ไข้เลือดออก..ฤดูกาลแห่งโศกนาฏกรรม ยุงลายกัดคน(ป่วย..เป็นไข้)เลือดออกตาย แต่แพทย์ผู้รักษาเป็นจำเลย?
เครดิตภาพจาก https://www.cityub.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2254%3A-4-&catid=7%3A2011-04-04-04-07-48&Itemid=47
นำมาฝากครับ ...
ไข้เลือดออก..ฤดูกาลแห่งโศกนาฏกรรม.
ยุงลายกัดคน(ป่วย..เป็นไข้)เลือดออกตาย แต่แพทย์ผู้รักษาเป็นจำเลย...?
หน้าห้องไอซียู... แม่ของเด็กหญิง เดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย นางบ่นกับญาติว่า
"ทำไม ไปหาหมอไม่รู้กี่ครั้ง หมอไม่รู้ว่าเป็นไข้เลือดออก มารู้ ก็จวนแย่แล้ว"
"ถ้าลูกชั้นเป็นอะไร ฉันจะฟ้องหมอ ฟ้องโรงพยาบาล...."
นางเอ่ยถึงชื่อคลินิก และโรงพยาบาล ที่ไม่สามารถบอกได้ว่าลูกสาวเป็นโรคไข้เลือดออก ..
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่สร้างความสับสนให้กับทั้งแพทย์และคนไข้มากที่สุด ด้วยอาการที่เริ่มต้นด้วยลักษณะเช่นเดียวกับไข้หวัดธรรมดา ไปจนถึงไข้หวัดใหญ่ หรืออาจมีอาการไข้อย่างเดียวนำมาก่อน โดยไม่มีการออกอาการเฉพาะใดๆ
ในวันแรกๆ หมอทั้งร้อยคน หากตรวจวินิจฉัยตามตำราย่อมแยกออกแทบไม่ได้ ต้องอาศัยการติดตามคนไข้ว่าหากรักษาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น นัดตรวจ ติดตามดูอาการอื่นๆที่จะปรากฏร่วมเช่น คลื่นไส้อาเจียน จนถึงปวดท้อง (ซึ่งก็คล้ายกับไข้หวัดลงกระเพาะลำไส้ อยู่ดี)ในระยะนี้ บางทีก็จะชวนสงสัยได้ยาก แม้รัดแขนก็อาจไม่สามารถบ่งได้ว่าเป็นไข้เลือดออก
กว่าจะมีอาการ จำเพาะ ของกลุ่มไวรัสนี้ก็ เช่นเกร็ดเลือดต่ำ มีจุดเลือดออก หรือมีเลือดออกที่ต่างๆในร่างกาย ก็เป็นระยะท้ายๆ ที่มักมีอาการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก แต่ยังโชคดีที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นไข้เด็งกี่ (Dengue Fever)แล้วกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ โดยไม่เข้าสู่สภาวะช๊อก ที่เรียกว่า เด็งกี่ช๊อกซินโดรม (Dengue Shock Syndrome- DSS) ที่เป็นเหตุให้เสียชีวิต
ทำให้แพทย์ต้องเฝ้าใกล้ชิดในไอซียู แก้ปัญหา ช๊อกและ ต่อสู้กับกลไกเลือดออกไม่หยุด ด้วยการที่สมดุลน้ำเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รวมถึงให้เกร็ดเลือด (ซึ่งหาได้ยาก-แม้ กาชาดเองหรือรพ.ใหญ่ๆในกรุงเทพ ที่จะพอเหมาะเข้ากันได้กับคนไข้ ซ้ำยังต้องใช้ปริมาณมหาศาล และอาจหาไม่ได้เลยในรพ.ต่างจังหวัด)
ขณะช๊อกคนไข้ต้องการน้ำเพื่อพยุงความดัน แต่หากกระบวนการช๊อกหยุด น้ำที่ให้เพื่อแก้อาการช๊อกเป็นลิตรๆ ที่กู้ให้หัวใจไม่ล้มเหลวตายในระหว่างช๊อก จะพร้อมใจกันกลับเข้าเส้นเลือดจนท่วมท้นปอดหัวใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้โดยง่าย (แม้จะมีแพทย์จะเฝ้าอยู่ข้างเตียง ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้ทัน) ไม่รวมถึงการมีเลือดออกในสมองและอวัยวะต่างๆ ที่ถึงจะให้เกร็ดเลือดไปก็อาจไม่ทำงาน โดยโรคเอง ด้วยซ้ำ
ทั้งนี้รวมถึงในระดับโรงเรียนแพทย์อาทิ จุฬา ศิริราช รามา เอง ก็เคยมีเสียชีวิตในลักษณะนี้มาแล้วทั้งสิ้น
ปัญหาของโรคนี้ ในสังคมเมื่อเกิดขึ้นแล้วคือ
1. ทำไมหมอไม่บอกตั้งแต่แรกว่าเป็นไข้เลือดออก
การวินิจฉัยช่วงแรกเป็นได้ยาก อาการไม่โดยเฉพาะ เนื่องจาก ไปยืมอาการของโรคอื่นๆเช่นไข้หวัด มาปะปนกันไปหมด หมอผู้เชี่ยวชาญเอง ก็ลำบากที่จะตัดสินใจว่าเป็นโรคนี้ในวันแรกๆของการป่วยโดยเฉพาะ ซึ่งอาการส่วนใหญ่อาจกลายไปเป็นโรคอื่นๆ ทำให้กว่าหมอจะให้การวินิจฉัย ได้ก็เมื่อมีอาการเฉพาะปรากฎ เป็นข้อจำกัดของโรค (ซึ่งหลายครั้ง คนไข้ก็จะแย่แล้ว...)
