Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 13 Severus’ Secrets PART II



เมื่อเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตัวอีกทีเธอก็พบว่าเธอกำลังเดินออกจากเตาผิงอันหนึ่งภายในห้องโถงของปราสาทที่กว้างขวางใหญ่โต แน่นอนว่ามันจะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมของผู้เสพความตายรวมถึงจอมมารด้วย ทันทีที่รู้ว่าตนเองได้มาถึงสถานที่ที่ไม่ต้องการจะมามากที่สุดแล้วหญิงสาวก็รู้สึกราวกับขาของเธอแข็งเป็นหินขึ้นมาในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามีของเธอพาเธอเดินออกจากเตาผิงมายังห้องโถงที่มีผู้เสพความตายเดินกันอยู่ขวักไขว่ และก็มีร่างของผู้เสพความตายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทและดูคุ้นตาเดินเข้ามาหาทั้งสอง เขาคือ โรโดลฟัดจ์ เลสแตรงค์นั่นเอง

“ลูเซียส คุณเพิ่งมาถึงหรือ” โรโดลฟัดจ์เอ่ยขึ้น

“ใช่ แต่เดรโกล่วงหน้ามาก่อนผม หวังว่าผมคงไม่มาสายเกินไปหรอกนะ” ชายผมบลอนด์พูดด้วยท่าทีวิตก ราวกับว่าการมาสายในการประชุมกับเจ้านายของเขานั้นเป็นความผิดที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง ขณะที่โรโดลฟัดจ์ส่ายหน้า

“ไม่หรอก อันที่จริงมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นายท่านเลื่อนการประชุมออกไปอีกหนึ่งชั่วโมง” โรโดลฟัดจ์พูด ขณะที่นายลูเซียสมีท่าทีแปลกใจ

“อย่างนั้นหรือ ทำไมล่ะ” เขาถามขึ้น

“คุณก็รู้ว่าพวกเราไม่รู้อะไรมากในเรื่องนี้ แต่นายท่านสั่งให้เบลลามาบอกทุกคนเรื่องการเปลี่ยนแปลงเวลาการประชุม” โรโดฟัดจ์อธิบาย และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ยืนฟังบทสนทนาของชายทั้งสองอยู่นั้นก็แอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าการประชุมในวันนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นหรือถูกยกเลิกไป สามีของเธอก็ได้ทำลายความหวังอันน้อยนิดของเธอไปโดยการถามต่อไปว่า

“แต่การประชุมในวันนี้ยังคงมีอยู่ใช่ไหม” นายลูเซียสกล่าว

“แน่นอน นายท่านจะเรียกพวกเราไปหาเมื่อท่านพร้อม ระหว่างนี้พวกเราต้องรอไปก่อน” โรโดลฟัดจ์บอก ขณะที่ชายผมบลอนด์พยักหน้าอย่างเข้าใจว่าการเรียกลูกสมุนของเจ้านายของเขานั้นคือการทำให้ตรามารที่อยู่บนแขนของผู้เสพความตายร้อนเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้พวกเขามาพบท่า

“ถ้าอย่างนั้นผมจะรอจนกว่าท่านจะกลับมา แล้วเจอกันโรโดลฟัดจ์” เขาพูดพลางก้มศีรษะให้ชายตรงหน้าอย่างเล็กน้อยสุภาพ

แม้ว่ามันจะเป็นท่าทีที่ดูห่างเหินเกินไปหน่อยสำหรับคนที่ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างเขาและโรโดลฟัดจ์ก็ตาม แต่แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่นายมัลฟอยจะรักษากริยามารยาทของเขาอยู่ตลอดเวลาจนหญิงสาวคิดว่าสาเหตุที่เขาสามารถวางท่าทางได้สมกับเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่สูงส่งอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากพื้นฐานทางครอบครัวซึ่งเขาคงจะได้รับการอบรมมารยาทต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก อีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความภาคภูมิใจในสายเลือดที่เขาคิดว่ามันสูงส่งกว่าคนอื่นด้วยในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่
หลังจากที่โรโดลฟัดจ์เดินจากทั้งสองไปแล้ว นายลูเซียสก็หันมาทางภรรยาของเขา

“เห็นว่าเราคงต้องรอกันสักหน่อยแล้วล่ะ” เขาพูดพลางเลื่อนมือใหญ่ของเขาไปกุมมือของหญิงสาวและพาเธอออกเดิน

“เราจะไปไหนกันคะ” เธอถามขึ้นอย่างหวาดระแวง แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกดีใจไม่น้อยที่การประชุมถูกเลื่อนออกไปแม้จะเป็นเวลาเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจไว้ใจชายตรงหน้าได้เมื่อเขากำลังพาเธอเดินไปในปราสาทที่เป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดเช่นนี้

“ฉันจะพาเธอไปห้องทำงานของฉันที่นี่” ชายผมบลอนด์พูดกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่ ก่อนจะพาเธอเดินขึ้นไปยังชั้นสองของปราสาท

ไม่นานนักนายลูเซียสก็พาเธอมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ที่ดูแข็งแรงบานหนึ่งบริเวณชั้นสองของปราสาทซึ่งเป็นแถบที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยมาในช่วงที่เธอถูกกักขังอยู่ที่นี่ ชายผมบลอนด์หยุดอยู่หน้าประตูก่อนจะคว้าไม้กายสิทธิ์ออกมา เขาพึมพำคาถาเบา ๆ พลางชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ประตูและในวินาทีต่อมาประตูบานใหญ่นั้นก็เปิดออก

ภายในนั้นเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ดูมืดทึบเพราะมีผ้าม่านผืนใหญ่บดบังแสงจากภายนอกปราสาทไม่ให้ผ่านเข้ามาในห้อง และเมื่อเห็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงโบกไม้กายสิทธิ์สองสามทีเพื่อเปิดม่านออกซึ่งมันเผยให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกปราสาท พร้อมกับจุดเทียนที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือและบริเวณตามผนัง

หลังจากมีแสงสว่างเข้ามาในห้องซึ่งทำให้สามารถมองเห็นภายในห้องได้ชัดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ก็มองสำรวจห้องดังกล่าวในทันที แน่นอนว่าห้อง ๆ นี้ไม่ได้ถูกตกแต่งอย่างดีเท่ากับห้องในคฤหาสน์มัลฟอย แถมมันยังดูราวกับไม่ได้ถูกใช้งานมานานก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดตกตะลึงกับสิ่งของที่อยู่ภายในห้องไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชั้นหนังสือสูงจรดเพดานที่กินพื้นที่ของผนังในห้องไปถึงสองฝั่งและตู้เก็บของขนาดใหญ่ที่ดูราวกับบรรจุสิ่งของหลากหลายอย่างเอาไว้ซึ่งตั้งอยู่ที่ผนังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ส่วนตรงกลางห้องนั้นเป็นโต๊ะเขียนหนังสือรูปทรงโบราณที่มีอุปกรณ์สำหรับเขียนหนังสือวางอยู่ครบครัน

“นี่เป็นห้องทำงานของฉันที่นี่” นายลูเซียสพูดขึ้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เดินเข้าไปสำรวจชั้นหนังสือที่มีหนังสือบรรจุอยู่เต็ม แต่หลังจากเธอใช้เวลาไม่นานนักในการสำรวจมัน หญิงสาวก็รีบถอยออกมาเสียก่อนเมื่อเธอพบว่าชั้นหนังสือทั้งสองชั้นนั้นมีแต่หนังสือศาสตร์มืดขั้นสูงที่รุนแรงและอันตรายบรรจุอยู่ทั้งสิ้น ขณะที่ชายผมบลอนด์ยิ้มมุมปากกับท่าทีของเธอ

หลังจากล้มเลิกความตั้งใจในการสำรวจชั้นหนังสือหญิงสาวก็หันมาสำรวจตู้กระจกที่เต็มไปด้วยสิ่งของรูปร่างแปลกประหลาดที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องแทน และเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกราวกับเลือดในกายของเธอเย็นเฉียบขึ้นมาเมื่อเธอได้เห็นสิ่งของศาสตร์มืดที่เธอรู้สึกคุ้นตาราวกับเธอเคยอ่านเจอพวกมันในหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์มืดขั้นสูงหลายชิ้นบรรจุอยู่ในตู้นั้น รวมไปทั้งมือแห่งความรุ่งโรจน์ที่เดรโกเคยใช้มันเป็นแสงสว่างนำทางเขาเพื่อฝ่ากองทัพดัมเบิลดอร์ของฝ่ายเฮอร์ไมโอนี่ออกไปสมทบกับพวกผู้เสพความตายในคืนที่ดัมเบิลดอร์ตายด้วย แถมนอกจากนั้นยังมีสิ่งของศาสตร์มืดอีกหลายชิ้นที่เธอไม่รู้จักแต่จากการดูด้วยสายตาแล้วเธอคิดว่ามันต้องเป็นสิ่งของที่อันตรายต่อผู้ใช้งานมากเป็นแน่

หลังจากสำรวจตู้เก็บของส่วนตัวของนายลูเซียสอยู่ได้ไม่นานหญิงสาวก็หันกลับไปมองสามีของเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยระคนตกใจ ขณะที่ชายผมบลอนด์จ้องเธอกลับด้วยท่าทีเรียบเฉย

“ที่นี่เป็นที่ทำงานและที่เก็บของส่วนตัวของฉัน” เขากล่าวอย่างไม่ยี่หระ ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดออกไปโดยที่เธอไม่สามารถจะยั้งตัวเองได้ทัน

“ของส่วนตัวของคุณหมายถึงของศาสตร์มืดพวกนี้หรือคะ” เธอถาม นายลูเซียสยิ้มน้อย ๆ กับคำพูดนั้น

“แล้วเธอคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรล่ะ” เขาพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้เธออีกก้าวหนึ่ง “อันที่จริงเธอไม่น่าจะแปลกใจเท่าไหร่นี่นาที่ฉันมีของพวกนี้อยู่”
นายลูเซียสเดินมาหยุดอยู่หน้าตู้พร้อมกับใช้มือที่สวมถุงมือของเขาสัมผัสกระจกตู้เบา ๆ พลางมองสิ่งของภายในนั้นด้วยสายตาที่เกือบจะเรียกได้ว่าหลงใหล

“ในเมื่อเธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นยังไง” เขาพูดก่อนจะหันกลับไปมองร่างเล็กตรงหน้าอีกครั้ง ขณะที่หญิงสาวตะโกนออกไปในใจว่า ‘ ฉันก็รู้อยู่แล้วแหละว่าคุณเป็นผู้เสพความตายกระหายเลือด! ’

แต่โชคดีเหลือเดินที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เพียงแค่คิดถ้อยคำดังกล่าวอยู่ในใจเท่านั้น เพราะเธอรู้ดีว่าการพูดถ้อยคำนี้ออกไปนั้นรังแต่จะนำความเดือดร้อนมาให้เธอเสียมากกว่า ดังนั้นหญิงสาวจึงกลืนคำพูดนั้นลงคอและเปลี่ยนมาพูดประโยคอื่น

“ฉันคิดว่าคุณจะเก็บของพวกนี้ไว้ที่บ้านของคุณเสียอีก อย่างเช่นในห้องใต้ดินของคุณ” หญิงสาวพูดออกไปโดยไม่ทันไตร่ตรองให้ดีก่อนจนมันกลับกลายเป็นว่าคำพูดใหม่ของเธอจะยิ่งนำความเดือดร้อนมาสู่เธอมากกว่าคำพูดก่อนหน้านี้เสียอีก เมื่อเธอเห็นว่าชายตรงหน้านั้นมองเธอด้วยแววตาที่ราวโรจน์ขณะที่มือใหญ่ของเขาเลื่อนมาจับแขนของเธอไว้

“เธอรู้ได้ยังไงกันว่าฉันเคยเก็บของพวกนี้ไว้ในห้องใต้ดิน!” นายลูเซียสพูดรอดริมฝีปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีตกใจ

“ฉันไม่รู้ค่ะ! ฉันก็พูดไปอย่างนั้นเอง….” เธอรีบตอบอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามดิ้นรนจากการเกาะกุมของชายผมบลอนด์ ขณะที่สามีของเธอมองเธอด้วยแววตาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ดวงตาสีเงินของเขายังคงมองหญิงสาวอย่างพิจารณาอยู่

“ฉันไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธอในตอนนี้หรอกนะ อันที่จริงฉันจะออกไปหาตามหาเดรโกเสียหน่อย ส่วนเธอก็รอฉันอยู่ที่นี่แล้วกัน” เขาสั่งเรียบ ๆ และเฮอร์ไมโอนี่ก็พยักหน้าเบา ๆ อย่างรับรู้เมื่อนายลูเซียสเริ่มถอยห่างออกจากเธอเล็กน้อย แต่เขายังไงไม่ได้เดินออกจากห้องแต่อย่างใด

“ฉันคงไปไม่นาน เธอต้องรออยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะกลับมา และที่สำคัญห้ามแตะต้องอะไรทั้งนั้นโดยเฉพาะของในตู้นั่น” เขาพูดพลางใช้ไม้เท้าชี้ไปยังตู้กระจกที่ใช้เก็บสิ่งของศาสตร์มืดของเขา “แต่เธออ่านหนังสือบนชั้นนั้นได้ ฉันจะล็อกห้องไว้จนกว่าฉันจะกลับมา เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม เฮอร์ไมโอนี่” นายลูเซียสถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของภรรยา

“เข้าใจค่ะ” เธอตอบออกไปเบา ๆ ชายผมบลอนด์ดูพอใจไม่น้อยที่เธอยอมทำตามคำสั่งของเขาแต่โดยดี

“ดี” เขาพึมพำออกมาก่อนจะเดินไปทางประตูและออกจากห้องไปโดยที่ไม่หันกลับมามองอีกเลย ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งเดินตามสามีของเธอไปยังประตูห้องได้ยินเสียงเขาพึมพำคาถาสำหรับล็อคห้องอยู่เบื้องหลังบานประตูที่ปิดสนิท และเมื่อสิ้นเสียงของนายลูเซียสหญิงสาวก็ถูกทิ้งให้อยู่ภายในห้องทำงานของชายผมบลอนด์ตามลำพัง

เมื่อสามีของเธอออกจากห้องไปแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มเดินสำรวจห้องทำงานของเขาทันที แม้ว่านายลูเซียสจะสั่งไว้อย่างเคร่งครัดไม่ให้เธอแตะต้องของของเขาก็ตาม แต่ดูราวกับความอยากรู้อยากเห็นจะเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกในตัวของหญิงสาวไปเสียแล้ว เมื่อเธอเริ่มสำรวจสิ่งของต่าง ๆ ภายในห้องโดยเริ่มจากโต๊ะทำงานของนายมัลฟอยที่เธอพยายามจะเปิดลิ้นชักของมันหลังจากเห็นว่าบนโต๊ะนั้นมีแต่อุปกรณ์สำหรับเขียนหนังสือและกระดาษเปล่าที่ไม่มีอะไรน่าสนใจอยู่เท่านั้น แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่พบว่ามันถูกล็อกอยู่เธอก็ล้มเลิกความพยายามและหันไปสำรวจอย่างอื่นแทนเมื่อสายตาของเธอสะดุดอยู่เข้ากับเตาผิงที่ตั้งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงาน

เตาผิงดังกล่าวมีขนาดไม่ใหญ่และดูหรูหราเท่าเตาผิงที่ห้องโถงของคฤหาสน์มัลฟอยรวมทั้งมันดูราวกับไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจมันหลังจากที่เธอรู้ว่าการเดินทางเข้าออกศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดนั้นสามารถทำได้เพียงสองทางคือทางผงฟลูและการใช้กุญแจนำทาง หญิงสาวจึงอยากรู้ไม่น้อยว่าเตาผิงอันนี้เชื่อมต่อกับเครือข่ายผงฟลูหรือไม่ และหลังจากใช้เวลาสำรวจอยู่ไม่นานเธอก็พบว่าข้าง ๆ เตาผิงนั้นมีที่แขวนกระถางสำหรับใส่ผงฟลูอยู่เหมือนกับเตาผิงที่คฤหาสน์มัลฟอย เพียงแต่เตาผิงที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้มีแค่ที่แขวนกระถางเท่านั้น แต่ไม่ได้มีกระถางสำหรับบรรจุผงฟลูอยู่แต่อย่างใด และเมื่อค้นพบว่าความหวังในการที่จะติดต่อกับโลกภายนอกของเธอนั้นล้มเหลวลงอีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่ก็ถอยหายใจออกมาอย่างผิดหวังพลางละสายตาไปจากเตาผิง แต่ดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวกลับต้องเบิกกว้างขึ้นเมื่อเธอหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่วางอยู่ในชั้นล่าง ๆ ของตู้กระจกที่นายลูเซียสใช้สำหรับเก็บสิ่งของศาสตร์มืด ถ้าสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ไม่ผิดมันคือกระถางสีเงินที่ดูเหมือนกับกระถางใส่ผงฟลูที่คฤหาสน์มัลฟอยไม่มีผิดเพี้ยน!

เมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงรีบตรงไปยังตู้กระจกนั้นทันที มือเล็กของเธอเอื้อมไปเปิดประตูตู้ออกอย่างแผ่วเบาพลางนึกแปลกใจที่มันไม่ได้ถูกร่ายคาถาเอาไว้ เฮอร์ไมโอนี่มองไปยังสิ่งของศาสตร์มืดที่เรียงรายอยู่ในตู้นั้นด้วยความรู้สึกสนใจปนหวาดกลัวก่อนจะย่อตัวลงนั่งเพื่อที่จะสามารถหยิบกระถางผงฟลูที่วางอยู่บนชั้นเกือบล่างสุดของตู้ได้

กระถางสีเงินนั้นตั้งอยู่ที่อยู่มุมในสุดของตู้ ขณะที่ในชั้นเดียวกันนั้นมีสิ่งของศาสตร์มืดอีกหลายชิ้นที่เธอไม่รู้จักวางอยู่ ซึ่งมันคงไม่ง่ายทีเดียวที่จะเอื้อมมือเข้าไปหยิบกระถางนั้นโดยไม่เผลอไปโดนของชิ้นอื่น ๆ ที่วางอยู่ใกล้ ๆ กัน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงยื่นมือของเธอเข้าไปเพื่อหยิบกระถางนั้นอย่างระมัดระวัง แต่เนื่องจากตู้นั้นมีความลึกพอสมควรรวมทั้งกระถางที่ว่าวางอยู่บนชั้นเกือบล่างสุดจึงทำให้หญิงสาวต้องเอื้อมมือของเธอเข้าไปหยิบมันอย่างยากลำบากจนกระทั่งมือของเธอเผลอไปแตะโดนรูปปั้นรูปงูที่วางอยู่ข้าง ๆ กระถางผลฟลูเข้า

ผิวสัมผัสที่เยือกเย็นของรูปปั้นนั้นเป็นสิ่งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึก เธอชักมือกลับโดยอัติโนมัติแต่หญิงสาวกลับได้ยินเสียงขู่ฟ่ออย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มือเมื่อรูปปั้นดังกล่าวแปลงร่างเป็นงูที่มีชีวิตและฉกเธอเข้าที่มือซ้าย!

“โอ๊ย!!!” เฮอร์ไมโอนี่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพลางรีบชักมือของเธอกลับออกมา และหญิงสาวก็แทบจะเป็นลมเมื่อเธอเห็นว่ามือของเธอนั้นมีรอยเขี้ยวขนาดใหญ่สองรอยฝังอยู่พร้อมกับเลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากบาดแผล!

แม้จะตกใจมากก็ตามแต่เธอก็ยังคงมีสติอยู่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเธอต้องพยายามหาผ้าหรืออะไรก็ได้มากดแผลเพื่อห้ามเลือด แต่หญิงสาวกลับทำอะไรไม่ได้มากนักเมื่อเธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มือ มันไม่ใช่เพียงแค่ความเจ็บปวดที่มาจากบาดแผลที่มีเลือดไหลออกมาอย่างเดียวเท่านั้น แต่เธอกลับรู้สึกราวกับมือของเธอถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟ ราวกับว่ารูปปั้นงูนั้นได้กลายร่างเป็นงูที่มีชีวิตจริง ๆ และส่งพิษเข้าร่างกายเธอผ่านการกัดครั้งนี้

และเพราะความเจ็บปวดนั้นเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจลุกขึ้นยืนไหว หญิงสาวทำได้เพียงนั่งอยู่กับพื้นโดยมีมือขวาที่สั่นเทาของเธอกุมแผลที่มือซ้ายไว้อย่างสุดความสามารถขณะที่เธอต้องกัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเริ่มคลอเอ่อดวงตาของเธอเมื่อเธอพบว่าเธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างเห็นได้ชัดจนกระทั่งประตูห้องเปิดขึ้น!

ร่างที่ยืนอยู่ตรงธรณีประตูและกำลังจ้องมองมาทางเธออย่างตกใจนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสามีของเธอ นายลูเซียสมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เขาเห็นเฮอร์ไมโอนี่กำลังนั่งอยู่บนพื้นห้อง จนกระทั่งสายตาของชายผมบลอนด์เหลือบไปเห็นมือที่เปื้อนเลือดของเธอรวมทั้งประตูตู้สำหรับเก็บของของเขาที่เปิดอ้าอยู่เขาก็เข้าใจทุกอย่างทันที

ร่างใหญ่ของนายมัลฟอยรีบพุ่งเข้ามาที่หญิงสาวในทันทีพร้อมกับที่เขากล่าวคำสบถสาบานออกมา

“ฉันบอกแล้วไงว่าห้ามแตะต้องอะไร!” เขาพูดพร้อมกับที่มือใหญ่ของเขาเลื่อนเข้ามากุมมือข้างที่บาดเจ็บของเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้ ใบหน้าของนายมัลฟอยซีดเผือดลงทันทีเมื่อเขาเห็นบาดแผลของเธอ แต่ชายผมบลอนด์ก็มีสติพอที่จะพยายามช่วยรักษาเธอ

“เธอไปจับอะไรเข้า” เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด แม้ว่านายลูเซียสพอจะเดาออกว่าหญิงสาวโดยคำสาปจากสิ่งของชิ้นไหนของเขา แต่เขาก็จำเป็นต้องถามเพื่อความแน่ใจก่อนที่จะลงมือรักษาเธอ

“งูนั่นค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เฮอร์ไมโอนี่กระซิบออกมาพร้อมกับชี้มือข้างที่ปกติไปยังรูปปั้นรูปงูที่ตั้งอยู่บนชั้นเกือบล่างสุดของตู้ สามีของเธอมองตามมือของภรรยาไปก่อนจะตวัดสายตากลับมายังมือข้างที่บาดเจ็บของเธออีกครั้ง เขากุมมันไว้ในมือใหญ่ของเขาอย่างแน่นหนาก่อนจะกระซิบขึ้น

“อยู่นิ่ง ๆ ” เขาบอกพลางหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาร่ายคาถา เกิดแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นบริเวณมือที่บาดเจ็บของหญิงสาว แต่หลังจากความอบอุ่นนั้นจางหายไปความเจ็บปวดก็กลับมาเหมือนเดิมแถมผิวเนื้อบริเวณที่ถูกกัดของเธอนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้วด้วย

“ยังเจ็บอยู่ไหม” นายลูเซียสถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าตอบ น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนของหญิงสาว เมื่อเห็นเช่นนั้นชายผมบลอนด์จึงลองร่ายคาถาอื่นอีกสองครั้งแต่ผลกลับเป็นเหมือนเดิม คือมันไม่สามารถช่วยลดความเจ็บปวดหรือรักษาแผลของเธอได้แต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันรอยสีม่วงบริเวณบาดแผลของเธอกลับยิ่งขยายกว้างขึ้น รวมทั้งเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลก็เริ่มเป็นสีดำคล้ำเสียแล้ว

ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ครางอย่างขวัญเสียกับภาพบาดแผลของตัวเอง นายลูเซียสก็สบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมและส่งผ้าเช็ดหน้าสีเขียวเข้มมาให้เธอ

“คาถาของฉันรักษาเธอไม่ได้ กดแผลไว้แล้วลุกขึ้น” เขาสั่งอย่างรีบเร่งก่อนจะส่งมือข้างหนึ่งให้เธอจับเพื่อช่วยให้เธอลุกขึ้นยืน ส่วนหญิงสาวนั้นก็ทำตามที่เขาบอกแต่โดยดีจนกระทั่งเมื่อเธอพบว่าชายผมบลอนด์พาเธอเดินออกจากห้องไปยังระเบียงของปราสาท

“เราจะไปไหนกันคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาขณะที่สามีโอบเอวของเธอและเธอพาเธอเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างของปราสาทอย่างรีบเร่ง

“ฉันจะพาเธอไปหายารักษา กดแผลไว้ดี ๆ ล่ะ” นายลูเซียสพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบพาหญิงสาวเดินลงบันไดที่มืดมิดไป

…………………………………………….

เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ถามอะไรออกไปอีกเลยขณะที่นายลูเซียสพาเธอเดินลงมายังชั้นใต้ดินของปราสาท ทั้งสองเดินผ่านทางเดินทำด้วยหินที่หนาและมืดทึบมาได้ระยะหนึ่งก่อนที่ชายผมบลอนด์จะพาเธอมาหยุดอยู่ที่ประตูไม้บานหนึ่งซึ่งประดับด้วยบานจับที่มีลักษณะเก่าแก่ แน่นอนว่าหญิงสาวไม่รู้ว่าห้องนี้เป็นห้องอะไรเมื่อสามีของเธอรัวกำปั้นลงบนบานประตูอย่างรีบร้อน แต่ถึงนายมัลฟอยจะทำเช่นนั้นก็ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากเบื้องหลังบานประตูนั้นเลย นายลูเซียสจึงตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้งแต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็คือความเงียบเท่านั้น หลังจากการรอคอยที่ดูราวกับเนิ่นนานมากในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่สิ้นสุดลง ชายผมบลอนด์ก็ชักไม้กายสิทธิ์ของเขาขึ้นมาและร่ายคาถาสะเดาะกุญแจ

ประตูบานยักษ์นั้นไม่ได้เปิดออกทันทีที่นายลูเซียสร่ายคาถา ‘ อาโลโฮโมร่า ’ จบ และเมื่อเป็นเช่นนั้นชายผมบลอนด์จึงเปลี่ยนมาใช้คาถาสะเดาะกุญแจอีกคาถาหนึ่งที่หญิงสาวไม่รู้จักแทน และในครั้งนี้ประตูบานใหญ่นั้นก็เปิดออกแต่โดยดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าใครก็ตามที่เป็นเจ้าของห้อง ๆ นี้ได้ร่ายคาถาล็อคห้องที่ทรงพลังเอาไว้และมันต้องใช้คาถาที่มีอำนาจมากกว่า ‘ อาโลโฮโมร่า ’ เพื่อเปิดมันออก

แม้ว่าการบุกรุกเข้าห้องที่ดูเหมือนจะเป็นของคนอื่นจะเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมากก็ตามแต่หญิงสาวกลับไม่ทักท้วงสามีของเธอเลยขณะที่เขานำเธอเดินเข้าไปในห้องขนาดไม่ใหญ่มากนักที่มืดมิดและอับชื้น แต่เมื่อชายผมบลอนด์ร่ายคาถาเพื่อจุดไฟขึ้นมาในห้องเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ทันทีว่าห้อง ๆ นี้เป็นห้องอะไร รวมทั้งมันเป็นห้องของใครด้วย

เพราะห้องนี้นั้นไม่ต่างจากห้องทำงานของเขาที่ฮอกวอตส์ซึ่งหญิงสาวเคยเข้าไปในสมัยที่เธอยังเป็นนักเรียนอยู่เลยแม้แต่น้อย เพดานเกือบทุกฝั่งของห้องนั้นเต็มไปด้วยขวดยาและโหลบรรจุของดองรวมทั้งส่วนผสมสำหรับปรุงยาชนิดต่าง ๆ ส่วนผนังด้านในสุดของห้องนั้นเป็นชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดานและถูกบรรจุไว้ด้วยหนังสือจำนวนมาก และสิ่งที่คั่นกลางระหว่างชั้นหนังสือกับประตูห้องก็คือโต๊ะทำงานที่มีเอกสารจำนวนมากวางอยู่ ส่วนทางขวามือของโต๊ะทำงานนั้นเป็นประตูสีเข้มบานหนึ่งที่น่าจะเปิดไปยังห้องข้าง ๆ ได้ แม้จะไม่เคยเข้ามาที่ห้องนี้มาก่อนก็ตามรวมทั้งเธอไม่เคยรู้มาก่อนด้วยว่า ‘ เขา ’ มีห้องทำงานอยู่ที่ศูนย์บัญชาการศาสตร์มืดแห่งนี้ด้วย หญิงสาวก็แน่ใจว่าห้องนี้คือห้องทำงานของเซเวอร์รัส สเนป อดีตอาจารย์สอนวิชาปรุงยาของฮอกวอตส์และคนทรยศต่อภาคี

หลังจากที่ทั้งสองเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้วนายลูเซียสก็ไม่ได้ให้โอกาสเฮอร์ไมโอนี่สำรวจห้องนี้มากนักเมื่อเขาสั่งให้เธอไปนั่งที่โต๊ะทำงานของสเนป

“แต่….” หญิงสาวลังเลพลางมองไปยังโต๊ะทำงานที่มีเอกสารจำนวนมากวางอยู่ แน่นอนว่าสเนปไม่รู้เรื่องที่เธอและชายผมบลอนด์เข้ามาใช้ห้องทำงานของเขาโดยพละการ และการที่เธอไปนั่งลงตรงนั้นอาจทำให้เลือดจากบาดแผลของเธอหยดเปื้อนเอกสารของเขาก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นนายลูเซียสก็ไม่ให้โอกาสเธอโต้แย้งแม้แต่น้อย

“ฉันบอกให้นั่งก็นั่งสิ!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดและเต็มไปด้วยความร้อนใจ และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ยอมทำตามเขาแต่โดยดี เขาก็ตวัดไม้กายสิทธิ์ครั้งหนึ่งเพื่อกำจัดเอกสารจำนวนมากบนโต๊ะให้เลื่อนไปอยู่ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะก่อนที่จะเสกอ่างเงินขนาดกลางขึ้นมาบนโต๊ะ และในวินาทีต่อมาชายผมบลอนด์ก็หันไปสำรวจชั้นที่บรรจุคนโทใส่ยาไว้เป็นจำนวนมาก เขาเสียเวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโบกไม้กายสิทธิ์สองครั้งและคนโทยาขนาดแตกต่างกันสองขวดก็ลอยมาทางเขา นายมัลฟอยรับมันไว้ก่อนจะเดินมาหาหญิงสาวที่โต๊ะเขียนหนังสือ เขาวางขวดยาทั้งสองขวดลงบนโต๊ะและเปิดจุกของขวดที่ใหญ่กว่าซึ่งบรรจุของเหลวสีอำพันไว้ พลางทำท่าให้เฮอร์ไมโอนี่ส่งมือข้างที่บาดเจ็บของเธอมาให้เขา

และเมื่อเธอทำตามนายลูเซียสก็แกะผ้าเช็ดหน้าที่บัดนี้ชุ่มด้วยเลือดของเธอออกจากมือข้างนั้น เขาจับมือเธอมาวางไว้เหนืออ่างก่อนจะค่อย ๆ เทน้ำยาสีอำพันลงบนแผลของเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่มือใหญ่ของเขาจับมือของเธอไว้
ความเจ็บปวดแสบร้อนเป็นสิ่งแรกที่หญิงสาวรู้สึก เธอพยายามจะดึงมือของเธอกลับมาจากเขาแต่ชายผมบลอนด์ยึดมือเล็กของเธอไว้อย่างแน่นหนาพลางกระซิบขึ้นว่า

“อดทนหน่อย เราจะต้องทำความสะอาดแผลของเธอก่อน” เขาพูดพลางบรรจงเทน้ำยานั้นลงบนมือของเฮอร์ไมโอนี่อย่างระมัดระวัง ขณะที่เธอกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงคราง และเมื่อแน่ใจว่าเลือดของหญิงสาวกลับมาเป็นสีแดงเหมือนปกติแล้ว นายลูเซียสจึงหยุดมือ เขาวางคนโทขวดนั้นลงบนโต๊ะพลางปิดจุกอย่างแน่นหนาก่อนจะเสกผ้าขึ้นมาผืนหนึ่งและใช้มันเช็ดแผลให้หญิงสาวเบา ๆ

“ยังแสบอยู่ไหม” เขาถามพลางสังเกตุสีหน้าของภรรยาขณะที่เธอตอบเขาออกมา

“นิดหน่อยค่ะ” เธอตอบพลางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเช็ดถูกรอยแผลของเธอ หลังจากทำความสะอาดแผลเสร็จแล้วชายผมบลอนด์ก็ร่ายคาถาเพื่อให้ของเหลวในอ่างหายไปรวมทั้งร่ายคาถาทำความสะอาดอ่างด้วย หลังจากนั้นเขาจึงหยิบขวดยาอีกขวดขึ้นมาและเทของเหลวสีมรกตลงในอ่างนั้น

