น้ำมันมะพร้าว - ออย์ พูลลิ่ง ( oil pulling ) ... ดีจริง หรือ ???
ความจริง(...ที่ปกปิด) ของน้ำมันมะพร้าว โดยหมอดื้อ 7 มิ.ย. 2558 05:01 https://www.thairath.co.th/content/503397 น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์(Virgincoconut oil) สกัดแบบบีบเย็น จากเนื้อมะพร้าวสด โดยกระบวนการที่ไม่ใช้ความร้อนหรือสารเคมี(Coldpressed coconut oil) เป็นที่นิยมกันถล่มทลายใครไม่กินเป็นเชย แต่ดีจริงหรือ หมอดื้อ ได้คุณหมอณิชา สมหล่อ หน่วยโภชนาการคลินิกฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาชี้แจงพร้อมกับหมอจะได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวกับอัลไซเมอร์ด้วย น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแม้เชื่อว่าจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าการสกัดร้อนแต่องค์ประกอบกรดไขมันจะไม่ต่างกัน โดยที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง หรือ Mediumchain triglycerides (มีจำนวนคาร์บอน 6-12 ตัว) 63%ซึ่งส่วนมากคือกรดลอริกที่มีคาร์บอน 12 ตัว (Lauric acid, C12:0)กรดไขมัน อิ่มตัวสายยาว (มีจำนวนคาร์บอน >12 ตัว) 30%และกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายยาว (มีจำนวนคาร์บอน >12 ตัว) 7% กรดไขมันอิ่มตัวสายกลางมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถดูดซึมที่ลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรงนำไปใช้ที่ตับได้อย่างรวดเร็วแตกต่างจากกรดไขมันสายยาวที่ดูดซึมผ่านระบบน้ำเหลืองก่อนเข้ากระแสเลือดและการเปลี่ยนนำไปใช้เป็นพลังงานที่ตับมีกระบวนการซับซ้อนกว่าทางการแพทย์จึงสกัดเอากรดไขมันอิ่มตัวสายกลางจากน้ำมันมะพร้าวไปใช้เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหารทางการแพทย์ชนิดรับประทานสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหารผิดปกติ (Semi-elementaldiet) เป็นส่วนประกอบสำหรับอาหารคีโตเจนิก (Ketogenic diet) ในการรักษาผู้ป่วยเด็กโรคลมชักและเป็นส่วนประกอบของไขมันในอาหารที่ให้ทางเส้นเลือดดำซึ่งการนำมาใช้ทางการแพทย์ที่กล่าวมานี้ต้องผ่านการสกัดแยกมาจากน้ำมันมะพร้าวอีกทีเพื่อเอาเฉพาะกรดไขมันอิ่มตัวสายกลางเท่านั้นไม่ใช่ใช้น้ำมันมะพร้าวแบบที่ขายทั่วไปในท้องตลาดที่มีกรดไขมันอื่นๆประกอบอยู่ด้วย กรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง(มีจำนวนคาร์บอน 6-12 ตัว) ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักทั้งๆที่มีคุณสมบัติที่ถูกนำไปใช้ในตับได้เร็วเชื่อว่าไม่สะสมเป็นเนื้อเยื่อไขมันในร่างกาย การศึกษาในประเทศบราซิล (วารสาร lipids2009) ในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนลงพุงอายุระหว่าง 20-40 ปีกลุ่มที่รับประทานน้ำมันมะพร้าว 30 มล.ต่อวันและกลุ่มที่รับประทานน้ำมันถั่วเหลือง 30 มล.ต่อวัน (กลุ่มละ 20 คน)ร่วมกับรับประทานอาหารพลังงานต่ำ และออกกำลังกายโดยการเดิน 200นาทีต่อสัปดาห์ในทั้งสองกลุ่ม เป็นเวลา 12 สัปดาห์พบว่าทั้งสองกลุ่มลดน้ำหนักและดัชนีมวลกายและเส้นรอบพุงลงได้ไม่ต่างกัน ในการศึกษาแบบวิเคราะห์เจาะลึก60 รายงาน (วารสาร The American journal of clinicalnutrition 2003) พบว่าการรับประทานอาหารที่ใช้กรดลอริกที่พบมากในน้ำมันมะพร้าวทดแทนคาร์โบไฮเดรตในพลังงานที่เท่ากันพบว่าเพิ่มคอเลสเทอรอลในเลือดทั้งตัวดี HDL และตัวร้าย LDLโดยการเพิ่มขึ้นของตัวดีจะมากกว่า จึงนำไปสู่การตีความกันว่าน้ำมันมะพร้าวน่าจะช่วยป้องกันหรือลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างไรก็ตาม การศึกษาในสัตว์ทดลองที่ไม่ใช่แค่การดูเฉพาะระดับคอเลสเทอรอลในเลือดกลับพบว่าในกระต่ายที่ได้รับอาหารไขมันสูงจากน้ำมันมะพร้าว 10%มีไขมันอุดตันในเส้นเลือดแดงสูงกว่ากลุ่มใช้น้ำมันมะพร้าว 3% เป็น 2 เท่า(วารสาร Atherosclerosis. 