2. การวินิจฉัยวันแรกๆโดยเจาะเลือดไม่ได้หรือ
ขอเรียนว่ายากครับ โรคที่เกี่ยวกับไข้หวัดธรรมดาที่เกิดจากไวรัส กับไวรัสเด็งกี่นั้นเป็นกลุ่มแบบพี่น้องกัน ถึงแม้เจาะเลือดธรรมดาที่ทำกันทั่วไปนั้น อาจแยกจากกันไม่ได้ การดูเกร็ดเลือดระยะแรกก็อาจไม่ต่ำ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็น (ทั้งที่อีก1-2วันถึงออกอาการว่าเป็น) การเจาะเลือดที่เฉพาะกว่าคือการตรวจ ภูมิต่อไวรัส เด็งกี่ เรียกว่าเด็งกี่ไตเตอร์ ซึ่งทำได้เฉพาะใน โรงเรียนแพทย์ หรือโรงพยาบาลใหญ่ๆ ใช้เวลาหลายวัน บางทีผลกลับมา ซึ่งคนไข้กว่า90% หายจากอาการก่อนแล้ว ยกเว้นกรณีอาการร้ายแรง หรือ ช๊อก จึงจะทันได้ใช้ประโยชน์
3.คนไข้ที่เป็นแล้วต้องเลือดออก ช๊อกถึงตายทุกคนหรือไม่
อันนี้ตอบได้ว่าไม่มาก แต่มีความสำคัญ ตัวเลขจากกรมควบคุมโรค ดูย้อนหลังเป็นดังนี้ครับ ปีพศ. ป่วย(คน) ตาย (คน) อัตราป่วยเสียชีวิต(%) 2550 62,999 90 0.14% 2549 42,456 59 0.14% 2548 44,725 82 0.18% 2547 37,316 49 0.13% 2546 62,526 78 0.13%
สังเกตว่าในประเทศไทย ในรอบ4ปี มีป่วย เพิ่มขึ้น และตายเพิ่มขึ้น การเสียชีวิตจะมาหลังอาการช๊อก ป็นส่วนใหญ่ นั่นแปลว่ามีผู้ป่วยไข้เลือดออกที่ ช๊อก และตาย ประมาณ 0.13-0.18% หรือ 1-2ต่อ 1,000 คนป่วย ซึ่งนับว่ามาก โดยต้องไม่ลืมว่า ส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ช๊อกนี้ แพทย์ต้องเฝ้า ปรับสมดุลของสารน้ำ และเลือดจนกลับมาปกติ และความน่าทึ่งของโรคนี้คือ ยามช๊อกนั้นผู้ป่วยดูใกล้ความตาย เด็กๆเหนื่อยแน่น ซึม ทุรนทุราย รายมีเพียงเส้นบางๆขั้นกับมัจจุราช แต่ตอนหาย เด็กกลับสดใสร่าเริงในวันถัดกันราวกับไม่เคยป่วยมาก่อน
4.คนไทย..ป่วยกันมากน้อยเพียงใด
จากข้อมูลเบื้องต้น เห็นว่า ปี 2550 นั้นมีคนป่วย 62,699 คนจาก 60ล้านคน เป็นสัดส่วน 1ต่อ 1000 คน ประชากร ซึ่งถือว่าเยอะมาก แสดงว่ามีคนป่วยด้วยไข้เลือดออก เฉลี่ยถึงวันละ 170 คน หากในความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะเดือนระบาดหนักๆนั้น อาจมากถึง 2 เท่าทีเดียว
5.ปีนี้ สถานะการณ์ไข้เลือดออกจะเป็นอย่างไร
