กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
บุญ
ข้อธัมม์ที่ถาม-เถียงกันบ่อย
หลักปฏิบัติ
สภาวธรรม
ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
ผู้พิพากษาตั้งตุลา ใ ห้ สั ง ค ม ส ม ดุ ล
คติธรรมสั้นๆ
ภาษาธรรมวันละคำ
รู้เขา รู้เรา
ปัจฉิมวาจา
ความเป็นมาของการบวช
การทำวัตรสวดมนต์
ทำยังไงจึงจะมีอายุยืนและมีความสุข
นิพพาน-อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท
พลังดันคน
ที่ทำงานของจิต
บรรลุธรรมอะไร?
พุทธปรัชญาในสุตตันตปิฎก
ธัมมาธิบาย
สวดมนต์
ความจน เ ป็ น ทุ ก ข์ ใ น โ ล ก
เรียนบาลีเพื่อรักษาพุทธพจน์
ศีล-ธรรมไม่มาโลกาจะพินาศ
หลักธรรมสำหรับผู้ยังไม่นับถือศาสนาใดๆ
ก่อนศึกษาพุทธธรรม
ภาค ๑. มัชเฌนธรรมเทศนา
ภาค ๒. มัชฌิมาปฏิปทา
ภาค ๓. อารยธรรมวิถี
วัฒนธรรมประเพณี
จารึกธรรม
<<
กุมภาพันธ์ 2567
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
17 กุมภาพันธ์ 2567
???
ธรรมานุธรรมปฏิบัติ
สันโดษ ไม่สันโดษ ดีไม่ดี
ได้ดุลพอดี ที่เป็นลักษณะทางสายกลาง
ปัญญา ชี้นำเข้ามาและเดินหน้าในทางสายกลาง
???
ดินแดนที่ตกอยู่ในความวุ่นวาย
หมายเหตุ
ทีนี้ มองดูเกาะใหญ่ ถัดลงไปทางใต้
มะละกาลับหาย สุมาตรา-ชวา เฟื่องฟูขึ้นมาใหม่
มะละกา ที่แดนมาเลเซียขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือ ชวา
???
ชวา ขึ้นมาล้ำ สุมาตรา
มลายู ขยายจากสุมาตรา ขึ้นยังมาเลเซีย
อิสลาม เริ่มเข้าที่ สุมาตรา
อินโดนีเซีย: ที่สุมาตรา ย้อนไปถึง ศรีวิชัย
???
อินโดจีน ส่วนล่างกับอดีตเด่นดังที่ ลังกาสุกะ
อินโดจีน ย้อนอดีตถึง ทวารวดี
จีน- อินเดีย แล้วเกิดมี อินโดจีน - อินโดนีเซีย
ภาคผนวก
คู่ต่างคู่เติม เสริมความรู้ธรรมให้เต็ม
พุทธในอินเดียแต่ละยุคๆ
ทัพมุสลิมเตอร์ก เก็บฉาก
ปุษยมิตร - มิหิรกุละ - ศาศางกะ ทำลายพุทธในระหว่าง
ศิวะอวตาร
นารายณ์อวตารเป็นพระพุทธเจ้า
เรื่องเกี่ยวกับโพธิสัตว์
ต้นโพธิ์ พระสถูป พระพุทธรูป
ย้ำอีกที
พระรัตนตรัย:สื่อเชื่อมต่อ และส่งเข้าสู่ทาง
ดูข้างเคียงให้ทั่ว จะเห็นของตัวว่าเป็นอย่างไร
ย้ำ
วัดถ้ำ: พุทธ เชน ฮินดู เปลือกดูคล้าย
เค้าอวสานแห่งพุทธศาสนา
ฮินดูฟื้น พุทธศาสนาสลบ
พุทธศาสนาประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์
วัดกับถ้ำ
หลังพุทธกาล คามวาสี-อรัญญวาสี จึงมี
ถ้ำกับชีวิตของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
อชันตา เอลโลรา
???
