กันยายน 2552

 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
14
15
16
17
18
19
20
21
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
เขาเรียกว่า mind set มันคือ อะไรก็ไม่รู้ ที่มึงคิดเองเออเอง : ลองมาปรับใช้ดูสิ
หวานเห็นคำว่า mind set ในกระทู้สวนลุม (แล้วก็เห็นอยู่ที่เดียว)

จะมีคนมาตั้งกระทู้ถามว่า ผมเห็นไอ้นี้แล้วไม่ชอบ เห็นคนทำอย่างงั้น แล้วไม่ชอบ แล้วจะลงท้ายว่า "ผมโรคจิตไหมครับ" คำตอบ ก็จะมาหลากหลาย แต่ส่วนมากเลย คนจะตอบว่า แต่ละคน ก็จะมี ความรู้สึกที่ไม่ชอบ ... ทั้งๆ ที่มันแสนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา

คำตอบหนึ่ง เขาเรียก การพึงตัดสินทุกอย่างง่ายดายด้วยความรู้สึกส่วนตัวที่คิดไปเองว่า " mind set"

ตั้งแต่นั้นมา หวานเอา เรื่อง mind set มาใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วก็เริ่มเอามาใช้ในการทำงาน จริงๆ มันก็ไม่ใช่เืรื่องใหม่อะไร มันก็คือ "การเอาใจเขา มาใส่ใจเรา" นี่แหละ

เผอิญว่า หวานต้องทำหน้าที่เขียนแนะนำหนังสือให้บริษัท ทั้งๆ ที่หน้าที่การเขียนแนะนำหนังสือ เป็นหน้าที่ของบก.เล่ม คนที่ดูแลเล่มนั้นๆ แต่บก. เขาก็จะไม่ค่อยว่างเขียน หวานก็เลย ต้องทำหน้าที่เขียนไปโดยปริยาย

เจ้านายก็อยากให้ฝึกฝีมือจากการเขียนแนะนำหนังสือให้บริษัท
(จริงๆ มันคืนการโยนงานนี่แหละ)

ขั้นตอนกว่าจะถึง ปลายทาง.. ก็ประมาณ

หวานเขียน > บก. เล่มนั้น ดู แก้ไข > ผ่าน ,(ไม่ผ่าน แก้จนกว่าบก. เล่มจะโอเค)>เจ้านายดู แก้ไข >หวานแก้ครั้งสุดท้าย >ส่งให้การตลาด >การตลาด เอาไปลงโฆษณา จะทางไหนก็ว่าไป

เขียนแนะนำหนังสือ หวานว่าไม่ยากหรอก ใครก็เขียนได้

แต่มันติดอยู่อะไร
นิดหน่อย

เท่านั้นเอง

คือ ... หนังสือที่คุณเขียนแนะนำ คุณไม่เห็นมันมาก่อน มันไม่อยู่เป็นรูปเล่ม แค่เคยได้ยินผ่านหูทุกวัน แล้วเขียนมันออกมา โดยคิดว่า ถ้ากูเป็นบก. เล่มนี้ คลุกคลี กูจะเขียนอธิบายแนะนำหนังสือเล่มนี้ออกมาว่าไง? (ทั้งๆ ที่กู ไม่เคยอ่านแม่งสักกะตัว)

ขั้นตอนแรก หวานก็จะเอาไฟล์ PDF ของเล่มนั้นมานั่งดู บอกตรงๆ ต่อให้นั่งอ่านไฟล์ PDF ทั้งเล่ม ทั้งวัน มันก็คิดไม่ออกหรอก เสน่ห์ของหนังสือที่ปฎิเสธไม่ได้ แล้วยังเกินห้ามใจ ก็คือ การได้ลูบไล้ ดอมดมสัมผัสกลิ่นไอหมึก นี่แหละ ไอเดียถึงจะบังเกิด

หวานนั่งอืดมาตั้งแต่วันจันทน์แล้ว ว่าจะเขียนแนะนำหนังสือให้
เป็นหนังสือทดลองวิทย์แสนสนุก
เผอิญว่า รอบนี้ เป็นหนังสือของพี่หัวหน้าบก.2

อย่างที่หวานเล่าในบล๊อกถัดไปสองบล๊อก ว่าประทับใจในการทำงานของเขา .. เขาเป็นคนซื่อๆ มองโลกในแง่ดี แล้วยังทำงานหนักไปพร้อมกันได้

หวานไม่เคยทำงานในด้าน.. หนังสือ โดยอยู่ใต้บังคับบัญชากับเขามาก่อน ปกติ ดิวงาน ก็จะเป็นแค่งานเอกสาร เบิก จ่าย ใช้(เบ๊เช่นกุ) ไหว้วานอะไรเล็กๆ น้อย มันจริงน่ะ ที่เขาบอกว่า ครั้งแรก มักจะ ทุลักทุเล จะล้มเล มิล้มเล นั่นแหละ ประมาณนั้น ตื่นเต้น ประหม่า เขิน อูย.. เสียวว่ะ 555

ตอนหวานเขียนใหม่ๆ เริ่มใหม่ๆ ก็เป็น คิดเป็นอาทิตย์ๆ ถึงจะเขียนออกมาได้

เริ่มตั้งแต่ยังเขียนไม่ออก หวานก็ทำเหมือนเดิมที่เคย คือนั่งคุยกับบก.ที่ทำ
เริ่มด้วยคำถามพื้นๆ
พี่คิดว่า เด็กแบบไหนจะอ่าน? อายุเท่าไหร่ ถึงจะอ่าน? พี่ว่า อะไรที่หนังสือพี่แตกต่างกับหนังสือเล่มอื่น? พี่ว่า ธีมหนังสือเล่มนี้คืออะไร? พี่แต่งงานหรือยังค่ะ ? พี่ค่ะ หนูโสดนะ อันหลังไม่ได้ถาม เพราะจ้างแม่บ้านไปสืบล่ะ ว่าพี่แกยังไม่แต่งงาน 555

พอคุยเสร็จ นั่งอู้อยู่ ไม่ใช่สิ 555
หวานก็มานั่งคิด .. ช่างใจ อยู่สามทางเลือก

1. เขียนแบบที่หวานชอบ หวานอยากเขียน เขียนแม่งแรงๆ ไปเลย
(ที่กองจะรู้กัน ว่า ถ้าหวานเขียนเอง งานจะดาร์กสูง แรงๆ ตรงๆ เหน็บจิก.. ซึ่งไม่เหมาะักับหนังสือเด็กเลยให้ตายเหอะ )
2. เขียนแบบดูว่า คนอื่นๆ เขียนแนะนำหนังสือ แนวเดียวกับของเรา แล้วมาดัดแปลง
3. เขียนแบบพี่เขา โดยดูจากคำนำที่พี่เขียนไว้ ..

หนักใจ ทั้งสามทางเลือกเลย
1 เขียนเอง ... งานมึงแรงนะ พี่เขาเห็นครั้งแรกจะรับได้เหรอว่ะ
2 ดูคนอื่น ดูสิ้นคิดไปไหมมึง กูไม่ได้โชว์พาวเลย
3 เขียนแบบพี่เขา กูไม่ได้โชว์พาวอ่ะดิ (ห่วงเหลือเกิน พาวมึงนี่)

คีย์ ที่หวานจับประเด็นได้ ตอนคุยกับพี่เขา คือ "ง่ายๆ"

หวานก็มานั่งอ่าน คำนำที่พี่เขาเขียน ... อ่านที่คนอื่นเขียนไว้แนวเดียวกัน
แล้วหวานก็ัตัดสินใจว่า

"เขียนเองแม่งเลย" (โชว์พาวๆๆๆๆๆๆๆๆ)

หวานเขียนออกมาภายใน 20 นาทีก่่อนเที่ยง .. EDIT หนึ่งที แล้วส่งให้พี่เขาดู

ทิ้งไว้กับพี่เขา 10 นาที เผอิญเจ้านายโทรมาด่าเรื่องงาน เจ้านายเข้าใจผิดว่า หวานทำงานพลาด เขียนผิด จริงๆ หวานไม่ได้เขียนผิด แต่เพราะข้อมูลที่สำนักงานใหญ่มันไม่ได้อัพเดท ก็เลยมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป

พอเที่ยง หวานโทรหาพี่เขา "พี่กินข้าวเที่ยงป่ะค่ะ" ฟังดูเหมือนมีน้ำใจ แต่เปล่าเลย หวานกะอยู่แล้ว ว่าแกไม่กินข้าวเที่ยง หวานเอาเวลาพักเที่ยงนี่แหละ นั่งคุยงานกับแก .. พอแกบอกว่า "พี่ไม่..." ไม่ต้องรอเฮียแกพูดจบ หวานก็ "ค่ะ งั้นเดียวไปหา"

พอมาถึง ก็เจอแกถือกระดาษไว้ในมือ
เห็นที่แกวงไว้ในงานที่หวานเขียน หวานก็วูบเลย.. ใจตกไปตาตุ่ม
กุว่าแล้ว ว่างานแรง กุต้องแรงเกินไป สำหรับหนังสือเด็ก

หวานก็นั่งเงียบๆ รอให้แกอธิบาย

แกติอยู่ 3 จุด

อย่างแรก

1 สื่อความไม่ชัดเจน



หวานเขียนขึ้นแนะนำหนังสือ ไป ประมาณว่า..
(ตัวจริงลืมไว้ที่ำทำงาน ลืมหยิบกลับมาบ้านด้วย)

"ทำไมนะ? ทำไม? อยากรู้คำตอบจัง
สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่การได้รู้คำตอบหรอกนะ
แต่เป็นการตั้งคำถามอย่างถูกต้องต่างหากล่ะ...

มาตั้งคำถามชวนรู้ แล้วแถลงไขปริศนาผ่านการทดลองไปกับหนังสือเราสิ"
(ประมาณนี้แหละ)

"พี่ว่า... มันไม่ใช่น่ะหวาน " แล้วพี่ก็พับกระดาษ ดูสามบรรทัดแรก " เนี้ยดูสิ ถ้าหวานอ่านแค่นี้ หวานจะรู้ไหม ว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร สื่อไม่ชัดเจนเลย ถ้าเป็นเช่นว่า รุ้งกินน้ำเกิดจากอะไร , เงามาจากไหน? พี่ชอบนะ ตั้งคำถามแล้วให้ตอบน่ะ แต่แบบนี้ .. พี่ว่า มันหลงประเด็นเกิน "

หวานก็ "ค่ะ"


2 งานเนคกาทิฟเกินไป๊..นังหนู

(เนคกาทิฟ - negative ~ ร้าย, แรง ,ติดลบ,มองแง่ร้าย)


หวานเขียนไป(ประมาณ)ว่า "การทดลองง่ายๆ ทดลองได้ ไม่จำกัดเฉพาะในห้องเรียน ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ราคาแพง แล้วไม่ต้องสวมเสื้อกาวน์พิลึกๆ นั่นด้วย"

พี่แกวงคำว่า "เสื้อกาวน์พิลึกๆ"

"พี่ขอตัดเสื้อกาวน์พิลึกๆ ออก อ่านแล้ว เหมือนกับว่า คนเขียน ดูจะมีทัศนคติแง่ร้ายกับวิทยาศาสตร์ แล้วมันก็ดูเหมือนไม่พยายามเป็นผู้ใหญ่หรือความรู้เพียงพอด้วย จนเหมือนคนเขียน ไม่ชอบวิทย์ แล้วมาจำใจ ชอบก็ได้ว่ะ ก็เลยมาำทำ งั้นแหละ"

(จริงๆ จะบอกว่า เสน่ห์ ..การมองวิทย์ในแง่ร้าย เป็นตัวบั่นทอน เป็นผู้ทำลาย เป็นจุดขายได้ดีมากกว่า การมองว่าวิทย์คือทุกสิ่ง วิทย์คือพระเจ้าซ่ะอีก)

หวานก็บอก "ค่ะ ก็หนูเกลียดเสื้อกาวน์ แต่หนูชอบวิทย์น่ะค่ะ"
เด็กเนริ์ดน่ะ ขาวๆ พูดไม่รู้เรื่อง น้ำลายไหล เสปกหนูเลยขอบอก

3 ไม่"ง่าย"

หวานเขียนไปปิดท้ายประมาณว่า "มาเปิดโลกใหม่พิศวงผ่านหนังสือเล่มนี้กันดีกว่า"