ขอให้ลองดูข้อมูลจาก กรมควบคุมโรคอีกครั้งจะพบว่า ปีนี้ เริ่มมาต้นปี ถึง 10 พค. 51 (19สัปดาห์)ป่วยไปแล้ว 13,943 ราย ตายไปแล้ว 16 ราย มากกว่าทุกปีที่มีสถิติมาเทียบ และมากกว่าปีก่อน 1.7 เท่า (2550 มค.-พค.ป่วย 8,094 และตาย 9 คน ที่เดือนเดียวกัน) นั่นแปลว่า สถานการณ์ปีนี้รุนแรงมาก ตั้งแต่ต้นปี ทั้งที่ยังไม่เข้าวาระระบาดทางคลินิก ซึ่งจะรุนแรงในช่วง พค.-สค.ของทุกปี
มีความเชื่อกันว่ายุงลาย ทำให้โรคระบาดมากขึ้น เพราะสิ่งแวดล้อมโลก เช่นภาวะ โรคร้อน ฤดูกาล ภูมือากาศ เปลี่ยนแปลง สับสน หากหยุดยั้งไม่ได้ การเจ็บป่วยโรคนี้ในปีนี้อาจเป็นถึง เกือบ 2 เท่า คนตายอาจต้องมากตามไปด้วย แปลว่า ต้องมีครอบครัวผู้ได้รับความเสียใจมากขึ้น และแพทย์ก็จะต้องถูกเป็นจำเลยมากขึ้น...จากพฤติกรรมของยุง และสิ่งแวดล้อมอย่างไม่ต้องสงสัย...
ที่น่าสังเกตคือวงรอบความรุนแรง คล้ายเป็น 4 ปีครั้ง เพราะการนำโรคจาก ยุงลาย ที่ทุกท่านทราบดี
6.โศกนาฏกรรม จากยุงลาย ยุงลายนั้นทำให้เกิดโศกนาฏกรรม ใน 2 ด้าน คือ
1.ระดับครอบครัว ที่ต้องสูญเสียบุตรหลาน ปีนี้คาดว่า ลูกหลาน น่ารักของท่าน อาจกว่าร้อยคนต้องถูกส่งไปสังเวยโศกนาฏกรรมนี้ ขณะที่อีกกว่า 6 หมื่นคนต้องเจ็บป่วย หยุดงานไปจนถึงนอน รพ. ขาดรายได้ ขาดเรียน ขาดงาน ..ตีมูลค่าความเสียหายไม่ได้
2.ระดับรัฐ ต้องเสียค่ารักษาจากงบประมาณของรัฐ อีกหลายสิบล้านบาท เพิ่มภาระงาน โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมอ พยาบาล และซ้ำร้าย เป็นโรคที่มีกลไกเข้าใจยาก ผู้ที่สูญเสียที่มิได้เตรียมใจย่อมเป็นทุกข์ ก่อให้เกิดประโยค ตอนต้นของบทความนี้ และในยุคที่การฟ้องร้องมากมาย เป็นเช่นนี้ ญาติผู้ป่วยย่อม โกรธ เสียใจ ผิดหวัง นำไปสู่กระบวนการดังกล่าวได้โดยง่าย สัมพันธภาพ ผู้ป่วยและแพทย์ภาครัฐที่เปราะบาง ยอมหวั่นไหว สัญชาติญาณ การรักตน รักครอบครัว กลัวการฟ้องร้อง อาจทำให้แพทย์ต้องรั่วออกจากระบบที่ขาดแคลนกว่า 2,000 คน ไปอีกหรือไม่ กระทรวงสาธารณสุขเจ้าภาพจะเตรียมแก้ไขปัญหาเพื่อคุ้มครองประชาชนอย่างไร?? กองทุนต่างๆ การไกล่เกลี่ย เยียวยา สังคม และดูแลบุคลากรของท่าน พร้อมหรือไม่..
หากถามว่าจะแก้ไขได้อย่างไรต้องย้อนกลับไปดูกระแสร์พระราชดำรัสว่า โครงการปราบยุงลายคั่งค้างมานานแล้ว และอันตรายยังมีอยู่มาก อยากให้ปราบปรามอย่างจริงจัง อันตรายจากโรคไข้เลือดออกจะได้ทุเลาลง * พระราชทาน ณ วังไกลกังวล สค.2542 แสดงความห่วงใยของในหลวง ในสถานการณ์ และแสดงแนวทางการแก้ไขชัดเจน...