ระบบสัมพันธ์ของธรรม
รู้ทุกข์จึงดับทุกข์ได้ไม่ใช่รู้ทุกข์ไป แล้วกลายเป็นทุกข์
เศรษฐกิจจะพอดี เมื่อมันทำหน้าที่เป็นปัจจัย
ปัญญา
สัญญา
ผู้ปล่อยวางได้ แต่ไม่ปล่อยปละละเลย
ความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่แท้ อีกที
ความไม่ยึดมั่นที่แท้ ต้องดูจากคติพระอรหันต์
สมมุติ,บัญญัติ
ธรรมกับวินัยเสริมกัน
วินัยเป็นบรรทัดฐานแห่งพฤติกรรมที่ถูกต้องตามธรรม
วินัย
ดูหัวข้อนี้ให้ชัด
ธรรมที่ตรัสไว้ต่างชุด ดุจเครื่องมือที่ใช้กับต่างงาน
ดุลยภาพในระบบความสัมพันธ์ของธรรม
ความเชื่ออีกแนวหนึ่ง
ความไม่ประมาท ช่วยปรับให้พอดี จึงเป็นทางสายกลาง
สติมา ปัญญาเกิด
มองอินเดียกับฝรั่ง ให้เห็นความแตกต่างที่เป็นคติแก่ไทย
บทบาทหน้าที่ของสติ กับ ปัญญา
ระบบทุกข์ภัยประดิษฐ์ ดีกว่าปล่อยให้มักง่าย
เรียบง่าย แต่ระวัง อย่าให้กลายเป็นมักง่าย
ความประมาท ความไม่ประมาท เป็นไฉน
ผู้ไม่ประมาทใช้ประโยชน์จากอนิจจัง
มนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเสื่อมความเจริญ
ความไม่ประมาท คือความสามารถที่จะไม่เสื่อม
ถิ่นปิยชนผู้เปี่ยมด้วยศรัทธา
???
ธรรมานุธรรมปฏิบัติ
สันโดษ ไม่สันโดษ ดีไม่ดี
ได้ดุลพอดี ที่เป็นลักษณะทางสายกลาง
ปัญญา ชี้นำเข้ามาและเดินหน้าในทางสายกลาง
อธิษฐานจิต
ใช้เวลาสักนิด กับ เรื่องภวังคจิต
สายมู
???
สมาธิมีประโยชน์มากมาย ต้องใช้ให้คุ้มและให้ครบ
อย่าทิ้งความคิดปรุงแต่งทันที ปรุงแต่งดีได้ถึงฌานสมาบัติ
พระพุทธเจ้ากับเพลง
จะอาศัยสิ่งกล่อมหรือจะใช้วิริยะและปัญญา
อิสรภาพของมนุษย์ จะได้ด้วยการศึกษาที่ถึงธรรม
พระพุทธเจ้ามา ประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์
ความรักต้องคู่กับความรู้
คิดปรุงแต่ง กับ คิดวิปัสสนา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพราะโยนิโสมนสิการ
มีโยนิโสมนสิการ เรื่องร้ายก็กลายเป็นดี
รูปกาย ธรรมกาย
ที่ประกาศอิสรภาพของมนุษย์
มุสลีมะอินโด ฯ
ปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไป นามกายเจริญเอง
โปรยธรรมบนเส้นทางสู่ที่ปรินิพพาน
เส้นทางพุทธกิจ: พุทธคยา ถึง กุสินารา
ถ้าสังเวชเป็น ก็จะได้เห็นธรรมกาย
มุสลิมเตอร์ก มุสลิมมองโกล รุ่งแล้วเลือนลับ
จากยุคมุสลิมอาหรับ เข้าสู่ยุคมุสลิมเตอร์ก
สุหนี่นำอิสลามครองสะเปน จ่อแดนจีน
ชีอะฮ์แยกออกมา
อิสลามแผ่ไพศาล
อิสลามรวมอาหรับ
เมตตาที่มีปัญญา จึงพาโลกสู่สันติสุขได้
???
รักษาแผ่นดินไทย ให้เป็นแผ่นดินธรรม
จุดเริ่มของแผ่นดินธรรม
ถ้าคนประสานกับธรรม ก็มีทางแก้ปัญหาชีวิตและสังคม
พุทธะโยงเราเข้าถึงธรรม
พระรัตนตรัย ต้องรู้จักใช้ให้เป็นสรณะ
มนุษย์ประเสริฐเพราะเป็นสัตว์ที่ฝึกได้
จากเทพสู่ธรรม จากธรรมสู่กรรม
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จะประกาศธรรมแสนยาก
ย้ำ
รู้ธรรม คือรู้เรื่องธรรมดา
โพธิพฤกษ์ โพธิญาณ
มหาวิทยาลัยสงฆ์มีไว้ทำไม
???
