเริ่มคลอเอ่อดวงตาคู่สวยของเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง และเมื่อหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่อาจจะลุกขึ้นจากเตียงในตอนนี้โดยไม่เป็นการเสี่ยงที่จะทำร้ายร่างกายที่บอบช้ำของเธอเองมากไปกว่านี้ได้แล้ว เธอจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่หลับตาที่บอบช้ำของเธอลงอย่างอ่อนล้าพร้อมกับภาวนาอย่างสิ้นหวังให้เธอไม่ต้องตื่นขึ้นมาเจอโลกอันโหดร้ายนี้อีกเลย



แต่ความหวังของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะเป็นจริงได้ เพราะหลังจากที่เธอหลับไปได้ระยะหนึ่งแล้วซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเวลานานเท่าไหร่ เสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น

เสียงเคาะประตูดังกล่าวที่ผ่านเข้ามายังประสาทสัมผัสของหญิงสาวนั้นช่างฟังดูเลือนรางราวกับเธอกำลังอยู่ในความฝัน ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่คิดไปเองว่าเธอได้กลับไปอยู่ที่บ้านของพ่อกับแม่อีกครั้ง และเสียงดังกล่าวเป็นเสียงแม่ของเธอที่กำลังเคาะประตูเพื่อเรียกเธอให้ตื่นนอนในตอนเช้าวันเกิดของเธอซึ่งเป็นวันที่การสอบรอบสุดท้ายในการคัดเลือกมือปราบมารเกิดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่พยายามปลอบประโลมหัวใจที่เศร้าโศกของเธอว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น ทั้งเรื่องที่เธอถูกจับมาที่ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืด เรื่องที่เธอถูกบังคับให้แต่งงานกับลูเซียส มัลฟอย รวมทั้งเรื่องเลวร้ายที่เขาได้ทำลงไปกับเธอนั้นเป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่ยาวนานเกินความเป็นจริงเท่านั้น และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเธอก็จะกลับมาอยู่ที่บ้านของพ่อแม่เธอเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หากแต่หญิงสาวกลับต้องผิดหวังอย่างมหาศาลเมื่อเธอลืมตาขึ้น เพราะสิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือผ้าม่านสีเขียวเข้มที่ปกปิดทิวทัศน์ภายนอกคฤหาสน์มัลฟอยไว้ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่มองไปรอบ ๆ เธอก็พบว่าเธอกำลังอยู่ในห้องนอนของเธอเองในคฤหาสน์มัลฟอย และเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพียงแค่ฝันร้ายแต่อย่างใด

ขณะที่หญิงสาวกำลังมึนงงกับสิ่งที่เธอได้เห็นรอบกายอยู่นั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งและมันทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง ความกลัวแล่นเข้าจับขั้วหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่เมื่อเธอจินตนาการไปว่าร่างที่กำลังยืนอยู่หลังบานประตูไม้มะฮอกกานีหน้าห้องนอนของเธอนั้นเป็นใคร ซึ่งแน่นอนว่าร่างนั้นคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนายลูเซียส สามีของเฮอร์ไมโอนี่ รวมทั้งเขายังเป็นคนเดียวกับคนที่ทำเรื่องเลวร้ายที่ไม่ต่างจากการขืนใจกับเธอลงไปนั่นเอง และเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกหนมันก็ทำให้ร่างที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั้นถึงกับสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวพอ ๆ กับที่หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับเสียงกลอง แน่นอนว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าประตูนั้นต้องการจะเข้ามาในห้องนอน หากแต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะเจอเขาในตอนนี้ อันที่จริงแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถทำใจพบหน้าเขาได้อีกหรือไม่หลังจากที่เขาได้ทำเรื่องที่เลวร้ายกับเธอขนาดนั้นลงไป และความกลัวของหญิงสาวก็ส่งผลให้เธอคิดหาทางที่จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับนายลูเซียสอีกทั้ง ๆ ที่เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะหนีไปจากเขารวมถึงหนีไปจากที่นี่ ขณะที่กำลังคิดหาทางออกอย่างสิ้นหวังพร้อม ๆ กับที่มือที่สั่นเทาของเธอเอื้อมไปคว้าผ้าห่มขึ้นมาปกปิดร่างกายอยู่นั้นเอง เสียง ๆ หนึ่งก็ดังมาจากหลังบานประตู มันเป็นเสียงแหลมเล็กที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่คาดคิดว่าเธอจะได้ยินในตอนนี้

“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงอยู่ในห้องหรือเปล่าเจ้าคะ ทิสซี่ของอนุญาตเข้าไปในห้องเจ้าค่ะ” เสียงแหลมของเอลฟ์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับผู้พูดนั้นไม่แน่ใจว่านายหญิงของมันกำลังตื่นอยู่หรือมันมารบกวนการพักผ่อนของเธอหรือไม่ และหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อมันไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ตอบกลับมาเอลฟ์จึงลองเรียกเจ้านายของมันดูอีกรอบ ซึ่งในตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเสียงเคาะประตูรวมทั้งร่างที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องนั้นไม่ใช่นายลูเซียส หากแต่เป็นทิสซี่ซึ่งเป็นเอลฟ์ที่มีหน้าที่รับใช้เธอนั่นเอง และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่แน่ใจ

“นายหญิงเจ้าค......”

“ทิสซี่หรือจ๊ะ” เสียงของเฮอร์ไมโอนี่นั้นฟังดูแหลมสูงราวกับเธอกำลังตื่นตระหนกอยู่

“เป็นทิสซี่เองเจ้าค่ะ นายหญิง ทิสซี่ขอเข้าไปในห้องได้ไหมเจ้าคะ” เอลฟ์ถาม และหลังจากผ่านการครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หญิงสาวจึงตอบออกไปว่า

“ได้จ้ะ แต่รอแป๊ปนึงนะ” เธอพูดก่อนจะรีบหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ และโชคดีเหลือเกินที่ปกติเอลฟ์ประจำบ้านมักจะวางเสื้อคลุมสำหรับใส่อาบน้ำไว้บนโต๊ะข้างเตียงทั้งสองตัวเอาไว้สำหรับใส่ในตอนเช้าเสมอ ดังนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบเอื้อมมือไปหยิบมันมาสวมอย่างรวดเร็ว เพราะมันคงไม่มีประโยชน์สำหรับเธอที่จะพยายามเอาชิ้นส่วนเสื้อผ้าชุดเดิมที่ขาดหลุดลุ่ยของเธอมาปะติดปะต่อเพื่อใส่ใหม่ และหลังจากเธอสวมเสื้อคลุมอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เช็ดน้ำตาบนแก้มของเธออย่างลวก ๆ ด้วยแขนของเสื้อคลุมก่อนจะพูดขึ้น

“เข้ามาได้แล้วจ้ะ” หลังจากเธอเอ่ยปากไม่นาน ประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเอลฟ์ร่างเล็กในชุดที่ดูราวกับจะเคยเป็นพรมเช็ดเท้ามาก่อน มันเดินเตาะแตะเข้ามาในห้องและแม้ว่าในตอนแรกสายตาของเอลฟ์จะจับจ้องไปที่ร่างของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงก็ตาม แต่เมื่อสายตาของมันไปสบเข้ากับเศษเสื้อผ้าที่เกลื่อนไปเต็มเตียงและพื้นข้าง ๆ เตียง รวมทั้งร่องรอยเตียงนอนที่ดูยับยู่ยี่บวกกับดวงตาที่แดงก่ำราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักของเฮอร์ไมโอนี่แล้ว เอลฟ์ก็คงพอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้

แม้จะดูตกใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก แต่ทิสซี่ก็พยายามรักษาท่าทีของมันให้ดูเป็นปกติมากที่สุดเมื่อมันเดินมาหยุดอยู่หน้าเตียงที่หญิงสาวกำลังนั่งอยู่ก่อนจะพูดขึ้น

“นายหญิงเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” ทิสซี่ถาม และแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามทำใจกับการเจอหน้าเอลฟ์สาวมาบ้างแล้วรวมทั้งพยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติอย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อเธอได้สบดวงตาสีฟ้าที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยของทิสซี่แล้ว เธอก็ไม่อาจจะปั้นสีหน้าให้ดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่อไปได้

