Group Blog
 
All Blogs
 
The Dark Princess: Chapter 19 Seduction PART III



ท่ามกลางแสงอาทิตย์ใกล้อัสดงที่สาดส่องมาจับร่างสองร่างที่กำลังยืนอยู่ริมระเบียงห้องนอนปีกตะวันตกของคฤหาสน์มัลฟอยนั้น ลูเซียส มัลฟอยผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้รวมถึงเป็นหัวหน้าครอบครัวมัลฟอยนั้นกำลังเล่าประวัติคร่าว ๆ ของการก่อสร้างคฤหาสน์ประจำตระกูลของเขารวมทั้งสถานที่ต่าง ๆ ในคฤหาสน์ซึ่งเขายังไม่ได้มีโอกาสพาเฮอร์ไมโอนี่ ภรรยาคนใหม่ของเขาที่เพิ่งแต่งงานและเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้ได้ไม่นานไปเที่ยวชมได้อย่างทั่วถึง (แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงห้องนอนเก่าของนางนาร์ซิสซาและห้องลับใต้ดินที่เขาใช้เก็บสิ่งของศาสตร์มืดเอาไว้ให้หญิงสาวได้ล่วงรู้แต่อย่างใด) ขณะที่ภรรยาสาวของเขาซึ่งก็คือเฮอร์ไมโอนี่ มัลฟอยนั้นกำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ว่าลึก ๆ แล้วเหตุผลที่หญิงสาวตั้งใจฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคฤหาสน์มัลฟอยซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายที่เธอต้องการจะมาใช้ชีวิตอยู่นั้นจะมาจากเหตุผลที่เธอจำเป็นจะต้องหาทางรั้งตัวนายลูเซียสให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้ตาม แต่ถ้าหากดูจากภายนอกแล้วนั้น จะดูราวกับว่าเฮอร์ไมโอนี่สนใจเรื่องที่ชายผมบลอนด์กำลังเล่าไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อนายมัลฟอยเล่าถึงเรื่องเวทย์มนต์เขาเสกขึ้นเพื่อทำให้ดอกไม้และต้นไม้ของคฤหาสน์ยังคงออกดอกเบ่งบานแม้ในยามในฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นจนมันแทบจะไม่ละไปจากใบหน้าของชายผมบลอนด์เลยยามที่เขาเล่าเรื่องดังกล่าวให้ฟัง ท่าทีของเฮอร์ไมโอนี่ยามได้ฟังเรื่องเวทย์มนต์ใหม่ ๆ ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนนั้นไม่ต่างอะไรกับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งได้ของขวัญเป็นไม้กวาดอันใหม่เลยแม้แต่น้อย
“คุณใช้เวทย์มนต์เปลี่ยนสภาพอากาศเฉพาะบริเวณสวนนี้อย่างนั้นหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นไม่ต่างกับตอนที่เธอได้เรียนคาถาบทแรกในวิชาคาถาเมื่อตอนอยู่ปี 1 ที่ฮอกวอตส์เลย และเป็นเพราะการแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างไม่มีปิดบังหรือเสแสร้งของเธอนั้นเองที่ทำให้สามีของเธอซึ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากเมื่อเขาตอบเธอออกมา
“ใช่สิ แต่มันเป็นคาถาที่ค่อนข้างซับซ้อนเหมือนกัน ฉันต้องใช้เวลาซักพักทีเดียวกว่าจะร่ายคาถาให้ครอบคลุมทั้งสวนได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…..” นายลูเซียสกำลังจะเอ่ยปากพูดประโยคต่อไปออกมา แต่เขาก็หยุดตัวเองไว้เสียก่อนเนื่องจากประโยคที่ชายผมบลอนด์กำลังจะพูดต่อไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นภรรยาใหม่ของเขาไม่น่าจะต้องการที่จะล่วงรู้หรือแม้กระทั่งได้ยิน เพราะสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนั้นมันคือเหตุผลที่เขาร่ายเวทย์มนต์เพื่อรักษาสวนแห่งนี้ให้ดอกไม้ออกดอกสวยงามเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นเพราะเขาต้องการให้นางนาร์ซิสซา ภรรยาคนก่อนของเขาได้ชื่นชมความงามของดอกไม้นานาพรรณที่เธอชอบจากห้องนอนเก่าของพวกเขาซึ่งตั้งอยู่ที่ปีกตะวันออกได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถึงแม้ว่าเรื่องราวดังกล่าวจะเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมาแต่งงานกับเฮอร์ไมโอนี่เนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ฉลาดพอที่จะรู้ดีว่าเขาไม่ควรที่จะเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภรรยาคนก่อนของเขาออกไปให้หญิงสาวตรงหน้าได้ยินหรือล่วงรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจุดประสงค์ของเขาในการร่ายมนต์เพื่อรักษาพืชพรรณที่งดงามเหล่านี้ให้เบ่งบานไปเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งล้วนเป็นไปเพื่อความต้องการของเขาที่จะให้ภรรยาเก่าพึงพอใจเท่านั้น
และถึงแม้ว่าตัวชายผมบลอนด์นั้นจะกังวลรวมถึงระมัดระวังที่ในการกระทำของเขาเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของหญิงสาวที่บัดนี้อยู่ในฐานะภรรยาใหม่ของเขามากเพียงใดก็ตาม แต่ดูเหมือนกับว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นจะไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าอยู่ ๆ ชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอก็จบประโยคลงเสียดื้อ ๆ ราวกับว่าเขามีเรื่องที่ไม่ต้องการที่จะพูดให้เธอฟัง ขณะที่เขากล่าวปิดท้ายประโยคหลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วครู่
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็คิดว่าฉันทำออกมาได้ดีทีเดียว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ไม่ได้แฝงไว้ด้วยแววภาคภูมิใจเหมือนทุกครั้ง ขณะที่หญิงสาวตรงหน้าของเขานั้นไม่มีท่าทีว่าเธอจะติดใจกับน้ำเสียงและท่าทางที่แปลกไปของนายลูเซียสแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากกว่าอะไรทั้งหมดหลังจากที่เธอใช้สายตาสำรวจดูดอกไม้นานาพรรณที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสวนของคฤหาสน์มัลฟอยแล้วนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ช้อนสายตาขึ้นมองสบตาสามีของเธอก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้น คุณจะช่วยสอนคาถาบทนี้ให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวพูดออกไปก่อนที่เธอจะทันได้คิดหรือว่าไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วมันคงจะเป็นการยากที่นายลูเซียสจะสามารถสอนคาถาบทใดก็ตามให้กับเธอได้ เนื่องจากในตอนนี้เขาเก็บไม้กายสิทธิ์ของเธอไว้ รวมทั้งเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เวทย์มนต์ใด ๆ ขณะที่เธออาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ซึ่งในตอนนี้ได้กลายมาเป็นบ้านหลังใหม่ของเธอไปเสียแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพูดออกไปโดยไม่ได้คิดหรือว่าไตร่ตรองให้ดีก่อน แต่กลับกลายเป็นเพราะท่าทีที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็ก ๆ ของเธอเองที่ทำให้นายลูเซียสซึ่งกำลังถูกร้องขอให้ทำเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้ในตอนนี้นั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ออกมาอีกครั้งเพราะความเอ็นดูของเขาที่มีต่อหญิงสาวตรงหน้า และแทนที่เขาจะโกรธเคืองเธออย่างที่มันควรเป็น ชายผมบลอนด์กลับยกมือใหญ่ของเขาขึ้นไปลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมหยักศกยาวสลวยของเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“แน่นอน ฉันสามารถสอนเธอได้ แต่ฉันเกรงว่าจะไม่ใช่ตอนนี้” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งนึกได้ว่าเธอได้ทำพลาดลงไปแล้วในการขอร้องนายลูเซียสในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างนี้ออกไปจึงพูดขึ้นว่า
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันลืมไปน่ะค่ะ…..” เธอพูดออกไปเพียงเท่านั้นพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำ หญิงสาวรู้สึกอับอายไม่น้อยที่เธอทำพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าเขาแบบนี้ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่เธอพูดสิ่งที่เธอไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีออกไปต่อหน้าชายผมบลอนด์และไปขอร้องเขาสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้แบบนี้ออกไป แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังรู้สึกอับอายในการทำพลาดของตัวเองอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอพูดขึ้น
