Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 11 Beauty and The Beast PART II




นายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากห้องอาหารไปยังห้องโถงใหญ่ หญิงสาวมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยเมื่อชายผมบลอนด์พาเธอขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ทางด้านปีกตะวันออกที่เธอไม่เคยไปมาก่อน

“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เธอพูดขณะที่นายลูเซียสหันมามองเธอด้วยสายตาที่เรียบเฉย

“เดี๋ยวเธอก็จะได้รู้เอง ใกล้จะถึงแล้ว” เขากล่าวก่อนจะพาเธอเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมสีเขียวเข้มและผนังของมันประดับไปด้วยรูปภาพที่ดูมีราคา

เฮอร์ไมโอนี่เดินผ่านห้องหับจำนวนมากมายที่เรียงรายอยู่ระหว่างทางพลางนึกสงสัยว่ามีห้องจำนวนกี่ห้องกันแน่ในคฤหาสน์หลังนี้ และครอบครัวมัลฟอยเคยได้ใช้ห้องมากมายเหล่านี้ครบทุกห้องหรือเปล่านะ และขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดนั้น ชายผมบลอนด์ก็พาเธอมาหยุดที่ประตูบานหนึ่งซึ่งตั้งอยู่เกือบสุดทางเดินของปีกตะวันออก หญิงสาวมองประตูไม้ขัดมันบานใหญ่ตรงหน้าพลางนึกสงสัยว่าห้องนี้จะเป็นห้องอะไร และเมื่อนายลูเซียสจับลูกบิดสีทองไว้และเปิดประตูออกเธอได้พบกับคำตอบ

ด้านหลังประตูบานนี้เป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดานซึ่งบรรจุหนังสือไว้จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ขณะที่ด้านหนึ่งเป็นผนังที่ทำด้วยกระจกที่มีกรอบสีทองดูหรูหราและถูกประดับด้วยผ้าม่านสีเขียวเข้มเหมือนกับส่วนอื่นของคฤหาสน์ ริมผนังด้านที่เป็นกระจกนั้นเป็นที่ตั้งของโซฟาตัวใหญ่สองตัวและโต๊ะเขียนหนังสือที่มีอุปกรณ์สำหรับใช้เขียนหนังสือวางอยู่ครบครัน

เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น เพราะนอกจากห้องของฮอกวอตส์แล้วเธอก็ไม่เคยเห็นห้องสมุดที่ไหนจะมีหนังสือบรรจุอยู่มากมายเท่านี้มาก่อน หญิงสาวมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ก่อนจะหันไปมองชายร่างสูงที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ และเมื่อเขาทำท่าทีราวกับอนุญาตให้เธอเข้าไปภายในห้องสมุดแห่งนี้ได้ เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบพุ่งไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้ที่สุดและเริ่มสำรวจหนังสือที่อยู่บนชั้นอย่างอดใจไม่ได้ และหญิงสาวก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อเธอพบว่าหนังสือที่อยู่บนชั้นนั้นไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับศาสตร์มืดอย่างที่เธอคิดไว้แต่อย่างใด แต่มันกลับเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างและคาถาโบราณซึ่งมันทำให้เธอรู้ว่าห้องสมุดแห่งนี้รวบรวมหนังสือหลากหลายประเภทเอาไว้ ไม่ใช่แค่เพียงหนังสือที่เกี่ยวกับศาสตร์มืดอย่างที่เธอเคยเข้าใจเท่านั้น
ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังสำรวจหนังสือบนชั้นด้วยความตื่นเต้นอยู่นั้น เสียงของนายลูเซียสที่ดังขึ้น

“ที่นี่เป็นห้องสมุดของตระกูลมัลฟอย ฉันรู้มาว่าเธอชอบอ่านหนังสือ ฉันก็เลยคิดว่าเธอน่าจะอยากมาใช้เวลาอยู่ที่นี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่หญิงสาวหันมามองเขาอย่างแปลกใจ

“คุณอนุญาตให้ฉันเข้ามาใช้ห้องสมุดนี้ได้หรือคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แทบจะปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่มิด

“แน่นอน หรือเธอคิดว่าฉันพาเธอมาที่นี่ทำไมกันล่ะ” เขาพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้เธออีกสองก้าว “ตอนนี้เธอแต่งงานกับฉันแล้ว ห้องสมุดนี้ก็จะเป็นของเธอด้วยเหมือนกัน” ชายผมบลอนด์เน้นทุกคำที่เขาพูดอย่างชัดเจน ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าทีราวกับเธอเพิ่งนึกได้ว่าเธอกับนายลูเซียสได้แต่งงานกันแล้ว

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพูดออกมาพลางมองร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าราวกับต้องการบอกเขาว่าเธอรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่เขายอมให้เธอมาใช้ห้องสมุดแห่งนี้ อันที่จริงการได้มีห้องสมุดส่วนตัวนั้นเป็นความฝันของเฮอร์ไมโอนี่มาตั้งแต่เด็กแล้ว เพียงแต่เธอไม่เคยนึกมาก่อนว่ามันจะเป็นจริงหลังจากที่เธอได้แต่งงานกับลูเซียส มัลฟอยแบบนี้ ขณะที่สามีของเธอมองเธออย่างเอ็นดูก่อนจะพูดขึ้น

“อันที่จริง คฤหาสน์หลังนี้ก็เป็นของเธอเช่นเดียวกัน เธอสามารถไปใช้ห้องต่าง ๆ ในคฤหาสน์ได้ ยกเว้นก็แค่ห้องทำงานของฉัน” เขาชี้ไปยังประตูทางด้านขวามือของห้องสมุดที่ดูเหมือนจะนำไปสู่อีกห้องหนึ่ง “และห้องนอนใหญ่บนชั้นสามทางด้านตะวันออกเท่านั้น” นายลูเซียสพูด และเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่ชายผมบลอนด์จึงเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความอึดอัดใจว่า

“มันเป็น ห้องนอนเก่าของนาร์ซิสซาน่ะ” เขาพูด ขณะที่หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะรู้สึกแปลกบ้างก็ตามที่ได้ยินสามีของเธอพูดชื่อภรรยาเก่าของเขาออกมาเป็นครั้งแรกแบบนี้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ติดใจในเรื่องของนางนาร์ซิสซามากพอที่จะถามเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้เธอเข้าไปในห้องนอนเก่าของนางออกไป

อันที่จริงเฮอร์ไมโอนี่พอจะเดาได้ว่าการที่นายลูเซียสเก็บห้องนอนของนางนาร์ซิสซาเอาไว้โดยห้ามไม่ให้เธอเข้าไปนั้นแสดงว่าเขายังลืมภรรยาเก่าของเขาไม่ได้ แม้ว่าหล่อนจะตายจากเขาไปแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือน้อยใจในสิ่งที่เธอค้นพบเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอกลับหวังลึก ๆ ด้วยซ้ำว่าถ้านาร์ซิสซา มัลฟอยไม่ด่วนจากสามีและลูกชายของนางไปแบบนี้ เธออาจจะไม่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับนายลูเซียส และต้องมาอยู่ในฐานะคุณนายมัลฟอยแบบในวันนี้ก็เป็นได้ แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะหวังในเรื่องนี้มากแค่ไหน ความหวังของเธอก็ไม่อาจจะสัมฤทธิ์ผลได้เลย

ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของชายผมบลอนด์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ได้เวลาที่ฉันจะออกไปข้างนอกแล้ว อันที่จริงวันนี้ฉันควรจะพาเธอไปชมคฤหาสน์ด้วยตัวของฉันเอง แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะหาเวลาที่สะดวกได้หลังจากนี้” เขาพูดอย่างสุภาพราวกับมันเป็นเรื่องที่จำเป็นเหลือเกินสำหรับเขาที่จะต้องพาเจ้าสาวหมาด ๆ อย่างเธอไปเดินชมคฤหาสน์หลังนี้ด้วยตัวของเขาเอง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เธอคิดว่าจำเป็นมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการได้อ่านหนังสือในห้องสมุดแห่งนี้โดยไม่มีใครรบกวนมากกว่า ดังนั้นเธอจึงไม่ติดใจสักนิดที่นายลูเซียสจะไม่มีเวลาว่างพอที่จะพาเธอชมคฤหาสน์แบบนี้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ” เธอพูด

“งั้นก็ดี ฉันต้องไปแล้ว ถ้าเธอต้องการอะไรก็บอกทิสซี่เอาแล้วกัน” เขาพูดพลางวางคว้ามือทั้งสองข้างของหญิงสาวมากุม และขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขา เธอก็พบว่าชายผมบลอนด์มีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงมาและจูบเธอที่ริมฝีปาก ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนเธอไม่มีโอกาสที่จะขัดขืนเมื่อสามีของเธอจูบเธออย่างนุ่มนวล และเมื่อเขาถอนใบหน้าออกมานายลูเซียสก็กระซิบเข้ากับริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ

“ฉันจะกลับมาทานอาหารเย็นกับเธอ” เขาพูดเพียงเท่านั้น ดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยจ้องมองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละจากร่างบางและเดินออกจากห้องสมุดไป

หลังจากที่นายลูเซียสเดินออกจากห้องไปแล้วเฮอร์ไมโอนี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มือเล็กยกขึ้นสัมผัสริมฝีปากของเธอเองเบา ๆ แววตาสีน้ำตาลแลดูสับสน แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจูบเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้ แต่จูบครั้งนี้ราวกับเป็นการตอกย้ำถึงสถานะภาพของทั้งสองให้กับหญิงสาวมากขึ้น เพราะการที่เขาจูบเธอก่อนจะออกไปข้างนอกบ้านแบบนี้มันไม่ต่างจากการที่สามีจูบภรรยาก่อนจะออกไปทำงานแต่อย่างใด และเมื่อคิดถึงตรงนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างประหลาด แม้หญิงสาวจะยอมรับได้มากแล้วก็ตามว่าเธอได้แต่งงานกับนายลูเซียสแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่แทบจะไม่เคยจินตนาการการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขามาก่อนเลย และจูบเมื่อครู่ก็เป็นสิ่งที่บอกกับเธอว่าเธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขาในฐานะภรรยาแบบนี้ตลอดไป เขาจะจูบเธอก่อนออกไปจากบ้านแบบนี้ในทุก ๆ เช้า และเธอก็จะต้องคอยเขากลับมาทานอาหารเย็นกับเธอแบบนี้ทุกวัน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาสำหรับคู่สามีภรรยาก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกว่ามันน่าหวาดกลัวไม่น้อยเมื่อเธอจินตนาการถึงภาพตัวเธอเองทำสิ่งเหล่านั้นซ้ำ ๆ ไปตลอดชีวิตของเธอ นี่ยังไม่นับเรื่องที่เธอจะต้องนอนร่วมเตียงกับเขาต่อไปอีกด้วย

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้นั้นไม่ใช่วิถีชีวิตที่เฮอร์ไมโอนี่ฝันถึงเลยแม้แต่น้อย เธอไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนี้เลย เธอไม่ได้ต้องการจะใช้ชีวิตร่วมกับนายลูเซียส รวมทั้งไม่ต้องการกลายเป็นแม่เลี้ยงของเดรโกตอนนี้ได้เกลียดชังเธอไปแล้วด้วย แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะตั้งแต่วินาทีที่เธอได้ลงชื่อในสัญญาแต่งงาน พันธะสัญญาเวทย์มนต์ก็ได้ผูกเขากับเธอเข้าด้วยกัน รวมทั้งในพิธีแต่งงานของทั้งสอง คำสาบานของพวกเขาก็เท่ากับเป็นการผูกวิญญาณของเธอกับเขาเข้าด้วยกับอีกทบหนึ่ง แน่นอนว่าเธอไม่อาจจะหนีไปจากเขาได้จนกว่าเขาจะยอมหย่าขาดจากเธอแต่โดยดี ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าโอกาสที่เขาจะทำเช่นนั้นมันมีน้อยพอ ๆ กับที่โวลเดอมอร์จะกลับมาเป็นคนดีเลยทีเดียว แต่ถึงจะรู้เรื่องเหล่านี้ดีก็ตาม มันก็ไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าถึงนายลูเซียสจะอ่อนโยนและดีกับเธอมากกว่านี้ก็ตาม เธอก็ไม่มีวันทำใจมาใช้ชีวิตร่วมกับปีศาจร้ายอย่างเขาด้วยความเต็มใจได้เลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แก้มเมื่อน้ำตาของเธอไหลเปรอะแก้มเนียน หญิงสาวรีบยกมือขึ้นเช็ดมันทันทีก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติขึ้นมาอีกครั้ง

แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญนั้นหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกใดนอกจากเผชิญกับมัน และเมื่อเธอเป็นคนเลือกแต่งงานกับนายลูเซียสเพื่อที่จะรักษาชีวิตของพ่อแม่ไว้ เธอก็จะต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้และอยู่กับมันให้ได้ แม้ว่าการมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากอย่างการตกเป็นภรรยาของลูเซียส มัลฟอยก็ตาม เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงสูดลมหายใจลึก ๆ อีกครั้ง และเมื่อรวบรวมสติได้แล้ว หญิงสาวก็เดินไปที่ชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้ที่สุด และเริ่มสำรวจมันทันที

และในระหว่างที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับหนังสือมากมายในห้องสมุดของตระกูลมัลฟอยอยู่นั้น

ปลายนิ้วของหญิงสาวที่ไล่ไปตามสันหนังสือจำนวนมากมายที่เรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือก็ไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘ ไม้กายสิทธิ์วิทยาขั้นพื้นฐาน ’ และเพราะเหตุผลบางประการที่เฮอร์ไมโอนี่เองก็ไม่สามารถอธิบายได้ เธอก็ได้หยิบหนังสือที่เธอไม่คิดสนใจจะศึกษามาก่อนเนื่องจากความซับซ้อนของมันเองขึ้นมา ก่อนจะเริ่มอ่านคำนำ

ไม้กายสิทธิ์วิทยาเป็นศาสตร์ความรู้ทางเวทย์มนต์แขนงหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังคงตกทอดกันมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าการศึกษาไม้กายสิทธิ์วิทยาจะถูกจำกัดอยู่แค่ในวงแคบเท่านั้นเนื่องจากความซับซ้อนของมัน แต่เราก็สามารถพูดได้ว่าไม้กายสิทธิ์วิทยาเป็นเวทย์มนศาสตร์ที่มีความสำคัญมากที่สุดแขนงหนึ่ง เพราะหากปราศจากการศึกษาไม้กายสิทธิ์วิทยาแล้ว พ่อมดแม่มดก็อาจจะไม่สามารถใช้เวทย์มนต์คาถาที่จำเป็นอย่างที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ได้ แม้ว่าการใช้เวทย์มนต์จะไม่มีข้อกำจัดว่าจะต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ในการร่ายเวทย์มนต์เท่านั้น เพราะพ่อมดแม่มดที่มีความสามารถนั้นสามารถใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้ แต่ผลของการร่ายเวทย์มนต์นั้นจะมีข้อจำกัดและมีพลังอำนาจน้อยกว่าการร่ายเวทย์มนต์แบบใช้ไม้กายสิทธิ์อย่างเห็นได้ชัด