ในไม่ช้าหน้ากากที่หญิงสาวพยายามจะสวมอย่างไม่เต็มใจนั้นก็หลุดออกจากใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ช้า ๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเอ่อดวงตาคู่สวย ขณะที่ทิสซี่มองมายังเจ้านายของมันอย่างตกใจเมื่อหญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวดเร็วก่อนจะเงยหน้าขึ้น และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีทิสซี่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าของเธอพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยแววตาสงสารระคนห่วงใย

“ทิสซี่ไม่รู้ว่าควรจะถามนายหญิงดีหรือไม่....” เอลฟ์พูดขึ้นด้วยท่าทีไม่แน่ใจ แต่ในที่สุดมันก็ตัดสินใจพูดประโยคต่อไปออกมา “แต่ทิสซี่สงสัยว่า ไม่ใช่สิ เธอคิดว่านายหญิงทะเลาะกับนายท่าน”

และการที่เอลฟ์เอ่ยชื่อเจ้านายของมันขึ้นมาทำให้ถ้อยคำดังกล่าวนั้นเปรียบเสมือนมีดที่กรีดแทงหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ราวกับมันได้มาสะกิดบาดแผลที่ยังสดใหม่อยู่ของเธอ ในไม่ช้าน้ำตาก็เริ่มไหลรินจากดวงตาคู่สวยนั้นอีกครั้ง ตามมาด้วยความเงียบที่เกิดขึ้นในห้อง แต่ความเงียบดังกล่าวก็คงอยู่ได้ไม่นานเพราะหลังจากที่หญิงสาวร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งโดยมีทิสซี่ที่ได้แต่มองมาทางนายหญิงของมันอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้าง ๆ เธอแล้ว ในที่สุดเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกตัวได้ว่าเธอได้ร้องไห้มามากเกินไปเสียแล้ว และเธอก็ควรจะหยุดร้องไห้รวมทั้งหยุดทำตัวอ่อนแอแบบนี้เสียที และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาอีกรอบก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงหันไปพูดกับเอลฟ์ที่เฝ้ามองท่าทีของเจ้านายของมันอย่างเป็นห่วงอยู่

“ฉันไม่อยากพูดถึงมันน่ะ” เธอพูดเรียบ ๆ แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะมีแววสั่นเครืออยู่บ้างก็ตาม แต่ดวงตาสีน้ำตาลที่เงยขึ้นสบตาทิสซี่นั้นก็ดูเข้มแข็งขึ้นไม่น้อยโดยเฉพาะเมื่อเธอเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง

“ว่าแต่เธอมาที่นี่ทำไมเหรอ ทิสซี่” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้น และดูเหมือนว่าครั้งนี้กลับเป็นฝ่ายเอลฟ์สาวที่กลายเป็นฝ่ายอึกอักเสียเองเมื่อมันมีท่าทีราวกับไม่อยากจะพูดถึงสาเหตุที่มันเข้ามาที่ห้องนอนของเจ้านาย หากแต่มันก็ไม่อาจจะไม่ตอบคำถามนายหญิงของมันออกมาได้

หลังจากมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ ทิสซี่จึงตอบคำถามของหญิงสาวออกมา

“คือ....นายท่านสั่งไว้ว่าให้ทิสซี่ขึ้นมาดูแลนายหญิงตอนที่นายท่านไม่อยู่บ้านเจ้าค่ะ” เอลฟ์กล่าว และแม้ว่าการพูดถึงผู้ชายที่เป็นคนทำร้ายเฮอร์ไมโอนี่อย่างแสนสาหัสนั้นจะทำให้มีแววไม่สบายใจปรากฏขึ้นในดวงตาของหญิงสาวก็ตาม แต่เธอก็พยายามรักษาท่าทีให้ดูเรียบเฉย เธอมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป

“แล้วตอนนี้นายท่านไม่อยู่บ้านอย่างนั้นเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่ถามเอลฟ์โดยใช้คำแทนตัวนายลูเซียสเช่นเดียวกับที่ทิสซี่ใช้ ราวกับว่าเธอไม่ต้องการจะเอ่ยชื่อสามีของเธอออกมาตรง ๆ แต่การกระทำนี้กลับทำให้ดูคล้ายว่าเธอไม่ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวมัลฟอยเป็นอย่างมาก หรือบางทีหญิงสาวอาจจะปรารถนาให้ตัวเองไม่ต้องเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวนี้อยู่แล้วก็เป็นได้ ส่วนทางฝ่ายทิสซี่นั้นหลังจากที่ได้ยินคำถามของนายหญิงของมันแล้วมันก็ตอบออกมาอย่างรวดเร็ว

“นายท่านออกไปข้างนอกได้ซักพักหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่ได้บอกว่าออกไปไหน นายท่านสั่งไว้แค่ไว้ว่าใกล้ ๆ เวลาอาหารเย็นให้ทิสซี่มาดูแลนายหญิงเจ้าค่ะ” เอลฟ์ตอบอย่างฉะฉาน ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กัดริมฝีปากเมื่อเธอได้รับรู้สิ่งที่ทิสซี่บอกออกมาว่าสามีของเธอได้ออกไปนอกบ้านก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คงจะเป็นหลังจากที่เขาเดินออกจากห้องนอนไปแล้ว แต่การที่เขาให้ทิสซี่มาดูแลเธอนั้นเขาทำไปเพื่ออะไรกันนะ เป็นเพราะว่าเขาคิดว่าเธอสมควรจะได้รับการดูแลหลังจากที่เขาได้ทำร้ายเธอทั้งร่างกายและจิตใจลงไปแล้วน่ะหรือ หรือเป็นเพราะว่าเขากลัวว่าเธอจะลงมือทำร้ายตัวเองจนอาจจะถึงขั้นฆ่าตัวตายหลังจากที่โดนเขาทำร้ายกันแน่



แม้ว่าหญิงสาวจะไม่รู้ว่านายลูเซียสส่งเอลฟ์มาดูแลเธอด้วยเหตุผลใดกันแน่ จะเป็นเพราะเขากลัวว่าเธอจะคิดสั้นหลังจากการกระทำของเขาหรือไม่เธอก็ไม่อาจจะตอบได้ หากแต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเธอไม่มีวันทำเช่นนั้นได้เป็นแน่ เพราะถึงแม้ว่าเธออยากจะหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่นี้มากเพียงใดก็ตาม แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอพอที่จะฆ่าตัวตายพอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าหากเธอเป็นอะไรไปแล้ว ลอร์ดโวลเดอมอร์คงไม่ปล่อยให้พ่อแม่ของเธอมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อรักษาชีวิตพ่อแม่ของเธอไว้ แม้ว่าการที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้จะเปรียบเสมือนการถูกจองจำอยู่ภายใต้อำนาจของนายลูเซียสก็ตาม แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่ามันเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถรักษาชีวิตพ่อแม่ของเธอไว้ได้ พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่ามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธอทำได้คืออดทน เพื่อที่จะรักษาชีวิตพ่อแม่ของเธอไว้ ถึงแม้ว่าการอดทนนั้นจะหมายถึงการต้องใช้ชีวิตอยู่ในฐานะภรรยาของลูเซียส มัลฟอยไปจนวันตายก็ตาม!



“นายหญิงเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” ทิสซี่ถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อมันเห็นว่าเจ้านายของมันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีฟ้าของเอลฟ์จ้องมองดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและสงสัยใคร่รู้ แต่เมื่อรู้สึกตัวจากเสียงเรียกของเอลฟ์หญิงสาวก็กระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะตอบออกไป

“ฉันไม่เป็นไรจ๊ะ” เธอตอบออกไปด้วยท่าทีที่เรียบเฉย แม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะฟังดูแปลกแปร่งอยู่บ้างก็ตาม “แล้วนี่ได้เวลาอาหารเย็นแล้วเหรอ ทิสซี่” หญิงสาวถามพลางฝืนยิ้มบาง ๆ ให้เอลฟ์ราวกับว่าเธอรู้สึกปกติดีมากที่สุด และเมื่อเห็นเช่นนั้นเอลฟ์จึงตอบออกมา

“ตอนนี้หกโมงครึ่งแล้วเจ้าค่ะ อาหารเย็นจะเสิร์ฟในอีกสามสิบนาที แต่ถ้านายหญิงต้องการจะทานอาหารเย็นบนห้องก็ได้นะเจ้าคะ ทิสซี่จะไปจัดเตรียมมาให้” มันบอก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วด้วยท่าทีสงสัย

“ฉันไม่ต้องลงไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารได้หรือ” เธอถามอย่างแปลกใจเนื่องจากหญิงสาวรู้ดีว่าอาหารเย็นจะถูกเสิร์ฟที่ห้องอาหารตอนเวลาหนึ่งทุ่มตรง และนายลูเซียสก็สั่งเธอไว้อย่างเคร่งครัดว่าเธอจะต้องลงไปรับประทานอาหารเย็นกับเขาที่ห้องอาหาร แม้ว่าเขาจะอนุญาตให้เธอทานอาหารกลางวันบนห้องนอนหรือห้องหนังสือในกรณีที่เขาไม่อยู่ก็ตาม

และดูราวกับเอลฟ์จะล่วงรู้ว่าเจ้านายของมันกำลังคิดอะไรอยู่เมื่อมันพูดขึ้น

“นายท่านบอกว่าจะไม่กลับมาทานอาหารเย็นที่คฤหาสน์เจ้าค่ะ แล้วนายน้อยเดรโกก็ไม่อยู่บ้าน จริง ๆ แล้วนายท่านสั่งไว้ว่าให้ทิสซี่ยกสำรับขึ้นมาให้นายหญิงที่ห้องนอนได้เจ้าค่ะ” เอลฟ์อธิบาย และดูเหมือนว่าเฮอร์ไมโอนี่จะรู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อยเมื่อได้ยินว่านายลูเซียสจะไม่กลับมาทานอาหารเย็นที่บ้าน และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงถามต่อ

“ว่าแต่......” หญิงสาวกัดริมฝีปาก ”นายท่านบอกไหมว่าเขาจะกลับมาที่คฤหาสน์ในคืนนี้หรือเปล่า” เฮอร์ไมโอนี่ถามออกไปพลางรอฟังคำตอบจากทิสซี่ด้วยหัวใจที่เต้นแรง แน่นอนว่าสิ่งที่หญิงสาวต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการหนีไปจากผู้ชายที่ชื่อว่าลูเซียส มัลฟอย แต่ในเมื่อเธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถทำอย่างที่เธอปรารถนาได้ในตอนนี้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอต้องการมากที่สุดซึ่งมันน่าจะเป็นไปได้ในตอนนี้ก็คือการยืดเวลาในการพบหน้าสามีของเธอออกไปให้นานที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้

“นายท่านบอกว่าจะกลับมาที่คฤหาสน์คืนนี้เจ้าค่ะ” เอลฟ์ตอบ และเพราะคำตอบของมันนั้นทำให้หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ที่เคยมีความหวังนั้นกลับหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกราวความหวังที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดของเธอเพิ่งพังทลายลงไปราวกับซากปฏิมากรรมโบราณที่ถล่มครืนลงมาในพริบตา ส่วนหัวใจที่แทบจะแตกสลายอยู่แล้วของเธอก็ถูกกดทับอยู่ใต้ซากที่มีน้ำหนักมหาศาลนั้น หญิงสาวถึงกลับต้องหันหน้าหนีเอลฟ์สาวเพื่อซ่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจของเธอไว้ ขณะที่ทิสซี่พูดประโยคต่อไปขึ้นมา

“แต่ถึงนายท่านบอกว่าจะกลับมาที่คฤหาสน์ก็เถอะเจ้าค่ะ แต่นายท่านสั่งให้เอลฟ์ตัวอื่นจัดเตรียมห้องนอนสำหรับแขกไว้เจ้าค่ะ” และเพราะประโยคนั้นของทิสซี่เองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมามองเอลฟ์ตรงหน้าด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความแปลกใจ แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าของเอลฟ์แล้วเธอก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที และถ้าหากเธอไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไปเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าที่นายลูเซียสสั่งให้เอลฟ์จัดเตรียมห้องนอนสำหรับแขกไว้นั้นคงไม่ใช่เป็นเพราะจะมีแขกเข้ามาพักที่คฤหาสน์มัลฟอยแต่อย่างใด แต่คงเป็นเพราะเขาต้องการจะไปนอนที่ห้องนอนสำหรับแขกแทน และการทำเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการแยกห้องนอนกับเธอ หากแต่เขาทำเช่นนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ

แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าที่ชายผมบลอนด์ทำเช่นนั้นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการจะนอนร่วมห้องนอนกับหญิงสาวอีกต่อไป แต่เพราะด้วยเหตุผลใดกันล่ะ เธอครุ่นคิดด้วยความสงสัย แต่ในไม่ช้าเฮอร์ไมโอนี่ก็ตัดเหตุผลที่คิดได้อย่างแรกว่าเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปกับเธอจึงต้องการจะให้เธออยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากเสียเวลาครุ่นคิดอยู่ไม่นานเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้อย่างที่สองก็ผุดขึ้นมา ซึ่งก็คือการที่นายลูเซียสนั้นปักใจเชื่อเรื่องที่เธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเซเวอร์รัส สเนป อดีตอาจารย์ของเธอเอง ทำให้เขาไม่ต้องการที่จะนอนร่วมห้องกับเธออีกต่อไป และแม้ว่าเหตุผลดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีของหญิงสาวมากก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่เธอจะไม่ต้องนอนร่วมห้องกับสามีของเธอไปซักระยะหนึ่ง หรือถ้าเธอโชคดีเขาอาจจะไม่อยากกลับมานอนร่วมเตียงกับเธออีกเลยก็เป็นได้ ในเมื่อเขาปักใจเชื่อว่าเธอนอกใจเขาไปกับอาจารย์ของเธอเองที่เป็นเพื่อนรักของเขาแบบนี้แล้ว



ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดนั้นเสียงเล็ก ๆ ของเอลฟ์ก็ปลุกเธอขึ้นจากภวังค์เมื่อมันพูดขึ้นว่า

“นายหญิงเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” มันถาม และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นหญิงสาวก็พบว่าเอลฟ์ขยับเข้ามาใกล้เธอเล็กน้อยพร้อมกับมองเธอด้วยสายตาที่ดูเป็นห่วงมากกว่าเดิม และเมื่อเห็นว่าเจ้านายของมันไม่ตอบอะไรออกมาเอลฟ์ก็เอ่ยขึ้น

“ทิสซี่รู้ว่าทิสซี่ไม่ควรถาม แต่ทิสซี่เป็นห่วงนายหญิงนะเจ้าคะ ทิสซี่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ นายหญิงทะเลาะกับนายท่านรุนแรงจนถึงกับต้องแยกห้องนอนกันเลยหรือเจ้าคะ” มันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขลาด ๆ ราวกับมันรู้ดีว่าคำถามของมันจะไปรบกวนจิตใจของเฮอร์ไมโอนี่ หากแต่สิ่งที่เอลฟ์ไม่รู้ก็คือคำถามดังกล่าวนั้นไม่ได้เพียงแค่รบกวนจิตใจของหญิงสาวเท่านั้น หากแต่มันกลับไปกระตุ้นภาพความทรงจำอันโหดร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้น รวมทั้งทำให้หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่กระตุกด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งจนส่งผลให้ใบหน้างามที่เพิ่งดูโล่งใจได้เพียงครู่เดียวนั้นมีสีหน้าหมองเศร้าขึ้นมาจนทิสซี่สังเกตได้ แต่ก่อนที่เอลฟ์จะได้มีโอกาสลงโทษตัวเองที่ไปถามคำถามที่ทำให้นายหญิงไม่สบายใจเข้า เฮอร์ไมโอนี่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับพยายามปั้นหน้าให้ดูเป็นปกติก่อนจะตอบออกไป