“ฉันจะสอนคาถานี้ให้เธอ เฮอร์ไมโอนี่ เมื่อถึงเวลาที่สมควร” เขาพูดพร้อมกับมองดูภรรยาสาวของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู และถึงแม้ว่าในยามปกติคำพูดดังกล่าวของนายลูเซียสคงไปกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาวให้เธอรู้สึกขัดเคืองขึ้นมา เพราะเธอรู้ดีว่าคำว่า ‘ เมื่อถึงเวลาที่สมควร ’ ของชายผมบลอนด์นั้นคือในตอนที่เขามีอำนาจเหนือเธออย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งอาจจะหมายถึงตอนที่จอมมารชนะสงครามและแฮร์รี่ เพื่อนรักของเธอถูกลอร์ดโวลเดอมอร์สังหารไปเรียบร้อยแล้วเขาถึงจะยอมให้เธอได้จับไม้กายสิทธิ์ของเธออีกครั้งก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาโต้เถียงกับนายลูเซียสถึงสิทธิ์ในการใช้เวทย์มนต์ของเธอ ตรงกันข้ามเหตุผลที่เธอมาอยู่ตรงนี้ก็เป็นเพราะเธอจำเป็นจะต้องมาถ่วงเวลาชายผมบลอนด์ไว้ไม่ให้เขาเจอลูกชายจนกว่าสเนปจะทำภารกิจของเขาสำเร็จ เพราะฉะนั้นแทนที่เฮอร์ไมโอนี่จะโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามด้วยถ้อยคำตัดพ้อหรือประชดประชันเกี่ยวกับการห้ามเธอใช้เวทย์มนต์อย่างที่เธอมักจะพูดออกไปนั้น หญิงสาวกลับเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย็นชาของชายตรงหน้าก่อนที่พูดออกไปสั้น ๆ หากแต่น้ำเสียงของเธอนั้นแฝงไว้ด้วยแววซาบซึ้งที่เธอมีต่อข้อเสนอของสามีว่า
“ขอบคุณมากค่ะ ลูเซียส” เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ให้เขา

และเป็นเพราะคำพูดนี้ของเธอนั้นเองที่ทำให้นายลูเซียสมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพราะถึงแม้ว่าชายผมบลอนด์จะไม่ได้คาดหวังการทักท้วงจากหญิงสาวตรงหน้าในเวลาเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่าเธอจะยอมพูดจาดี ๆ รวมถึงขอบคุณเขาออกมาแบบนี้ และเมื่อเห็นเช่นนั้น และอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศรอบกายของพวกเขาในยามนี้เองด้วยที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้ชายผมบลอนด์ต้องการทำสิ่งที่เขาไม่คิดว่าควรจะทำลงไปในตอนนี้ เนื่องจากตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นที่คล้อยต่ำเกือบจนจะลาลับขอบฟ้า แสงสีทองสุดท้ายของวันนั้นสาดส่องร่างรวมถึงใบหน้าของภรรยาสาวของเขาทำให้ผิวพรรณของเธอดูเปล่งปลั่งราวกับเป็นสีทอง ประกอบกับคำพูดและท่าทีที่น่าเอ็นดูของเธอเมื่อครู่นั้นมันทำให้นายลูเซียสมีความรู้สึกว่าเขาต้องการจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากอวบอิ่มที่อยู่ตรงหน้าเหลือเกิน
และก่อนที่จะได้คิดหรือแม้กระทั่งจะห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรโดยพลการลงไป ชายผมบลอนด์ก็โน้มร่างของเขาเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้นขณะที่มือใหญ่ของเขาประคองศีรษะของเธอไว้ก่อนที่เขาจะก้มลงไปจูบเธอ
แต่ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะสัมผัสกัน ก่อนที่เขาจะได้ลบเลือนร่องรอยที่ลูกชายของเขาได้เคยสัมผัสไว้ให้หมดไปจากริมฝีปากคู่สวยของเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นภรรยาของเขานั้น นายมัลฟอยก็รู้สึกได้ถึงแรงขัดขืนของอีกฝ่ายเมื่อหญิงสาวเบี่ยงตัวหลบใบหน้าของเขาพร้อมกับยกมือหนึ่งขึ้นกันไม่ให้ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับเธอ และในขณะที่นายลูเซียสลืมตาขึ้นมองร่างในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่เข้าใจนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้น
“อย่าค่ะ……ฉัน……..ฉันยังไม่พร้อมค่ะ” เธอกระซิบขึ้นมาพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดใจและแฝงไปด้วยแววอ้อนวอน และเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่อเขาเห็นท่าทีของหญิงสาวซึ่งไม่ใช่การขัดขืนหรือการพยายามจะสะบัดตัวเองให้หลุดพ้นจากการควบคุมของเขา หากแต่เป็นการเบี่ยงตัวหลบและร้องขอเขาดี ๆ ไม่ให้เขาล่วงเกินร่างกายเธอไปมากกว่านี้เท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงไม่อาจจะใช้กำลังหักหาญน้ำใจภรรยาสาวของเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้ให้คำสัญญากับเธอไปแล้วว่าเขาจะไม่ใช้กำลังบังคับเธอในเรื่องเช่นนี้อีก และเมื่อเป็นเช่นนั้น ภายใต้การใช้เวลาตัดสินใจเพียงชั่วครู่ ชายผมบลอนด์จึงโน้มใบหน้ากลับมา หากแต่เขากลับยังไม่ยอมปล่อยร่างเล็กนั้นออกจากอ้อมแขนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับใช้ดวงตาสีเงินของเขามองจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
“คุณสัญญากับฉันแล้วนะคะ ลูเซียส” หญิงสาวพูดขึ้นเมื่อเธอเห็นว่าสามีของเธอไม่ได้ตอบอะไรออกมา ในวินาทีแรกที่นายลูเซียสได้ยินเช่นนั้น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาก็คือ นี่เขาจะไม่มีสิทธิ์ที่จะจูบภรรยาของเขาเองเลยอย่างนั้นหรือ แต่ชายผมบลอนด์ก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดทุกอย่างที่เขาคิดออกไป ตรงกันข้ามเขากลับคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ควรจะทำตามที่เฮอร์ไมโอนี่ขอร้องเขาจริง ๆ เขาไม่ควรจะใจเร็วเข้าไปจูบเธอในตอนที่พวกเขาทั้งสองนั้นเพิ่งผ่านการทะเลาะเบาะแว้งและเรื่องราวที่เลวร้ายต่าง ๆ มา ซึ่งมันอาจจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงมาตั้งแต่แรกของพวกเขานั้นเปราะบางมากกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมา รวมทั้งตัวเฮอร์ไมโอนี่เองก็บอบช้ำจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นมามากแล้ว ดังนั้นแทนที่จะหักหาญน้ำใจของหญิงสาวเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการมาอย่างที่เขาเคยทำมาแล้วหลายต่อหลายครั้งนั้น นายมัลฟอยกลับคิดว่าในครั้งนี้เขาควรที่จะเป็นฝ่ายยั้งตัวเองไว้และทำตามที่เธอต้องการบ้างเมื่อเขายอมปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมแขนแต่โดยดีก่อนที่จะกลับมายืนตรงเช่นเดิม แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายและอยากจะโอบกอดภรรยาสาวของเขาให้เนิ่นนานไปมากกว่านี้รวมถึงทำสิ่งที่ความต้องการส่วนลึกของเขาเรียกร้องให้ทำก็ตาม หากแต่ชายผมบลอนด์ก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำตามใจตัวเองลงไปในตอนนี้ หากแต่สิ่งที่นายมัลฟอยทำหลังจากที่เขากลับมายืนตัวตรงดังเดิมนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนโล่งใจมาทางเขาเมื่อเธอเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ขอบคุณค่ะ” เมื่อเธอเห็นว่าสามีของเธอยอมทำตามที่เธอร้องขอเป็นอย่างดี
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ถึงนายลูเซียสจะยอมทำตามที่เฮอร์ไมโอนี่ขอร้องเขาก่อนหน้านี้โดยการไม่ล่วงเกินร่างกายของเธอโดยเธอไม่เต็มใจแต่โดยดีก็ตาม หากแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ที่ชายผมบลอนด์เกือบจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวนั้นก็สามารถทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกประหม่าได้ไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าเธอจะตกเป็นภรรยาของนายลูเซียส รวมทั้งเธอได้ใช้เวลาอยู่ในห้องนอนแห่งนี้เพียงลำพังกับเขามาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่จากเรื่องราวที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เผชิญมาทั้งหมดตั้งแต่เธอมาเป็นเจ้าหญิงแห่งความมืดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวที่นายมัลฟอยเคยใช้กำลังขืนใจเธอนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอราวกับหนังที่ฉายซ้ำ! ทำให้หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ชายผมบลอนด์พยายามจะเข้ามาใกล้ชิดเธอ หรือพยายามที่จะล่วงเกินร่างกายเธอแม้แค่เพียงการพยายามจะจูบเธอที่ริมฝีปากเท่านั้นก็สามารถทำให้หญิงสาวหวาดกลัวขึ้นมาได้!