2010) ส่วนการศึกษาในคนซึ่งต้องเป็นการศึกษาระยะเวลานานเป็นปีๆปัจจุบันยังไม่มี น้ำมันมะพร้าวที่บรรยายสรรพคุณว่าดีสำหรับโรคสมองฝ่ออัลไซเมอร์มีcaprylictriglyceride กรดไขมันอิ่มตัวสายกลางเป็นสำคัญ ตามปกติ พลังงานจะได้จากกลูโคสเมื่อกลูโคสขาดแคลน ตับจะเป็นตัวสร้างคีโตน ให้เป็นแหล่งพลังงานแทนในกรณีนี้ก็ไม่ต้องอดอาหารเอากรดไขมันอิ่มตัวสายกลางป้อนสารคีโตนจากการผ่านทางตับให้สมองโดยโรคอัลไซเมอร์คือ เบาหวานของสมอง และสมองเบาหวานนี้จะใช้คีโตนได้ดีกว่ากลูโคสคีโตนจะช่วยลดความเสียหายในเซลล์สมองที่เกิดขึ้นจากมวลอนุมูลอิสระรวมทั้งจากสารอักเสบที่เป็นตัวการของโรคอัลไซเมอร์ และป้องกันการเกิดสารพิษโปรตีน amyloid การศึกษาการใช้อาหารคีโตนในโรคอัลไซเมอร์โดยเป็นการทดลองในหนู2 รายงาน ในปี 2005 และ 2011 ในสุนัข 1 รายงาน (2008)และในคนที่เริ่มมีอาการหลงลืม MCI (Mild cognitiveimpairment) ในปี 2012 ซึ่งมีผู้ป่วยในการศึกษา 23 รายได้รับอาหารที่มีแป้งหรือคาร์โบโฮเดรตต่ำ ซึ่งจะเหนี่ยวนำให้มีการสร้างคีโตนพบว่าจะมีความจำดีกว่าคนที่ได้อาหารแป้งสูง ซึ่งคล้ายคลึงกับรายงานในปี 2004 กับผู้ป่วยMCI และที่เป็นอัลไซเมอร์แล้วโดยให้เครื่องดื่มที่มีกรดไขมันขนาดปานกลางไตรกลีเซอไรด์จะพบว่ามีค่าการวัดความจำดีขึ้นบ้าง สำหรับการใช้น้ำมันมะพร้าวกรดไขมันอิ่มตัวสายกลางกับโรคอัลไซเมอร์มีรายงานของผลิตภัณฑ์ชื่อAxona(AC-1202) ของอเมริกาในปี 2009, 2011 และ 2012ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง 152 ราย ใช้ผลิตภัณฑ์ AC-1202 ที่ 10-20 กรัมต่อวัน ไป 90 วัน ณ วันที่ 45กลุ่มที่ได้รับน้ำมันมะพร้าวมีระดับการทดสอบดีขึ้น แต่ในวันที่ 90คะแนนกลับมาเท่ากันในกลุ่มที่ได้และไม่ได้น้ำมันมะพร้าว รวมทั้งวันที่ 104หลังจากหยุดการกินน้ำมันมะพร้าวไปแล้ว อย่างไรก็ตามผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่ไม่มียีนร้ายของสมองฝ่อกลับพบว่าน้ำมันมะพร้าวเสริมความจำให้ดีขึ้นที่การทดลองทุกระยะ ประโยชน์จากน้ำมันมะพร้าวที่สำคัญอยู่ที่ชนิดและต้องเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง ไม่ใช่น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่ไม่ทราบส่วนประกอบประโยชน์ด้านการลดน้ำหนักยังไม่ชัดเจน การป้องกันหรือลดการเกิดโรคหัวใจ และโรคสมองอาจจะเป็นไปได้ โดยที่ต้องติดตามใกล้ชิด. หมอดื้อ ...................................................... บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/17/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD/ ภญ.ธนิกา ปฐมวิชัยวัฒน์ ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล น้ำมันมะพร้าว(coconutoil) คือน้ำมันที่ได้จากการสกัดแยกน้ำมันจากเนื้อผลของต้นมะพร้าว (Cocosnucifera L.) ซึ่งเป็นพืชในตระกูลปาล์ม (Arecaceaeหรือ Palmae) ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวที่จำหน่ายในท้องตลาดและได้รับความสนใจในขณะนี้คือ virgin coconut oil ซึ่งหมายถึงน้ำมันมะพร้าวที่ใช้วิธีการสกัดแยกจากเนื้อมะพร้าวโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนสูงและไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมีวิธีที่ใช้ในการเตรียม virgin coconut oil เช่น วิธีบีบเย็นเป็นต้น องค์ประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันอิ่มตัว(มากกว่า 