“ฉันไม่อยากพูดถึงมันอีก ฉันขอร้องนะทิสซี่ อย่าถามฉันอีกเลย” เธอพูดพลางมองเอลฟ์ด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความเสียใจ จนเอลฟ์อดสงสารนายหญิงของมันไม่ได้ อันที่จริงทิสซี่เองก็พอจะรู้เรื่องการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างเจ้านายทั้งสองของมัน เพราะการทุ่มเถียงรวมถึงการที่นายท่านของมันฉุดกระชากลากถูนายหญิงกลับมาที่ห้องนอนนั้นก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของเอลฟ์ประจำบ้านไปได้แต่อย่างใด แต่ถึงจะเป็นห่วงรวมทั้งสงสารนายหญิงของมันประกอบกับอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากเพียงใด แต่เมื่อนายหญิงบอกว่าไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ทิสซี่ก็ไม่อาจจะละเมิดคำสั่งของนายหญิงของมันได้ และถึงแม้มันจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเวทย์มนต์ให้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายอย่างที่เป็นอยู่นี้ก็ตาม ทิสซี่ก็คิดว่ามันคงไม่อาจจะดึงดันถามคำถามที่นายหญิงของมันขอร้องด้วยแววตาที่เจ็บปวดไม่ให้มันพูดถึงอีกต่อไปได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเอลฟ์จึงตัดสินใจพูดออกมา

“เจ้าค่ะ ทิสซี่จะไม่ถามนายหญิงในเรื่องนี้อีก” เอลฟ์กล่าว และถึงแม้ว่าหลังจากนั้นสายตาของมันจะเหลือบไปเห็นร่องรอยที่แสดงถึงความเป็นจ้าของของนายท่านบนตัวนายหญิงของมันก็ตาม แต่เมื่อหญิงสาวไม่ต้องการจะให้มันเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก ทิสซี่เองก็ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากทำเป็นมองไม่เห็นร่องรอยนั้นเสีย

“แล้วนายหญิงหิวหรือยังเจ้าคะ นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว” เอลฟ์เปลี่ยนเรื่องพูดในทันที ก่อนที่สายตาของมันจะเหลือบไปมองนาฬิกาตั้งพื้นที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่มองตามสายตาของเอลฟ์ไปเธอก็พบว่ามันบอกเวลาหกโมงสี่สิบห้านาที และเหลือเวลาเพียงอีกสิบห้านาทีเท่านั้นก็จะถึงเวลาอาหารเย็น แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรออกไปนั้นทิสซี่ก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“นายหญิงต้องการจะทานอาหารที่ไหนเจ้าคะ ถ้าหากนายหญิงต้องการจะทานอาหารบนห้องนอนก็ได้เจ้าค่ะ ทิสซี่จะจัดสำรับขึ้นมาให้” เอลฟ์พูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น แต่ดวงตาสีฟ้าสดใสของมันยังคงแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มันมีต่อเจ้านายของมันอยู่ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีสีหน้าครุ่นคิดกับคำถามของเอลฟ์

แน่นอนว่าในตอนนี้หญิงสาวไม่รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อยแต่เธอก็รู้ดีว่าการปฏิเสธไม่ทานอาหารเย็นในวันนั้นอาจจะส่งผลเสียและนำเรื่องยุ่งยากมาสู่เธอก็ได้ เพราะนอกจากมันจะทำให้ทิสซี่ซึ่งน่าจะล่วงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับนายลูเซียสเกิดความไม่สบายใจและความห่วงใยในตัวเธอขึ้นมามากกว่าเดิมแล้ว มันอาจจะนำเอาความเดือดร้อนมาสู่หญิงสาวในภายหลังก็เป็นได้ ถ้าหากเอลฟ์ไปรายงานสามีของเธอในภายหลังว่าเธอไม่ยอมทานอาหารเย็นในวันนี้

แม้จะไม่รู้สึกอยากทานอาหารพอ ๆ กับที่เธอไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงที่แสนจะโหดร้ายใบนี้มากเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่พิจารณาว่าการปฏิเสธที่จะไม่ทานอาหารมื้อนี้นั้นจะนำเรื่องยุ่งยากใจมาให้เธอในภายหลังแล้วหญิงสาวจึงตอบทิสซี่ออกไปว่า

“งั้นฉันขอทานอาหารข้างบนแล้วกันจ้ะ”เธอกล่าว “แต่เธอช่วยยกขึ้นมาให้ฉันหลังอีกซักครึ่งชั่วโมงได้ไหม ทิสซี่ ฉันอยากจะอาบน้ำก่อนทานอาหาร” หญิงสาวเสริมขึ้นเหมือนเธอเพิ่งนึกได้และเอลฟ์ก็รับคำอย่างกระตือรือร้น

“ได้เจ้าค่ะ นายหญิง ทิสซี่จะทำตามที่นายหญิงสั่งเจ้าค่ะ” มันบอก และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าให้มันเบา ๆ อย่างรับรู้เอลฟ์ก็โค้งศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพก่อนที่มันจะหายตัวไปพร้อมกับเสียงดังป็อป



หลังจากทิสซี่ออกไปจากห้องแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็นั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินไปยังห้องน้ำ และถึงแม้ว่าจะไม่มีความเจ็บปวดทางร่างกายมาย้ำเตือนให้เธอนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอก็ตาม แต่ร่องรอยที่ชายผมบลอนด์ได้สร้างไว้ที่ตัวเธอก็เป็นหลักฐานอย่างดีที่บ่งบอกถึงสิ่งที่สามีของเธอได้ทำลงไปกับเธอ ไม่ว่าจะเป็นรอยจูบจำนวนมากบริเวณลำคอของหญิงสาว รวมทั้งร่องรอยของเชือกเวทย์มนต์ที่รัดข้อมือของเธอจนเกิดเป็นบาดแผลขึ้นมาด้วย แต่ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะปวดร้าวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใดก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ให้เวลาตัวเองจมอยู่กับความเสียใจนานมากนักเมื่อเธอตัดสินใจเดินออกจากกระจกบริเวณหน้าอ่างล้างหน้าหลังจากที่เธอพบว่าตัวเธอเองตอนนี้อยู่ในสภาพที่ดูย่ำแย่แค่ไหน หญิงสาวเดินไปยังส่วนสำหรับอาบน้ำเธอถอดเสื้อคลุมอาบน้ำออกและแขวนมันไว้กับที่แขวนริมผนังก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำ

เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อน้ำเย็นจัดสาดกระทบร่างกายก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมที่จะเปิดก็อกสำหรับเปิดน้ำอุ่น หากแต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจจะปิดน้ำเย็นและเปิดน้ำอุ่นอาบแทนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเธอกลับปล่อยให้สายน้ำที่เย็นจัดสาดซัดร่างกายของเธอจนมันสั่นสะท้านเพราะความหนาวเหน็บ หากแต่ความหนาวเย็นที่ร่างกายของเธอเผชิญนั้นก็ไม่อาจเทียบกับความหนาวเหน็บภายในจิตใจของเธอได้เลย

เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นเพื่อปล่อยให้สายน้ำสาดกระทบใบหน้าและเส้นผมก่อนที่มันจะไหลไปตามร่างกายของเธอ ราวกับเธอต้องการจะให้มันลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้น หากแต่หญิงสาวก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่สายน้ำจะมาลบล้างเรื่องราวที่เปรียบดั่งรอยมลทินบนชีวิตของเธอออกไปได้ เพราะเธอรู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะอาบน้ำซักกี่ร้อยกี่พันครั้งมันก็ไม่อาจจะลบล้างเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอได้พอ ๆ กับที่มันไม่สามารถทำให้เธอกลับมาเป็นสาวบริสุทธิ์เช่นเดิมได้

แต่ถึงแม้เฮอร์ไมโอนี่จะต้องการรวมทั้งพยายามลืมเรื่องราวเลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอมากเพียงใดก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจจะลบล้างภาพเหตุการณ์เหล่านั้นออกไปจากสมองได้ราวกับมันติดตรึงอยู่ในหัวสมองเธอพอ ๆ กับร่องรอยที่นายลูเซียสได้ทำไว้ซึ่งยังคงติดตราอยู่บนผิวกายของหญิงสาว และเมื่อภาพความทรงจำที่เลวร้ายแวบเข้ามาในสมองภาพแล้วภาพเล่า เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้ออกมาเบา ๆ มือเล็กบอบบางของหญิงสาวยกขึ้นกอดร่างกายเปียกปอนราวกับยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนของตัวเองอย่างอ่อนแรง น้ำตาหยดใหม่ไหลรินมาจากดวงตาสีน้ำตาลที่แสนจะบอบช้ำปะปนไปกับสายน้ำจากฝักบัวที่ดังกลบเสียงสะอื้นของเธอ





…………………………………………….