ใช่แล้ว! ความรู้สึกที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อนายมัลฟอยผู้เป็นสามีของเธอคนนี้แทบจะเรียกได้ว่าหวาดกลัว! เนื่องจากสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับเธอในคืนก่อนหน้านั้น และอาจจะเป็นเพราะการกระทำของเขาเมื่อครู่นั้นเองที่เขาพยายามจะจูบเธอนั้น ทำให้เธอนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งก่อนที่เขาใช้กำลังบังคับขืนใจเธอขึ้นมาจนเธอรู้สึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาอีกครั้ง และเพราะเป็นเช่นนั้นเอง เพราะความรู้สึกที่เธอมีต่อชายตรงหน้าที่ไม่อาจจะหาคำอื่นมาบรรยายได้นอกจากคำว่า ‘ หวาดกลัว ’ ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ตระหนักได้ว่าการอยู่ในห้องนอนแห่งนี้เพียงลำพังกับนายมัลฟอยกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจขึ้นมาสำหรับเธออีกครั้งเสียแล้ว และนี่ยังไม่รวมเรื่องที่เธอจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อรั้งตัวชายผมบลอนด์ให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้อีกด้วย!
และเมื่อหญิงสาวรู้สึกอึดอัดและลำบากใจขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกอึดอัดที่เกือบจะเรียกได้ว่าหวาดกลัวดังกล่าวของเฮอร์ไมโอนี่นั้นก็ได้ถ่ายทอดออกมาทางสีหน้าและท่าทางของหญิงสาวที่มีต่อร่างตรงหน้าอย่างที่เธอไม่สามารถปิดบังมันได้เลย! และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อนายลูเซียสได้เห็นท่าทีอึดอัดของภรรยาสาวต่อการกระทำของเขาเมื่อครู่ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วนั้น เขาก็ใช้เวลาตัดสินใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้น
“เธออยากจะออกไปข้างนอกไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ราบรื่นราวกับแพรไหม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ได้ยินคำถามนั้นเงยหน้าขึ้นพลางมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ
“คุณว่าอะไรนะคะ” หญิงสาวถามขึ้นมาแทบจะในทันทีพลางเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอ
“ฉันถามว่าเธออยากจะออกไปข้างนอกไหม” เขาถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความแปลกใจกับท่าทีตกใจของเธอ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าหัวใจของเธอแกว่งวูบ เพราะสิ่งที่ชายผมบลอนด์กำลังพูดนั้นก็คือการเสนอให้เธอออกไปข้างนอกหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อเขาไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการมันก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับเขาอีกแล้วที่จะให้เธออยู่ในห้องนอนของเขาต่อไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าแผนการที่เธอตั้งใจให้มันดำเนินมาตั้งแต่ต้นนั้นกำลังจะพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีเพียงเพราะเธอไม่ยอมปล่อยให้ลูเซียส มัลฟอยจูบเธอเท่านั้น และถ้าหากแผนการที่เธอกับสเนปได้ตกลงร่วมกันไว้ต้องพังทลายลงเสียแล้วล่ะก็ สิ่งที่ตามมาก็อาจจะนำไปสู่ความล้มเหลวในการปกปิดความลับที่มีค่ายิ่งชีวิตของเซเวอร์รัส สเนปก็เป็นได้
และเมื่อเป็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงอ้าปากขึ้นเพื่อจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่หญิงสาวกลับพบว่าเธอไม่ทราบว่าจะพูดอะไรออกมาดี เมื่อหัวสมองของเธอที่กำลังระดมความคิดอย่างหนักเพื่อมาแก้ไขสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี้ และที่สำคัญมันสมองที่ได้ชื่อว่าปราดเปรื่องและเฉลียวฉลาดที่สุดในโลกเวทย์มนต์นั้นกลับยังไม่มีคำตอบหรือหนทางออกใด ๆ มาให้เธอแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังร้อนใจกับการโต้ตอบข้อเสนอของชายผมบลอนด์อยู่นั้นเอง นายลูเซียสก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ฉันหมายถึงเธออยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอกไหม” เขาถามขึ้นท่ามกลางสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแปลกใจของหญิงสาว “เราอยู่ในห้องมาตั้งนานแล้วนี่ ฉันก็เลยคิดว่าเราน่าจะออกไปที่อื่นบ้างดีไหม” เขากล่าวขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะหลุดมานอกอกเมื่อเธอรวบรวมสติเพื่อถามสามีของเธอออกมาว่า
“คุณหมายถึงไปที่ไหนหรือคะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและประหม่าจนตัวเธอเองยังรู้สึกว่ามันฟังดูราวกับไม่ใช่เสียงของเธอเองเลย ขณะที่เธอตั้งตารอชายผมบลอนด์ตอบเธอออกมา
“ก็เธอชอบสวนข้างล่างนี่ไม่ใช่เหรอ ถ้าลงไปที่ระเบียงชั้นล่างจะเห็นสวนได้ใกล้มากกว่านี้อีกนะ” นายลูเซียสพูดขึ้นพลางทอดสายตามองไปยังสวนของคฤหาสน์ที่กำลังถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองยามที่พระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าเบื้องล่าง และเป็นเพราะคำพูดนี้นั่นเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอด้วยความแปลกใจ
“คุณจะไปกับฉันอย่างนั้นหรือคะ” เธอถาม ขณะที่ดวงตากลมโตของหญิงสาวก็จ้องมองอีกฝ่ายอย่างหาคำตอบ
“ถ้าเธอต้องการให้ฉันไปกับเธอ ฉันก็จะไป” เขาตอบออกมาพลางเฝ้าดูปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ขณะที่หญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขานั้นกระพริบตาอย่างครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวก่อนที่เธอจะตอบออกมา
“ฉันอยากให้คุณไปด้วยค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวออกไปแทบจะในทันที แต่หลังจากพูดถ้อยคำนั้นออกไปแล้วหญิงสาวก็เพิ่งค้นพบว่ามันเป็นถ้อยคำที่พูดออกไปอย่างรวดเร็วและฟังดูจริงจังมากขนาดไหนนั้น เธอจึงเสริมออกไปว่า “ฉันหมายความว่าฉันยังไม่เคยไปที่ส่วนนั้นของคฤหาสน์เลยน่ะค่ะ”
แม้ว่าจะเป็นถ้อยคำพูดกลบเกลื่อนที่ฟังดูน่าเชื่อถือมากก็ตาม แต่เมื่อนายลูเซียสสังเกตท่าทีของหญิงสาวดี ๆ แล้วเขาก็พบเห็นร่องรอยประหม่าและความเก้อเขินที่ผสมปนเปกันอยู่ทั้งในสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงของเธอ แน่นอนว่านายมัลฟอยรู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ต้องการให้เขาไปกับเธอด้วย แต่ในขณะเดียวกันการกลบเลื่อนความต้องการที่ชัดเจนของตัวเองด้วยคำพูดแบบนี้นั้นมันยิ่งทำให้เธอดูน่าเอ็นดูในสายตาของนายลูเซียสมากขึ้นจนเขานึกอยากจะแกล้งอุ้มร่างเล็กของหญิงสาวขึ้นมาแล้วพาเธอเดินไปยังระเบียงกระจกของชั้นล่างตามที่เธอต้องการ หากแต่ชายผมบลอนด์ก็รู้ดีว่าเขายังไม่สามารถทำอะไรไปโดยพลการได้ในตอนนี้ แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นจะมีท่าทีน่าเอ็นดูจนเขาอยากจะแกล้งหยอกเธอมากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็จะไม่เสี่ยงให้อารมณ์เพียงชั่ววูบของเขามาทำให้เขาผิดสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเธอ ดังนั้นแทนที่จะแกล้งหยอกภรรยาสาวของเขาอย่างที่เขาคงทำในสถานการณ์ปกตินั้น ตรงกันข้ามนายมัลฟอยกลับยิ้มบาง ๆ ให้หญิงสาวตรงหน้าก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาเธอไปเอง จริง ๆ แล้วชั้นล่างของปีกตะวันตกนี้มีห้องกระจกที่มองเห็นสวนด้วยนะ เราจะทานอาหารเย็นกันที่นั่นก็ได้ถ้าเธอต้องการ” เขาพูดอย่างใจดี ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองนายมัลฟอยด้วยสีหน้าครุ่นคิด และถึงแม้ว่าการทานอาหารเย็นท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกอย่างห้องกระจกที่มองเห็นสวนของคฤหาสน์ในช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดินกับสามีของเธอนั้นจะอยู่ลำดับท้าย ๆ ในสิ่งที่เธอต้องการจะทำก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีและไม่เคยลืมว่าเธอมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร และเธอก็เข้าใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องทำอะไรที่ฝืนใจตัวเองอย่างแน่นอนในการทำภารกิจที่สเนปมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และถ้าลองคิดอีกอย่างหนึ่งการทานอาหารเย็นกับนายลูเซียสในสถานที่ดังกล่าวนั้นก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแม้แต่อย่างใด ถ้าเทียบกับการที่เธอต้องมาอยู่ด้วยกันตามลำพังกับชายผมบลอนด์ในห้องนอนของเขาแบบนี้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงตอบนายมัลฟอยออกไปว่า
“ได้ค่ะ ฉันก็อยากเปลี่ยนที่ทานอาหารเย็นอยู่เหมือนกันค่ะ” เธอกล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้น นายลูเซียสก็มีท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะยื่นมือใหญ่ของเขามาให้เฮอร์ไมโอนี่จับ
“งั้นเราก็ไปกันเลยดีไหม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมหากแต่แววตาที่เขาใช้มองเธอนั้นช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ส่วนทางภรรยาสาวของเขานั้น หลังจากที่เธอมีท่าทีลังเลอยู่เพียงชั่วครู่ หญิงสาวก็ตัดสินใจวางมือเล็กของเธอลงบนมือใหญ่ของสามีเพื่อที่จะให้เขานำเธอเดินออกไปจากห้องนอนของเขาพร้อมกัน

…………………………………………….


หลังจากทั้งสองเดินออกมาจากห้องนอนใหม่ของนายลูเซียส ชายผมบลอนด์ก็พาหญิงสาวลงไปยังชั้นล่างของคฤหาสน์ปีกตะวันตกซึ่งเป็นส่วนที่เธอไม่เคยไปมาก่อน ขณะที่สามีของเฮอร์ไมโอนี่กำลังนำทางเธอไปยังระเบียงของชั้นล่างที่ใกล้ชิดสวนของคฤหาสน์มากที่สุดนั้น หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจสิ่งที่อยู่รอบกายตามนิสัยอยากรู้อยากเห็นของเธอ รวมทั้งเธอยังสงสัยอีกว่าทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงไม่คิดจะมาเดินสำรวจคฤหาสน์มัลฟอยให้ถี่ถ้วนมากกว่านี้ ทั้ง ๆ ที่เธอได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่สถานที่แห่งนี้ได้เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่ยังรู้สึกว่าบางส่วนของคฤหาสน์นั้นยังคงเป็นสถานที่ ๆ เธอยังไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาก่อนราวมันไม่ใช่บ้านของเธอแต่อย่างใด
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น หญิงสาวจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่เธอคิดออกไปเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเธอและนายลูเซียสซึ่งพวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันเลยหลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากห้องนอนของชายผมบลอนด์มา
“ฉันไม่เคยมาที่ส่วนนี้ของคฤหาสน์เลยค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น ขณะที่นายลูเซียสหันมามองเธอก่อนจะตอบออกมา
“อาจจะเป็นเพราะวันนั้นฉันไม่ได้พาเธอเที่ยวชมคฤหาสน์ให้ทั่ว หรือไม่ก็คงเป็นเพราะเธอมัวแต่ใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดมากกว่า” เขาตอบออกมาอย่างราบเรียบ หากแต่ถ้าสังเกตสีหน้าของชายผมบลอนด์ให้ดีแล้วก็จะพบว่ามันมีแววเอ็นดูแฝงอยู่ รวมทั้งดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย็นชาของเขานั้นกลับมองหญิงสาวข้างกายอย่างอ่อนโยน หากแต่น่าเสียตายตรงที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่มีโอกาสได้มองเห็นสีหน้ารวมถึงแววตาดังกล่าวของสามีเพราะเมื่อเขานำเธอมาถึงประตูกระจกที่เปิดออกไปสู่ระเบียงทางเดินภายนอกนั้น สายตาของหญิงสาวก็ถูกดึงดูดให้ไปจับจ้องอยู่ที่ภาพสวนสวยของคฤหาสน์มัลฟอยที่อยู่ใกล้เธอเพียงแค่เอื้อมเท่านั้น และหลังจากลังเลเพียงชั่วครู่เท่านั้น เธอก้าวผ่านประตูบานดังกล่าวและไปสู่ระเบียงที่เปิดกว้างสู่อากาศบริสุทธิ์ของส่วนดอกไม้ในยามเย็น
สถานที่ที่เฮอร์ไมโอนี่ยืนอยู่นั้นเป็นระเบียงที่เปิดโล่งและใกล้ชิดกับสวนของคฤหาสน์มัลฟอยเป็นอย่างมาก มันเป็นระเบียงขนาดกว้างขวางที่ปูด้วยหินแกรนิตและถูกประดับประดาอย่างงดงาม เบื้องหน้าของเธอเป็นสวนดอกไม้ซึ่งตามที่นายลูเซียสได้บอกไว้นั้นได้ถูกร่ายมนต์ให้สามารถเบ่งบานได้เกือบตลอดทั้งปี เฮอร์ไมโอนี่มองสำรวจสวนดอกไม้และบริเวณรอบ ๆ ข้างก่อนที่เธอจะเดินไปหยุดอยู่ตรงขอบระเบียงและดื่มด่ำกับภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าขณะที่สามีของเธอนั้นเฝ้ามองเธอมาจากด้านหลังอย่างเงียบ ๆ และถึงแม้ว่าภาพวิวทิวทัศน์ที่เธอมองจากระเบียงนี้จะไม่กว้างไกลเท่าที่เธอมองจากระเบียงห้องนอนใหม่ของนายลูเซียส แต่เธอก็สามารถใกล้ชิดพืชพรรณในสวนได้มากกว่าเมื่อเธออยู่ที่นี่ และหลังจากที่หญิงสาวดื่มด่ำกับบรรยากาศอันงดงามของสวนสวยของคฤหาสน์มัลฟอยอย่างใกล้ชิดแล้วนั้นเธอก็หันมาสำรวจรอบกายและพบว่าห่างออกไปอีกสองถึงสามก้าวนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอกำลังยืนมองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่อาจจะเรียกเป็นอย่างอื่นได้นอกจากเอ็นดู และเมื่อเห็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่ทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกชายผมบลอนด์มองด้วยสายตาและรอยยิ้มที่อาจจะมากเกินกว่าคำว่าเอ็นดูนั้นก็ได้แสร้งมองไปทางอื่นก่อนจะพูดขึ้น
“ตรงนั้นอะไรหรือคะ” เธอพูดพลางชี้มือไปยังเรือนกระจกทรงครึ่งวงกลมซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสามสิบเมตรและกินพื้นที่ของระเบียงส่วนนั้นไปเกือบทั้งหมด ขณะที่นายมัลฟอยเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวพร้อมกับมองไปยังทิศทางดังกล่าวก่อนจะตอบออกมา
“ตรงนั้นเป็นห้องกระจกน่ะ ข้างในเป็นห้องสำหรับนั่งเล่น” เขากล่าวอย่างราบเรียบ ขณะที่หญิงสาวข้างกายของเขานั้นชะเง้อมองสถานที่ใหม่ที่เธอเพิ่งค้นพบอย่างสนอกสนใจ
“เราจะไปที่นั่นก็ได้นะ” เขาเสนอขึ้นเมื่อเห็นท่าทีอยากรู้อยากเห็นของเฮอร์ไมโอนี่ และเมื่อหญิงสาวพนักหน้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มบาง ๆ มาให้เขา นายลูเซียสก็นำเธอไปยังห้องกระจกดังกล่าวตามที่เธอต้องการ
เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปภายในห้องดังกล่าวเธอก็พบว่ามันเป็นห้องกระจกขนาดใหญ่พอสมควร ภายในนั้นตกแต่งราวกับเป็นห้องนั่งเล่น มีโต๊ะกลมพร้อมกับเก้าอี้ครบครับตั้งอยู่ริมกระจกส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นโซฟาและเก้าอี้บุนวมแลดูน่านั่งซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามเตาผิงขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่สิ่งที่ทำให้ห้อง ๆ นี้พิเศษก็คือตัวพื้นที่เกือบทั้งหมดของตัวห้องที่กินพื้นที่ของระเบียงและผนังด้านหนึ่งที่เป็นโดมกระจกซึ่งทำให้ผู้ที่มานั่งพักผ่อนในห้องนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของสวนภายนอกได้เป็นอย่างดี และโดมกระจกดังกล่าวก็ถูกประดับด้วยผ้าม่านซึ่งสามารถดึงลงมาปิดโดมกระจกดังกล่าวในวันที่แดดแรงเกินไปหรือวันที่อาอากาศไม่ดีเพื่อปิดกั้นทัศนียภาพที่ไม่งดงามจากภายนอก
และเป็นเพราะความสวยงามรวมทั้งความพิเศษของห้องนั่งเล่นแห่งนี้ทำให้เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีสนอกสนใจมันไม่น้อย และหลังจากใช้สายตามองสำรวจรอบ ๆ ห้องไม่นานนักหญิงสาวก็เดินไปริมผนังที่เป็นกระจกพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะกลมที่มีขนาดเพียงพอสำหรับรองรับคนประมาณ 3-4 คน ขณะที่สายตาของเธอทอดยาวออกไปยังสวนสวยภายนอกคฤหาสน์ซึ่งตอนนี้เริ่มถูกอาบด้วยของดวงอาทิตย์ที่คล้อยค่ำลงทุกขณะ จนมันสาดแสงสีทองลงมายังแมกไม้นานาพรรณที่กำลังชูช่องดงามอยู่ภายในสวนแห่งนี้ และเป็นเพราะทัศนียภาพที่ได้เห็นเบื้องหน้านั้นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รำพึงออกมาเบา ๆ ขณะที่นายลูเซียสเดินมายืนด้านหลังเก้าอี้ที่เธอกำลังนั่งอยู่
“สวยจังเลยค่ะ” เธอกล่าวขณะที่รู้สึกว่ามือใหญ่ของชายผมบลอนด์นั้นวางลงบนพนักพิงเก้าอี้ของเธออย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ฉันดีใจที่เธอชอบ” เขากล่าวออกมาเรียบ ๆ พลางจ้องหญิงสาวด้วยสายตาที่อ่อนโยน และถึงแม้ว่านายลูเซียสจะอยากเลื่อนมือใหญ่ของเขาไปสัมผัสร่างเล็กตรงหน้ามาเพียงใดก็ตาม เขาก็รู้ดีว่าเขายังไม่สามารถทำตามใจต้องการได้ในตอนนี้ และแทนที่เขาจะยอมทำตามความต้องการของตนเองซึ่งเขารู้ว่ามันจะส่งผลเสียมากกว่าลงไปนั้น ตรงกันข้ามเขากลับเสนอข้อเสนอที่หญิงสาวตรงหน้าน่าจะชอบใจรวมทั้งมันเป็นการซื้อเวลาให้เขาได้อยู่กับเธอนานขึ้นเมื่อนายลูเซียสพูดออกไปว่า
“เราจะอยู่ที่นี่กันซักพักก็ได้นะ เราจะทานอาหารเย็นที่นี่และอาจจะนั่งอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ ถ้าเธอต้องการ” เขากล่าวขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของเธอดูแปลกใจก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามขึ้น
“จริงหรือคะ” เธอถาม ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตของเธอที่เงยหน้าสบดวงตาสีเงินของนายลูเซียสนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยราวกับเด็กเล็ก ๆ หากแต่ลึก ๆ แล้วหญิงสาวแทบจะปกปิดความดีใจของเธอเอาไว้ไม่มิดเนื่องจากเธอคิดว่าการได้อยู่ในห้องกระจกนี้เพียงลำพังกับนายลูเซียสนั้นดีกว่าการอยู่กับเขาเพียงลำพังในห้องนอนใหม่ของเขามากนัก แต่ดูเหมือนว่าชายผมบลอนด์จะไม่ทราบถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเฮอร์ไมโอนี่เลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่เห็นท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าแล้วนั้น นายมัลฟอยก็เลือกที่จะส่งรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความเอ็นดูไปให้ภรรยาสาวของเขาก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“จริงสิ เธอหิวหรือยังล่ะ” ชายผมบลอนด์ถาม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีครุ่นคิด ราวกับว่าเธอลืมไปแล้วว่าความรู้สึกหิวเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องราวมากมายที่ประเดประดังเข้ามา รวมทั้งการที่หญิงสาวถูกส่งให้มาทำภารกิจที่แสนจะยากเย็นและห่างไกลจากความต้องการของเธอซึ่งก็คือการมาถ่วงเวลานายลูเซียสไว้ตลอดทั้งคืนนี้นั้นยังสร้างความประหม่าให้กับเธอไม่น้อยจนเธอลืมเลือนเรื่องมื้ออาหารไปชั่วขณะ แต่เมื่อเธอถูกชายผมบลอนด์ถามคำถามดังกล่าวแล้วออกมาไม่นาน เฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งเริ่มสำรวจความรู้สึกของตัวเองก็พบว่าเธอก็เริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วเหมือนกัน
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น แม้ว่าจะต้องผ่านการครุ่นคิดนานพอสมควรสำหรับคำถามง่าย ๆ เช่นนี้ เธอก็ตอบสามีของเธอออกไป
“นิดหน่อยน่ะค่ะ” และสิ่งที่หญิงสาวได้รับหลังจากตอบออกไปนั้นก็คือรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากซึ่งแสดงออกถึงความเอ็นดูที่นายลูเซียสมีต่อเธอก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกให้เอลฟ์ประจำบ้านจัดอาหารเย็นมาให้พวกเราที่นี่แล้วกัน จริง ๆ นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาอาหารเสียทีเดียว แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะยกเว้นได้ในบางกรณีน่ะ” เขากล่าวขณะที่ละสายไปดูมองนาฬิกาตั้งพื้นรูปทรงโบราณที่มีอยู่แทบจะทุกห้องของคฤหาสน์แห่งนี้ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าให้เขา นายลูเซียสจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "ฮ็อบบี้!“
สิ้นเสียงของชายผมบลอนด์ เอลฟ์ร่างจ้อยนามว่า ‘ ฮ็อบบี้ ’ ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่เคยพบก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาหาสามีของเธอที่ห้องนอนใหม่ของเขาก็ปรากฎตัวขึ้น มันก้มศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพทันทีที่เห็นเจ้านายของมันทั้งสองก่อนที่มันจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหลมตามแบบฉบับเอลฟ์ประจำบ้าน
“นายท่านมีอะไรให้ฮ็อบบี้รับใช้ขอรับ”
“จัดอาหารเย็นมาให้ฉันกับนายหญิงที่นี่ พวกเราจะทานอาหารเย็นกันที่นี่ แล้วก็รีบไปทำเสียเดี๋ยวนี้ด้วย อย่าให้ฉันต้องรอนาน” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบหากแต่ดุดัน ขณะที่เอลฟ์เงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของมัน
“นายท่านกับนายหญิงจะทานอาหารเย็นตอนนี้เลยหรือขอรับ” มันถามขึ้น
“ใช่สิ ก็ฉันสั่งอยู่นี่ไงล่ะ รีบไปจัดการเร็ว ๆ ด้วยนายหญิงของแกหิวแล้ว” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงกึ่งดุดันกึ่งรำคาญ แต่ดูเหมือนว่าเอลฟ์ร่างจ้อยจะไม่สนใจน้ำเสียงไม่พอใจของนายมัลฟอยมีต่อคำถามของมันแต่อย่างใด เพราะในตอนนี้สายตาของฮ็อบบี้กลับไปจับจ้องอยู่ที่ท่าทีนายหญิงของมันที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีนายท่านของมันยืนขนาบข้าง สายตาของเอลฟ์ร่างจ้อยจะหันกลับมามองนายลูเซียสอีกครั้งก่อนที่มันจะยิ้มออกมาราวกับว่าเพิ่งมีเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากเกิดขึ้น เอลฟ์หันใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของมันไปมองเจ้านายทั้งสองของมันก่อนที่มันจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า
“ฮ็อบบี้จะไปจัดการตามที่นายท่านสั่งเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!” เอลฟ์พูดเจื้อยแจ้ว ก่อนที่มันจะก้มศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพและหายตัวไปพร้อมกับเสียงดังป็อป

หลังจากที่ฮ็อบบี้หายตัวไปไม่นานมันก็กลับมาพร้อมกับเอลฟ์ตัวอื่น ๆ ที่นำอาหารเย็นมาเสิร์ฟทั้งสอง เฮอร์ไมโอนี่ทานอาหารเย็นกับนายลูเซียสบนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ริมผนังกระจก และถึงแม้ว่าโต๊ะตัวดังกล่าวนั้นจะไม่ใหญ่เท่ากับโต๊ะอาหารในห้องอาหารที่หญิงสาวมักจะทานอาหารที่นั่นเป็นประจำ แต่มันก็ใหญ่พอที่จะรองรับอาหารจานแล้วจานเล่าที่เอลฟ์นำมาเสิร์ฟให้แก่ทั้งสองได้ และถึงแม้ว่าภายนอกนั้นจะเริ่มมืดเพราะดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวก็ทันได้เห็นดวงอาทิตย์ตกดินขณะที่เธอกำลังรอเอลฟ์มาเสิร์ฟอาหารเย็นให้เธอ
หลังจากอาหารทุกจานถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วนั้น หญิงสาวและสามีของเธอก็ทานอาหารกันเงียบ ๆ ภายในห้องกระจกที่ประดับไปด้วยทัศนียภาพสวนสวยของคฤหาสน์ซึ่งแม้ว่ามันจะมองเห็นไม่ชัดเจนนักท่ามกลางจากแสงสลัวภายนอก หากแต่มันก็เป็นภาพที่ดูสวยงามมากกว่าผนังประดับวอลเปเปอร์ลวดลายปราณีตของห้องอาหารใหญ่มากนักในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่ เธอและชายผมบลอนด์ไม่ได้พูดคุยกันเท่าไหร่นักขณะที่ทานอาหาร อาจจะเป็นเพราะว่าหญิงสาวไม่แน่ใจว่าเธอควรจะหาเรื่องใดมาชวนชายตรงหน้าคุยต่อไปดี และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือขณะที่ทานอาหารไปนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ความคิดเป็นอย่างมากว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ
หลังจากที่อาหารมื้อนี้จบลง เธอจะต้องใช้วิธีใดรวมไปถึงใช้แผนการใดที่จะรั้งตัวนายลูเซียสให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้ได้ มันจะมีวิธีใดที่เธอจะทำให้เขาอยู่กับเธอได้ตลอดทั้งคืนหากไม่นับการที่เธอจะต้องยอมมีความสัมพันธ์ทางกายกับเขาเพื่อรั้งตัวเขาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวไม่อาจจะทำใจทำเช่นนั้นได้ บวกกับความจริงที่ว่านายลูเซียสก็ได้ให้สัญญากับเธอแล้วว่าเขาจะไม่ล่วงเกินเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจอีก และชายผมบลอนด์ก็ได้พิสูจน์คำมั่นสัญญาของเขาไปแล้วเมื่อคราในตอนที่เขาพยายามจะจูบเธอแต่เธอขอร้องเขาไว้ไม่ให้เขาทำเช่นนั้น แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ คำสัญญาซึ่งเฮอร์ไมโอนี่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่พอจะทำให้เธออุ่นใจได้บ้างและเป็นข้อได้เปรียบของเธอในยามนี้นั้นกลับกลายมาเป็นข้อจำกัดในการดำเนินแผนการของเธอที่ได้ตกลงกับสเนปไว้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะถึงแม้ว่าหญิงสาวจะแน่ใจว่าเธอจะไม่มีทางยอมใช้ร่างกายของเธอเข้าแลกเพื่อรั้งตัวนายลูเซียสไว้กับเธอตลอดค่ำคืนนี้ก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันนั้น หญิงสาวก็ลืมคิดไปว่า หากปราศจากปฏิสัมพันธ์ทางกาย เช่น การโอบกอดหรือการจูบแล้วนั้น มันก็ยากที่จะทำให้คู่สามีภรรยาเช่นเขาและเธอใช้เวลาอยู่ด้วยกันไปตลอดทั้งคืนได้