"คือ.. ในยุคหนึ่ง คำว่าวิทยาศาสตร์ พิศวง งงงวย มหัศจรรย์ มัน.. น่าสนใจ แต่เดียวนี้ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว แล้วหนังสือของเรานี่ ก็พูดถึง วิทยาศาสตร์ง่ายๆ ทั่วไปๆ ที่มองเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ... มันไม่ได้พิศวงมหัศจรรย์อะไร แนวแบบ ฉลาดสุดสุดๆ เมก้าเคลฟเวอร์ มันไม่ใช่แนวนี้น่ะ มันธรรมดา ทั่วไปนี่แหละ"

หวานก็นั่งฟัง .. แล้วก็โพล่งขึ้นมา

"พี่ค่ะ หนูตีความ "ง่ายๆ" ของพี่ไม่ออกค่ะ คือ หนูเขียนแนะนำหนังสือ หนูก็จะมี Anything ที่ .. คนอ่านแนะนำหนังสือ .. อยากสั่งหนังสือกับเรา หนูไม่เข้าใจว่า "ง่ายๆ" นี่มันน่าสนใจตรงไหน สำหรับหนู พี่ หนูชอบวิทย์น่ะค่ะ ชอบมาตั้งแต่เด็ก ไอ้หนังสือประเภทการทดลองเนี้ย หนูก็เคยอ่าน แต่หนูไม่ประทับใจเท่า.. เ่อ่อ.. รายการ เมกก้าเคฟเวอร์ ถ้ารายการเมืองนอก ตามเคเบิ้ล เช่น สติเฟื่อง วิทยาศาสตร์ พวกระเบิดภูเขา เผากระท่อม หนูชอบแบบนี้ มันดึงดูดกว่า"

หวานก็มองหน้าแก แล้วก็พูดต่อไป " หนูไม่เ้ข้าใจ เลย ว่าง่าย .. มันน่าสนใจตรงไหน เหมือน เวลาที่มองผู้หญิง พอเรามองว่า ผู้หญิงคนนี้ง่ายๆ ไม่น่าสนใจเลย.. เห็นไหมค่ะพี่ มันน่าสนใจตรงไหน สำหรับหนู ง่าย = แล้วไง ก็คือ ไม่เห็นจะน่าสนใจ "

"แต่แบบนี้ มัน.. "

"หนู.. ก็ไม่ได้ชอบงานที่เขียนออก แต่หนูอยากลองเขียนให้สุดโต่งดู เพื่อจะได้ดูว่า .. พี่จะตอบกลับมาว่า ควรสุดโต่งตรงไหน ตรงไหนไม่ควรโต่ง ที่เขียนโปรยแบบนี้ ก็เพื่อให้ดูแรงๆ เหมือนโยนระเบิดตรงลงไป หนูพึ่งทำงานกับพี่ครั้งแรก หนูจะรอดู ว่า พี่จะตอบกลับมาว่าอย่างไง หนูจะเขียนแบบที่พี่น่าจะชอบ"
แล้วหวานก็แก้ต่างไปว่า "ไม่ใช่สิ" แล้วก็เงียบไป...
จริงๆ หวานก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ
คือ มันก็หนีไม่้พ้น เขียนแบบที่บก. ชอบ เพื่อที่งานจะได้ผ่านออกไปได้

พี่ก็แกงงๆ ว่า ทำไม อะไรของเมิง
หวานเลยบอก "ไม่หรอกค่ะ .. พูดต่อเถอะ หวานอยากฟังความเห็นพี่"
(เห็นที่แก กิริยาท่าทางแล้ว พอจะเดาได้ ว่าแก ชอบ, หรือไม่ชอบอะไร)

"หวานไม่เห็นจะโยนระเบิดเลย แค่สะกิดก็พอแล้ว...." พี่แกอธิบายต่อไป "คืองี้ ยกตัวอย่างนะ เขียนแนะนำหนังสือ เหมือน แต่งหน้าเค้ก ต้องโชว์ความเป็นเค้กออกมา คนกินเค้กช๊อคโกแลต เห็นว่าเป็นเค้กช๊อคโกแลต"

หวานเถียงควับ " ไม่ใช่แล้วค่ะ คนกินเค้กช๊อคโกแลต เพราะเห็นว่ามันคือช๊อคโกแลต .. ยิ่งใกล้เคียง ช๊อคโกแลต เท่าไหร่ .. มันยิ่งทำให้คนอยากกิน หนูว่า พี่หลงประเด็นแล้วล่ะค่ะ"