หลังจากที่ปล่อยให้ทั้งตัวและหัวใจของเธอเปียกปอนไปด้วยสายน้ำและหยาดน้ำตาไปแล้ว ในที่สุดเฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งรวบรวมสติและพละกำลังได้อีกครั้งก็ตัดสินใจอาบน้ำต่อจนเสร็จ หญิงสาวอาบน้ำและแต่งตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเสียเวลาอ้อยอิ่งอยู่หน้ากระจกนานนัก เนื่องจากเธอไม่ต้องการจะเห็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงการกระทำของชายผมบลอนด์ที่เขาเพิ่งทำลงไปกับเธอ ตรงกันข้ามหลังจากที่รวบรวมสติได้แล้วหญิงสาวก็พยายามแต่งตัวด้วยท่าทีที่เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อเธอเดินออกมาจากห้องน้ำเฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่าทิสซี่ยกสำรับอาหารเย็นขึ้นมาให้เธอในห้องเรียบร้อยแล้ว

หลังจากออกมาจากห้องน้ำแล้วเฮอร์ไมโอนี่พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดโดยเฉพาะเมื่อเธออยู่ต่อหน้าทิสซี่ที่เข้ามารับใช้เธอขณะที่เธอกำลังทานอาหาร แม้ว่าเธออยากจะให้เอลฟ์ออกไปจากห้องเพื่อที่เธอจะได้อยู่ตามลำพังมากกว่าก็ตาม แต่เมื่อหญิงสาวสบดวงตาสีฟ้าที่มองมาทางเธออย่างเป็นห่วงเป็นใยของมันแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากไล่มันออกไปข้างนอกได้ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งทานอาหารที่เอลฟ์จัดมาให้อยู่เงียบ ๆ และถึงแม้ว่าเธอจะทานอาหารได้เพียงนิดเดียวจนดูเหมือนเธอแทบจะไม่ได้แตะอาหารเลยก็ตาม แต่เอลฟ์ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเธอออกไปเมื่อมันเข้ามาเก็บสำรับลงไปข้างล่าง มีแค่ดวงตาสีฟ้าของมันเท่านั้นที่มองมาทางนายหญิงของมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล

หลังจากทิสซี่จัดการเก็บสำหรับอาหารเรียบร้อยแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็ขอให้มันไปเอาหนังสือบางเล่มในห้องสมุดมาให้เธออ่าน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์หรือการสกัดใจซึ่งหญิงสาวจะรู้ดีว่ามันจะนำความเดือดร้อนมาสู่เธอเป็นแน่หากสามีของเธอค้นพบว่าเธออ่านหนังสือพวกนี้ และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะรู้ดีว่าเธอควรจะศึกษาและฝึกฝนการสกัดใจต่อเพื่อช่วยเก็บรักษาความลับของเซเวอร์รัส สเนปที่เธอบังเอิญไปล่วงรู้เข้ามากเพียงใดก็ตาม แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอไม่ควรจะลงมือทำอะไรลงไปในตอนที่สถานการณ์กำลังอยู่ในช่วงวิกฤตแบบนี้ และถึงแม้ว่าหญิงสาวรู้ดีว่าเธอจะสามารถเดินไปที่ห้องสมุดและหยิบหนังสือเกี่ยวกับการสกัดใจมาอ่านเองได้ และถ้าหากเธอระมัดระวังพอนายลูเซียสก็ไม่น่าจะจับได้ว่าเธอแอบศึกษาการสกัดใจใต้จมูกของเขาแบบนี้ รวมทั้งวิธีนี้นั้นก็เสี่ยงน้อยกว่าการใช้ให้เอลฟ์เป็นคนไปเอาหนังสือที่เธอต้องการมาให้เธออ่านถึงในห้องนอนซึ่งมันอาจจะไปรายงานนายมัลฟอยถึงชื่อหนังสือที่เธออ่านได้ก็ตาม แต่เป็นเพราะว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ต้องการจะออกไปนอกห้องนอนของเธอในตอนนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่ต้องการเสี่ยงที่จะเจอหน้าชายผมบลอนด์เร็วเกินไปนัก ไม่ใช่ในตอนที่เธอยังทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้แบบนี้ แต่อันที่จริงแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ตัวดีว่าเธอไม่มีทางที่จะทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ก็ตาม เพราะสิ่งที่นายลูเซียสได้ทำลงไปกับเธอนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากการขืนใจเท่าไรนัก แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เหมือนกันว่า ไม่ว่าเธอจะไม่ต้องการรวมทั้งไม่เต็มใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมากเพียงใดก็ตาม เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นในนอกจากจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอในฐานะภรรยาของลูเซียส มัลฟอยตลอดไป!





…………………………………………….





หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยและทิสซี่เอาหนังสือที่เฮอร์ไมโอนี่สั่งมาให้ถึงในห้องนอนของหญิงสาวแล้ว เธอก็บอกเอลฟ์ว่าเธอต้องการอ่านหนังสือเงียบ ๆ และขอให้มันออกไปก่อน ซึ่งมันก็รับคำแต่โดยดีก่อนที่จะหายตัวไป และการสนทนาของหญิงสาวกับเอลฟ์ทั้งหมดนั้นไม่มีการเอ่ยถึงนายท่านของบ้านหลังนี้หรือสามีของเฮอร์ไมโอนี่เลยแม้แต่น้อย ทิสซี่ไม่ได้รายงานว่านายลูเซียสกลับมาที่คฤหาสน์หรือยังรวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ถามถึงเขาแต่อย่างใด หากแต่ในใจของหญิงสาวนั้นภาวนาอยู่ตลอดเวลาที่เธออยู่ในห้องนอนตามลำพังหลังจากที่เอลฟ์ออกไปจากห้องแล้วว่าเมื่อถึงเวลาที่นายมัลฟอยกลับมาที่คฤหาสน์แล้ว ขอให้เขาตรงไปยังห้องนอนสำหรับแขกที่เขาตัดสินใจว่าจะย้ายไปนอนที่นั่นหรือไปยังส่วนอื่นของคฤหาสน์โดยไม่ต้องแวะมาหาเธอที่ห้องนอนห้องนี้แต่อย่างใด เนื่องจากหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่อาจจะทำใจที่จะต้องเผชิญหน้ากับเขาได้ในตอนนี้

แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าความปรารถนาของเฮอร์ไมโอนี่จะไม่มีทางเป็นจริงได้ง่าย ๆ เพราะหลังจากที่นายลูเซียสกลับมาที่คฤหาสน์แล้วเขาก็ตรงมายังห้องนอนของหญิงสาวเป็นอันดับแรก หากแต่ก็เป็นโชคดีของเฮอร์โอนี่เหลือเกินที่เวลาที่สามีของเธอกลับมาถึงบ้านนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว รวมทั้งในตอนนั้นหญิงสาวผู้เคยภาวนาอย่างสิ้นหวังว่าขออย่าให้เธอต้องพบเจอหน้าชายผมบลอนด์ในเร็ววันนี้เลยนั้นกำลังหลับใหลอยู่พอดี



