รู้จัก....การแบ่งประเภทเครื่องบินรบและยุคของเครื่องบิน
นักตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา เครื่องบินถือเป็นยุทโธปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งต้องการเอาชนะสงคราม สงครามโลกครั้งที่สองทำให้เทคโนโลยีเครื่องบินรบก้าวหน้าไปมาก และจากการถึงบินครั้งแรกของ Me-262 ซึ่งเป็นเครื่องบินรบแบบแรกนั้น ทำให้โลกของอากาศยานทางทหารพัฒนาไปจนก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน
ความสำคัญของเครื่องบินรบต่อยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ของสงคราม
เครื่องบินรบสามารถเปลี่ยนโมเมนตัมของสงครามได้ทั้งในระดับเล็กและระดับใหญ่ เครื่องบินทางยุทธวิธีต่าง ๆ สามารถสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดิน ขัดขวางกำลังทางอากาศของข้าศึก ลาดตระเวนรวบรวมข่าวสาร ฯลฯ จนไปถึงเครื่องบินทางยุทธศาสตร์ที่มีผลกับสงครามในสัดส่วนที่ใหญ่กว่าคือสามารถรวบรวมข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ ควบคุมปฏิบัติการทางอากาศ ไปจนถึงการโจมตีด้วยนิวเคลีย
สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกแสดงให้เห็นถึงคำพูดของนักการทหารท่านหนึ่งที่กล่าวว่า "ไม่มีรัฐใดแพ้สงครามในขณะที่ครองอากาศได้อย่างสมบูรณ์" เนื่องด้วยกำลังทางอากาศจะเป็นหน่วยแรกที่เข้าสู่สมรภูมิ เคลียทางให้กับกองกำลังอื่น ๆ รวมถึงป้องกันและโจมตีภัยคุกคามต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อฝ่ายเรา
และคำกล่าวข้างต้นก็สอดคล้องกับพระดำรัสของ จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ ที่ว่า...
"กำลังในอากาศ เป็นโล่อันแท้จริงอย่างเดียว ที่จะป้องกันมิให้สงครามมาถึงท่ามกลางประเทศ ของเราได้ ทั้งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการคมนาคมปกติ"
เครื่องบินขับไล่
เครื่องบินขับไล่มีหน้าที่หลักก็คือการเข้าขัดขวางและต่อสู้กับเครื่องบินอีกฝ่ายหนึ่ง เครื่องบินชนิดนี้จำเป็นต้องมีความคล่องตัวสูง มีประสิทธิภาพทางการบินที่ดี มีความเร็วที่ยอดเยี่ยม นอกจากนั้นยังต้องมีระบบอิเล็กทรอนิคทางการบินและอาวุธที่เอื้อประโยชน์ให้กับภารกิจด้วย เช่นระบบเรด้าห์ที่สามารถจับเป้าหมายทางอากาศได้ไกล ระบบอาวุธพิสัยใกล้และกลางต่าง ๆ
เครื่องบินประเภทนี้ที่เราจะรู้จักกันดีที่สุดอย่างเช่น MiG-29, F-15, F-16, JA-37, Mirage เป็นต้น
ทั้งนี้ในบรรดาเครื่องบินขับไล่ด้วยกันนั้น ก็มีเครื่องบินประเภทที่ทำภารกิจขัดขวางทางอากาศ หรือ Interceptor โดยเครื่องบินประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่หรือบินได้ไกล เพราะโดยภารกิจแล้วเครื่องบินประเภทนี้มีหน้าที่ขัดขวางเครื่องบินข้าศึกในระยะที่ไม่ไกลจากฐานบิน จนกว่าข้าศึกจะล่าถอยหรือกำลังทางอากาศอื่น ๆ จะเข้ามาช่วย ทั้งนี้ เครื่องบินประเภทนี้มักไม่ได้ติดอาวุธมากมาย มีขนาดเล็ก แต่มีความเร็วและความคล่องตัวเป็นเลิศ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเครื่อง F-5 และ MiG-21 เป็นต้น
ยุคของเครื่องบินขับไล่
ในปัจจุบันเราจะได้ยินการแบ่งยุคของเครื่องบินรบว่าเป็นเครื่องยุคที่ 4 ยุคที่ 4.5 หรือยุคที่ 5 ซึ่งการแบ่งอย่างนี้นั้นไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นผู้คิดหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการจัดแบ่ง แต่การแบ่งครั้งแรกน่าจะมาจากทางรัสเซียในช่วงกลางทศวรรตที่ 90 ซึ่งรัสเซียจัดคุณสมบัติของ "เครื่องบินยุคที่ 5" เพื่อเปรียบเทียบกับโครงการ JSF ของสหรัฐ
แต่ทั้งนี้ การแบ่งในลักษณะนี้ก็จะทำให้เราเห็นภาพคร่าว ๆ ของการพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องบินขับไล่ได้เป็นอย่างดี
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 1 (1945 - 1955)
ยุคที่ 1 ของเครื่องบินขับไล่เริ่มขึ้นพร้อม ๆ กับการกำเนิดของเครื่องบินรบไอพ่นแบบแรกของโลกคือ Me 262 เครื่องบินในยุคนี้มีอาวุธหลักคือปืนกลอากาศและปืนใหญ่อากาศ ระเบิดธรรมดาและกระเปาะจรวดเหมือนกับเครื่องบินในยุคสงครามโลก มีความเร็วต่ำกว่าเสียง ที่พิเศษกว่าเครื่องบินในยุคสงครามโลกก็คือส่วนใหญ่เครื่องบินมีปีกลู่หลังซึ่งให้ประสิทธิภาพทางการบินดีกว่าในย่านความเร็วที่สูงขึ้น
ตัวอย่างของเครื่องบินในยุคนี้ได้แก่ Me 262, F-84, F-86, MiG-15, MiG-17
ซึ่งเครื่องที่น่าสนใจที่สุดก็คือ F-86 และ MiG-15 ที่สร้างชื่อในยุทธเวหาเหนือน่านฟ้าเกาหลีในสงครามเกาหลีนั้นเอง
ซ้าย: F-86 ขวา: MiG-15
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 2 (1955 - 1960)
เครื่องบินในยุคนี้มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือการเปลี่ยนอาวุธหลักจากปืนกลอากาศมาเป็นจรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศอย่าง AIM-9 หรือ AA-2 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแนวทางและหลักนิยมในการรบติดพันไปเลยทีเดียว นอกจากนี้เครื่องบินในยุคนี้ยังเริ่มติดตั้งเรด้าห์ และสามารทำความเร็วเหนื่อเสียงได้ นอกจากนั้นเรายังเริ่มเห็นแผนแบบของปีกแบบ Delta Wing ที่ให้ประสิทธิภาพในการบินที่ความเร็วเหนือเสียง
ตัวอย่างของเครื่องบินในยุคนี้ได้แก่ เครื่องบินในชุด "Century Series" ของสหรัฐคือ F-100, F-101, F-102, F-104, F-105, F-106, MiG-19, MiG-21, Su-11, Hawker Hunter, Mirage-III, J-35 Darken เป็นต้น
J-35 Darken ของสวีเดน
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 3 (1960 - 1970)
เครื่องบินยุคนี้เริ่มติดตั้งจรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบ Semi-active เช่น AIM-7 Sparrow โดยเครื่องนั้นเริ่มต้นในการมีคุณสมบัติ Multi-role หรือในภาษาไทยว่าพหุบทบาท โดยรวมความสามารถในการโจมตีทั้งภาคอากาศและภาคพื้นดินเข้าไว้ด้วยกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเครื่องบินในยุคสงครามเวียดนามอย่าง F-4, F-5, MiG-23, MiG-25, Su-22, Harrier, Mirage F.1, Super Etendard, J-8 II เป็นต้น
J-8 II ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4 (1970 - 1990)
เครื่องบินในยุคนี้แทบทั้งหมดยังประจำการอยู่ในปัจจุบัน โดยมีคุณสมบัติการเป็น Multi-Role ที่สมบูรณ์ สามารถใช้อาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบ Active Radar เช่น AIM-120 ได้ ส่วนใหญ่แล้วเครื่องในยุคนี้จะเน้นที่ประสิทธิภาพในการรบมากกว่าความเร็ว
ตัวอย่างของเครื่องบินในยุคนี้คือ F-15, F-16, F/A-18, AV-8B, MiG-29, MiG-31, Su-27, Tornado, Mirage-2000, J-10, F-2 (JSADF), LCA (Indian AF), JA-37 Viggen
LCA: Currently Deveolping by Indian Air Force
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 (1990 - 2000)
เครื่องบินในยุคนี้เป็นกำลังหลักของกองทัพอากาศทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคุณสมบัติส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับเครื่องในยุคที่ 4 เพิ่งแต่เพิ่มระบบ avionic ที่ทันสมัยขึ้น ปรับปรุงความอ่อนตัวในการปฏิบัติภารกิจให้ทำภารกิจได้หลากหลายขึ้น และมีคุณสมบัติตรวจจับได้ยาก (Stealth) ในระดับจำกัด
เครื่องบินที่อยู่ในยุคนี้ได้แก่ F/A-18 E/F, Su-30, Rafale และ Eurofighter
Su-30 MKI Indian AF
เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 (2000 and Onward)
เครื่องบินในยุคนี้คือเครื่องบินขับไล่ที่เราจะเห็นไปอีกอย่างน้อย 20 - 30 ปี โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่ต้องมีคือเทคโนโลยี Stealth ระบบ Data link (ระบบการกระจายข้อมูลระหว่างเครื่อง) รวมถึง Super Thrust (ระบบขับเคลื่อนความเร็วเหนือเสียงโดยไม่ต้องใช้สันดาบท้าย) เครื่องบินจะเป็นระบบอิเล็กทรอนิคล้วน ๆ
ในปัจจุบันมีเครื่องบินยุคที่ 5 เพียง 2 แบบคือ F-22 และ F-35 แต่รัสเซียได้ประกาศมาแล้วว่าเครื่องบินยุคที่ 5 ของตนกำลังพัฒนาและอาจจะพร้อมขึ้นบินในอีก 3 - 4 ปีนี้
F-35 Lightening II; Model AA-1
เครื่องบินโจมตี
เครื่องบินโจมตีมีภารกิจหลักก็คือโจมตีสนับสนุนการรบให้กับกองกำลังภาคพื้นดิน ฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้วมันจะมีความสามารถทางการบินค่อนข้างสูง บรรทุกอาวุธได้มาก สามารถอยู่ในสนามรบได้นาน ส่วนมากแล้วเครื่องบินจะมีนักบิน 2 คนคือนักบินและนายทหารสรรพาวุธคอยช่วยเหลือกัน
ตัวอย่างของเครื่องบินโจมตีได้แก่ A-1, A-7, A-10, A-37, Harrier GR.7, OV-10, Alphajet, Hawk, L-39, A-5 Fantan เป็นต้น
จุดสิ้นสุดของเครื่องบินโจมตี???
ปัจจุบันสถานการณ์ของโลกการบินทางทหารได้เปลี่ยนไป กองทัพอากาศไม่ต้องการเครื่องบินที่ทำภารกิจได้แค่การโจมตีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ต้องการเครื่องบินที่สามารถปรับเปลี่ยนภารกิจได้ตามความต้องการและสถาณการณ์ในขณะนั้น ฉะนั้น ตามความเห็นของผมยุคของเครื่องบินโจมตีขนานแท้อย่าง A-37 หรือ OV-10 ก็คงจะสิ้นสุดลงพร้อมกับการเกิดขึ้นของคำสองคำคือ "Multi Role" และ "Swing Role" (ซึ่งจะกล่าวต่อไป)
A-5C Fantan กองทัพอากาศบังคลาเทศ
เครื่องบินทิ้งระเบิด
เครื่องบินทิ้งระเบิดมีภารกิจหลักคือโจมตีทิ้งระเบิด แต่จะแตกต่างกับเครื่องบินโจมตีก็คือ เครื่องบินโจมตีนั้นสามารถทำการโจมตีในทางยุทธวิธี (tectical) ซึ่งอยู่ในวงจำกัด แต่เครื่องบินทิ้งระเบิดสามารถทำการโจมตีในทางยุทธศาสตร์ (Strategic) คือสามารถเปลี่ยนผลของสงครามทั้งหมดได้
เครื่องบินทิ้งระเบิดสามารถบินได้ไกล บรรทุกระเบิดได้มาก แต่มีอาวุธป้องกันตัวเองจำกัด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันก็คือ B-1B, B-2, B-52, F-111, