Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

ล้างพิษตับ ลำไส้ และ การดื่มน้ำด่าง .. ดี จริงหรือ ?





ล้างพิษตับ ลำไส้ และการดื่มน้ำด่าง


รองศาสตราจารย์ ดร. แก้ว กังสดาลอำไพ   ...  สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา   ...  ศูนย์ปฎิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

https://www.facebook.com/thiravat.h/posts/999103533456534

ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วไปมีความสนใจในการรักษาสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์และการบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างแพร่หลายเป็นเงาตามตัว การบริการแบบหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ การล้างพิษด้วยโปรแกรมต่าง ๆ รวมทั้งกระแสล่าสุดคือ การดื่มน้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่าง

โดยปกติร่างกายของเราได้รับสารพิษจากแหล่งต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่กิน น้ำที่ดื่ม และอากาศที่เราหายใจ ขึ้นกับว่าสถานที่ได้รับนั้นอยู่ที่ใด เช่น กรณีของอากาศนั้น ถ้าเราอยู่ในบริเวณที่มีการจราจรคับคั่งของกรุงเทพมหานคร เรามีโอกาสที่จะได้รับสารพิษหลายอย่างมากกว่าการที่เราอยู่ในที่ที่มีมลพิษทางอากาศน้อยกว่า การที่สารพิษจะก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้นั้นส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณของสารที่ได้รับว่ามากหรือน้อยเพียงใดรวมทั้งความถี่ที่ได้รับในแต่ละวัน

หลายครั้งที่นักพิษวิทยาพบว่า สารก่อมะเร็งปริมาณน้อย ๆ ทำหน้าที่เป็นสารต้านมะเร็งเองโดยไปกระตุ้นระบบทำลายสารก่อมะเร็งให้แข็งแรงขึ้น เช่น เครื่องเทศที่เราใช้ในการปรุงอาหาร มีการศึกษาพบว่า ปริมาณที่ใช้ในการปรุงอาหารตามปกตินั้นมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง แต่เมื่อทำการศึกษาให้ลึกลงไปกลับพบว่า องค์ประกอบหลายชนิดในเครื่องเทศเป็นสารก่อมะเร็งเมื่อให้สัตว์ทดลองในปริมาณสูง

สำหรับความถี่ของการได้รับสารพิษก็เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าสารพิษขนาดที่ไม่ได้ทำให้เกิดพิษเฉียบพลันเข้าสู่ร่างกายไม่บ่อยนัก ร่างกายมักทำลายสารพิษนั้นทิ้งได้ เนื่องจากการออกฤทธิ์ของสารพิษเกือบทุกชนิดต้องอาศัยความเข้มข้นที่สะสมในร่างกายสูงจนถึงระดับหนึ่ง (ภาษาวิชาการใช้คำว่า Threshold) อวัยวะหลักในการทำลายสารพิษในร่างกายมนุษย์คือ ตับ ไต ปอด ฯ ดังนั้นถ้าใครมีอวัยวะเหล่านี้ไม่แข็งแรง การออกฤทธิ์ของสารพิษก็จะเป็นไปได้ง่ายกว่าคนที่มีอวัยวะเหล่านี้แข็งแรง

ที่สำคัญ ความอ่อนแอของบางระบบในร่างกาย อาจส่งเสริมให้สารพิษออกฤทธิ์ได้มากกว่าเดิมด้วยเช่น ระบบภูมิต้านทานของแต่ละบุคคลซึ่งขึ้นกับการบริโภคอาหารว่าสมดุลตามที่ร่างกายต้องการหรือไม่

จากปัจจัยหลายประการที่กล่าวมา ทำให้ผู้ประกอบการที่มีความสามารถด้านจิตวิทยาสูง นำเอาประเด็นเหล่านี้มาเสนอให้ลูกค้ารับบริการล้างพิษ โดยไม่ทราบว่าตนเองนั้นอันที่จริงมีสารพิษชนิดใดในตัวและมีปริมาณเท่าไร และยังใช้มายาวิทยา-ไสยศาสตร์ เจาะเลือดหนึ่งหยดส่องกล้องหรือเข้าเครื่อง โม้ว่าสุขภาพเม็ดเลือดแดงไม่ดีเพราะมีสารพิษ และร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระและอื่นๆอีกมากมาย

ทฤษฎีของสารต้านอนุมูลอิสระ ขณะนี้ถือเป็นเรื่องล้าสมัย ทั้งนี้เนื่องจากการศึกษาไม่ต่ำกว่า 68 รายงานในมนุษย์ กลับพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระ beta-carotene วิตามิน A และ E นอกจากไม่ช่วยให้อายุยืนกลับตายเร็ว

การศึกษาในคนสูบบุหรี่จัดว่า beta-carotene และ retinol จะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งหรือไม่ กลับพบว่ามีมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น 28% และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 17% (ประชากรศึกษา 18,000 คน) และความเสี่ยงชัดขึ้นหลังใช้สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ไป 18 เดือน

หลักฐานพิสูจน์ชัดว่าอนุมูลอิสระอาจเป็นเรื่องเชยในปี 2556 นี้โดยใช้หนอนตัวกลม (Caenorhabditisel egans) ซึ่งปรับเปลี่ยนพันธุกรรมให้ไม่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้และควรจะตายเร็วแต่ปรากฏว่าหนอนเหล่านี้กลับอายุยืนด้วยซ้ำ


กระบวนการลดความเป็นพิษของสารพิษทั้งหลายหรือที่เรียกว่าดีทอกซ์ (Detoxification)
ตามหลักวิชาการ มักอาศัยเอนไซม์สองระบบคือ การกระตุ้นให้สารพิษ (ที่สามารถเข้าสู่ระบบการหมุนเวียนต่าง ๆ ของร่างกาย) มีความสามารถในการละลายน้ำสูงขึ้นจากเดิมด้วยการออกซิเดชั่น จากนั้นจะมีกระบวนการเชื่อมต่อ (Conjugation) ของสารพิษที่ถูกเปลี่ยนแปลงแล้วกับสารที่มีความสามารถในการละลายน้ำสูงเช่น น้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโนบางชนิด หรือสารชีวเคมีอื่น ๆ ในร่างกาย จนได้สารประกอบสุดท้ายที่ละลายน้ำได้ดีและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ และ/หรือเหงื่อ ตามความเหมาะสม

กระบวนการดังกล่าวนี้สามารถกระตุ้นให้ทำงานสูงขึ้นได้ด้วยสารเคมีธรรมชาติ ที่มีอยู่ในอาหารที่เรากินกันตามธรรมดาทุกวัน โดยส่วนใหญ่อยู่ในหมู่ผักและผลไม้ซึ่งรวมถึงสมุนไพรและเครื่องเทศต่างๆ

สำหรับการล้างพิษส่วนใหญ่ซึ่งมีการโฆษณา แท้จริงแล้วยังหาข้อยืนยันทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนไม่ได้เลยว่า ได้ผลหรือไม่ ส่วนใหญ่เป็นการล้างพิษที่เน้นเพียงเพื่อกำจัดของเก่าในลำไส้ใหญ่ออกมาด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม แต่ผลที่ได้เป็นเพียงชั่วคราวถ้าไม่ปรับปรุงพฤติกรรมการกินอาหารในระยะยาว 

ประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงขณะนี้คือ ผักผลไม้ธรรมชาติที่ต้องไม่คั้นเอาแต่น้ำ แต่ต้องกินทั้งกากใยคือตัวล้างพิษตับ พิษในร่างกายทั้งหมดยืนยันจากรายงานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย ว่าช่วยชีวิตยืนยาวสุขภาพดีไม่เป็นโรคต่างๆ ทั้งหัวใจ สมอง มะเร็ง อัลไซเมอร์ และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งนี้อาจเกี่ยวทั้งสารที่มีประโยชน์มากมายในผัก ผลไม้ธรรมชาติรวมกากไย

ที่สำคัญคือกากไยและสารประโยชน์เหล่านี้จะปรับให้ภายในลำไส้มีจุลินทรีย์ชนิดดี ไม่ไปสกัดสารพิษจากอาหารชนิดอื่นๆที่กินเข้าไป ซึ่งส่งผลร้ายต่อร่างกายทุกอวัยวะ และขณะนี้อาจเป็นไปได้ที่จุลินทรีย์ชนิดดีเหล่านี้สร้างของดีต่อร่างกายอีกทางหนึ่ง

การดีทอกซ์ลำไส้แม้ว่าจะช่วยเรื่องท้องผูกแต่อาจมีผลล้างจุลินทรีย์ชนิดดีทิ้งไปด้วย และไม่มีใครทราบได้ว่าจะทำให้ผลประโยชน์ที่ได้จากการกินผักผลไม้และกากใยลดลงหรือไม่

ในเรื่องของการดื่มน้ำด่าง ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่าเป็นการลดพิษหรือต้านมะเร็งนั้น ยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน เพราะโดยปรกติสภาวะในเลือดหรือเซลล์บางอวัยวะต้องมีค่าความเป็นกรดด่างราว 7.4 (เป็นด่างเล็กน้อย) เนื่องการทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น น้ำย่อยหรือเอนไซม์ ต้องการสภาวะนี้ 

วิธีการปรับนั้นร่างกายเรามีระบบที่อาศัยองค์ประกอบในน้ำเลือดหรือเซลล์เอง โดยได้มาจากอาหารหรือจากการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย เพื่อให้ความเป็นกรดและด่างอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม หากสภาวะความเป็นกรดหรือด่างของบางอวัยวะมากเกินไป จะมีการกระตุ้นการขับสารที่เพิ่มความเป็นกรดหรือด่างทิ้งไป เพื่อปรับระดับความเป็นกรดด่างของเลือดเข้าสู่สภาวะปกติ 

สำหรับบางอวัยวะเช่น กระเพาะอาหารนั้นต้องมีความเป็นกรดสูงคือความเป็นกรด-ด่างที่ 1 ถึง 2 ระหว่างการเริ่มย่อยโปรตีนบางส่วน ในทางตรงกันข้ามขณะที่มีการย่อยอาหารในลำไส้เล็กนั้นจำเป็นต้องมีความเป็นกรด-ด่างถึง 8 กว่า ๆ เพื่อให้น้ำย่อยในลำไส้เล็กสามารถย่อยโปรตีน แป้ง และไขมันได้สมบูรณ์แบบ

ดังนั้นความเหมาะสมของกรดด่างในร่างกายจึงต่างกันตามชนิดของอวัยวะ 

ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การแนะนำให้กินอาหารหรือดื่มน้ำเพื่อปรับร่างกายให้เป็นด่างนั้น ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อันใด เพราะสุดท้ายเมื่ออาหารหรือน้ำไปถึงอวัยวะที่ต้องเป็นกรดมันก็ต้องเป็นกรด เมื่อไปถึงอวัยวะที่ต้องเป็นด่างมันก็ต้องเป็นด่าง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีที่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์และคณะวิทยาศาสตร์ทุกมหาวิทยาลัยที่ สกอ. รับรองคุณภาพและมาตรฐานทางวิชาการ




Create Date : 24 มิถุนายน 2558
Last Update : 28 ธันวาคม 2561 21:36:20 น. 0 comments
Counter : 1113 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]