หลังจากอ่านย่อหน้าแรกของคำนำไปไม่นานนักหญิงสาวก็รู้สึกราวกับมีใครมากดสวิตต์ไฟในหัวของเธอ การใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อย่างนั้นหรือ ทำไมเธอไม่คิดมาก่อนนะ เฮอร์ไมโอนี่คิดด้วยหัวใจที่เต้นแรง แน่นอนว่าไม้กายสิทธิ์ของหญิงสาวนั้นถูกยึดไปตั้งแต่ตอนที่เธอถูกนายลูเซียสจับตัวได้ที่กองปริศนาแล้ว และหญิงสาวก็เดาว่าเขายังคงเก็บรักษามันไว้ แต่ปัญหาก็คือเขาไม่มีท่าทีจะคืนมันให้เธอรวมทั้งเขาไม่เคยเอ่ยถึงมันแม้แต่ครั้งเดียวตลอดเวลาที่เธอถูกคุมตัวอยู่ศูนย์บัญาชาการศาสตร์มืดหรือแม้กระทั่งตอนที่เธอได้แต่งงานกับเขาแล้วแบบนี้ และเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเหตุผลที่นายลูเซียสไม่เคยเอ่ยถึงไม้กายสิทธิ์ของเธอขึ้นมาเลยก็เพราะเขาไม่ต้องการจะคืนมันให้เธอ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากเขาทำเช่นนั้นแล้วเธอจะมีอาวุธที่จะมาต่อกรกับเขา ดังนั้นการปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอยู่ต่อไปโดยปราศจากไม้กายสิทธิ์จึงเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้เธอทำเรื่องอะไรก็ตามที่เขาไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้นลงไป และหญิงสาวก็คงจะไม่มีโอกาสได้ใช้เวทย์มนต์ไปตลอดชีวิตเป็นแน่ถ้าหากเธอไม่บังเอิญเจอหนังสือเล่มนี้เข้า!

และถ้าเธอสามารถฝึกใช้เวทย์มนต์โดยไม้กายสิทธิ์ได้มันก็อาจจะมีโอกาสที่เธอจะสามารถขโมยของไม้กายสิทธิ์ของเธอคืนถ้าหากเธอรู้ว่านายลูเซียสเก็บมันไว้ที่ไหน และเมื่อเธอได้ไม้ของเธอคืนมาแล้ว หนทางที่เธอจะหนีไปจากเขาหรือแอบส่งข่าวให้ฝ่ายมือปราบมารรู้นั้นก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เฮอร์ไมโอนี่คิดอย่างตื่นเต้นขณะที่มือของเธอพลิกหนังสือหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว หญิงสาวไล่นิ้วไปตามสารบัญพลางค้นหาคำว่า ‘ เวทย์มนต์แบบไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ ’ และเมื่อเห็นว่าหนังสือเล่มนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องการค้นหาอยู่ในหน้าที่ 153 เธอก็รีบเปิดไปยังหน้าดังกล่าวพร้อมกับเริ่มอ่านทันที

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนอย่างมาก มีพ่อมดแม่มดจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถใช้เวทย์มนต์ประเภทได้ รวมทั้งการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ก็มีข้อจำกัดมากกว่าการใช้เวทย์มนต์โดยใช้ไม้กายสิทธิ์อยู่มากพอสมควร อย่างเช่น เวทย์มนต์คาถาระดับกลางถึงระดับสูงจะไม่สามารถถูกเสกโดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้ พอกับที่การแปลงร่างสัตว์และวัตถุต่าง ๆ ไม่สามารถทำได้โดยไม่มีไม้กายสิทธิ์เช่นกัน โดยส่วนมากแล้วพ่อมดแม่มดจะฝึกเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ไว้สำหรับการใช้เรียกไม้ของตนเองเวลาที่ทำมันหลุดมือระหว่างการต่อสู้เท่านั้น

แค่เธอสามารถฝึกการใช้คาถาเรียกของได้มันก็เพียงพอแล้ว เฮอร์ไมโอนี่คิดเช่นนั้นหลังจากที่ได้อ่านข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์แล้ว แม้ว่าเธอจะไม่รู้ก็ตามว่านายลูเซียสเก็บไม้กายสิทธิ์ของเธอไว้ที่ไหน และมันถูกร่ายคาถาป้องกันการขโมยไว้หรือไม่ แต่หญิงสาวก็ต้องการจะลองเสี่ยงดูซักครั้ง เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเธอจะลองฝึกใช้คาถาเรียกของโดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ดู และเมื่อเธอใช้มันได้จนชำนาญแล้ว เธอก็จะลองใช้มันเรียกไม้กายสิทธิ์ของเธอมา และถ้าหากหญิงสาวโชคดี เธอก็อาจจะขโมยไม้กายสิทธิ์ของเธอกลับมาได้ก่อนที่สามีของเธอจะรู้ว่าเธอสามารถใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้เลยทีเดียว

เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงพลิกหนังสือในมืออย่างรวดเร็วเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ แต่หญิงสาวก็พบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการฝึกไว้เวทย์มนต์ประเภทนี้เลย ตรงกันข้ามมันกลับมีแต่ข้อมูลเกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์วิทยาเท่านั้น ส่วนข้อมูลของการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์เป็นเพียงส่วนเสริมในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น

และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้ก็คือ หนังสือที่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการฝึกใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าในห้องสมุดแห่งนี้คงจะต้องมีหนังสือที่เธอต้องการจะหาอยู่เป็นแน่ แต่ปัญหาก็คือเธอจะสามารถหาหนังสือที่ต้องการท่ามกลางหนังสือนับเป็นพัน ๆ เล่มในห้องสมุดนี้ได้อย่างไรกัน

หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ไม่นาน หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่าในห้องสมุดนี้น่าจะมีเวทย์มนต์บางอย่างกำกับอยู่ เหมือนอย่างที่ห้องสมุดที่ฮอกวอตส์มี ซึ่งมันน่าจะเป็นเวทย์มนต์ที่ใช้สำหรับจำแนกหมวดหมู่และค้นหาหนังสือ รวมทั้งมันควรจะมีรายชื่อหนังสือทั้งหมดตามแบบที่ห้องสมุดทั่วไปสมควรจะมี เพียงแต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้ว่าเวทย์มนต์ที่กำกับห้องสมุดแห่งนี้อยู่นั้นจำเป็นจะต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ในการใช้งานหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงหญิงสาวก็ไม่ทางเลือกนอกจากจะลงมือหาหนังสือที่เธอต้องการด้วยตัวเองซึ่งมันคงกินเวลาหลายวันแน่ ๆ แต่หลังจากผ่านการไตร่ตรองอยู่ไม่นานนักเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดอะไรบางอย่างออก และแทนที่หญิงสาวจะเริ่มลงมือค้นหาหนังสือที่เธอต้องการเธอกลับพูดขึ้นเบา ๆ

“ทิสซี่” สิ้นเสียงของเธอ เอลฟ์ร่างจ้อยก็ปรากฏตัวขึ้นทันที มันโค้งคำนับนายหญิงของมันอย่างมีมารยาทก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แหลมเล็กว่า
“นายหญิงมีอะไรให้ทิสซี่รับใช้เจ้าคะ”

“คือ.....ฉันต้องการจะหาหนังสือบางเล่มน่ะ ฉันก็เลยอยากรู้ว่าที่ห้องสมุดนี่มีรายชื่อหนังสือทั้งหมดอยู่ไหม” เธอถาม

“นายหญิงต้องการหนังสือเล่มไหนหรือเจ้าคะ” ทิสซี่พูด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลำบากใจ

“คือฉันอยากรู้ไว้เผื่อเวลาที่นึกอยากอ่านหนังสือบางเล่มขึ้นมาน่ะจ๊ะ” เธอตอบอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ทิสซี่จะพูดขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นไม่ยากเลยเจ้าค่ะ เพราะห้องสมุดของตระกูลมัลฟอยมีเวทย์มนต์กำกับอยู่ เพียงแต่นายหญิงพูดชื่อหนังสือ หนังสือเล่มที่นายหญิงต้องการก็จะลอยมาหานายหญิงทันทีเจ้าค่ะ” เอลฟ์อธิบายด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“แล้วถ้าหากฉันไม่รู้ชื่อหนังสือล่ะจ๊ะ ฉันหมายถึงถ้าหากฉันต้องการหาหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างชั้นสูง ฉันแค่พูดคำว่า ‘ การแปลงร่างขั้นสูง ’ ออกไปก็ได้อย่างนั้นหรือ” เธอถามต่อ แต่คำถามของหญิงสาวกลับถูกตอบด้วยหนังสือจำนวนนับสิบเล่มที่ลอยหวือมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ และทุกเล่มล้วนเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างขั้นสูงทั้งสิ้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ดูทึ่งไม่น้อยกับเวทย์มนต์แสนมีประโยชน์ที่กำกับห้องสมุดแห่งนี้อยู่

“ถ้านายหญิงต้องการหาหนังสือจากชื่อผู้แต่งก็ได้เจ้าค่ะ แค่นายหญิงพูดชื่อผู้แต่งออกมา หนังสือที่มีผู้แต่งที่นายหญิงต้องการก็จะลอยมาหานายหญิงเจ้าค่ะ” ทิสซี่อธิบายเพิ่มเติม ขณะที่หญิงสาวกำลังเปิดดูหนังสือหนึ่งในจำนวนนับสิบเล่มที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้

“และถ้าหากนายหญิงไม่ต้องการอ่านมันแล้ว นายหญิงก็เพียงแค่บอกให้มันกลับไปอยู่บนชั้นเหมือนเดิมเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” เอลฟ์อธิบายเพิ่มเติม และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ทำตามโดยการบอกให้หนังสือทั้งหมดตรงหน้าของเธอกลับไปอยู่บนชั้น หนังสือจำนวนนับสิบเล่มนั้นก็ลอยกลับไปยังที่ของมันตามเดิม ขณะที่หญิงสาวมีท่าทีทึ่งไม่น้อยในความสะดวกสบายในการใช้ห้องสมุดของที่นี่ก่อนเธอจะหันไปขอบคุณทิสซี่

“ขอบใจมากนะจ๊ะ มันเยี่ยมมากเลยจ๊ะ” เธอกล่าวพลางยิ้มให้มัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนึกชอบอะไรก็ตามในคฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้ ขณะที่เอลฟ์มีท่าทีดีใจที่นายหญิงของมันดูพอใจมาก

“การรับใช้นายหญิงเป็นหน้าที่ของทิสซี่เจ้าคะ ไม่ทราบนายหญิงมีอะไรให้ทิสซี่รับใช้อีกไหมเจ้าคะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะบอกมันว่าเธอไม่มีอะไรจะให้มันทำอีก และหน้าที่ของมันจริง ๆ แล้วนั้นไม่ใช่การรับใช้เธอแต่เป็นการช่วยเหลือเธอต่างหากหญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“คือ......นายท่านของเธอบอกฉันไว้น่ะว่าฉันไม่ต้องลงไปทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหาร แต่เธอสามารถจัดสำรับขึ้นมาให้ฉันข้างบนนี้ได้ ฉันหมายถึงฉันอยากทานอาหารกลางวันที่ห้องสมุดนี้น่ะ มันจะได้ไหม” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ

“ได้เจ้าค่ะ ทิสซี่จะจัดอาหารกลางวันขึ้นมาให้นายหญิงที่ห้องสมุดนี้เจ้าค่ะ แต่นายหญิงแน่ใจหรือเจ้าคะว่าไม่อยากจะลงไปทานอาหารที่ห้องอาหาร” มันถามพลางมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยแววตาสงสัย ขณะที่หญิงสาวส่ายศีรษะน้อย ๆ หลังจากนึกถึงภาพตัวเองนั่งทานอาหารกลางวันกับเดรโกตามลำพัง ถ้าหากเขายอมมาทานอาหารร่วมกับเธอล่ะก็ แต่ถึงเขาจะต้องการอย่างนั้นก็ตามเธอเองก็ไม่ต้องการจะทานอาหารหรืออยู่ในห้องเดียวกับเขาตามลำพังเช่นกัน แม้มันจะเป็นเรื่องไร้สาระมากที่ชายหนุ่มเกลียดเธอเพราะเหตุผลที่เธอถูกบังคับให้แต่งงานกับพ่อของเขา แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรในเรื่องนี้ได้ และถ้าหากเขาไม่ต้องการเห็นหน้าหรือพูดคุยกับเธออีก เธอก็อยากจะแน่ใจว่าเธอจะไม่ต้องเจอเขาบ่อยเกินกว่าที่จำเป็น และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงตอบเอลฟ์ออกไป

“ฉันอยากทานอาหารบนนี้มากกว่าน่ะ ทำไมอย่างนั้นหรือทิสซี่” เธอถาม

“คือ ทิสซี่แค่คิดว่าถ้านายหญิงลงไปทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารบางทีนายน้อยอาจจะเปลี่ยนใจกลับมาทานอาหารที่คฤหาสน์เหมือนเดิมน่ะเจ้าค่ะ ทิสซี่เพิ่งได้ยินมาว่านายน้อยจะไม่มาทานอาหารที่นี่ซักพัก และเธอคิดว่าการที่นายน้อยทำแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะนายน้อยไม่ต้องการทานอาหารคนเดียวก็ได้เจ้าค่ะ” เอลฟ์พูดโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มันเดานั้นผิดจากความจริงไปมากแค่ไหน แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะบอกทิสซี่ออกไปตามตรงว่าการที่เดรโกออกไม่อยากทานอาหารมื้อใดก็ตามที่คฤหาสน์นั้นเป็นเพราะเขาไม่อยากทานอาหารร่วมโต๊ะกับเธอ ซึ่งตอนนี้อาจจะกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งในสายตาของเขาไปแล้วก็ได้

“เธอกำลังบอกฉันว่าเดร.....นายน้อยของเธอ” เธอเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกชายหนุ่มทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ต้องการให้เธอเรียกชื่อต้นของเขา รวมทั้งเธอคิดได้ว่าการเรียกเขาว่ามัลฟอยนั้นคงฟังดูประหลาดไม่น้อยในเมื่อเธอและเขากลายเป็นครอบครัวเดียวกับแล้วแบบนี้ แม้ว่าตัวเดรโกรวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่เองจะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกันมากเท่าไหร่ก็ตาม
“เขาจะไม่กลับมาทานอาหารที่คฤหาสน์อีกอย่างนั้นหรือ”

“ใช่เจ้าค่ะ ทิสซี่รู้มาจากเอลฟ์ตัวอื่นที่ทำงานในครัวว่านายน้อยจะไม่กลับมาทานอาหารที่นี่ซักระยะเจ้าค่ะ” มีแววเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตาของทิสซี่ขณะที่มันพูดประโยคดังกล่าวออกมา ราวกับว่าการที่เดรโกจะไม่มาทานอาหารที่นี่ซักระยะทำให้มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และเฮอร์ไมโอนี่ที่เริ่มเห็นสัญญาณอันตรายก็คิดว่าเธอควรหาทางเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาของเธอกับมันเสียก่อนที่ทิสซี่จะลงโทษตัวเองเพราะคิดไปเองว่านายน้อยของมันไม่ชอบอาหารที่มันทำหรืออะไรก็ตามขึ้นมา

“ฉันคงไม่ต้องรบกวนเธอสำหรับวันนี้แล้วล่ะทิสซี่” หญิงสาวพูดอย่างระมัดระวัง “อันที่จริงหลังจากที่เธอเอาอาหารกลางวันมาให้ฉันแล้ว ฉันอยากจะให้เธอพักผ่อนตลอดวันที่เหลือด้วย” เธอพูดอย่างใจดี แต่เอลฟ์กลับดูไม่ดีใจเลยที่มันจะได้รับวันหยุดครึ่งวันแบบนี้

“แต่ทิสซี่ไม่ควรพักผ่อนนะคะ เธอเป็นเอลฟ์ เธอไม่สมควรจะทำงานมากกว่าพักผ่อนเจ้าค่ะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงเข็งขันราวกับว่าการหยุดงานครึ่งวันนั้นเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง ขณะที่นายหญิงของมันส่ายหน้า

“งานของเธอในวันนี้คือการพักผ่อน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันสั่งให้เธอทำตลอดบ่ายวันนี้ ทิสซี่ แล้วฉันคิดว่าฉันอยากจะอ่านหนังสือแล้ว คงจะดีถ้าเธอช่วยไปบอกเอลฟ์ที่ห้องครัวให้จัดอาหารสำหรับให้ฉันมาทานบนนี้น่ะ” หญิงสาวตัดบทอย่างสุภาพ และเอลฟ์ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะรับคำสั่งของนายหญิงของมัน ทิสซี่ก้มศีรษะลงต่ำก่อนจะหายตัวไปพร้อมเสียงดังป็อป
และเมื่อแน่ใจว่าเอลฟ์ออกจากห้องไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็ลุกขึ้น เธอเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือก่อนจะพูดขึ้นอย่างชัดเจนว่า

“การใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์” เมื่อหญิงสาวพูดจบ ก็มีหนังสือราว ๆ ห้าถึงหกเล่มพุ่งออกมาจากชั้นตรงมาทางเธอ เฮอร์ไมโอนี่มองพวกมันพลางสูดสมหายใจลึก เธอเอื้อมมือไปคว้าหนังสือทุกเล่มตรงหน้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ เธอเลือกเล่มที่ดูน่าสนใจที่สุดขึ้นมาก่อนจะเริ่มอ่านมัน


…………………………………………….


เมื่อลูเซียส มัลฟอยกลับมาถึงคฤหาสน์ของเขาในตอนเย็นก็เป็นเวลาเกือบทุ่มตรงแล้ว ชายผมบลอนด์เดินออกมาจากเตาผิงพลางถอดเสื้อคลุมของเขาส่งให้กับเอลฟ์ที่มายืนคอยต้อนรับเขาอยู่ ก่อนจะถามมันว่าอาหารเย็นพร้อมหรือยัง

“อาหารเย็นพร้อมเสิร์ฟภายในห้านาทีขอรับนายท่าน” เอลฟ์ตัวจ้อยนามว่าฮอบบี้กล่าว

“แล้วนายหญิงล่ะ” เขาถามถึงสิ่งแรกที่เขาคิดได้ขึ้นมาออกไป และนายมัลฟอยก็แปลกใจไม่น้อยที่พบว่าสิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งตอนนี้อยู่ฐานะภรรยาของเขา

“นายหญิงอยู่ในห้องสมุดขอรับ อันที่จริงเธออยู่ในห้องสมุดตลอดวันเลยขอรับ นายหญิงทานอาหารกลางวันในห้องสมุดและอ่านหนังสืออยู่นั่นตลอด” เอลฟ์ตอบอย่างละเอียดราวกับมันรู้มาก่อนอยู่แล้วว่านายท่านจะต้องถามคำถามนี้กับมัน มันจึงได้เตรียมคำตอบมาเป็นอย่างดี

“พวกแกตอบจับตาดูนายหญิงตามที่ฉันสั่งไว้ตลอดเวลาใช่ไหม” เขาถามด้วยท่าทีราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลกที่เขาจะสั่งให้เอลฟ์จับดูภรรยาของตัวเอง

“แน่นอนขอรับ นอกจากทิสซี่ที่คอยรับใช้นายหญิงแล้ว พวกเราคอยเผลัดเปลี่ยนกันจับตาดูนายหญิงตลอดเวลาตามที่นายท่านสั่งขอรับ” ฮอบบี้ตอบ ขณะที่นายลูเซียสพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะสั่งเอลฟ์เพิ่มเติม
“ฉันจะทานอาหารแล้ว แกไปบอกให้ห้องครัวเตรียมเสิร์ฟอาหารได้ทันที” เขาสั่งเรียบ ๆ

“นายท่านต้องการให้ฮอบบี้ไปเชิญนายหญิงลงมาทานอาหารหรือเปล่าขอรับ” เอลฟ์ตาม ขณะที่นายลูเซียสมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบออกมา

“ไม่ต้อง ว่าแต่เดรโกกลับมารึยัง” ชายผมบลอนด์ถาม แต่เอลฟ์กลับทีท่าทีอึดอัดใจในคำถามนี้

“คือ.....” ฮอบบี้อึกอักอยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะตอบคำถามออกมาเนื่องจากนายลูเซียสส่งสายตาดุดันมาที่มัน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เอลฟ์รู้ดีว่ามันเป็นคำขาดว่า “บอกฉันมา”

“นายน้อย...คือนายน้อยบอกว่าจะไม่กลับมาทานอาหารที่นี่ซักระยะขอรับ แต่ฮอบบี้ไม่ทราบจริง ๆ ว่านายน้อยจะไปทานอาหารที่ไหนขอรับ” เอลฟ์พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาพอ ๆ กับร่างกายของมัน ราวกับมันกำลังจินตนาการว่านายท่านจะลงโทษมันด้วยวิธีไหนดีโทษฐานที่นำข่าวที่ไม่น่าพอใจมาบอกเขาแบบนี้

แต่ฮอบบี้กลับคิดผิด เพราะนายท่านของมันไม่ได้ลงโทษมันแต่อย่างใด ตรงกันข้ามถึงแม้ว่าเขาจะดูตกใจเล็กน้อยในสิ่งที่เพิ่งรับรู้ แต่ชายผมบลอนด์ยังคงรักษาท่าทีที่เรียบเฉยไว้ได้ขณะที่เขาสั่งฮอบบี้ต่อ

“แกไปบอกให้ห้องครัวเตรียมตั้งโต๊ะ ฉันจะเป็นคนไปตามนายหญิงลงมาเอง” นายลูเซียสสั่งเพียงเท่านั้น และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเอลฟ์ก็รับคำพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ ขณะที่ชายผมบลอนด์ซึ่งไม่ได้สนใจกับการแสดงความเคารพของเอลฟ์ประจำบ้านนั้นเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของคฤหาสน์


…………………………………………….


หลังจากสั่งเอลฟ์เรื่องอาหารเย็นเสร็จแล้วนายลูเซียสก็ตรงไปยังห้องสมุดที่อยู่ที่ชั้นสองของคฤหาสน์ทันที และเมื่อนายมัลฟอยเข้าไปในห้องแล้วสิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกนอกจากชั้นหนังสือที่สูงเกือบจรดเพดานก็คือร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวผมสีน้ำตาลที่กำลังฟุบอยู่กับโต๊ะอ่านหนังสือ ชายผมบลอนด์เดินเข้าไปใกล้ร่างของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างเงียบเชียบ และก็เป็นอย่างที่เขาคาดเพราะหญิงสาวไม่รู้สึกถึงการมาของเขาแต่อย่างใด

เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้โต๊ะเขียนหนังสือสิ่งที่นายลูเซียสเห็นก็คือภาพภรรยาสาวของเขากำลังนอนหลับโดยใช้หนังสือแทนหมอนหนุน ถัดจากเธอไปนั้นก็มีหนังสือเล่มหนาจำนวนประมาณห้าเล่มวางซ้อนกันเป็นตั้ง แววตาของชายผมบลอนด์แลดูอ่อนโยนขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเห็นใบหน้างามของหญิงสาวที่กำลังหลับอย่างสงบ มุมปากของชายผมบลอนด์ยกสูงในเชิงเอ็นดูที่เห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่อ่านหนังสืออย่างหนักราวกับเธอกำลังเตรียมตัวสอบจนหลับไปแบบนี้ แต่รอยยิ้มที่หาดูได้ยากของนายลูเซียสก็ต้องหายไปเมื่อเขาเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มที่อยู่บนสุดของตั้งหนังสือที่วางอยู่ข้างตัวของหญิงสาวซึ่งมีชื่อว่า ‘ วิธีการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน ’ เข้า และเมื่อสายตาของนายมัลฟอยไล่ไปตามสันหนังสือเล่มที่เหลือเขาก็พบว่าหนังสือทุกเล่มบนโต๊ะนั้นล้วนเกี่ยวกับการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ทั้งสิ้น

ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนของนายลูเซียสเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งในทันทีเมื่อเขาได้รู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ยังไม่เลิกคิดที่หาทางต่อกรกับเขาแม้ว่าเธอจะตกเป็นภรรยาของเขาแล้วก็ตาม และความคิดนั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกราวกับโกรธเคืองมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่นายลูเซียสก็ยังมีสติพอที่จะไม่ปลุกหญิงสาวขึ้นมาต่อว่าหรือทำอะไรที่รุนแรงมากกว่านั้นลงไป ตรงกันข้ามเขากลับสูดสมหายใจลึก และจ้องมองร่างบางที่กำลังหลับอย่างสงบโดยที่ไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งมันอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเธอเลย

ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังนอนหลับอยู่นั้น ร่างสูงใหญ่ที่กำลังจ้องมองเธออยู่ก็กำลังครุ่นคิดว่าเขาจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่างไรดี เขาควรจะห้ามไม่ให้เธอเข้ามาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแห่งนี้อีกดีหรือไม่ หลังจากที่เขาค้นพบว่าหญิงสาวไม่ได้ใช้มันทำอะไรมากไปกว่าการพยายามหาทางต่อกรกับเขา หรือเขาควรจะร่ายคาถาเพื่อเผาหนังสือพวกนี้ทิ้งเสียทั้งหมด เธอจได้ไม่ต้องมีแหล่งข้อมูลที่จะมาศึกษาการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก และแม้ว่าสิ่งที่เขาคิดออกมานั้นจะเป็นวิธีที่อาจจะได้ผลในการยับยั้งไม่ให้เฮอร์ไมโอนี่แอบฝึกเวทย์มนต์ในแบบที่นายลูเซียสไม่ต้องการได้ก็ตาม แต่ชายผมบลอนด์กลับไม่คิดจะใช้วิธีเหล่านั้นกับเธอ เพราะนอกจากมันจะเป็นวิธีที่ดูอ่อนหัดเกินไปแล้วมันยังไม่สมศักดิ์ศรีของเขาอีกด้วย ตรงกันข้ามเขากลับเลือกที่จะใช้วิธีมาอื่นจัดการกับเรื่องนี้แทน

เพราะแม้จะรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่มีทางยอมที่จะตกอยู่ใต้อำนาจของเขาอย่างเต็มใจก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ยังคงมีความคิดที่ดื้อดึงไม่แพ้เฮอร์ไมโอนี่ ว่าซักวันเขาจะต้องทำให้เธอกลายเป็นภรรยาที่ยอมเชื่อฟังเขาด้วยความเต็มใจของเธอเองจนได้ หรืออย่างน้อย ๆ เขาก็จะต้องทำให้เธอยอมเชื่อฟังเขาให้ได้ เพราะว่าเขาคงไม่ต้องการจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับผู้หญิงที่คอยจะหาขัดขืนเขาในทุก ๆ เรื่องที่เธอสามารถทำได้เป็นแน่ และการที่เขาจะทำเช่นนั้นได้มันคงจะต้องใช้อะไรที่มากกว่าการใช้กำลังอำนาจมาบีบบังคับเธอ เพราะนอกจากมันจะไม่ทำให้เธอยอมทำตามแต่โดยดีแล้ว เธอจะยิ่งพยายามหาทางขัดขืนหรือต่อต้านเขามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ และนั่นหมายความว่ามันจะนำมาซึ่งเรื่องปวดหัวอย่างไม่มีหยุดหย่อนสำหรับเขาอย่างแน่นอน

แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีทางที่จะทำให้หญิงสาวโอนอ่อนผ่อนตามเขาแต่โดยดี แต่มันอาจจะยากกว่าการใช้กำลังอยู่ไม่น้อย เพราะมันต้องอาศัยสติปัญญาและระยะเวลาพอสมควรทีเดียว แต่นายลูเซียสก็มั่นใจว่าเขาสามารถทำได้ เพราะนอกจากสติปัญญาแล้ว เขาก็ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะจัดการกับความดื้อดึงของหญิงสาวคนนี้อีกด้วย

แต่เมื่อผ่านการครุ่นคิดจนได้บทสรุปออกมาแล้ว ชายผมบลอนด์ก็โน้มร่างลงไปหาร่างของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังหลับอยู่ พร้อมกับออกแรงอุ้มเธอขึ้นมาจากโต๊ะหนังสืออย่างแผ่วเบา ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่ของนายลูเซียสเข้ามาจับเอวของเธอ และเมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาเธอก็พบว่าเธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดของลูเซียส มัลฟอยโดยที่เธอไม่รู้ตัวมาก่อน ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยดูงุนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นตกตะลึงอย่างรวดเร็วเมื่อเธอเห็นร่างตรงหน้า

“คุณ!” เฮอร์ไมโอนี่อุทานขึ้นมาอย่างตกใจ เธอไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะหลับไปขณะที่อ่านหนังสือแบบนี้ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัวเลยเมื่อนายลูเซียสเข้ามาในห้องขณะที่เธอหลับ รวมถึงเขาได้อุ้มเธอขึ้นมาจากโต๊ะอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้ด้วย

“นั่นเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่เลยนะ อันที่จริงฉันคิดว่าเธอจะต้อนรับฉันกลับบ้านด้วยคำพูดที่น่าฟังมากกว่านี้เสียอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มดุจแพรไหม แต่สีหน้าของเขากลับดูเรียบเฉยและยากที่จะอ่าน จนหญิงสาวไม่อาจรู้ได้เลยว่าก่อนหน้านี้เขาโกรธเพียงใดที่ได้ค้นพบว่าเธอตั้งใจเข้ามาหาข้อมูลอะไรในห้องสมุดแห่งนี้

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงหวังมากเกินไปแล้วล่ะค่ะ คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ” น้ำเสียงของหญิงสาวบ่งบอกถึงความกังวลเมื่อเธอเอ่ยประโยคสุดท้ายขึ้นมา ขณะที่เธอมองเข้าไปในแววตาของสามีแต่เธอก็ไม่อาจเห็นอะไรมากไปกว่าภาพสะท้อนของตัวเธอเองในดวงตาสีเงินของเขาเท่านั้น

“ฉันเข้ามาได้ไม่นานหรอก ว่าแต่เธอกำลังอ่านอะไรอยู่หรือ” นายลูเซียสพูดอย่างลื่นไหลราวกับเขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่าหญิงสาวกำลังค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับอะไรอยู่ก่อนหน้านี้ พลางทำท่าทีราวกับเขากำลังจะหันไปมองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ!

หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ตกวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าเขาทำเช่นนั้น และก่อนที่เธอจะนึกอะไรออกหญิงสาวก็ได้ทำสิ่งที่เธอไม่คิดว่าเธอจะทำได้ลงไป เพราะไม่ทันที่ชายผมบลอนด์จะได้มองเห็นชื่อของหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะได้อย่างชัดเจน มือเล็กของหญิงสาวก็เลื่อนไปกุมหน้าของสามีเอาไว้พร้อมกับที่เธอโน้มใบหน้าไปจูบเขาที่ริมฝีปาก

แม้จะแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่เป็นฝ่ายเข้ามาจูบเขาก่อน แต่นายลูเซียสก็ตกใจกับการกระทำของภรรยาได้ไม่นานก่อนที่เขาจะจูบเธอตอบและเปลี่ยนจูบที่อ่อนโยนที่หญิงสาวได้เริ่มเอาไว้ให้หนักแน่นมากขึ้น และเมื่อจูบร่างบางในอ้อมแขนจนพอใจแล้วชายผมบลอนด์ก็เม้มริมฝีปากอิ่มของเธอเล่นก่อนจะถอนใบหน้าขึ้นมา และสิ่งที่แรกที่เขาเห็นหลังจากนั้นคือดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววสับสนของหญิงสาวที่กำลังมองมาทางเขา

“ฉันคงต้องพูดว่าเธอทำให้ฉันแปลกใจไม่น้อยทีเดียว เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดพลางจ้องมองเธอด้วยแววตาสีเงินล้ำลึก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เองรู้สึกว่าเธอหายใจติดขัดเมื่อได้ยินชื่อของเธอออกมาจากริมฝีปากบางของนายลูเซียส แต่หญิงสาวก็ใช้เวลารวบรวมสติอยู่ไม่นานก่อนจะตอบออกมา

“ก็คุณบอกเองนี่คะว่าฉันน่าจะต้อนรับคุณกลับบ้านอย่างสุภาพมากกว่านี้” เธอพูดสิ่งแรกที่เธอคิดออกไปได้ขณะที่สมองของเฮอร์ไมโอนี่ทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของชายตรงหน้าไปจากหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะห่างจากพวกเขาไปเพียงฟุตเดียวเท่านั้น

“หรือคุณไม่ชอบให้ฉันทำอย่างนี้กันคะ” เธอเสริมออกไป และพยายามรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้ แม้ว่าในอกของเธอจะปั่นป่วนอย่างร้ายกาจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เธอพูดจาในเชิงยั่วยวนลูเซียส มัลฟอยแบบนี้ และแน่นนอนว่าเธอคงจะไม่มีวันพูดจาในเชิงนี้กับเขาแน่ถ้าหากเธอมีทางเลือกอื่น แม้ว่าชายตรงหน้าจะเป็นสามีของเธออย่างถูกต้องแล้วก็ตาม
หลังจากที่หญิงสาวพูดจบ นายลูเซียสก็ยิ้มบาง ๆ ให้เธอ และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขายิ้มออกมาจริง ๆ ไม่ใช่รอยยิ้มเย้ยหยัน หรือเยาะเย้ยแบบเดียวที่กับลูกชายของเขาทำเป็นประจำเมื่อทั้งสองเจอกันที่โรงเรียน แต่มันเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่บ่งบอกว่าเขากำลังพอใจในคำพูดของเธอเมื่อครู่ เพราะเหตุผลบางอย่างรอยยิ้มนั้นกลับทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าแก้มของเธอร้อนผ่าวอย่างประหลาด

“ฉันไม่ได้ไม่ชอบเลยซักนิด ตรงกันข้ามฉันชอบที่เธอทำอย่างนี้มากจนฉันอยากขอให้เธอต้อนรับฉันกลับบ้านแบบนี้ตลอดไปจะได้ไหม ที่รัก” เขาถาม และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเขินอายกว่าที่จะตอบอะไรออกมาได้จากใบหน้าที่แดงก่ำของเธอ เขาก็ยิ้มให้เธออีกครั้งก่อนจะก้มลงไปจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่ริมฝีปากอีกรอบก่อนจะกระซิบกับปากอิ่มสีกุหลาบของเธอว่า

“นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ฉันมาพาเธอลงไปที่ห้องอาหาร” เขาพูดพลางเริ่มออกมาเดิน ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีตกใจ

“เดี๋ยวค่ะ คุณจะไม่ปล่อยฉันลงก่อนหรือคะ” หญิงสาวท้วง ก่อนที่นายลูเซียสจะเลิกคิ้วให้เธอ

“ทำไมฉันจะต้องปล่อยเธอลงด้วยล่ะ หรือเธอคิดว่าฉันไม่มีแรงพอจะอุ้มเธอไปถึงห้องอาหารอย่างนั้นหรือ” เขาพูด

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันแค่.......” เธอกัดริมฝีปาก ถ้าเป็นคู่สามีภรรยาปกติแล้วมันคงจะโรแมนติกมากถ้าหากสามีของเธอจะอุ้มเธอไปทุกที่ในบ้านแบบนี้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอและเขาไม่ใช่คู่สามีภรรยาธรรมดาทั่วไป การแต่งงานของพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นจากความเต็มใจ รวมทั้งมันเป็นการแต่งงานที่ปราศจากความรักอีกด้วย

“คือ…..ฉันชอบเดินเองมากกว่าค่ะ” เธอตอบพลางเงยหน้ามองสามี แต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเธอลงแต่อย่างใดขณะที่เขาอุ้มร่างเธอแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องสมุด นายลูเซียสมองหญิงสาวด้วยแววตาพิจารณา

“เธอสามารถได้สิ่งที่เธอต้องการมาอย่างง่ายดาย ที่รัก เพียงแค่เธอขอร้องอย่างสุภาพเท่านั้น” เขาเน้นประโยคสุดท้ายอย่างชัดเจน พลางมองเข้าไปในดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่เธอกำลังกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ

“ปล่อยฉันลงเถอะค่ะ ได้โปรด” หญิงสาวพูดออกมา พลางจ้องชายตรงหน้าด้วยดวงตาสีน้ำตากลมโตของเธอ ซึ่งมันทำให้เธอดูน่าเอ็นดูมากในสายตาชายผมบลอนด์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนแต่อย่างใด

“เธอน่าจะเพิ่มเข้าไปด้วยนะว่าเธอกำลังขอร้องใครอยู่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองนายลูเซียสอย่างโมโหนิด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาทำพูดมันก็ไม่รุนแรงพอจะทำให้เธอโกรธเขาจริง ๆ ได้บวกกับความจริงที่ว่าเธอไม่มีทางที่จะขัดขืนเขาได้แล้ว หญิงสาวจึงกัดริมฝีปากพูดประโยคที่เธอไม่อยากจะพูดมากที่สุดออกไป

“ได้โปรดปล่อยฉันลงด้วยเถอะค่ะ ลูเซียส” นี่เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยชื่อชายผมบลอนด์ออกไป เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อต้นมาก่อน ชื่อที่เธอใช้เรียกถ้าไม่เป็นนามสกุลของเขาเธอก็จะเรียกเขาว่า ‘ คุณ ’ เฉย ๆ เท่านั้น และเหตุผลเดียวที่เธอยอมเรียกชื่อต้นของชายตรงหน้าออกไปก็เพราะว่าเธอไม่อาจเรียกเขาด้วยนามสกุลได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากในตอนนี้เธอได้แต่งงานกับเขารวมทั้งเธอก็ได้กลายมาเป็น ‘ มัลฟอย ’ คนหนึ่งแล้วเหมือนกัน

และความจริงที่ว่าบัดนี้เธอได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลมัลฟอยแล้วนั้นก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วสันหลังขณะที่นายลูเซียสปล่อยเธอลงจากอ้อมแขน หญิงสาวรู้สึกหน้ามืดเล็กน้อยเมื่อเท้าของเธอแตะพื้นแต่โชคดีที่ชายผมบลอนด์จับแขนของหญิงสาวไว้และช่วยไม่ให้เธอเซไปมากกว่านี้ และเมื่อเขาแน่ใจว่าเธอกลับมายืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เขาจึงพูดขึ้น
“ฉันคิดว่าเราควรจะลงไปที่ห้องอาหารก่อนที่เราจะสายไปมากกว่าดีไหม” เขาพูดพลางยื่นมือมาให้เฮอร์ไมโอนี่จับ หญิงสาวลังเลอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะวางมือที่ชื้นเหงื่อของเธอลงบนมือใหญ่ของสามีก่อนที่เขาจะพาเธอเดินไปยังห้องอาหาร


…………………………………………….


อาหารมื้อเย็นผ่านไปอย่างไม่มีอะไรพิเศษนัก แม้เฮอร์ไมโอนี่จะรู้สึกผ่อนคลายลงบ้างเมื่อเดรโกไม่ได้มาร่วมทานอาหารเย็นด้วยก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจรู้สึกเป็นปกติได้เมื่อเธอต้องรับประทานอาหารกับนายลูเซียส อันที่จริงเธอไม่อาจรู้สึกเป็นปกติได้เมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับชายผมบลอนด์มากกว่า หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เขาทำลงไปกับเธอ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้เธอแต่งงานกับเขารวมทั้งช่วงชิงสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงไปจากเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองทานอาหารเสร็จและนายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่กลับไปยังห้องนอนของพวกเขา หญิงสาวก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที เพราะการทานอาหารเย็นตามลำพังกับนายลูเซียสนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องที่เธอจะต้องอยู่กับเขาอยู่กับเขาสองต่อสองในห้องนอนตลอดทั้งคืนอย่างนี้

และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่เห็นสัญญาณอันตรายอย่างชัดเจน จึงพยายามระดมสมองเป็นอย่างหนักเพื่อหาหนทางที่เธอจะหนีรอดไปจากชายผมบลอนด์ได้ แต่หญิงสาวก็ไม่สามารถคิดหาหนทางใด ๆ ได้เลยเมื่อนายลูเซียสพาเธอมาถึงห้องนอน และทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าในห้องและประตูห้องปิดลงนายมัลฟอยก็คว้าร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะจูบเธอที่ริมฝีปาก

แม้จะตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรออกไป อาจจะต้องพูดว่าเธอไม่อาจจะขัดขืนอะไรได้มากกว่าเพราะว่าวงแขนแข็งแรงของร่างใหญ่นั้นกอดรัดร่างเล็กของเธอไว้อย่างแน่นหนาจนเธอไม่อาจจะดิ้นรนหรือขัดขืนได้ขณะที่เขาจูบเธออย่างดูดดื่ม ก่อนจะละจากริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวและเลื่อนจูบของเขาลงไปที่ขากรรไกรของเธอไล่ไปจนถึงซอกคอขาวผ่อง

และเมื่อเป็นเช่นนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่ปล่อยให้เขารุกรานร่างกายเธอไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“อย่าค่ะ” เธอท้วง พลางพยายามดิ้นรน แต่ดูเหมือนชายตรงหน้าจะไม่สนใจคำประท้วงของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขากระซิบเข้าไปซอกคอที่เต็มไปด้วยรอยจูบของเธอว่า

“ทำไมล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ขณะที่มือใหญ่รั้งเอวของเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้และดึงร่างของเธอให้เข้ามาแนบชิดกับร่างของเขามากขึ้น

“ฉัน......ฉันอยากอาบน้ำก่อนน่ะค่ะ” เธอพูดในสิ่งแรกที่คิดออกมาได้ และก็น่าแปลกเหลือเกินที่นายลูเซียสหยุดการกระทำของเขาเพราะคำพูดนั้น ดวงตาสีเงินที่บัดนี้เลื่อนมาอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าของหญิงสาวมองเธออย่างพิจารณาก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมา

“ก็ได้ ที่รัก ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น” เขากระซิบพร้อมกับจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าผาก หญิงสาวรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวราวกับแดดเผา ราวกับทุกอณูร่างกายของริมฝีปากคู่นั้นของนายลูเซียสสัมผัสนั้นลุกเป็นไฟ เธอไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากพยักหน้าเบา ๆ และทันทีที่ชายผมบลอนด์ปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบเดินเข้าห้องน้ำไปโดยที่ไม่ยอมหันไปสบตาของสามีอีกเลย

เมื่อเข้ามาในห้องน้ำได้แล้ว หญิงสาวก็ปิดประตูพร้อมกับล็อกกลอนอย่างแน่นหนาก่อนก็พิงแผ่นหลังของเธอเข้ากับประตูบานใหญ่ที่เชื่อมต่อกับห้องนอนและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้จะรู้ดีว่าการที่เธอทำแบบนี้จะไม่อาจช่วยอะไรเธอได้นอกจากซื้อเวลาให้เธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็หวังลึก ๆ ว่ามันอาจจะมีวิธีใดก็ตามที่ทำให้เธอไม่ต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ชายคนนี้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสามีของเธออย่างถูกต้องแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวก็หวังเป็นอย่างว่าความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของทั้งสองจะเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และหลังจากที่เธอได้ยอมมอบร่างกายของเธอให้กับนายลูเซียสตามข้อตกลงในสัญญาการแต่งงานแล้ว ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างทั้งคู่ก็จะไม่จำเป็นต้องดำเนินต่อไปอีก แต่เห็นได้ชัดเจนว่าชายผมบลอนด์ไม่ได้คิดอย่างเดียวกับเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังมีความหวังอยู่ว่าเธอจะสามารถหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอดำเนินต่อไปได้ แม้ว่าเธอจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนก็ตาม

แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่รู้เลยว่าในขณะที่เธอกำลังหาทางเพื่อยุติความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของเธอกับนายลูเซียสอยู่นั้น ชายผมบลอนด์ก็พยายามคิดหาหนทางมาทำให้เธอยอมเชื่อฟังและโอนอ่อนผ่อนตามให้เขาในทุก ๆ เรื่องที่เขาต้องการเช่นกัน




*************************************************







Create Date : 13 กรกฎาคม 2555
Last Update : 23 สิงหาคม 2555 9:16:13 น. 4 comments
Counter : 1796 Pageviews.

 
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะที่ยังมาอัพเดทอยู่ ดีใจมากค่ะ ไม่เคยอ่านฟิคแบบนี้เลยพอมาเจอแล้วก็อ่านตลอด ชอบคุณอีกครั้งค่ะ


โดย: IRADA IP: 110.168.126.180 วันที่: 18 กรกฎาคม 2555 เวลา:5:09:38 น.  

 

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่ะ ดีใจที่ชอบฟิคของเราค่ะ

กะว่าจะอัพเดตเรื่อย ๆ อ่ะค่ะ แต่บางช่วงอาจจะมีช้าบ้างถ้าเรายุ่งน่ะค่ะ ^^


โดย: piksi (piksi ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2555 เวลา:18:08:33 น.  

 
คุณพิก เปิ้ลเองค่ะ
ดีใจมากที่คุณพิกกลับอัพเรื่องนี้ต่อค่ะ สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้
เราจะรออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^


โดย: เปิ้ล IP: 27.55.4.238 วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:13:36:39 น.  

 
อ่านถึงตรงท้ายแล้วแอบขำนิดนึงค่ะ ตรงที่ว่า "แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่รู้เลยว่าในขณะที่เธอกำลังหาทางเพื่อยุติความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของเธอกับนายลูเซียสอยู่นั้น ชายผมบลอนด์ก็พยายามคิดหาหนทางมาทำให้เธอยอมเชื่อฟังและโอนอ่อนผ่อนตามให้เขาในทุก ๆ เรื่องที่เขาต้องการเช่นกัน"
ความต้องการสวนทางกันอย่างประหลาด 555


โดย: บีบี IP: 49.230.134.45 วันที่: 21 ตุลาคม 2556 เวลา:19:35:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.