"ไม่! ถ้าพี่อยากกินช๊อคโกแลต พี่ก็ไปชื้อช๊อคโกแลตสิ พี่จะมากินเค้กทำไม! จริงอยู่ที่พี่ชอบกินเค้กช๊อคโกแลต เพราะพี่ชอบกินช๊อคโกแลต เพราะมันคือ สิ่งที่คล้ายๆ กัน แต่พี่จะไม่กินเพราะ เห็นเค้กแล้วตัดสินว่า มันคือช๊อกโกแลต พี่กินเค้ก เพราะมันคือเค้ก พี่จะกินเค้ก"
ู^
นี่ล่ะ .. คือ Mind Set ของพี่เขา ที่หวานต้องการ เอามาใช้ทำงาน

Mind set คือ การตัดสินสิ่งอื่นๆ ด้วยความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ โดยไม่อ้างอิงถึงเหตุผลใดๆ อย่าง

เช่น ฉันไม่ชอบสกีนเซฟเวอร์ .. ก็เลยไม่เคยตั้ง พอเห็นคอมเรื่องไหนมี ก็ไปกดเอาแม้ว่าฉันจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ประโยชน์ของสกีนเชฟเวอร์ มาเพื่อพักหน้าจอให้คอม ยืดอายุหน้าจอคอม แต่ฉันไม่สน ฉันไม่ชอบ

หรืออีกตัวอย่าง เช่น ผมไม่ชอบใส่ถุงยาง ถึงผมจะรู้สึกเสียวหลังเสร็จ ทุกครั้งว่าติดโรคไหม? ท้องไหม? กังวลมากๆ แต่ผมก็ไม่ชอบความรู้สึกตอนที่ทำกิจนี่ครับ มัน.. ไงก็ไม่รู้ ผมเลยไม่ใส่ถุงยาง

โดยสรุปได้ง่ายๆ ว่า "กุคิดอย่างไงก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ก็มัน เรื่องของกู"

หวานก็นั่งมองพี่เขา อธิบายไปผัวะๆ
"พี่คิดว่าอย่างนั้นเหรอค่ะ แต่หวานไม่ใช่ คนกินเค้กช๊อคโกแลต เขาไม่ได้กินเค้กช๊อค เพราะเขาอยากกินเค้กช๊อก หรอก เขากลืนกินความรู้สึก...... อยากกินช๊อคโกแลตเลยต่างหาก ตอนที่เห็นเค้กช๊อกโกแลต สมองก็ตีความว่า มันก็คือช๊อกโกแลตนี่หว่า ถึงได้รู้สึกน่ากิน สั่งมากินดีกว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นเขาคงไม่เลือกที่จะกินเค้กช๊อกโกแลต"
^
นี่คือ mind set ของหวาน ที่ต่างออกไป จากพี่เขาคิด

พี่เขา กินเค้ก = กินเค้ก
หวาน กินเค้ก= กินความต้องการ

หวานเอา Mind set เขามาใช้งานโดยวิเคราะห์ดังนี้

"พี่เขา ชอบงานที่เขียนออกมา ให้ความรู้สึก นุ่มนวล แ่ต่ยังตรงประเด็น ไม่ใช่อ่อนระทวย หวั่นไหว ตามคำไปเรื่อย ไม่ค่อยชอบให้ เกิดซับซ้อนความรู้สึก ไม่ต้องการยกระดับความคิด มองการเติมความรู้ เป็นเพียงการเสริมสร้างความรู้สึกที่ดี ว่าตนมีคุณค่า และไม่ชอบการยัดเยียดให้คิดตาม "

พอหวานคิดได้สักพัก หวานก็กลับไปนั่งอ่านคำนำที่พี่เขาเขียน ซ้ำอีกรอบ
ที่นี้เข้าใจแล้ว ว่า "ง่ายๆ" สำหรับพี่เขาคืออะไร

หวานก็นั่งอ่าน สะดุดกับคำว่า "ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์" เลยมานั่งลองเสริ์จดู คำนี้จะคล้ายๆ กับ ว่า เป็นการบูรณาการณ์เอาความคิดแบบที่มีเหตุผล โดยใช้หลักการเพื่อหาความจริงแบบวิทยาศาสตร์ มาปรับใช้ในการคิดประจำวันทั่วไป