“เธอต้องแช่มือของเธอไว้ในยานี้จนกว่ารอยสีม่วงพวกนี้จะหายไป น้ำยานี่จะช่วยรักษาพิษให้เธอ ไม่ต้องห่วงหรอกมันจะไม่แสบแล้ว” เขาพูดพลางดึงมือของเฮอร์ไมโอนี่ลงไปในของเหลวสีมรกตนั้นอย่างแผ่วเบา เธอสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความเย็นของตัวยาแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอแสบอย่างเช่นที่สามีของเธอบอกจริง ๆ หลังจากที่แน่ใจว่ามือของหญิงสาวจุ่มอยู่ในของเหลวสีมรกตนั้นแล้ว นายลูเซียสก็มีท่าทีผ่อนคลายลงเมื่อเขาหันไปร่ายคาถาจัดการกับผ้าเปื้อนเลือดสองผืนที่วางอยู่บนโต๊ะ ขณะที่หญิงสาวที่เริ่มมีท่าทีผ่อนคลายถามขึ้น

“รูปปั้นอันนั้นมันเป็นอะไรกันคะ” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจขณะที่สายตาของนายลูเซียสตวัดมามองเธอ มือที่ถือไม้กายสิทธิ์ของเขาชะงักค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะโบกมันเบา ๆ เพื่อเสกผ้าสะอาดขึ้นมาอีกสองผืนแล้วจึงตอบคำถามเธอ

“มันก็แค่รูปปั้นที่ถูกลงคำสาปไว้ให้ฉกทุกคนที่ไปแตะมันเข้า แต่เธอก็โชคดีนะที่ฉันมาเจอเธอก่อนที่พิษจะลามไปมากกว่านี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับว่าการสะสมสิ่งของต้องคำสาปที่พร้อมจะนำอันตรายมาสู่ผู้ที่เผลอไปแตะต้องมันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดามากกว่าอะไรทั้งหมด

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นคะ ถ้าพิษมัน....ลามไปมากกว่านี้” เฮอร์ไมโอนี่ถามพลางเงยหน้ามองสามีของเธอ แม้ว่าในตอนนี้มือของเธอที่แช่อยู่ในน้ำยาสีมรกตนั้นจะไม่มีความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่แล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นชายผมบลอนด์ก็ยังคงมองเห็นร่องรอยแห่งความวิตกกังวลฉายชัดอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวตรงหน้าขณะที่เขาตัดสินใจตอบคำถามของเธอออกมา

“ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เธอต้องเป็นห่วงแล้ว ที่เธอต้องทำก็คือแช่มือของเธอไว้จนกว่าผิวรอบ ๆ แผลจะกลับมาเป็นปกติเท่านั้น ฉันคิดว่าน่าจะใช้เวลาซักสิบหน้านาท.........” ไม่ทันที่นายลูเซียสจะพูดจบมือขวาของเขาก็ปลิวไปยังแขนข้างหนึ่งที่มีตรามารประทับอยู่ สีหน้าของชายผมบลอนด์บ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดเมื่อเขาหันมาสบตาของเฮอร์ไมโอนี่ ดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยมีแววครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

“เธออยู่ที่นี่ก่อน ห้ามไปไหนทั้งนั้น! เดี๋ยวฉันจะกลับมา อย่าลืมแช่มือของเธอไว้ในอ่างด้วยล่ะ!” เขาสั่งอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป ตามมาด้วยเสียงปิดประตูอย่างรีบเร่ง ขณะที่หญิงสาวมองภาพสามีของเธอรีบร้อนออกจากห้องไปด้วยความสงสัย

แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าสาเหตุที่ชายผมบลอนด์รีบออกไปจากห้องนั้นเป็นเพราะตรามารของเขาร้อนขึ้นมา เนื่องจากเจ้านายของเขาซึ่งก็คือลอร์ดโวลเดอมอร์คงจะกำลังเรียกลูกสมุนของเขาไปหา ซึ่งหญิงสาวเองก็รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมากที่เขาไม่ได้บังคับพาตัวเธอไปกับเขาด้วย แต่ปล่อยให้เธอรักษามือของเธออยู่ที่นี่ไปก่อน แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจวางใจอะไรได้ เพราะไม่แน่ว่านายลูเซียสอาจจะกลับมาในห้องนี้ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งเพื่อพาตัวเธอซึ่งในตอนนั้นมือของเธอน่าจะหายเป็นปกติแล้วไปพบเจ้านายของเขาก็เป็นได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ภาพใบหน้าของจอมมารก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเฮอร์ไมโอนี่จนเธอต้องหลับตาลงและสะบัดศีรษะเพื่อไล่ภาพใบหน้าที่ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นใบหน้าของมนุษย์ได้ออกไปจากความคิดของเธอ แม้ว่าจะกังวลกับการที่จะต้องเผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์อีกครั้งมากก็ตาม แต่เธอก็พบว่าการคิดถึงเรื่องที่ไม่น่าพิสมัยนี้ตลอดเวลารังแต่จะทำให้เธอวิตกมากเกินกว่าที่ควรเสียเปล่า ๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเลิกจินตนาการถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเธอต่อไป ตรงกันข้ามเธอหันกลับมาสนใจมือข้างที่บาดเจ็บของตัวเองแทน และหญิงสาวก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่พบว่ามันเป็นแบบที่นายลูเซียสกล่าวไว้จริง ๆ เพราะหลังจากผ่านการแช่ตัวยาสีมรกตมาได้ไม่นาน รอยสีม่วงรอบ ๆ บาดแผลของเธอก็ค่อย ๆ จางหายไป และผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีผิวบริเวณหลังมือของหญิงสาวก็กลับมาเป็นปกติ

เมื่อแน่ใจว่ามือของเธอกลับมาเป็นปกติแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ยกมันขึ้นจากอ่างพร้อมกับสำรวจมัน และเธอก็รู้สึกโล่งอกไม่น้อยที่ได้เห็นว่าบาดแผลของเธอดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก แม้ว่าปากแผลจะยังไม่ปิดสนิทและเธอจะรู้สึกเจ็บอยู่บ้างก็ตาม เมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงเช็ดมือของเธอด้วยผ้าสะอาดที่นายลูเซียสเสกเตรียมไว้ให้เธอก่อนหน้านี้และพันมันเข้ากับมือของเธอ เนื่องจากบาดแผลของเธอยังไม่ปิดสนิทและเธอก็คิดว่าการปล่อยให้มันเจอกับฝุ่นละอองต่าง ๆ ในห้องนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดีอย่างแน่นอน

หลังจากการรักษาบาดแผลของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็นั่งรอสามีของเธออยู่ในห้องทำงานของอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาต่ออีกพักหนึ่ง แต่เมื่อเธอไม่เห็นว่านายลูเซียสมีท่าทีจะปรากฏตัวขึ้นแต่อย่างใดหญิงสาวที่เริ่มเบื่อกับการรอคอยก็เริ่มเดินสำรวจห้องทำงานของสเนปราวกับว่าเธอไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้

สิ่งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่สำรวจก็คือเอกสารจำนวนมากที่บัดนี้กองอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะทำงาน หญิงสาวค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะเพื่อพิจารณามัน แน่นอนว่าเธอไม่กล้าที่จะหยิบมันขึ้นมาดูโดยตรงแต่เธอทำแค่เพียงมองสำรวจมันเท่านั้น และสิ่งที่เธอเห็นนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าสูตรสำหรับการปรุงยาหลายขนานที่เธอสามารถบอกได้ทันทีว่ามันใช้สำหรับปรุงยาอะไร รายชื่อส่วนผสมที่ใช้ในการปรุงยาหลายชนิด รวมทั้งกระดาษอีกแผ่นที่มีคาถาที่เธอไม่รู้จักหลายคาถาซึ่งทั้งหมดนั้นเขียนด้วยตัวหนังสือตัวเล็กที่เบียดเสียดกันเหมือนตัวหนังสือที่เขียนไว้ในหนังสือปรุงยาของเจ้าชายเลือดผสมที่แฮร์รี่เคยเอาให้เธอดูไม่มีผิด ซึ่งเธอแน่ใจไปมากกว่าครึ่งแล้วว่าคาถาเหล่านี้คงต้องเป็นคาถาศาสตร์มืดขั้นสูงอย่างแน่นอน

และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นภายในอกเมื่อเธอนึกจินตนาการภาพของสเนปที่ฮอกวอตส์ในคืนที่เขาสังหารดัมเบิลดอร์และหนีจากโรงเรียนไป รวมทั้งเธอได้นึกไปถึงตอนที่เธอพบกับสเนปเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งเขาอยู่ในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงานของเธอเอง! ภาพของเขาที่มาดื่มอวยพรให้แก่ชัยชนะลอร์ดโวลเดอมอร์ในงานแต่งงานนั้นยังคงคิดตาหญิงสาวอยู่จนถึงบัดนี้!

“เขาคิดว่าเขาเป็นใครกันนะ [i]เจ้าชายเลือดผสม[/i]หรือไง”

เฮอร์ไมโอนี่พึมพำอย่างหงุดหงิดพลางละสายตาออกจากเอกสารตรงหน้า แต่แล้วสิ่งที่เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นเมื่อจบคำพูดของเธอเสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของหญิงสาว และเมื่อเธอหันไปมองเฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่าชั้นหนังสือชั้นหนึ่งได้เปิดออกเผยให้เห็นช่องลับข้างในที่มีขนาดเท่าตู้เซฟปกติ แต่สิ่งที่เรียกร้องความสนใจของหญิงสาวก็คือบางสิ่งบางอย่างที่ลอยออกมาจากช่องลับนั้น วัตถุชิ้นนั้นคือเพนซิฟ อุปกรณ์สำหรับดูความทรงจำนั่นเอง!

แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่เดินไปทางช่องลับที่เพิ่งเปิดออกนั้นอย่างสนอกสนใจในทันที และเมื่อเธอไปหยุดอยู่หน้าเพนซิฟแล้วหญิงสาวก็พบว่ามีความทรงจำจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบความทรงจำบรรจุอยู่ในนั้น ทันทีที่เห็นเช่นนั้นความรู้อยากรู้อยากเห็นของเฮอร์ไมโอนี่ก็พุ่งสูงขึ้นในทันที แน่นอนว่าเธออยากรู้เป็นอย่างมากว่าความทรงจำที่สเนปเก็บซ่อนไว้ในเพนซิฟนี้จะเป็นความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องอะไร เพราะจากที่เธอรู้มาสเนปนั้นเป็นนักสกัดใจชั้นเยี่ยมที่ดัมเบิลดอร์มอบหมายให้เขาสอนการสกัดใจให้แฮร์รี่เมื่อตอนที่เขาอยู่ปีห้า และถึงแฮร์รี่จะไม่สามารถเรียนรู้วิชาการสกัดใจมาจากสเนปได้มากเท่าที่ควรก็ตาม แต่หญิงสาวก็ยังคงแน่ใจว่าความทรงจำที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากเป็นแน่สเนปถึงเอามันมาเก็บซ่อนไว้ในเพนซิฟแบบนี้
ทันทีที่คิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รีบหันกลับไปที่ประตูทันทีราวกับเธอกลัวว่าเจ้าของห้องจะปรากฏตัวขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง แต่หลังจากผ่านการชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก็ดูเหมือนความอยากรู้อยากเห็นจะเอาชนะความเกรงกลัวเสียแล้วเมื่อหญิงสาวหันกลับมามองความทรงจำที่กำลังเวียนว่ายอยู่ในเพนซิฟอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจก้มหน้าลงไปในอ่างเพื่อดูความทรงจำเหล่านั้น!



…………………………………………….


มีต่อ Part III ค่ะ




Create Date : 09 ตุลาคม 2555
Last Update : 9 ตุลาคม 2555 19:37:35 น. 0 comments
Counter : 1265 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.