และในขณะที่กำลังระดมสมองเพื่อหาหนทางที่จะรั้งตัวชายผมบลอนด์ไว้หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะคิดถึงผลที่จะตามมาหลังจากนี้ถ้าหากเธอล้มเหลวในการรั้งตัวนายมัลฟอยไว้กับเธอ ไม่ได้ ซึ่งจากการคาดการณ์ของเฮอร์ไมโอนี่ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ถ้าหากเธอล้มเหลวนั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าน่าสยดสยองเมื่อหญิงสาวจินตนาการไปว่านายลูเซียสได้พบกับลูกชายของเขาก่อนที่สเนปจะตามหาและลบความทรงจำเดรโกได้ทัน ซึ่งทำให้สามีของเธอได้ล่วงรู้ความลับที่เธอกำลังปิดบังเขาอยู่ รวมถึงส่งผลให้เขาล่วงรู้ความลับที่สเนปเก็บรักษาไว้มาเนิ่นนาน และหากนายลูเซียสล่วงรู้เรื่องราวดังกล่าวแล้วเขาก็ต้องนำสิ่งที่เขาได้ล่วงรู้ไปรายงานเจ้านายเพียงหนึ่งเดียวของเขาซึ่งก็คือลอร์ดโวลเดอมอร์อย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นผลที่ตามมาเพียงอย่างเดียวก็คือความตายของสายลับเพียงคนเดียวที่ดัมเบิลดอร์ตั้งใจซ่อนไว้อย่างดีท่ามกลางหมู่ผู้เสพความตาย และผลลัพธ์ดังที่กล่าวมาตั้งหมดนี้อาจจะนำไปสู่ชัยชนะของจอมมารต่อโลกเวทย์มนต์ในอนาคตก็เป็นได้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็อดรู้สึกสยดสยองไม่ได้กับสิ่งที่เธอรู้ว่าจะเกิดขึ้นถ้าหากเธอล้มเหลวในภารกิจที่สเนปมอบหมายให้เธอทำ! และในขณะที่หญิงสาวกำลังจินตนาการถึงผลลัพธ์อันร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้อยู่นั้น จู่ ๆ ประตูห้องกระจกก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทันหันจนทำให้เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองอยู่นั้นตกใจกับเสียงดังกล่าวจนเธอเผลอปล่อยส้อมที่กำลังถืออยู่ในมือหลุดลงกระทบจานจนกระทั่งเกิดเสียงอันดังขึ้น!
หลังจากเสียงดังกล่าวดังขึ้นตามมาพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างที่เพิ่งผ่านธรณีประตูเข้ามาซึ่งในตอนแรกหญิงสาวจินตนการไปว่าร่างนั้นจะเป็นเดรโก มัลฟอยที่กลับมาที่คฤหาสน์เพื่อบอกความลับของเฮอร์ไมโอนี่ที่เขาเพิ่งค้นพบในวันนี้ให้แก่พ่อของเขาฟังนั้น เธอกลับค้นพบในภายหลังที่เธอเงยหน้ามองไปทางประตูด้วยสีหน้าตกว่า ร่างที่เพิ่งเข้ามาปรากฎตัวในห้องนั้นกลับเป็นเพียงแค่ร่างเล็กของเอลฟ์ประจำบ้านที่มีถาดของหวานบรรจุอยู่ในมือเท่านั้น ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังพยายามรวบรวมสติเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าอยู่นั้น นายลูเซียสผู้นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหารก็มองภรรยาสาวของเขาด้วยสายตาแปลกใจ ก่อนที่เขาจะหันไปดุเอลฟ์ประจำบ้านในทันที
“ทีหลังแกก็หัดเคาะประตูเสียบ้าง! พรวดพราดเข้ามาแบบนี้นายหญิงของแกตกใจหมด!” ชายผมบลอนด์กล่าวพร้อมกับส่งสายตาดุดันไปให้เอลฟ์ร่างจ้อยที่รีบก้มศีรษะลงขอโทษนายท่านของมันแทบจะไม่ทันหลังจากที่มันวางถาดของหวานลงบนโต๊ะอาหาร และเมื่อเห็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งหายตกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วนั้นจึงพูดขึ้นเบา ๆ
“อย่าว่าเขาเลยค่ะ ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก” เธอพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนไปทางสามีเพราะเธอกลัวว่าเขาจะโกรธจนลงโทษเอลฟ์ที่น่าสงสารตนนี้ และเมื่อเห็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะหงุดหงิดกับความไร้มารยาทของเอลฟ์ประจำบ้านเพียงใด เขาก็ไม่ตัดสินใจที่จะลงโทษมันในตอนนี้ ตรงกันข้ามเขากลับส่งสายตาที่ดุดันไปให้มันอีกครั้งก่อนที่จะสั่งให้มันออกไปจากห้องหลังจากที่มันเสิร์ฟของว่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ก่อนที่เอลฟ์ร่างจ้อยจะหายตัวออกไปจากห้องกระจกแห่งนี้ ชายผมบลอนด์ก็รั้งตัวมันไว้ก่อน
“เดี๋ยว” เขากล่าว “นายน้อยได้กลับมาที่คฤหาสน์หรือยัง” นายลูเซียสถามขึ้น ซึ่งคำถามดังกล่าวนั้นทำเอาหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่แกว่งวูบ! และโดยที่ชายผมบลอนด์ซึ่งไม่รู้ตัว ภรรยาสาวของเขาที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวก็กำลังรอฟังคำตอบจากเอลฟ์ประจำบ้านอย่างใจจดใจจ่อมากกว่าเขาเสียอีกเมื่อเอลฟ์ร่างจ้อยตอบกลับมาว่า
“ยังขอรับ นายน้อยยังไม่กลับมาที่คฤหาสน์เลยขอรับ” เอลฟ์ตอบออกมาท่ามกลางความโล่งอกของเฮอร์ไมโอนี่และสีหน้าที่พยายามจะรักษามันให้ดูเรียบเฉยของนายลูเซียสเมื่อเขาโบกมือในเชิงให้เอลฟ์ออกไปจากห้องได้ และหลังจากได้ยินเสียงป็อปดังขึ้นพร้อมกับการจากไปของเอลฟ์ร่างจ้อยนั้น หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอและสิ่งที่เธอพบก็คือแววไม่สบายใจที่ปรากฎเด่นชัดอยู่ในดวงตาสีเงินของนายลูเซียส
และเมื่อเห็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าไม่สมควรหรือเป็นการเสี่ยงมากก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามเขาออกไปว่า
“คุณเป็นห่วงเขาหรือคะ” เธอถามสิ่งที่สงสัยออกไปตามตรง และสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ได้รับแทนคำตอบก็คือแววตาครุ่นคิดจนเกือบจะเรียกได้ว่าวิตกกังวลของสามีก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของฉัน” นายลูเซียสกล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวจึงถามออกไปอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต้นแรงว่า
“แล้วคุณจะออกไปตามหาเขาไหมคะ” เธอถามพร้อมกับรอฟังคำตอบที่ออกมาจากปากของชายผมบลอนด์ด้วยหัวใจที่เต้นแรงราวกับมันจะหลุดออกมานอกอก ขณะที่อีกฝ่ายนั้นเสมองไปทางอื่นด้วยสีหน้าครุ่นคิด จนกระทั่งหญิงสาวรู้สึกว่าการรอคอยของเธอเริ่มจะเนิ่นนานเกินไปแล้วนั้นเธอก็ได้รับคำตอบที่ออกมาจากริมฝีปากบางของสามีว่า
“ไม่หรอก” ชายผมบลอนด์กล่าว “ถึงฉันจะเป็นห่วงเขาก็ตาม แต่เขาก็โตแล้ว เดรโกไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว” เขาพูดสิ่งที่เขาตัดสินใจออกมา และเมื่อได้ยินเช่นที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกโล่งอกขึ้นมากก็พยักหน้าเบา ๆ ในเชิงรับรู้ก่อนที่จะแสร้งมองไปทางอื่น แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังจ้องมองของหวานที่เอลฟ์มาเสิร์ฟให้เธออยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงของนายลูเซียสดังขึ้น
“เธอไม่อยากให้เขากลับมาที่นี่อย่างนั้นหรือ” ช่างเป็นคำถามที่แปลกประหลาดแต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่างเป็นคำถามที่ตรงใจหญิงสาวเสียเหลือเกินเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอด้วยท่าทีแปลกใจราวกับเธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะถามคำถามนี้เธอออกมา แต่ถึงกระนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะตกใจกับคำถามฝ่ายตรงข้ามรวมทั้งพบว่ามันเป็นคำถามที่หาคำตอบได้ยากเหลือเกินก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็ใช้เวลาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่เธอจะตอบออกไป