นี่แหละ! ที่หวานนั่งคิดอยู่ทั้งวัน "ง่ายๆ"

พอมานั่งคิดๆ .. คงพี่เขาจบสายวิทยาศาสตร์มาโดยตรง .. หวานเลยรู้สึกเอะใจ
นี่อาจเป็นความรู้สึกฝังลึกในใจพี่เขา จนเก็บมาเขียนเป็นคำนำหรือเปล่า

พอใกล้เลิกงาน หวานเลยไปนั่งถามเขา
"พี่ค่ะ พี่เขียนคำนำ โดยใช้ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ มาเป็นส่วนประกอบในการเขียนคำนำ เพราะ พี่ต้องการดึงเอาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่เรียนจบมา ตกผลึก มาเป็นนิยาม แล้วจากนั้น ก็เอามาเขียนเป็นคำนำใช่ไหมค่ะ "

พี่เขาก็งงสิ .. เพราะหวานถามซ่ะ บ้าบอคอเชียว แกก็ตอบ "ใช่"

หวาน โอเค งั้นมาถูกทางแล้ว

"ถ้างั้น หนังสือเล่มนี้ สำหรับพี่ คือธรรมชาติ .. วิทยาศาสตร์มันอยู่ทั่วไปๆ พอเด็กอ่าน เมื่อเกิดข้อสงสัย ก็เลยทำการทดลองตาม ทำได้ หรือ ไม่ได้ ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ คิด วิเคราะห์ เป็นเหตุเป็นผล

ซึ่งการคิดทำการทดลอง ก็ได้คำตอบออกมา การที่เด็กอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วทำการทดลองตาม เพราะพี่ต้องการการบ่มเพราะให้เกิดความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นทักษะที่พี่ต้องการให้เด็กมีติดตัวไปด้วย

เพื่อที่จะได้มีความคิดวิเคราะห์ในเรื่องต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่วิทยาศาสตร์เท่านั้น แม้แต่เรื่องทั่วไปๆ ก็คิดเป็น คิดได้ หนูเข้าใจถูกไหมค่ะ "

พี่เขาพยักหน้า "ใช่ ... นี่แหละ คอนเซปของหนังสือที่พี่ทำ คิดได้ คิดเป็น"


ในที่สุด .... หวานก็ตีความคำว่า "ง่ายๆ" ของพี่เขา ออกสักที



วันนี้หวานกลับบ้านแบบ รู้สึก ดีใจที่ตัวเอง ทำได้แล้ว ... รู้แล้ว ว่าจะเขียนอย่างไงให้มันผ่านบก.ไปได้ เขียนอย่างไง บก. ถึงชอบ บก. คนนี้ ชอบเขียนแนะนำแบบ นุ่มนวล แต่ยัง ตรงไปตรงมา รักเด็ก อยากให้เด็กมีนิสัยวิทย์ที่ดี .. นี่เองคือง่ายๆ

แต่ก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นในใจ

... แล้วหนังสือเราจะต่างกับคนอื่นตรงไหน?



จุดขาย ที่หวานวางไว้คือ ความตื่นเต้น เร้าใจ ของการทดลอง

มันก็จะหายไปด้วย กลายเป็น .. ทื่อๆ "การทดลองวิทย์นำไปสู่ความคิด" เชยจะตายชัก ... หวานไม่ชอบเลย ให้ตายเหอะ

ที่จริงกะกลับมาคิดต่อที่บ้าน แต่ก็.... ลืมหยิบเอากลับมาด้วยน่ะสิ

เฮ่อ...
จุดขาย มันดันมาสวนทาง กับจุดหมายของคนทำหนังสือ ... ซ่ะได้

ก็ไม่เป็นไร เขียนให้มันกลางๆ ซึ่งก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะเขียนได้ 5555



Create Date : 23 กันยายน 2552
Last Update : 23 กันยายน 2552 22:37:18 น.
Counter : 1137 Pageviews.

1 comments
  
สนุกล้ำค่ะ บล็อกนี้ ขอ add ไว้นะคะ
โดย: Lighting Plankton ขี้เกียจล็อกอิน IP: 124.121.32.161 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:23:58:58 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หวานใจนายโหด
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




add me!!plz~
Add to Google

ไม่สวยก็เซ็งเป็น


MY VIP Friend