ส่วนวิธีการทั้งหลาย นั้นผมขออนุญาตไม่กล่าวถึงครับ เพราะมีการรณรงค์ทั่วไปหมดแล้ว ท่านหาอ่านได้ไม่ยาก และหากต้องการความรู้เพิ่มเติม และสถิติการป่วยและตายทุกสัปดาห์ อ่านได้จาก https://dhf.ddc.moph.go.th/ ครับ ทางกระทรวงสาธารณสุขโดยคุณหมอ กิตติ ปรมัตถผล ท่านทำไว้ดีมาก
บทสรุปคือ อย่าปล่อยให้ฆาตกร (ร้อยศพ) ลอยนวล ก่อนโศกนาฏกรรมบทใหม่จะเริ่มบรรเลง และท้ายสุดบุคคลในครอบครัวที่ท่านรัก ..ประชาชน และบุคคลากรการแพทย์กลับต้องเป็นผู้สูญเสีย...
เริ่มจัดการ ยุงลาย ในบ้านท่าน .. เสียวันนี้เถอะครับ
ด้วยความปรารถนาดี นาวาอากาศเอก(พิเศษ) นพ. อิทธพร คณะเจริญ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา
DOWNLOAD ตำราการรักษาไข้เลือดออก ทั้งเล่ม พร้อม power point ได้ที่นี่
https://dhf.ddc.moph.go.th/project/student/Pagiranaka.zip
แถม เวบความรู้เกี่ยวกับ ไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก เวบหมอชาวบ้าน https://www.doctor.or.th/article/detail/1647
ไข้เลือดออก เวบ doctormeflood https://www.infoaid.org/doctormeflood/doctorme/disease/12715
อาการและการรักษาโรคไข้เลือดออก เวบกระทรวงสาธารณสุข https://healthy.moph.go.th/index.php/2012-03-26-04-30-53/118-2012-06-25-02-16-13
แนวทางวินิจฉัยและรักษา โรคไข้เลือดออก กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข https://www.dms.moph.go.th/imrta/images/pdf_cpg/2548/04.pdf
โรคไข้เลือดออก (Dengue and Dengue Hemorrhagic Fever) - สคร.๑๐ https://dpc10.ddc.moph.go.th/maesai/BODY_/link%20%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AF/dengue.pdf
Dengue.pdf จาก คณะแพทย์จุฬา https://www.med.cmu.ac.th/HOME/file/5509Dengue.pdf
ไข้เลือดออกเด็งกี - วิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B5
โรคไข้เลือดออก https://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/dhf.htm#.UPun5JyBM80
กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง https://dhf.ddc.moph.go.th/index.html
โรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก คือ โรคติดเชื้อซึ่งมีสาเหตุมาจาก ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) อาการของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด และทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในทันที โรคไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต สถานการณ์ไข้เลือดออกในประเทศไทย รายงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 6 ตค. 2558 (สัปดาห์ที่ 39) จำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออก 86,460 ราย จำนวนผู้ป่วยตาย 86 ราย สูงกว่าปีที่แล้ว 182.91% อัตราป่วยตาย (ร้อยละ) 0.10 ราย สูงกว่าอัตราป่วยตายย้อนหลัง 4 ปีที่แล้ว (ร้อยละ 0.08-0.09 ราย) จำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ (คาดว่าในปี 2558 จะมีประมาณ 60,000-70,000 ราย)
การติดต่อ ไวรัสเดงกี่ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออกสามารถมีชีวิตรอดและเพิ่มจำนวนภายในตัวของยุงลาย ยุงลายที่เป็นพาหะนี้มีชื่อว่า Aedes aegypti เมื่อยุงลายตัวเมียบินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง เชื้อไวรัสแดงกีจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน (เชื้อไวรัสแดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง) เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7 วัน จึงเริ่มทำให้เกิดอาการ ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวันตามบ้านเรือน และโรงเรียน ชอบวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่นยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง พบการระบาดมากที่สุดในฤดูฝน ช่วงอายุของคนที่พบว่าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมากที่สุด คือ คนอายุ 10-14 ปี รองลงมาคือ อายุ 15-24 ปี และ อายุ 5-9 ปี ตามลำดับ ส่วนช่วงอายุ 0-4 ปี และมากกว่า 25 ปี จนถึง 65 ปี เป็นช่วงอายุที่พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำนวนน้อยที่สุด
อาการ ส่วนใหญ่คนที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกีเป็นครั้งแรกมักไม่มีอาการ หรืออาจมีเพียงไข้สูง ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และเบื่ออาหารเท่านั้น แต่ในคนที่ติดเชื้อนี้เป็นครั้งที่ 2 โดย เฉพาะเชื้อนั้นเป็นเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงถึงช็อกได้ โดยอาการของโรคไข้เลือดออกแบ่งได้เป็น 3 ระยะคือ ระยะไข้ ระยะช็อก และระยะพักฟื้น ระยะไข้ หรือระยะที่ 1 ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หน้าแดง อาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกบริเวณอื่นๆ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนมีเลือดปน ถ่ายอุจจาระสีดำ เป็นต้น โดยอาการจะเป็นอยู่ประมาณ 2 - 7 วัน ระยะช็อก หรือระยะที่ 2 ขณะที่ไข้ลดลง ผู้ป่วยจะมีอาการทรุดลงคือ ซึมลง กระสับกระส่าย เหงื่อออก ปลายมือปลายเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วและเบา ปัสสาวะน้อย ในบางรายมีอาการปวดท้องมาก ท้องโตขึ้น หายใจหอบเหนื่อย เนื่องจากมีน้ำรั่วออกจากหลอดเลือดเข้าสู่ช่องเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง บางรายมีเลือดออกมากเช่น เลือดออกในทางเดินอาหารทำให้อุจจาระสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดกำเดาไหล ผู้ป่วยในระยะนี้อาจมีอาการช็อก ความดันโลหิต (เลือด) ต่ำ และถึงแก่ชีวิต (ตาย) ได้ ซึ่งระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 1 - 2 วัน แต่ในบางราย ผู้ป่วยมีอาการไม่มาก หลังจากไข้ลง ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นจากระยะที่ 1 เข้าสู่ระยะที่ 3 เลย ระยะพักฟื้น หรือระยะที่ 3 ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น โดยรับประทานอาหารได้มากขึ้น ชีพจรเต้นช้าลง ความดันโลหิตกลับมาสู่ปกติ ปัสสาวะออกมากขึ้น ในบางรายอาจมีผื่นเป็นวงขาวๆบนพื้นสีแดงตามผิวหนังโดยเฉพาะที่ขาทั้ง 2 ข้าง ผื่นมักไม่คันและไม่เจ็บ
แพทย์วินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้อย่างไร? แพทย์วินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จาก อาการ โดยเฉพาะอาการไข้สูง โดย ไม่มีอาการไอ น้ำมูก เจ็บคอ หรือท้องเสียร่วมด้วย ร่วมกับมีประวัติโรคไข้เลือดออกของคนที่อาศัยอยู่บริเวณเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในขณะนั้น โดยเฉพาะหากแพทย์ตรวจพบตับโต และกดเจ็บร่วมด้วย แพทย์จะทำการทดสอบที่เรียกว่า Tourniquet test โดยใช้เครื่องวัดความดันโลหิตรัดแขนทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที หากมีจุดเลือดออกบริเวณแขนมากกว่า 10 จุดต่อ 1 ตารางนิ้ว แสดงว่าผลการทดสอบให้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรคนี้ นอกจากนี้ หากส่งตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจพบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อน ข้างต่ำ และความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ในบางรายหากอาการ ผลการตรวจร่างกาย และผลเลือดเบื้องต้นดังกล่าว ไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้ ในปัจจุบันในบางโรงพยาบาลสามารถส่งเลือดเพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อไวรัสเดงกีได้ ซึ่งจะทำให้การวินิจฉัยโรคนี้แม่นยำขึ้น
โรคไข้เลือดออกมีวิธีรักษาอย่างไร? ในปัจจุบัน ยังไม่มียารักษาโรคไข้เลือดออกโดยตรง หากอาการไม่รุนแรงโรคนี้จะหายได้เอง ดังนั้นการรักษาที่มีจึงเป็นเพียงการรักษาตามอาการ และการรักษาภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) ต่างๆที่อาจเกิดขึ้น ในระยะไข้ หากผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง ยังพอรับประทานอาหารได้บ้าง รู้สติดี ไม่ซึม แพทย์จะให้ยาลดไข้ ยาผงเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำจากไข้สูง และจากการรั่วของน้ำออกนอกหลอดเลือด และให้สังเกตอาการที่บ้าน จากนั้นจะนัดผู้ป่วยมาติดตามอาการที่โรงพยาบาลเป็นระยะๆ แต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น ปวดท้องมาก ปัสสาวะออกน้อย กระสับกระส่าย ซึมลง หรือมือเท้าเย็น แพทย์จะให้เฝ้าสังเกตอาการและดูแลรักษาที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะ เพื่อการเฝ้าระวังภาวะช็อกและเลือดออก ซึ่งนอกจากการตรวจวัดชีพจร และความดันโลหิตอย่างใกล้ ชิดแล้ว แพทย์จะเจาะเลือดเพื่อตรวจความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะๆ เพื่อเฝ้าระวังการรั่วไหลของน้ำออกนอกหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยมีความดันโลหิตต่ำลง และเข้าสู่ระยะช็อกได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ไข้เริ่มลดลง ซึ่งใช้เวลาผ่านพ้นระยะนี้เป็นเวลา 24 - 48 ชั่วโมง จากนั้นผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะพักฟื้นซึ่งเป็นระยะที่ปลอดภัย ในระยะพักฟื้นนี้ ผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น ปัสสาวะออกมากขึ้น ชีพจรและความดันโลหิตปกติ
เมื่อไรจะให้กลับบ้าน ไม่มีไข้ 24 ชั่วโมงโดยที่ไม่ได้รับยาลดไข้ ผู้ป่วยอยากอาหาร ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน ความเข้มของเลือดคงที่ 3วันหลังจากรักษาภาวะช็อค เกล็ดเลือดมากกว่า 50000 ไม่มีอาการแน่ท้องหรือแน่หน้าอกจากน้ำในท้องหรือช่องเยื่อหุ้มปอด
ข้อสำคัญของไข้เลือดออก ให้สงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออกในผู้ที่มีไข้เฉียบพลัน ไข้สูง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หากตับโตจะช่วยสนับสนุนว่าเป็นไข้เลือดออก ยาลดไข้ไม่ได้ทำให้ระยะเวลาที่เป็นไข้ลดลง การให้ยาไม่ถูกต้องอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงชนิดเดียว คือ ยาพาราเซตามอล (paracetamol) ห้ามใช้ยา แอสไพรินและไอบูโปรเฟน เพราะอาจส่งเสริมให้เกิดภาวะเลือดออกมากขึ้น ช่วงที่วิกฤตคือช่วงที่ไข้เริ่มลง หากเกล็ดเลือดต่ำลง ร่วมกับความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นก่อนไข้ลง ให้สงสัยว่าจะเกิดช็อค หากเลือดมีความเข้มข้นมากขึ้น 20% แสดงว่ามีการรั่วของพลาสม่า จำเป็นต้องได้รับน้ำเกลืออย่างเหมาะสม แต่ การให้น้ำเกลือก่อนที่ จะมีการรั่วของพลาสม่าไม่เกิดประโยชน์ การให้น้ำเกลือจะให้เท่ากับพลาสม่าที่รั่ว โดยดูจากความเข้มของเลือดและปริมาณปัสสาวะที่ออก ถ้าให้น้ำเกลือมากเกินไปอาจจะเกิดน้ำท่วมปอด
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก การผลิตวัคซีนกำลังอยู่ในขั้นพัฒนา คาดการณ์ว่าจะสำเร็จและใช้ได้ในอนาคตอันใกล้
การป้องกัน แม้ว่าในปัจจุบันกำลังมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ แต่ก็ยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ ดังนั้นคำตอบที่ดีที่สุดของโรคไข้เลือดออกในปัจจุบันนี้ คือ การป้องกันไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีจำนวนลดลง ซึ่งทำได้โดย การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ การกำจัดลูกน้ำและตัวเต็มวัย และป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด วิธีป้องกันไข้เลือดออกที่ได้ผลดี และยั้งยืนต้องเป็นแบบบูรณการโดยการร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งนี้การป้องกันทำได้ 3 ลักษณะ คือ 1. การป้องกันทางกายภาพ ได้แก่ - ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด เช่น มีผาปิดปากโอ่งน้ำ ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงหากยังไม่ต้องการใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นที่วางไข่ของยุงลาย - เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้สดบ่อยๆ อย่างน้อยทุกๆ 7 วัน - ปล่อยปลากินลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ เช่น โอ่ง ตุ่ม อ่างบัวและตู้ปลา ภาชนะละ 2-4 ตัว - ใส่เกลือลงน้ำในจานรองขาตู้กับข้าว เพื่อควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความจุ 250 มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้นานกว่า 7 วัน
2. การป้องกันทางเคมี ได้แก่ - เติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้และรับรองความปลอดภัย - การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัย มีข้อดีคือ ประสิทธิภาพสูง แต่ข้อเสียคือ มีราคาแพง และเป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการฉีดพ่นและฉีดเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อป้องกันความเป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง ควรเลือกฉีดในเวลาที่มีคนอยู่น้อยที่สุดและฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น ท่อระบายน้ำ กระถางต้นไม้ เป็นต้น - การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 ชนิด คือ ยาจุดกันยุง และสเปรย์ฉีดไล่ยุง โดยสารออกฤทธิ์อาจเป็นยาในกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนและสัตว์ ดังนั้นเพื่อลดความเป็นพิษดังกล่าวควรจุดยากันยุงในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากกว่า ดังนั้นห้ามฉีดลงบนผิวหนัง และควรปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
3. การปฏิบัติตัว ได้แก่ - นอนในมุ้ง หรือในห้องที่มีมุ้งลวด เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด ทั้งกลางวันและกลางคืน - หากไม่สามารถนอนในมุ้งหรือในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรใช้ยากันยุงชนิดทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ประสิทธิภาพจะต่ำกว่า DEET
เครดิต อ้างอิง .. https://www.facebook.com/dengue.infection https://www.ไข้เลือดออก.com https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/102/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81/ https://www.thaivbd.org https://www.ato.moph.go.th https://www.thaivbd.org/n/researchs/view/87 ไข้เลือดออก..ฤดูกาลแห่งโศกนาฏกรรมยุงลายกัดคน(ป่วย..เป็นไข้)เลือดออกตาย แต่แพทย์ผู้รักษาเป็นจำเลย? https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-05-2008&group=4&gblog=38 โรคไข้เลือดออก... ( นำมาฝาก ไม่ได้เขียนเอง ) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=30-10-2015&group=4&gblog=116
Create Date : 17 พฤษภาคม 2551 |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2562 14:35:23 น. |
|
14 comments
|
Counter : 2315 Pageviews. |
|
|
|
นำมาฝาก
//www.siamrath.co.th/UIFont/NewsDetail.aspx?cid=97&nid=14742
เคล็ดลับพิชิตยุงลาย แบบไร้สารเคมี
ข่าววันที่ 27 พฤษภาคม 2551 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ
ยุงลาย อีกหนึ่งตัวการสำคัญที่คร่าชีวิตชาวไทยมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ก็อาจจบชีวิตเพราะยุงลายได้เช่นกัน ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลของ สำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2550 10 พฤษภาคม 2551 พบผู้ป่วยไข้เลือดออกทั่วประเทศแล้ว 13,943 ราย เสียชีวิต 16 ราย โดยมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นประมาณอาทิตย์ละ 1,000 ราย ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และสูงกว่าปี 2550 ถึงร้อยละ 72 โดยภาคกลางมีผู้ป่วยมากที่สุด 8,094 ราย รองลงมาคือภาคใต้ 2,373 ราย ภาคเหนือ 2,155 ราย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,321 ราย ส่วน กทม. พบผู้ป่วย 1,966 ราย และที่น่ากลัวไปกว่านั้นจากสถิติพบว่าโรคไข้เลือดออกมีปริมาณเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ จากที่เมื่อก่อนมักจะเกิดขึ้นเฉพาะในเด็กเล็กเท่านั้น และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่มีการร่วมกันป้องกันที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนมิถุนายน กรกฎาคมของทุกๆ ปี ซึ่งถือเป็นช่วงที่ไข้เลือดออกจะระบาดสูงที่สุด
สัญญาณอันตรายจากหน้าฝนปีนี้มาเร็วกว่าทุกปี เราทุกคนควรหามาตรการเตรียมพร้อมรับมือในการยับยั้งและกำจัดบ่อเกิดของยุงลาย ที่พร้อมคร่าชีวิตเราได้ทุกเมื่อหากไม่ระวัง โดยในการอบรม อาสาสมัครสาธารณสุขเรื่องโรคไข้เลือดออก ซึ่งจัดขึ้นในงานสัปดาห์รณรงค์โรคไข้เลือดออก 2551 โดย กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเร็วๆ นี้ ดร. สีวิกา แสงธาราทิพย์ นักวิชาการสาธารณสุข สถาบันโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค ได้มาร่วมบรรยายในหัวข้อ วิธีการควบคุม และกำจัดยุงลาย โดยได้เปิดเผยถึง 5 กลเม็ดในการพิชิตยุงลายในบ้านได้อย่างง่ายดาย และไร้สารเคมีด้วย ปิด เปลี่ยน ปล่อย ทำ คว่ำและเท ว่า
เริ่มที่วิธีแรก คือ การปิดฝาภาชนะเก็บน้ำทุกชนิดให้มิดชิดอยู่เสมอ เพราะภาชนะเก็บกักน้ำก็คือแหล่งเพาะพันธุ์อันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งการปิดสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น ปิดฝาหรือใช้ผ้าตาถี่ ๆ คลุมให้มิดชิด
ส่วนวิธีที่สอง คือ การเปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ ขวดหรือภาชนะที่ใส่ไม้ประดับต่าง ๆ ที่ต้องแช่น้ำทิ้งไว้เป็นสัปดาห์ ส่วนบางบ้านมีจานรองขาตู้กับข้าวถ้าไม่สะดวกเปลี่ยนน้ำก็สามารถเติมเกลือแกง 2 ช้อนชา หรือใส่น้ำสายชู 2 ช้อนชา เพราะถ้าน้ำเปรี้ยวยุงลายจะไม่ชอบวางไข่ หรือสามารถใส่ชันผงแทนการใส่น้ำก็ได้ หรือวิธีที่ง่ายที่สุดคือการเทน้ำเดือดลงไปทุก ๆ 7 วันก็สามารถช่วยฆ่าลูกยุงลายได้เหมือนกัน
วิธีที่สาม คือการปล่อย ปลากินลูกน้ำอย่าง ปลาหางนกยูง หรือปลาสอด โดยใส่เฉพาะตัวผู้อย่างเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขยายพันธุ์ ใส่ลงในภาชนะที่ไม่สามารถปิดฝาได้อย่างในห้องน้ำ ห้องส้วม อ่างบัว หรือใส่ทรายกำจัดลูกน้ำที่มีขายอยู่ทั่วไปในอัตรา 1 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร ทรายกำจัดลูกน้ำอาจมาในรูปแบบของถุงชา หรือใช้ผ้าขาวบางในการห่อแบบหลวม ๆ
วิธีที่สี่ คือ การทำ ด้วยการใช้สวิงช้อนลูกน้ำทิ้ง หรือใช้พืชผักสมุนไพรต่าง ๆ ในการป้องกัน อย่างเช่น มะกรูด โดยการใช้ลูกมะกรูดมาคลึงจนมีน้ำมันออกมาแล้วโยนลงในบ่อเก็บน้ำ น้ำมันของมะกรูดจะมีกลิ่นฉุนทำให้ยุงไม่มาวางไข่ นอกจากนั้นยังมีพืชผักสมุนไพรอีกมากมายในการไล่ยุง อาทิ ใบยูคาลิปตัส กระเทียม สาระแหน่ ตะไคร้ ใบแมงลัก ซึ่งพืชเหล่านี้สามารถนำมาปลูกเป็นพืชผักสวนครัวที่นำมาบริโภคในครัวเรือนได้อีกด้วย
วิธีสุดท้าย คือ การคว่ำและการเทน้ำขังออกจากภาชนะต่างๆ ที่ไม่ใช้แล้วและปล่อยวางทิ้งไว้โดยมีน้ำขัง อาทิ จานรองกระถางอาจใช้ทรายก่อสร้างช่วยดูดซับน้ำ, ยางรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้อาจมีน้ำขังอยู่ หรือวัสดุอื่นที่น้ำฝนสามารถขังได้ อาทิ ขวดพลาสติกต่าง และถุงขยะต่างๆ และการช่วยกันสำรวจตรวจสอบและเทน้ำจากต้นไม้ที่สามารถเก็บกักน้ำได้อย่างซากต้นมะพร้าว ต้นไผ่ เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อคนในบ้านได้
นอกจากนั้นแล้ว ดร.สีวิกา ยังทิ้งท้ายเกี่ยวกับการพิชิตยุงลาย และโรคไข้เลือดออกไว้อย่างน่าสนใจว่า
เราควรช่วยกันป้องกันอย่าให้ลูกยุงลายเกิด อย่าให้ยุงลายกัด ป้องกันอย่าให้ป่วย และเมื่อป่วยแล้วก็ต้องรีบรักษาอย่าให้ตาย และเป็นพาหะไปยังคนอื่นๆ