90%จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด)แต่กรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ที่พบในน้ำมันมะพร้าวนั้นเป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง(mediumchain fatty acid) เช่น กรดลอริก(lauric acid) ซึ่งเมื่อรับประทานและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเผาผลาญได้ดี จึงถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน(adipose tissue)ได้น้อยกว่ากรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว (long chain fatty acid) เช่น กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่พบมากในน้ำมันถั่วเหลืองเป็นต้น (1, 2) จากคุณสมบัติดังกล่าวของน้ำมันมะพร้าวส่งผลให้น้ำมันมะพร้าวได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในการรับประทานเพื่อช่วยลดความอ้วนจากรายงานการศึกษาทางคลินิก (randomised, double-blind,clinical trial) ในประเทศบราซิล (3)ทำการทดสอบเปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่มที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวและกลุ่มที่รับประทานน้ำมันถั่วเหลืองในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนลงพุง(abdominal obesity) มีอายุระหว่าง 20-40 ปี (กลุ่มละ 20 คน)รับประทาน 30 มล.ต่อวัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ระหว่างการทดสอบผู้ทดสอบทุกคนจะได้รับอาหารพลังงานต่ำ (hypocaloricdiet) และออกกำลังกาย 4 วัน/สัปดาห์ หลังสิ้นสุดการทดลองพบว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ทำให้น้ำหนักตัวและbody mass index (BMI) เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับก่อนเริ่มการทดลองเมื่อดูผลการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือดพบว่า กลุ่มที่ได้รับน้ำมันมะพร้าวไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับคลอเลสเตอรอลรวมและไขมันตัวร้าย(LDL) แต่มีระดับไขมันตัวดี (HDL) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.03 ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับน้ำมันถั่วเหลืองมีระดับคลอเลสเตอรอลรวมและไขมันตัวร้าย (LDL) เพิ่มขึ้นร้อยละ10.45และ 23.48 ตามลำดับ และมีระดับไขมันตัวดี (HDL) ลดลงร้อยละ12.62 เมื่อเทียบกับก่อนเริ่มการทดลองอย่างไรก็ตามระดับไตรกลีเซอไรด์ของทั้งสองกลุ่มไม่เปลี่ยนแปลง แม้การศึกษานี้จะแสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีผลต่อการลดลงของน้ำหนักตัวของกลุ่มทดลองและไม่ทำให้ระดับไขมันที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (คลอเลสเตอรอลรวมไขมันตัวร้าย(LDL) และไตรกลีเซอไรด์) เพิ่มขึ้นอีกทั้งยังช่วยเพิ่มระดับไขมันตัวดี(HDL) ที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคดังกล่าวด้วยอย่างไรก็ตามการศึกษานี้ทำการทดสอบในกลุ่มคนจำนวนน้อยและระยะเวลาที่ทดลองก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ (12 สัปดาห์) นอกจากนั้นการได้รับอาหารพลังงานต่ำและการออกกำลังกายสม่ำเสมอ(4วัน/สัปดาห์)ก็นับเป็นปัจจัยร่วมสำคัญที่อาจส่งเสริมให้ผลการทดลองเป็นไปในทางที่ดี จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อดูผลของน้ำมันมะพร้าวต่อการลดน้ำหนักและการสะสมของระดับไขมันดังกล่าวในระยะยาวดังนั้นจากข้อมูลที่มีในขณะนี้จึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลต่อการลดน้ำหนักหรือจะส่งผลดีต่อระดับไขมันที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดและหากจะให้แนะนำถึงหนทางที่ดีและปลอดภัยที่สุดในขณะนี้สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักก็คงจะหนีไม่พ้นการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ .................................................. OilPulling จริงหรือแหกตา ? ลองมาวิเคราะห์กันดูค่ะ*** https://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2010/01/L8762536/L8762536.html เนื่องจากช่วงนี้ได้รับหลังไมค์ถามเรื่องนี้และเห็นมีกระแสในบางห้องมาแรงเหลือเกินก็เลยอยากจะลองวิเคราะห์ดูตามความรู้ของตัวเองและตามที่ได้ศึกษามาค่ะ ข้อความจากฟอร์เวิร์ดเมล์และที่เห็นโพสต์ตามเวปขายน้ำมันพวกนี้ "ออยล์พูลลิ่งเป็นวิธีบำบัดของอินเดียที่มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนน้ำมันไปให้ทั่วช่องปากใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์พูลลิ่งเป็นที่ฮือฮาเมื่อ Dr.F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซียเมื่อปี2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง และแบคทีเรียซึ่ง Dr.Karachได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรคที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใครด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้การอมน้ำมัน ผลลัพธ์ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัยในรายงานของเขาเป็นอันมากอย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษา มีการทดสอบ ทดลองใช้ทดลองทำ พิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้นต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายชนิด Dr.Bruce Fife N.D. นักโภชนาการผู้มีชื่อเสียงซึ่งเขียนหนังสือไว้หลายเล่มรวมทั้ง Coconut Oil Miracle เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความสงสัยในรายงานดังกล่าวจึงได้ทดลองทำออยล์พูลลิ่งด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ Dr. Fife ถึงกับออกปากว่าออยล์พูลลิ่งเป็นการรักษาของแพทย์ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่สิ่งที่ Dr.Fife สงสัยคือ เหตุใดการอมน้ำมันจึงช่วยรักษาโรคได้เขาเริ่มศึกษาการทำออยล์พูลลิ่งของ Dr. Karach อย่างจริงจังรวมทั้งศึกษารายงานอีกเป็นร้อยๆชิ้นในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นคำตอบทางวิทยาศาสตร์ซึ่ง Dr. Fife เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy มีใจความบางตอนดังนี้ -ในปากของคนเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ในปากของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรียไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว แต่ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย เพราะปากเป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสมมีความร้อน ความชื้น และอุณหภูมิคงที่ ยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์จากเศษอาหารที่เรารับประทานกล่าวกันว่าปริมาณแบคทีเรียในปากของคนคนหนึ่ง มีมากกว่าจำนวนประชาการของคนทั้งโลกแบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่บนผิวฟัน บางชนิดอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันและเหงือกบางชนิดอยู่ที่เพดานปาก และบางชนิดอยู่ที่ใต้ลิ้นและโคนลิ้นการแปรงฟันและการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดปริมาณแบคทีเรียเหล่านี้ลงได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้นซึ่งไม่นานก็จะกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดิม -โรคร้ายทุกชนิดเริ่มต้นที่ปาก อาจฟังดูเหลือเชื่อแต่หากไม่นับโรคทางพันธุกรรม โรคทางอารมณ์ หรือโรคจากการบาดเจ็บต่างๆโรคร้ายเกือบทุกชนิด รวมทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆล้วนเริ่มต้นที่ปากเนื่องจากปากเป็นประตูเข้าสู่ร่างกายการรับประทานอาหารไม่ถูกต้องหรืออาหารที่มีพิษ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอยิ่งกว่านั้นในปากและลำไส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียนับพันล้านตัว บางชนิดเป็นอันตรายบางชนิดไม่ และบางชนิดเป็นประโยชน์ ถ้าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือดแม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำให้เราถึงแก่ความตายได้หากในปากของเรามีแผล หรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อจะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่ายเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิดตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ -ออยล์พูลลิ่งทำงานอย่างไร? ออยล์พูลลิ่งเป็นการบำบัดที่ทำได้ง่ายที่สุดแต่ก็มีประสิทธิภาพมากที่สุดในบรรดาการรักษาทางธรรมชาติด้วยเช่นกันสำหรับหลายๆคนมีความรู้สึกว่า แค่การอมและเคลื่อนน้ำมันไปทั่วๆปากไม่น่าจะช่วยรักษาโรคได้ อันที่จริงออยล์พูลลิ่งไม่ได้รักษาโรคแต่มันช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคหรือเป็นตัวการปล่อยสารพิษให้หมดไปเพื่อให้ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นฟู ออยล์พูลลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วนๆแบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคร้ายหรือปล่อยสารพิษแก่ร่างกายนั้นแต่ละเซลล์ของมันจะปกคลุมด้วยน้ำมันหรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของผิวเซลล์(เซลล์ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำสิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ไม่ยอมผสมรวมกันแต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือน้ำมันทั้งสองจะผสมรวมและดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พูลลิ่ง เมื่อคุณใส่น้ำมันลงในปากเนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปากแบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟันหรือตามซอกของฟันจะถูกดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯคุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกด้วยเช่นกันสิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน (water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลายน้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย เมื่อแบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไปจึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไปกระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซมการมีสุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด -โรคที่ได้รับรายงานว่าตอบสนองต่อการทำออยล์พูลลิ่ง ผลของการทำออยล์พูลลิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือสุขภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันขาวขึ้น แน่นขึ้นไม่โยกคลอนเหงือกเป็นสีชมพูแลดูมีสุขภาพ ลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ดูเหมือนว่าออยล์พูลลิ่งจะช่วยเยียวยาความเจ็บไข้หรืออาการป่วยเรื้อรังได้อีกหลายชนิดต่อไปเป็นชื่อของโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่มีผู้รายงานเข้ามาว่ามีการตอบสนองที่ดีกับออยล์พูลลิ่ง:สิว ภูมิแพ้ รังแค ไซนัส ปวดหัวไมเกรน น้ำมูกมาก หืด หลอดลมอักเสบ ผิวหนังอักเสบเรื้อนกวาง ปวดหลังปวดคอ ข้ออักเสบ กลิ่นปาก ฟันผุ ฟันเป็นหนอง เลือดออกตามไรฟันโรคเหงือก ท้องผูก แผลในกระเพาะ ลำไส้ ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร นอนไม่หลับอ่อนเพลียเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน ส่วนอาการหรือโรคที่การศึกษาทางการแพทย์พบว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปากโดยตรงและอาจมีผลตอบสนองกับการทำออยล์พูลลิ่งได้แก่ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ(ARDS) ถุงลมโป่งพองการอุดตันของเส้นเลือดและเส้นเลือดในสมอง ผลเลือดผิดปกติ ฝีในสมอง มะเร็ง เกาท์ถุงน้ำดี หัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง แท้งบุตร ไต ตับ ความผิดปกติของระบบประสาทกระดูกพรุน ปอดบวม ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย แพ้สารพิษและโรคติดเชื้ออื่นๆอีกหลายชนิด" ข้อความนี้น่าจะแปลมากจากเวปhttps://www.oilpulling.com/และตรงกับหนังสือเรื่อง Oil Pulling .................................................. พบว่าข้อความดังกล่าวเต็มไปด้วยเนื้อหาที่ไม่น่าเชื่อถือ "ในปากของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรียและโรคร้ายทุกชนิดเริ่มต้นที่ปาก" -คงไม่ขนาดน้านนนน... แบคทีเรียในช่องปากมีอยู่เป็นร้อยๆชนิดก็จริง แต่มีอยู่ไม่กี่อย่างที่ทำให้เกิดโรคในช่องปาก -ส่วนโรคอื่นๆที่พบว่าเกิดจากแบคทีเรียในช่องปาก เช่นโรคลิ้นหัวใจติดเชื้อจากแบคทีเรีย (BacterialEndocarditis) ก็ต้องเกิดในคนที่มีความบกพร่องของลิ้นหัวใจอยู่แล้ว(ในคนไข้โรคหัวใจจึงต้องให้ยาปฏิชีวนะป้องกันเวลาทำฟัน) โรคปอดอักเสบจะพบในคนไข้ป่วยหนักที่ใส่ท่อช่วยหายใจและนำพาเชื้อจากช่องปากเข้าไปเป็นต้น ไม่ใช่ว่าใครจะป่วยกันง่ายๆ "ถ้าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือดแม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำให้เราถึงแก่ความตายได้หากในปากของเรามีแผล หรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อจะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่ายเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิดตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ " -ชี้ให้เห็นว่าคนเขียนไม่มีความรู้ด้านการแพทย์เพียงพอเพราะถึงแม้มีการผ่านของเชื้อโรคทางแผลเข้าเส้นเลือด ก็ไม่สามารถก่อโรคได้ง่ายเพราะร่างกายมีระบบป้องกันตนเอง (ไม่เช่นนั้น เราคงป่วยตายตั้งแต่กันตอนเป็นเด็กแล้วเพราะใครๆก็คงเคยมีแผลในปากทั้งนั้น) "ออยล์พูลลิ่งทำงานอย่างไร?" -ไขมันไม่น่าดึงเอาแบคทีเรียในปากออกมาได้ ด้วยการอม หรือกลั้วปาก ได้ดีกว่าน้ำ เพราะว่าโครงสร้างผนังเซลล์หรือ cell membrane เป็นชั้นไขมันอยู่ภายใต้ peptidoglycan ไขมันที่อมเข้าในปากจึงไม่ได้สัมผัสโดยตรงกับไขมันที่เยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย เพราะโครงสร้างภายนอกเป็น peptidoglycanซึ่งไม่ใช่ไขมัน -สารพิษหรือ toxin ในร่างกายไม่สามารถถูกดึงผ่านหลอดเลือดหรือเยื่อบุกระพุ้งแก้มออกมาได้ด้วยน้ำมันหรอกค่ะถ้ามันออกมาได้คงวุ่นวายน่าดู555...ถ้ามันผ่านออกมาได้จริงก็บ้วนปากออกซะก็สิ้นเรื่อง อีกอย่าง toxin ที่ควรจะถูกจับด้วยน้ำมันควรจะต้องละลายได้ดีในไขมัน (fat-soluble)ก็ไม่ควรจะมาลอยเท้งเต้งในกระแสเลือด ควรจะไปอยู่ในอวัยวะที่มีไขมันแล้ว oil pulling จะดึงออกมาได้อย่างไร "โรคที่ได้รับรายงานว่าตอบสนองต่อการทำออยล์พูลลิ่ง" -โอเค เรื่องสุขภาพปากและฟันอาจจะดีขึ้นจริงๆเพราะว่าการบ้วนปากด้วยน้ำมันกลั้วไปกลั้วมาตั้ง 20 นาทีพร้อมกับบ้วนปากตามก็คงเป็นการรักษาสุขภาพช่องปากอยู่แล้วและมีการวิจัยว่าพวกน้ำมันอะไรพวกนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออ่อนๆรวมทั้งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจึงทำให้ลดการอักเสบได้ -แต่ไอ้คำกล่าวว่า "อาการหรือโรคที่การศึกษาทางการแพทย์พบว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปากโดยตรงและอาจมีผลตอบสนองกับการทำออยล์พูลลิ่งได้แก่ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ( ARDS) ถุงลมโป่งพองการอุดตันของเส้นเลือดและเส้นเลือดในสมอง ผลเลือดผิดปกติ ฝีในสมอง มะเร็ง เกาท์ ถุงน้ำดี หัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง บลาๆๆๆ..." นั้นไม่มีหลักฐานด้านการแพทย์หรืองานวิจัยยืนยัน ค้นจาก"Pubmed"ซึ่งเป็นแหล่งรวมงานวิจัย พบเรื่อง "Oil Pulling" เพียงสองเรื่องที่ศึกษาว่าการบ้วนปากด้วยน้ำมันตามวิธีนี้สามารถลดปริมาณเชื้อ Streptococcus mutans ลด Plauqe ในช่องปากและเหงือกอักเสบได้ ไม่มีรายงานเรื่องผลต่อโรคอื่นๆเลยรวมทั้งเวปงานวิจัยอื่นๆด้วย ในงานวิจัยนี้ https://www.ijdr.in/article.asp?issn=0970-9290;year=2009;volume=20;issue=1;spage=47;epage=51;aulast=Asokanพบว่าประสิทธิภาพของ oil pulling ก็พอๆกับการใช้น้ำยาบ้วนปากchlorhexidine 1 นาที ...ก็เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะอมน้ำมัน 20นาที หรือบ้วนปากแค่หนึ่งนาที ^ ^ -"Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซียเมื่อปี2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง " เป็นการกล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆหาที่อ้างอิงไม่ได้ ชื่อของ Dr.F. Karach ปรากฎแต่ในเวปของ Oil Pulling เท่านั้น สรุป -เราไม่ควรนำแบคทีเรียออกจากปากหรืออวัยวะส่วนใดของเรา (เช่น การสวนล้าง... การทำ detox)เพราะแบคทีเรียพวกนี้เป็นแบคทีเรียเจ้าถิ่นทำหน้าที่รักษาสมดุลให้ร่างกายและต่อสู้กับแบคทีเรียร้าย -การกล่าวเชิญชวนว่ามีวิธี หรือยาอื่นใดที่สามารถรักษาโรคสำคัญ เช่น หัวใจ ปอดเบาหวาน โดยมิได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ถือว่าผิดกฎหมาย -การจะเชื่อสิ่งใดๆ ต้องมีเหตุผลและหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ เช่นการรับรองจากนักวิชาการ งานวิจัยที่เชื่อถือได้ Reference https://www.mayoclinic.com/health/dental/DE00001 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/sites/entrez https://www.textbookofbacteriology.net/normalflora.html https://www.lisabarger.com/oil_pulling_debunked/ กระทู้นี้ก็สมควรใช้วิจารณญาณในการเชื่อเช่นกันค่ะ... ไม่ว่ากันถ้าใครจะลองทำเพราะว่าเห็นว่าไม่เสียหาย แต่ไม่ควรหลงงมงายเกินไปค่ะ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 17:28:58 .................................... OilPulling Therapy เรื่องหลอกลวง(hoax),Thaihoax.co.cc https://sites.google.com/site/thaihoax/Home/oil-pulling-therapy สรุปว่าเรื่องที่อ้างถึงว่ามาจากวิธี Oil Pulling ดังว่านี้เป็นเรื่องหลอกลวง อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลรับรองว่าเป็นจริงโดยองค์กรใดด้านสาธารณสุข,มหาวิทยาลัย, องค์การอนามัยโลก.สำนักข่าวอย่างCNN.com และ BBC.co.uk ก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นธุรกิจผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมากจากอินเดีย ผู้มีทักษะทางภาษาอังกฤษดี ย่อมต้อง postว่าเป็นเรื่องจริงในทุก forum ที่ postได้ ดังนั้นทำให้เกิดความเชื่อถือว่าเป็นเรื่องจริงมากขึ้นไปอีก เขียนเป็นหนังสือยังทำได้ แค่ post เหตุใดจะไม่ได้
Create Date : 08 มิถุนายน 2558 |
Last Update : 28 ธันวาคม 2561 21:37:04 น. |
|
0 comments
|
Counter : 709 Pageviews. |
|
|
|