หลังกลับมาถึงคฤหาสน์ในเวลาดึกจนเกือบจะขึ้นวันใหม่แล้ว นายลูเซียสก็ถามถึงสมาชิกในครอบครัวของเขาทั้งสองคนซึ่งก็คือเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่ตามปกติ หากแต่ดูเหมือนว่าชายผมบลอนด์จะค่อนข้างใส่ใจภรรยาของเขามากกว่าที่เคยเป็น เพราะเขาถามคำถามหลายอย่างที่เกี่ยวกับหญิงสาวมากกว่าปกติ และเมื่อเขาได้ทราบคำตอบว่าในตอนนี้ภรรยาของเขากำลังนอนหลับอยู่บนห้องนอนซึ่งเธอไม่ได้ออกจากห้องเลยตั้งแต่เขาออกจากคฤหาสน์ไป ดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยก็ฉายแววกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะโบกมือให้เอลฟ์ประจำบ้านที่มารอรับเขาในเชิงบอกให้พวกมันไปทำอย่างอื่นต่อได้แล้วเขาจึงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของคฤหาสน์

แม้ว่าจะใช้เวลาไม่นานมากนักในการเดินมาถึงหน้าห้องนอนของเขาและเฮอร์ไมโอนี่ก็ตาม แต่นายลูเซียสก็เสียเวลาไปกับการครุ่นคิดและลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งทีเดียวก่อนที่เขาจะตัดสินใจเปิดประตูไม้บานใหญ่ตรงหน้าเข้าไปภายในห้องนอนของตัวเองที่เขาตัดสินใจจะไม่ใช้มันเป็นที่นอนไปซักระยะหนึ่ง

ภายในห้องนอนนั้นมืดและเงียบสงัดพอ ๆ กับความเงียบรอบ ๆ คฤหาสน์ยามค่ำคืน ที่ด้านหนึ่งของห้องนอนเตาผิงที่ถูกจุดทิ้งไว้ซักระยะหนึ่งแล้วส่องแสงสีเหลืองนวลกระทบไปยังส่วนต่าง ๆ ของห้อง ทำให้ภายในห้องนั้นไม่มืดเท่าที่ควร และบนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเตาผิงนั้นมีร่างเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงในท่าตะแคงหันหน้าเข้าหาประตู ประหนึ่งว่าเธอกำลังรอคอยใครบางคนอยู่ก่อนจะผล็อยหลับไป แต่ถึงกระนั้นชายผมบลอนด์ก็รู้ดีว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีทางที่จะรอคอยการกลับมาของเขาจนผล็อยหลับไป พอ ๆ กับที่เขารู้ว่าเธอไม่ต้องการให้เขากลับมานอนห้องเดียวกับเธอมากแค่ไหน แต่ถึงจะรู้ว่าภรรยาของเขาเองนั้นหวาดกลัวเขาจนเธอไม่อยากจะอยู่ร่วมห้องกับเขาอีกต่อไปแล้วก็ตาม นายลูเซียสกลับตัดสินใจที่จะเดินไปยังเตียงนอนที่หญิงสาวกำลังนอนอยู่อย่างเงียบเชียบราวกับเขากลัวว่าเธอจะตื่นขึ้นเพราะเสียงฝีเท้าของเขา ดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยพิจารณาใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ท่ามกลางความมืดและพยายามค้นหาว่าเธอกำลังแกล้งหลับอยู่หรือไม่ แต่ชายผมบลอนด์ก็ไม่อาจค้นพบคำตอบที่เขาต้องการได้ก่อนที่เขาจะเดินมาถึงริมเตียงใหญ่ที่ร่างของหญิงสาวกำลังนอนอยู่ และเมื่อเขาทำเช่นนั้นนายลูเซียสก็สังเกตเห็นหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างเล่มหนาที่วางอยู่ข้าง ๆ ร่างของเธอถัดจากมือเล็กของเธอไปไม่ไกลนักทำให้เขารู้ว่าเธอคงอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ก่อนหน้านี้จนกระทั่งเธอผล็อยหลับไป



สายตาของนายมัลฟอยพิจารณาไปทั่วร่างเล็กที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่กำลังนอนหลับอย่างสงบโดยไม่มีท่าทีว่าเธอจะรับรู้ถึงการมาของร่างอีกร่างแต่อย่างใด จังหวะหายใจและการกระเพื่อมของทรวงอกอิ่มภายใต้ชุดนอนเนื้อดีอย่างสม่ำเสมอนั้นบอกว่าเธอกำลังหลับสนิท ดวงตาสีน้ำตาลของเธอปิดสนิทและถูกประดับด้วยแพขนตางอนงาม ผมสีน้ำตาลแผ่สยายไปทั่วหมอนผ้าไหมเนื้อดี ดวงหน้างามดูผุดผ่องแม้ในตอนที่มันอยู่ท่ามกลางความมืดพอ ๆ กับที่แสงไฟสลัวที่มาจากเตาผิงในห้องนั้นช่วยขับผิวเนียนของเธอให้ดูเปล่งปลั่งและงดงามอย่างน่าประหลาดถึงแม้ว่ามันจะถูกประดับไปด้วยร่องรอยที่มาจากการกระทำอันรุนแรงของร่างใหญ่ที่กำลังยืนมองเธออยู่ในตอนนี้ก็ตาม

ในไม่ช้าสายตานายลูเซียสที่มองสำรวจร่างงามของภรรยาไล่มาตั้งแต่ใบหน้าจนถึงเรือนร่างที่โผล่พ้นมาจากผ้าห่มของเธอนั้นก็ไปสะดุดเข้ากับรอยช้ำรอบ ๆ ข้อมือบอบบางของเฮอร์ไมโอนี่ที่วางอยู่ข้างกายของหญิงสาวที่กำลังนอนตะแคงอยู่ในตอนนี้ และแม้ว่ารอยที่เกิดจากเชือกเวทย์มนต์ดังกล่าวจะไม่มีขนาดใหญ่มากนักก็ตาม แต่มันกลับดูเด่นชัดขึ้นมาทันทีเมื่อมันมาอยู่บนข้อมือเรียวเล็กและอยู่บนผิวที่นวลเนียนของเธอแบบนี้ และเพราะการได้เห็นร่องรอยบนร่างกายของหญิงสาวอันเกิดจากการกระทำของเขาเองแล้วนั้น นายลูเซียสจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือที่ยังคงสวมถุงมืออยู่ของเขาไปสัมผัสรอยแผลที่เขาสร้างไว้บนร่างกายของภรรยาของเขาเองอย่างแผ่วเบา หากแต่ก่อนที่มือใหญ่ของชายผมบลอนด์จะสัมผัสรอยเชือกสีแดงจนเกือบจะออกม่วงซึ่งเกิดจากเวทย์มนต์ของเขาเองนั้น นายมัลฟอยก็ชักมือของเขากลับเสียก่อน ซึ่งการกระทำนั้นจะมาจากสาเหตุอันใดตัวเขาเองก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกัน แต่เท่าที่นายลูเซียสรู้ในวินาทีต่อมาเขาก็ตัดสินใจเลื่อนมือใหญ่ของเขาไปยังใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเฮอร์ไมโอนี่แทน ชายผมบลอนด์มีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะใช้มือที่เคยทำร้ายหญิงสาวตรงหน้ามาก่อนหน้านี้ปัดปอยผมที่ปรกหน้าของเธอออกอย่างแผ่วเบาราวกับว่าเขากลัวว่าเธอจะตื่นขึ้นเพราะสัมผัสของเขา ดวงตาสีเงินซึ่งปกติจะดูเย็นชาหรือไม่ก็เกรี้ยวกราดนั้นจ้องมองร่างที่กำลังหลับใหลของภรรยาด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไป เพราะมันเปลี่ยนไปเป็นดวงตาที่ดูอ่อนโยนและแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดราวกับเขารู้สึกเสียใจในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปมากกว่าอะไรทั้งหมด หากแต่ถึงกระนั้นชายผมบลอนด์ก็ไม่อาจจะเอ่ยคำว่าขอโทษหรือแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงการกระทำที่บ่งบอกว่าเขาเสียใจกับเรื่องที่เขาได้ทำลงไปมากเพียงใดนอกจากมองดูหญิงสาวที่กำลังหลับใหลตรงหน้าอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น

หลังจากปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ออกแล้ว มือใหญ่ที่สวมถุงมือของนายมัลฟอยก็เลื่อนไปสัมผัสแก้มเนียนของหญิงสาวเบา ๆ ดวงตาสีเงินของเขาสำรวจใบหน้างามของร่างตรงหน้าอย่างละเอียดราวกับเขากำลังมองหาคราบน้ำตาบนแก้มเนียนของหญิงสาวอยู่ขณะที่มือของเขาเลื่อนไปยังริมฝีปากอิ่มที่เขาเคยสัมผัสมันด้วยริมฝีปากของเขาอย่างรุนแรงมาก่อนหน้านี้ หากแต่ไม่ทันที่มือใหญ่ของชายผมบลอนด์จะสัมผัสริมฝีปากสีกุหลาบของเฮอร์ไมโอนี่หญิงสาวก็ขยับตัวน้อย ๆ ขึ้นมา ส่งผลให้นายลูเซียสรีบชักมือของเขากลับพร้อมกับยืดตัวขึ้นยืนตรงตามปกติรวมทั้งใบหน้าที่เคยดูอ่อนโยนของเขาก็กลับมาเป็นใบหน้าที่แลดูเย็นชาเช่นดังเดิมในทันทีราวกับเขาเตรียมตัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับร่างตรงหน้าที่เขาคิดว่ากำลังจะตื่นขึ้นมาในไม่ช้า แต่หลังจากผ่านไปซักครู่และพบว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นเพียงแค่ขยับตัวตามปกติขณะที่กำลังหลับเท่านั้น หญิงสาวไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด และเมื่อเห็นเช่นนั้นชายผมบลอนด์จึงตัดสินใจที่จะยืนจ้องมองร่างเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจละจากร่างงามเบื้องหน้าเมื่อเขาหันหลังและเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วราวกับเขากลัวว่าร่างที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงนั้นจะตื่นขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

แต่นายลูเซียสไม่รู้เลยว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นลืมตาขึ้นมาในวินาทีที่ร่างใหญ่ของเขากำลังจะหายลับออกจากประตูห้องนอนไป หากแต่เพราะความง่วงงุนและสติสัมปชัญญะที่ไม่สู้จะตื่นตัวเท่าไหร่นักของเธอทำให้หญิงสาวไม่ได้คิดจะสนใจเสียงเปิดและปิดประตูอย่างรวดเร็วรวมทั้งภาพลางเลือนของแผ่นหลังของร่างใหญ่ที่หายลับไปจากห้องนอนต่อหน้าของเธอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่ที่พยายามจะรับภาพตรงหน้าท่ามกลางบรรรยายกาศที่มืดสลัวภายในห้องอยู่ชั่วครู่นั้นก็ปิดลงช้า ๆ หลังจากที่ประตูไม้บานใหญ่ปิดลงพร้อมกับการจากไปของลูเซียส มัลฟอยผู้เป็นสามีของเธอ และในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นมานั้นเธอก็จำไม่ได้เลยแม้แต่น้อยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นกลางดึก หรือภาพแผ่นหลังของชายผมบลอนด์ที่หายลับไปจากบานประตูตรงหน้า เฮอร์ไมโอนี่จำเรื่องทั้งหมดไม่ได้เลยแม้แต่น้อยรวมทั้งเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อคืนก่อนนั้นสามีของเธอได้เข้ามายังห้องนอนของเธอในตอนที่เธอกำลังหลับใหลอยู่



…………………………………………….





เฮอร์ไมโอนี่ตื่นนอนขึ้นมาด้วยอาการไม่สดชื่นเท่าที่ควร อันที่จริงหญิงสาวไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะเท่าที่เธอจำได้คือเธอนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอนอยู่ก่อนที่ภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอจะปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของเธออีกครั้งราวกับภาพฉาย หลังจากนั้นหญิงสาวจึงได้นั่งร้องไห้เงียบ ๆ อยู่คนเดียวบนเตียง แต่ในขณะเดียวกันนั้นเธอเองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะสงบจิตสงบใจและทำใจให้ลืมเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นทั้ง ๆ ที่เธอก็รู้ดีว่ามันไม่อาจจะเป็นไปได้ และหลังจากผ่านการร้องไห้เป็นรอบที่หญิงสาวเองก็จำไม่ได้ว่ามันเป็นรอบที่เท่าไหร่ไปแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเธอคงจะผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลียหลังจากที่เธอผ่านเรื่องที่ทำให้เธอปวดร้าวทั้งร่างกายและจิตใจมาแล้วแบบนี้

แต่ถึงจะตื่นมาด้วยความเหนื่อยอ่อนและไม่สดชื่นเท่าที่ควรก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกโล่งอกไม่น้อยที่เธอพบว่าเธออยู่บนห้องนอนตามลำพังโดยไม่มีสามีของเธออยู่ด้วยแต่อย่างใด และหลังจากมองสำรวจรอบ ๆ ห้องแล้ว หญิงสาวก็ลองหันกลับมาสำรวจเตียงที่เธอกำลังนอนอยู่ในตอนนี้และเธอก็พบว่าที่นอนข้างกายเธอนั้นไม่มีร่องรอยคนเข้ามานอนแต่อย่างใดเพราะมันยังคงราบเรียบและไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลยซึ่งมันบอกเฮอร์ไมโอนี่ว่านายลูเซียสไม่ได้กลับมาที่ห้องนอนเมื่อคืนนี้เพราะเขาได้ย้ายไปนอนห้องนอนสำหรับแขกอย่างที่เอลฟ์ได้บอกเธอไว้ก่อนหน้านี้ หากแต่ในใจลึก ๆ แล้วเธอก็คาดหวังว่าให้เขาไม่ต้องกลับมาที่คฤหาสน์อีกเลย แต่อย่างไรก็ตามการได้รับรู้ข้อมูลดังกล่าวนี้ก็นำความสบายใจรวมทั้งหนักใจมาให้แก่เธอในเวลาเดียวกัน เพราะถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะโล่งใจมากที่ชายผมบลอนด์นั้นเป็นฝ่ายตัดสินใจแยกห้องนอนกับเธอเองซึ่งจริง ๆ แล้วเธอก็ไม่ทราบแน่ชัดถึงเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจเช่นนั้นคืออะไร จะเป็นเพราะเขาปักใจเชื่อว่าเธอนอกใจเขาไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนผู้เสพความตายของเขาจนเขาไม่ต้องการจะนอนร่วมห้องกับเธออีกต่อไปแล้วหรือจะเป็นเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตาม การกระทำของเขานั้นถึงแม้ว่าจะทำให้หญิงสาวไม่ต้องรู้สึกอึดอัดรวมทั้งหวาดกลัวที่จะต้องอยู่ร่วมห้องนอนกับเขาสองต่อสองอีกต่อไป แต่การที่เธอไม่ได้ข่าวคราวรวมทั้งเห็นหน้าของเขามาเป็นเวลาเกือบทั้งวันแบบนี้ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกไม่สบายใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเรียกเอลฟ์มาสอบถามเรื่องนายลูเซียสและได้คำถามว่าเขากลับมาที่คฤหาสน์เมื่อคืนในตอนดึกซึ่งน่าจะเป็นเวลาที่หญิงสาวหลับไปแล้ว และออกไปจากคฤหาสน์ตั้งแต่เช้าเนื่องจากเขามีธุระที่ต้องไปจัดการนั้นทำให้เธอรู้สึกสงสัยว่านายมัลฟอยกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ ธุระที่เขาต้องออกไปนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร รวมทั้งเธอยังกังวลไปเองว่าธุระที่เขาต้องออกไปทำแต่เช้านั้นนอกจากจะเป็นการไปรับใช้เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว มันยังจะเป็นการที่เขาไปสืบความจริงที่อยู่เบื้องหลังการลอบพบกันของเธอกับเซเวอร์รัส สเนปหรือเปล่า