“ฉันไม่ได้ไม่อยากให้เขากลับมาที่นี่หรอกค่ะ และฉันก็รู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้นด้วย เพียงแต่……ฉันก็ไม่ได้หวังให้คุณเข้าใจฉันหรอกนะคะ…….แต่คุณก็รู้ในสิ่งที่เขาทำ….” เธอตอบออกไปเช่นนั้น และถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดที่เธอปรารถนาจะตอบสามีของเธอออกไป แต่ท่าทีอึดอัดรวมถึงแวววิตกกังวลจนแทบจะเรียกได้ว่าหวาดกลัวที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวนั้นมันทำให้นายลูเซียสเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อออกมาไม่น้อย และแทนที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจภรรยาใหม่ของเขาที่เธอไม่ต้องการให้ลูกชายของเขากลับมาที่คฤหาสน์แห่งนี้ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจเธอมากกว่าอะไรทั้งหมดในสิ่งที่ลูกชายของเขาได้ทำลงไปกับเธอ และเมื่อเห็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่าเขาได้ให้สัญญากับหญิงสาวไว้แล้วก็ตาม ชายผมบลอนด์ก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือใหญ่ของเขามากุมมือเล็กของหญิงสาวไว้เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเธออย่างห่วงใยก่อนจะพูดขึ้น
“เธอกลัวเขาใช่ไหม” ชายผมบลอนด์ถามขึ้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ตอนแรกพยายามจะก้มหน้าหลบสายตาของสามีนั้นตัดสินใจเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนที่เธอจะพูดขึ้นว่า
“ฉันขอโทษค่ะ ลูเซียส แต่ฉันห้ามตัวเองให้รู้สึกแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ ฉันเข้าใจนะคะที่คุณอยากจะให้เขากลับมาที่คฤหาสน์ แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะ…..” ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบดี นายลูเซียสก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ฉันเข้าใจเธอดี เธอไม่ต้องพูดอีกแล้ว” เขากล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยของภรรยาซึ่งบัดนี้มันแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างไม่มีการเสแสร้งหรือปิดบังแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าชายผมบลอนด์จะไม่ทราบว่าสาเหตุของความหวาดกลัวที่แสดงออกมาทางแววตาของหญิงสาวนั้นส่วนหนึ่งมันมาจากความหวาดกลัวที่ว่าเขาอาจจะค้นพบความลับของเธอและสเนปจากลูกชายของเขาก็ตาม นายมัลฟอยก็อดที่จะรู้สึกสงสารและเห็นใจหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เมื่อเขาเห็นสีหน้าอดกลั้นและดวงตาที่มีน้ำตารื้นของเธอ ราวกับเธอต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา และเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงพูดขึ้นพร้อมกับที่มือใหญ่ของเขากุมมือเล็กของหญิงสาวไว้แน่น
“เธอไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เธอเข้าใจไหม ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรเธออีกเป็นอันขาด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยแววตาสับสน
“คุณห้ามเขาได้จริง ๆ หรือคะ” หญิงสาวถามออกมา และเป็นเพราะคำถามนี้เองทำให้ชายผมบลอนด์นิ่งเงียบไปเมื่อเขาพบว่าสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมานั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจะโต้เถียงได้ เพราะเขารู้ดีว่าถึงแม้ว่าเขาจะพยายามปกป้องหญิงสาวไว้อย่างดีอย่างที่เขาได้ให้คำพูดไว้ก็ตาม เขาก็ไม่อาจจะแน่ใจเต็มร้อยได้ว่าเขาจะสามารถปกป้องเธอจากลูกชายของเขา พอ ๆ กับที่เขาไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเดรโกจะไม่คิดร้ายกับเธออีกหลังจากนี้ ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่กับเธอตลอดเวลาเพื่อที่จะคอยป้องกันไม่ให้ลูกชายของเขาทำร้ายหรือล่วงเกินภรรยาของเขาลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ที่เขาได้ย้ายออกมานอนที่ห้องนอนใหม่ซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของคฤหาสน์โดยที่ตัวนายลูเซียสเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะได้กลับไปนอนที่ห้องนอนเดิมของเขากับเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้งเมื่อไหร่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นประกอบกับความจริงที่ว่าชายผมบลอนด์เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายของเขาจะกลับมาที่คฤหาสน์หลังนี้อีกเมื่อไหร่ และถ้าเขากลับมาแล้วเดรโกยังจะติดใจโกรธแค้นเฮอร์ไมโอนี่ในเรื่องที่เกิดขึ้นจนคิดจะมาทำร้ายเธออีกหรือไม่นั้น ทำให้นายลูเซียสล่วงรู้ว่าเขาไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าเขาจะสามารถปกป้องภรรยาสาวของเขาจากลูกชายของเขาได้ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะพูดถ้อยคำที่ทำให้หญิงสาวมั่นใจออกไปก็ตามว่าเขาจะสามารถปกป้องเธอจากเดรโกได้ แต่ถึงกระนั้น นายลูเซียสก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่อาจจะแน่ใจในเรื่องนี้ได้เลย และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ชายผมบลอนด์จึงจำเป็นจะต้องหาทางที่จะปกป้องภรรยาของเขาจากลูกชายของเขาเองอย่างสุดความสามารถเพื่อที่เขาจะสามารถแน่ใจได้ว่าเดรโกจะไม่มาล่วงเกินหรือแม้กระทั่งยุ่งเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่ได้อีกต่อไป

และหลังจากผ่านการนิ่งเงียบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นายมัลฟอยกำลังระดมความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ไปครู่หนึ่งแล้วนั้น ชายผมบลอนด์ก็ค้นพบทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว และถึงแม้ว่าเขาพบว่ามันจะเป็นทางเดียวที่เขาจะสามารถปกป้องภรรยาสาวของเขาจากเงื้อมมือของเดรโกไว้ได้ก็ตาม แต่นายลูเซียสกลับพบว่ามันเป็นหนทางที่เขาไม่เต็มใจที่จะทำมันลงไปนัก และหลังจากผ่านการลังเลไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาอย่างรอคอยระคนสงสัยของหญิงสาวตรงหน้า มือใหญ่ของนายลูเซียสก็เอื้อมไปคว้ามือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่มากุมเอาไว้ ก่อนที่เขาจะมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ทางด้านหญิงสาวนั้นถึงแม้ว่าเธอจะแปลกใจในสิ่งที่ชายผมบลอนด์ได้ทำลงไปไม่น้อยก็ตาม แต่เธอก็เลือกที่จะไม่คัดค้านหรือพูดอะไรออกมา ตรงกันข้ามเธอกลับจ้องเขากลับด้วยท่าทีรอคอยในสิ่งที่สามีของเธอกำลังจะเอ่ยออกมา
“เธอกลัวว่าเขาจะมาทำร้ายเธอหลังจากนี้ใช่ไหม” นายลูเซียสถามขึ้น และถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำถามเดิมที่ทั้งเขาและเธอต่างรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม แต่หญิงสาวกลับไม่ทักท้วงหรือตอบอะไรออกไปในทันที ตรงกันข้ามเธอกลับพยักหน้าเบา ๆ ด้วยท่าทีอัดอั้น และปล่อยให้ดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววหวาดกลัวอย่างไม่มีปิดบังของเธอนั้นเป็นฝ่ายบอกเล่าคำตอบแทนเธอ
และเมื่อเห็นเช่นนั้น นายลูเซียสก็ลูบมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่อย่างปลอบโยนก่อนจะพูดขึ้นมา
“ฉันมีทางหนึ่งที่เราจะพอแน่ใจว่าเขาจะไม่มาทำร้ายหรือล่วงเกินอะไรเธอได้…….ในตอนที่ฉันไม่อยู่” เขากล่าวขณะที่เฮอร์ไมโอนี่จ้องมองเขาอย่างสงสัยเมื่อนายลูเซียสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“ฉันสามารถร่ายคาถาไว้ที่ประตูห้องนอนของเธอได้ คาถานี้จะกันไม่ให้ใครก็ตามยกเว้นเธอเข้ามาในห้องนอนของเธอโดยที่เธอไม่ได้อนุญาต” ชายผมบลอนด์กล่าว “ส่วนในตอนที่เธออยู่ที่ส่วนอื่นของคฤหาสน์ ฉันจะคอยให้เอลฟ์จับตาดูเธอ แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่กล้าทำอะไรเธอในที่ ๆ ไม่ใช่ที่ลับตาคนหรอก” นายลูเซียสอธิบาย และถึงแม้ว่าหญิงสาวจะสังเกตเห็นว่าเขาจงใจเลี่ยงที่จะพูดชื่อของเดรโกออกมาด้วยเหตุผลบางอย่าง เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่มีเวลาสนใจในเรื่องนั้นมากนัก เมื่อเธอหรี่ตาลงด้วยความสงสัยก่อนจะถามขึ้น
“คุณจะร่ายคาถาไว้ที่ห้องนอนของฉันหรือคะ” เธอถามออกไป ขณะที่นายลูเซียสมองเธอด้วยสายตาที่ดูครุ่นคิดระคนอึดอัดก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ถ้าเธอต้องการเช่นนั้น ฉันก็จะทำ……..เพื่อเธอ” เขากล่าว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีสับสน เพราะถึงแม้ว่าเธอจะต้องการคาถานี้มากกว่าอะไรทั้งหมด เพราะมันไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่าคาถาดังกล่าวจะกันไม่ให้เดรโกเข้ามาทำร้ายเธอถึงในห้องนอนก็ตาม แต่ตามที่นายลูเซียสพูดออกมานั้นมันยังสามารถป้องกันทุก ๆ คนที่เธอไม่อนุญาตให้เข้ามาในห้องนอนของเธอได้ ซึ่งหมายความว่านายมัลฟอยผู้เป็นสามีของเธอจะไม่สามารถเข้ามาในห้องนอนของเธอได้หากเธอไม่ต้องการให้เขาเข้ามาเช่นกัน
และถึงแม้ว่ามันดูราวกับว่าคาถาดังกล่าวเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้ และถ้าเธอมีมันก่อนหน้านี้ เรื่องราวที่เลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับเธอก็คงจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าลองมาคิดดูให้ดีแล้ว แม้ว่าหญิงสาวจะต้องการให้สามีของเธอร่ายคาถาดังกล่าวไว้ที่ห้องนอนของเธอมากเพียงใดก็ตาม คาถาที่ว่านี้ก็อาจจะนำผลเสียมาให้แก่เธอก็เป็นได้หากนายลูเซียสตัดสินใจใช้มันในทันที เนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่มีภารกิจที่จะต้องรั้งตัวนายมัลฟอยไว้ให้อยู่กับเธอตลอดทั้งค่ำคืนนี้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นการใช้คาถาดังกล่าวนั้นก็อาจจะไปขัดขวางรวมถึงทำลายภารกิจนี้ของเธอก็เป็นได้ เพราะถ้าหากนายลูเซียสร่ายคาถานี้แล้วมั่นใจว่าภรรยาของเขาจะปลอดภัยอยู่ในห้องนอนของเธอตลอดทั้งค่ำคืนนี้แล้วนั้น เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ข้างเธออีกต่อไป ดังนั้นหลังจากร่ายคาถานี้และส่งเธอเข้านอนแล้วนั้นชายผมบลอนด์ก็อาจจะออกไปตามหาลูกชายของเขาที่หนีออกไปจากคฤหาสน์ทันทีก็เป็นได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าคาถาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับเธอในระยะยาวก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะปล่อยให้สามีของเธอใช้มันในทันทีได้ เพราะถ้าหากเธอยอมให้เขาทำเช่นนั้น สิ่งที่ตามมาหลังจากนี้จะกลับกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดีเพราะมันอาจจะส่งผลให้แผนการของสเนปล้มเหลวลงก็เป็นได้
และเมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่ต้องการให้นายมัลฟอยร่ายคาถาดังกล่าวลงไปในทันที แต่ต้องการให้เขาใช้มันหลังจากนี้ หลังจากเรื่องทั้งหมดนี้จบลงก่อนนั้น ซึ่งเธอเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเธอจะพูดหรือทำอย่างไรให้เขาทำตามที่เธอต้องการได้นั้นก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากการเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอด้วยแววตาที่สับสนเมื่อเขาถามเธออีกครั้ง
“เธอต้องการให้ฉันทำอย่างที่บอกไหม” นายลูเซียสกล่าว ขณะที่หญิงสาวตรงหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตอบเธอออกมา
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ ฉันหมายความว่ามันจะได้ผลหรือคะ” เธอถามคำถามดังกล่าวออกไปเพื่อถ่วงเวลาขณะที่ในสมองของเธอนั้นกำลังครุ่นคิดเพื่อหาทางออกในสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าทุกครั้ง
“แน่นอนว่ามันจะได้ผล” ชายผมบลอนด์ตอบออกมาแทบจะในทันที “คาถานี้จะป้องกันไม่ให้ใครก็ตาม……แม้แต่ฉันเอง เข้าไปในห้องนอนของเธอไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ เว้นเสียแต่เธอจะอนุญาตเท่านั้น” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต้องการจะปลอบประโลมเธอให้หายห่วงว่าคาถาของเขาสามารถช่วยปกป้องเธอได้ แต่มันกลับให้ผลในทางตรงกันข้ามเมื่อหญิงสาวมีท่าทีกดดันมากขึ้นกับสิ่งที่ได้ยินจนมือเล็กของเธอนั้นบีบมือใหญ่ของนายลูเซียสไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว
และขณะที่ชายผมบลอนด์เงยหน้าขึ้นมองเธออย่างแปลกใจหญิงสาวก็พูดขึ้น
“ฉัน……ฉันก็ไม่รู้ค่ะลูเซียส ว่าฉันต้องการให้คุณร่ายคาถานี้ไหม ฉันแค่……..” เธอส่ายหน้าด้วยท่าทีที่สับสนก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลของเธอจะเงยขึ้นสบดวงตาสีเงินของสามีซึ่งในคราวนี้นายลูเซียสกลับพบว่ามันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สวยที่ปกติจะดูดื้อรั้นของเธอนั้น แต่ยิ่งไปกว่าความกลัวนั้นมันคือความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่เขาสามารถสัมผัสได้ ราวกับว่าตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการที่สุดไม่ใช่คาถาที่จะปกป้องเธอจากทุกคนที่ประสงค์ร้ายกับเธอหากแต่เป็นเพียงใครซักคนที่จะอยู่เคียงข้างเธอเท่านั้น
และถ้อยคำต่อไปที่ออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่นายมัลฟอยเคยสัมผัสมาหลายต่อหลายครั้งแล้วนั้นกลับยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความรู้สึกของหญิงสาวในตอนนี้มากขึ้นไปอีกเมื่อเธอพูดออกมาว่า “ฉันแค่อยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนฉันในตอนนี้เท่านั้น ได้ไหมคะ”
น้ำเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ยามเอ่ยประโยคดังกล่าวออกมานั้นฟังดูอ่อนโยนจนเกือบจะเรียกได้ว่าอ้อนวอน และเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าชายผมบลอนด์จะให้คำสัญญาออกไปแล้วก็ตามว่าเขาจะไม่ล่วงเกินเธอโดยเธอไม่เต็มใจอีก แต่นายลูเซียสก็ไม่อาจจะปล่อยให้ร่างเล็กที่อยู่ห่างกับเขาเพียงแค่โต๊ะอาหารกั้นนั้นเดียวดายอีกต่อไปเมื่อเขาตัดสินใจลุกขึ้นก่อนจะตรงไปที่เก้าอี้ที่หญิงสาวกำลังนั่งอยู่ ชายผมบลอนด์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่เคยส่อแววดื้อรั้นและต่อต้านเขามาหลายต่อหลายครั้งก่อนที่เขาจะนั่งลงข้างกายเธอและดึงร่างเล็กของหญิงสาวมาสวมกอด และขณะที่ใบหน้าเล็กที่เอ่อไปด้วยน้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่ซบลงบนอกกว้างของเขานั้น มือใหญ่ของชายผมบลอนด์ก็ยกขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มของเธอก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ได้สิ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอไปตลอดทั้งคืนนี้ก็ได้ ถ้าเธอต้องการ” นายลูเซียสกล่าวก่อนที่จะลูบศีรษะหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอย่างปลอบโยน



*************************************************









Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2558 1:47:53 น. 0 comments
Counter : 2955 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.