๕ แคว้น ที่ยิ่งใหญ่
ย้ำอุเบกขา
มาฆบูชา พัฒนาความรักแห่งวาเลนไทน์
ให้รักกับรู้ มาเข้าคู่ดูแลกัน
มนุษย์กับมนุษย์รักกัน แต่มนุษย์ทุกคน
ถึงความรักจะดี ก็ไม่พอ
มาฆบูชา กับ วาเลนไทน์
ละชั่ว ทําดียังไม่พอ ต้องต่อด้วย
หัวใจเดียว แต่มีสี่ห้อง
มาฆบูชาขึ้นมาเป็นวันสําคัญในพระพุทธศาสนา
สาระของโอวาทปาติโมกข์
มาฆบูชา กับ หัวใจพระพุทธศาสนา
ราชคฤห์ ศูนย์อํานาจการเมือง
หัวใจธรรม จากจุดศูนย์กลาง
พระพุทธศาสนาในมือของพุทธบริษัท
ร่องรอยที่เหลือ และเค้าการฟื้นฟูหลังหมดสิ้น
อวสานมาถึง เมื่อทัพมุสลิมเตอร์กลงดาบสุดท้าย
เทียบ ปทท.
นาลันทากับความเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนา
วัดพุทธ ต้นกําเนิดมหาวิทยาลัยของโลก
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ก็เกิดการศึกษาแก่มวลชน
ฟูจิ
เอาธรรมไปเป็นหลักประกันชีวิตและสังคมไว้
ธรรมเป็นอิสระจากคน คนถึงธรรมเป็นอิสระจากสังขาร
ศรัทธากับปัญญา นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ่า
ศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ราชสังคหวัตถุ ๔
หลักธรรมที่อโศกราชาใช้ปกครองบ้านเมือง
อโศกราชากล้าหาญในทางสันติ
เทียบกันแล้ว สรุปได้
ดูพุทธพจน์แล้ว อ่านธรรมโองการเทียบ
อโศกธรรม หรือ คหัฐวินัย
ธรรมวิชัย:หลักการใหญ่ที่นําเข้าสู่พุทธธรรม
อโศกมหาราช อโศกธรรม
ศิลาจารึกอโศก เป็นของพระเจ้าอโศกมหาราชแน่หรือ
ทรัพย์และอํานาจ สู่ความหมายและคุณค่าใหม่
ธรรมวิชัย
ไม่ประมาท ก็ไม่เสื่อม
วัดพระราม
ชมพูทวีปในพุทธกาล
สังเวชนียสถาน ๔
ย้อนทางเข้าสู่แดนพุทธภูมิ
ปัญญา ชี้นำเข้ามาและเดินหน้าในทางสายกลาง
ปัญญา ที่ชี้นำ ให้เข้ามา และเดินหน้าไปในทางสายกลาง
ตอนนี้ขอโยงมาสู่ธรรมสำคัญ คือ เรื่องทางสายกลาง และความไม่ประมาท เป็นการขอพูดในเรื่องธรรมที่โยง กับ สังเวชนียสถานที่ได้ไป คือ
- ตอนแสดงธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนะฯ ได้แก่ หลัก
ทางสายกลาง
- ตอนมาถึงที่ปรินิพพาน ณ กุสินารา ได้แก่หลัก
ความไม่ประมาท
ธรรมเหล่านี้โยงกันหมด
ก่อนจะพูดสองหลักสองเรื่องนั้น ก็ขอยกตุ๊กตาขึ้นมาก่อน
เมื่อเรามาประเทศ
อินเดีย
ก็ได้เห็นแล้วว่า ประเทศอินเดียนี้รกรุงรัง สกปรก ไม่เป็นระเบียบแค่ไหน แต่ท่านมหาสุทินบอกว่า คนอินเดียนี่ไม่เป็นโรคเส้นประสาท และอยู่สุขสบายดี
หันมาดูอีกด้านหนึ่ง คือ
ฝรั่ง
ประเทศฝรั่งมีความเจริญ มีความเป็นระเบียบ สังคมเขามีความก้าวหน้า มีเทคโนโลยีทันสมัย เขาจัดสรรสิ่งทั้งหลายและสังคมให้เรียบร้อยได้พอสมควร แต่พร้อมกันนั้น ก็มีปัญหาโรคจิต และโรคประสาทอะไรต่างๆ มาก
ทั้งสองสังคมมีทั้งข้อดี และข้อเสียของตนเอง สองอย่างนี้เป็นทางเลือกว่า อันไหนดีกว่ากัน เราควรจะเอาอย่างไหน อย่างใดอย่างหนึ่งหรืออย่างไร
พระพุทธศาสนาบอกว่า มันไม่ใช่ทางเลือก
ที่จะต้องเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถทำสิ่งที่ดีกว่านี้ได้ สองอย่างนี้น่าจะเป็นสุดโต่งสองทางมากกว่า มันเป็น ที่สุด ๒ อย่าง มากกว่าจะเป็นทางเลือก ในแง่ของชาวพุทธ เราจะไม่ยอมถ้ามันยังมีส่วนเสียอยู่
ในส่วน
อินเดีย
ที่ใจสุขสบาย แต่สกปรกรกรุงรัง อย่างนี้เราคงจะไม่เอา เรายังไม่ยอม ส่วน
ฝรั่ง
ที่ว่ามีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เป็นต้น แต่จิตใจคร่ำเครียดมีทุกข์มาก เราก็ไม่เอาเหมือนกัน
ชาว
พุทธ
เราถือว่า คนเราพัฒนาได้ มันต้องมีดีกว่านี้ แสดงว่าทั้งสองทางนี้คงผิด มีอะไรที่มันพลาดได้
ก็ต้องถามว่า แล้วอะไรคือความพอดี ที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ ที่เรียกว่า
มัชฌิมาปฏิปทา
แปลว่า
ทางสายกลาง
ก็คือ
ทางแห่งความพอดี
พอดี
มีความหมายอย่างไร
หรือทางสายกลางมีความหมายอย่างไร
“ทางสายกลาง” ไม่ใช่หมายความว่า เขาอยู่กันสองฝ่าย เราก็ไป อยู่กึ่งกลางระหว่างสองฝ่ายนั้น บางคนคิดว่าอย่างนั้น มีอยู่สองฝ่าย เราก็อยู่ตรงกลาง เรียกว่าสายกลาง
พวกหนึ่ง
กินเหล้ามากๆ
พวกหนึ่ง
กินน้อยๆ
เราก็กินกลางๆ
อย่างนี้หรือเรียกว่าทางสายกลาง ถ้าหากว่ามีแต่คนทำชั่ว พวกหนึ่งทำชั่วมาก พวกหนึ่งทำชั่วน้อย
เราก็เลยทำชั่วกลางๆ
อย่างนี้ไม่ใช่ทางสายกลาง แต่เป็นครึ่งๆกลางๆ ไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนา
ดังนั้น ต้องทำความเข้าใจกันให้ชัดว่า ทางสายกลาง นั้น ไม่ใช่ไปอยู่กึ่งกลางระหว่างสองฝ่าย
แต่ต้องมีหลักการที่แน่นอนชัดเจน ทางสายกลางมีหลักการอย่างไร
เป็นเรื่องที่สำคัญ
ทางสายกลาง
นั้น มีหลักพื้นฐานอยู่อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะพูดถึงหลักอื่นๆ ก็คือว่า ในทางสายกลางนี้ จะเห็นว่า
สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ หรือปัญญาเห็นชอบ เป็นข้อต้น ตรงนี้แหละสำคัญ เป็นตัวให้หลัก พื้นฐานคือ ต้องมี
ปัญญา
ต้องมีความรู้ ต้องเข้าใจถูกต้อง แต่ยังมีข้อปลีกย่อยที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ อีก ใน
ระบบ
ที่เป็นทางสายกลางนี้
ตอนนี้ ขอให้เป็นข้อสังเกตเบื้องต้นก่อนว่า ปัญญาเห็นชอบ หรือความเข้าใจถูกต้องนี้ เป็นพื้นฐาน หรือเป็นตัวกำหนดที่สำคัญของทางสายกลาง
จะขอ
ยกตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องทางสายกลาง ในชีวิตประจำวัน
เช่น เรื่องการกินอาหาร
การกินอาหารให้ถูกต้องก็เป็นเรื่องทางสายกลางเหมือนกัน คือ การ
กินพอดี
กินพอดี
ที่เป็นทางสายกลางนั้น วัดได้อย่างไร เอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด ถ้าเห็นอันนี้แล้ว ก็เป็นตัวอย่างของทางสายกลางแบบง่ายๆ
กินพอดี
คนจำนวนมากเอาอะไรเป็นเกณฑ์ในการกิน ขอให้สังเกตดู เขาจะใช้ความอร่อยเป็นเกณฑ์ คนที่ยังไม่มีการศึกษา ยังไม่ได้ฝึกฝนพัฒนา ไม่มี
โยนิโสมนสิการ
ไม่มีความรู้จักคิดพิจารณา ก็จะกินตามอร่อย
เพราะว่า เมื่อ
กิน
นั้น
ลิ้น
เป็นผู้เสพรส เป็นผู้ได้รับสัมผัส ก็จะได้
เวทนา
คือความอร่อยหรือไม่อร่อย เขาต้องการเสพแต่รสอร่อย และปฏิเสธรสที่ไม่อร่อย เพราะฉะนั้น ความอร่อยหรือไม่อร่อยก็จะเป็นเกณฑ์วินิจฉัยในการกิน ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่กิน ถ้าอร่อยก็กิน ยิ่งอร่อยก็ยิ่งกิน อร่อยมากก็ยิ่งกินให้มาก
เมื่อเราเอาความอร่อยเป็นเกณฑ์ในการกินแล้ว จะเกิดผลอะไรขึ้น คือ ยิ่งอร่อยมากก็ยิ่งกินมาก เมื่ออร่อยมาก กินมาก ก็จะมีผลคือ
เฉพาะหน้า
ในปัจจุบัน กินจนพุงกางกระทั่งอึดอัด อาหารไม่ย่อย ลุกไม่ขึ้น
ระยะยาว
ก็คือ กินจนกระทั่งเสียสุขภาพ อ้วนเกินไป เป็นโรคไขมันในเส้นเลือด หรือเป็นโรคอะไรต่างๆ หลายอย่าง ซึ่งคุณหมอทราบดีว่า กินอาหารที่เอารสอร่อยเป็นเกณฑ์จะมีผลร้ายอย่างไร
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อกินเพราะรสอร่อย ก็เลยไม่คำนึงว่ามันมีโทษ หรือมีคุณแค่ไหนอย่างไร ไม่คำนึงถึงคุณค่าของอาหาร ว่าอาหารนี้จะเป็นโทษต่อร่างกายไหม อาหารนี้จะมีสารพิษสารเคมีปนไหม ปรุงแต่งกลิ่นสีรสอะไรหรือเปล่า ไม่ได้คำนึงถึงโทษภัย เอาแค่เสพรสอร่อย ในที่สุดกลายเป็นว่ากินอาหารแพง สิ้นเปลืองมาก โก้เก๋ดีเยี่ยมตามค่านิยม แต่ร่างกายทรุดโทรมเป็นโรค
ดังนั้น การใช้รสอร่อยเป็นเกณฑ์ในการกินจึงไม่ถูกต้อง อันนี้คือ การกินตามชอบใจไม่ชอบใจ ซึ่งเป็น
หลักเดียวกัน คือ หลักที่ว่าประสบการณ์
เข้ามา
ทางตา หูจมูก ลิ้น กาย
ก็
เอาเวทนาเป็นตัวตัดสิน
วินิจฉัยด้วยความรู้สึกคือเวทนา ถ้าเป็นสุขเวทนา คืออร่อย ก็ชอบใจ เมื่อชอบใจก็กิน ถ้าเป็นทุกขเวทนา คือไม่อร่อย ก็ไม่ชอบใจ เมื่อไม่ชอบใจ ก็ไม่กิน นี่เรียกว่า
กินด้วยตัณหา
มีวิธีกินอีกอย่างหนึ่ง คือ อย่างน้อย คนที่มีการศึกษาจะเริ่มถามตัวเองว่า ที่เรากินนี้เพื่ออะไร อะไรเป็นวัตถุประสงค์ของการกินอาหาร
เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญดูก็จะเริ่มรู้ว่า ที่เรากินนี้ก็เพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ เพื่อให้ร่างกายนี้ มีกำลังแข็งแรงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งคำตอบอย่างรวบรัดก็คือ
เพื่อสุขภาพ
นั่นเอง
วัตถุประสงค์ของการกิน
ก็คือ ให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดีแล้ว ต่อจากนั้นก็จะมีอย่างอื่นตามมาอีก เช่น
ของพระ
บอกว่า
พฺรหฺมจริยานุุคฺคหาย
เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ หมายความว่า เพื่อเกื้อหนุนการดำเนินชีวิตที่ดีงามประเสริฐ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมรรคได้ คือเพื่อว่าเราจะได้อาศัยร่างกายนี้ ไปดำเนินชีวิตที่ดีงาม ศึกษาเล่าเรียน พัฒนาชีวิต ทำคุณประโยชน์สร้างสรรค์สิ่งดีงามมีคุณค่าต่อไป
พอเราหาจุดหมายของการกินได้
ว่า อยู่ที่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดี ว่านี้คือความต้องการที่แท้จริงของชีวิต พอเรากำหนดตัวนี้ได้ นี่คือ
เรารู้เข้าใจความจริง
ของ
ธรรมชาติ
หรือรู้ธรรม ก็เป็น
ปัญญา
พอเกิดตัวปัญญา
ก็มี
สัมมาทิฐิ
คือความเห็นชอบ ที่รู้เข้าใจความมุ่งหมายของการกินอย่างถูกต้อง แล้ว
ความเข้าใจในจุดมุ่งหมายนี้
จะเป็นตัวปรับให้เกิดความพอดีในการกินได้ทันที คือกินตามความต้องการของร่างกาย กินเพื่อสนองความต้องการของชีวิต เพื่อให้มีสุขภาพดี
๑. มันจะจํากัดปริมาณในการกินให้ได้ผลแก่สุขภาพ ไม่ให้เป็นการทำลายสุขภาพ เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรากินมากไป อาหารอร่อยก็จริง แต่มันจะไม่ย่อย เป็นโทษแก่ร่างกาย เราก็ไม่กินเกินปริมาณนั้น เราก็จํากัดปริมาณในการกินได้ ปริมาณก็พอดีขึ้นมา
๒. ในด้านประเภทของสิ่งที่กิน ตัวปัญญาที่รู้ความมุ่งหมายของการกิน ก็จะมาเป็นตัวปรับตัวจัด ให้เราเลือกกินสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การกินที่พอดีก็เกิดขึ้นด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจความมุ่งหมายของการกิน
การปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลาย
ที่เราเกี่ยวข้องในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน ด้วยท่าทีแห่งปัญญา เริ่มตั้งแต่การรับประทานอาหารไปทีเดียวนี้ เป็น
โยนิโสมนสิการ
ที่สำคัญในการศึกษา คือ การฝึกฝนพัฒนา ชีวิตของตน
เพราะฉะนั้น
หลักปฏิบัติเบื้องต้น
อย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา จึงได้แก่
โภชเนมัตตัญญุตา
(ความรู้จักประมาณในการบริโภค หรือการกินพอดี) ซึ่งทางพระถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก
พอ
พระใหม่บวช
เข้ามา ก็จะต้อง
ฝึกตน
ให้มี
โภชเนมัตตัญญุตา
ด้วยการ
พิจารณา
“ปฏิสังขา-โย” คือ รับประทานอาหาร ตลอดจนใช้
ปัจจัย ๔ ทุกอย่าง
ด้วยการพิจารณา รู้ตระหนักในความมุ่งหมาย เพื่อคุณค่าที่แท้จริงของการบริโภคใช้สอยนั้น เรียกว่า
ปัจจเวกขณะ
พระในสมัยโบราณ ก่อนจะบวช เวลามาอยู่วัด ยังไม่ทันบวช จะต้องท่องบทปฏิสังขา-โย ซึ่งเป็นบทพิจารณาปัจจัย ๔ มี ๔ บท เช่น บท
พิจารณาอาหาร
แปลว่า:
เราพิจารณาโดยแยบคายแล้ว
คือ
โยนิโสมนสิการ
นี่แหละ จึงบริโภคอาหาร ว่าเราบริโภคอาหารนี้ มิใช่เพื่อมุ่งเอร็ดอร่อย สนุกสนาน มัวเมา โก้เก๋อวดกัน เป็นต้น แต่รับประทานเพื่อยังชีวิตให้เป็นไป เพื่อให้ร่างกายเป็นอยู่ได้ เพื่อบำบัดความหิว เพื่อให้อยู่ผาสุก
เพื่อ
อนุเคราะห์พรหมจรรย์
คือเพื่อเกื้อหนุนการดำเนินชีวิตที่ดีงามประเสริฐ
หมายความว่า
เราจะได้อาศัยร่างกายนี้ดำเนินชีวิตที่ดีงามได้
อันนี้
เป็นการฝึกพระตั้งแต่ต้น
ให้กินด้วย
ปัญญา
ไม่ใช่กินด้วย
ตัณหา
การกินเพื่อหวังรสอร่อยอย่างเดียวเป็น
ตัณหา
แต่ถ้ากินด้วย
ปัญญา
พิจารณาเพื่อให้
บรรลุจุดหมายที่แท้ของการกิน
ก็เป็นการใช้
โยนิโสมนสิการ
สำหรับมนุษย์ปุถุชน
เรายอมรับว่าเขายังมีตัณหาอยู่ การกินเพื่อรสอร่อย จึงยังต้องมี แต่ขอให้เอาหลัก
โภชเนมัตตัญญุตา
มาช่วยบ้าง เพื่อจะได้
ปรับชีวิตให้สมดุล
มากขึ้น อย่างน้อยก็มี
สติ
ควบคุมให้การกินนั้นไม่เกิดโทษ
๑. ไม่เกิดโทษต่อชีวิตของตนเอง ไม่เสียสุขภาพ แต่กลับช่วยให้มีสุขภาพดี
๒. ทำให้ประหยัดไปได้ในตัว พร้อมทั้งผลดีหลายอย่างที่ตามมา เช่น
- สุขภาพร่างกายของเรา ก็จะดี
- ภาวะด้านเศรษฐกิจของเรา ก็ดีขึ้นด้วย
- ทำให้การเบียดเบียนกันในสังคม ลดน้อยลง
- การทำลายทรัพยากรธรรมชาติจะลดไปด้วย
การฝึก
หรือศึกษาในขั้นทั่วๆ ไปนี้ ไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก ขอให้ตั้งท่าทีไว้เพียง ๒ ข้อ ก็พอ คือ
๑) ในฐานะ
ปุถุชน
การกินเพื่ออร่อยก็ยังมี แต่ต้องถือเอาการกินเพื่อจุดหมายที่แท้จริง คือเพื่อสุขภาพดีเป็นพื้นฐานก่อน คือการกินเพื่อให้มีสุขภาพดีต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง และต้องให้ได้ก่อน ส่วนการกินเพื่ออร่อยให้เป็นส่วนเสริม
๒) ด้วยการ
กินที่ถูกต้อง
เพื่อสุขภาพดีนี้ อาหารก็จะเป็นเครื่องเกื้อหนุนช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตที่ดีงาม และทำการสร้างสรรค์อย่างอื่นที่เป็นจุดหมายอันสูงขึ้นไป
ตรงตามชื่อของมัน
ที่เรียกว่าเป็น
ปัจจัย
คือ
ไม่ใช่ให้การเสพรสอาหารกลายเป็นจุดหมายของชีวิต
นี่เป็นตัวอย่างของ
การดำเนินชีวิต
ที่เรียกว่าเป็น
ทางสายกลาง เ
ริ่มตั้งแต่การกินพอดี
จะเห็นว่า
ทางสายกลาง
หรือ
การดำเนินชีวิตที่พอดี
นั้น ต้องมี
ปัญญา
ที่เห็นชอบว่ากินเพื่ออะไรเป็นเครื่องชี้นำ พอเข้าใจแค่นี้การปรับให้พอดีก็เกิดขึ้น
ทางสายกลาง
เกิดขึ้น เพราะปัญญาที่รู้เข้าใจความจริง มาเป็นตัวปรับพฤติกรรม นั่นคือ พฤติกรรมของเราจะพอดีได้ ก็เพราะมีปัญญาเป็นตัวปรับให้เข้ากับจุดมุ่งหมาย
เพราะฉะนั้น
ทางสายกลาง
จึงเป็นทางที่พอดี ที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ถูกต้อง ที่จะทำชีวิตให้ดีงามไร้โทษไร้ทุกข์นั่นเอง
นี้คือ
ทางสายกลาง
ในความหมายง่ายๆ
Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2567 6:48:16 น.
0 comments
Counter : 209 Pageviews.
(โหวต blog นี้)
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
Bloggang.com