เพราะเฮอร์ไมโอนี่คิดว่า ถึงแม้ว่าการกระทำอันเลวร้ายที่ชายผมบลอนด์ได้ทำลงไปกับเธอนั้นจะเกิดมาจากการที่เขาปักใจเชื่อว่าเธอมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเซเวอร์รัส สเนป อดีตอาจารย์ของเธอและเพื่อนผู้เสพความตายของเขาก็ตาม รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งก็น่าจะเกิดมาจากโทสะของชายผมบลอนด์ที่มาผลักดันให้เขาทำเรื่องเลวร้ายกับเธอลงไป และถึงตัวเฮอร์ไมโอนี่เองจะรู้สึกตกใจและเจ็บปวดกับการกระทำของสามีของเธอมากแค่ไหนก็ตาม เธอก็พอจะสังเกตเห็นสีหน้าที่ดูตกใจราวกับเขาเพิ่งรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไปของนายมัลฟอยหลังจากที่เขาลงมือสั่งสอนเธอในแบบที่เขาต้องการลงไปแล้วได้ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าการกระทำของเขาน่าจะเกิดมาจากการบันดาลโทสะและความโกรธเกรี้ยวที่เขาเห็นเธออยู่กับสเนปสองต่อสองในห้องทำงานของเขาในเวลาที่เขาไม่อยู่บ้านมากกว่าเหตุผลอื่น ๆ ประกอบกับที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าลูเซียส มัลฟอยนั้นไม่ใช่คนโง่ และหลังจากที่อารมณ์ของเขาเริ่มเย็นลงแล้วถ้าหากเขาได้มาคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยไม่มีความโกรธเกรี้ยวมาบังตาเขาล่ะก็ หญิงสาวก็กลัวเหลือเกินว่าสามีของเธอจะสงสัยขึ้นมาว่ามันน่าจะมีบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบพบกันของเธอกับเซเวอร์รัส สเนป บางอย่างที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่เขาเชื่อว่าเธอและสเนปนั้นลักลอบมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวอย่างที่เขาเข้าใจ และถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ถ้าหากว่านายลูเซียสสงสัยว่าเธอกับสเนปลอบพบกันด้วยเหตุผลอื่นมากกว่าต้องการพลอดรักกันจริงล่ะก็ เฮอร์ไมโอนี่ก็กลัวเหลือเกินว่าเขาจะสืบจนล่วงรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เธอและสเนปนั้นลักลอบพบกันว่ามันคืออะไร และถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นล่ะก็ความลับที่มีค่าเทียบเท่ากับชีวิตของเซเวอร์รัส สเนปก็คงจะเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน

หญิงสาวถึงกับตัวสั่นเมื่อเธอจินตนาการว่าความลับที่อดีตอาจารย์ของเธอสู้เก็บรักษามาอย่างดีนั้นรั่วไหลไปถึงหูของจอมมาร ซึ่งแน่นอนว่าผลที่ตามมานั้นคงไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากความตายของสายลับที่ภักดีที่สุดของดัมเบิลดอร์เป็นแน่ และเมื่อรู้ว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเช่นไรเฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมาในทันที หญิงสาวแทบจะลืมความทุกข์ของตัวเองไปชั่วขณะเมื่อเธอได้มารับรู้ว่าตอนนี้ความลับของสเนปที่เธอได้มาเป็นผู้รู้เห็นด้วยนั้นเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยเพียงใด รวมทั้งเธอในตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าเธออาจจะไม่สามารถรักษาความลับของอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอให้ปลอดภัยอย่างที่เธอมั่นใจว่าเธอจะสามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว เพราะถึงแม้ว่าจะมั่นใจในความสามารถในการสกัดใจของตัวเองเพียงใดรวมทั้งมั่นใจว่าเธอจะสามารถปิดกั้นใจของตัวเองจากการมองเห็นของสามีของเธอได้ก็ตาม แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าเธอคงไม่อาจจะต้านทานการพินิจใจของจอมมารหรือฤทธิ์ของสัจจะเซรุ่มได้เป็นแน่ และถ้าเหตุการณ์มาถึงขั้นนั้นจริงล่ะก็ การที่เธอไม่สามารถเก็บรักษาความลับที่ได้ไปล่วงรู้มาได้ของเธอก็อาจจะนำไปสู่ความตายของเซเวอร์รัส สเนปก็เป็นได้



และเพราะความคิดนั้นเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกไม่อยากจะทานอาหารเช้าขึ้นมาในทันทีเพราะเธอกลัวว่านายลูเซียสจะสั่งให้เอลฟ์ผสมสัจจะเซรุ่มลงไปในน้ำผลไม้ที่เธอดื่มในตอนอาหารเช้า แต่อย่างไรก็ตามหญิงสาวก็ไม่อาจบ่ายเบี่ยงไม่ลงไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารได้เมื่อเอลฟ์เข้ามาเชิญเธอลงไปทานอาหาร และที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเธอกลัวว่าเอลฟ์จะไปรายงานนายมัลฟอยว่าเธอไม่ยอมลงไปทานอาหารซึ่งมันอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่เธอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่หญิงสาวเองก็ไม่อาจจะทนอุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวันโดยไม่ออกไปไหนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอรู้ว่าสามีของเธอนั้นออกไปทำธุระนอกบ้านด้วยแล้วนั้น (มันก็น่าจะหมายความว่าเขาออกไปทำภารกิจให้จอมมารตามที่เฮอร์ไมโอนี่เข้าใจ) เธอยิ่งคิดว่ามันเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ออกจากห้องนอนไปยังส่วนต่าง ๆ ของคฤหาสน์เสียบ้าง เพราะแค่การถูกขังให้อยู่แค่ภายในคฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้ก็น่าอึดอัดเพียงพออยู่แล้ว หญิงสาวคงไม่ต้องการจะกักขังตัวเองให้อยู่แค่ในห้องนอนของเธอเป็นแน่ โดยเฉพาะในเวลานี้ซึ่งเธอสามารถใช้ไปไหนมาไหนภายในคฤหาสน์ได้โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าจะพบเธอสามีของเธอโดยบังเอิญหรือไม่แบบนี้

ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่ตั้งใจไว้ว่าเธอจะไปเดินเล่นที่สวนของคฤหาสน์หลังอาหารเช้า และถึงแม้ว่าอากาศภายนอกจะเริ่มเย็นขึ้นมาเนื่องจากตอนนี้เกือบจะเข้าเดือนตุลาคมแล้วก็ตามแต่หญิงสาวก็ต้องการออกไปเดินเล่นภายนอกมากกว่าจะอุดอู้อยู่ในคฤหาสน์ทั้งวันแบบที่เธอเคยทำก่อนหน้านี้มากกว่า และเหตุผลอีกอย่างที่เธอต้องการจะออกไปชื่นชมความงามตามธรรมชาติภายในสวนของคฤหาสน์มัลฟอยนั้นก็อาจเป็นเพราะเธอคิดว่าการได้อยู่กับธรรมชาติอาจจะช่วยบรรเทาความว้าวุ่น ความสับสนกังวล รวมทั้งความทุกข์ภายในจิตใจของเธอไปได้บ้าง หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่เธอคิดไว้แต่อย่างใด เนื่องจากหลังจากที่หญิงสาวทานอาหารเสร็จแล้วและกำลังขึ้นมาเอาเสื้อคลุมเพื่อใส่ลงไปเดินเล่นบนห้องนอนของเธอ ทิสซี่ซึ่งเป็นเอลฟ์ประจำตัวของเธอก็มารายงานเธอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลังเลจนเกือบจะเรียกได้ว่ากังวลใจว่ามีแขกมาขอพบเธอและแขกคนที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซเวอร์รัส สเนป!



คิ้วของหญิงสาวขมวดในเชิงสงสัยในทันทีที่เธอได้รับรู้ข้อมูลดังกล่าวราวกับเธอไม่เชื่อว่าสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยินนั้นถูกต้องแต่อย่างใด

“เธอว่าอะไรนะทิสซี่” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่เอลฟ์เองก็มีท่าทีอึกอักราวกับมันเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่มันกำลังจะพูดนั้นถูกต้องหรือไม่

“คือ......เซเวอร์รัส สเนป มาขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ” ทิสซี่กล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับมันไม่ต้องการจะตอบคำถามเจ้านายของมันแต่อย่างใด





…………………………………………….




มีต่อ PART II และ PART III ค่ะ




Create Date : 06 พฤษภาคม 2556
Last Update : 7 พฤษภาคม 2556 17:19:59 น. 0 comments
Counter : 1484 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.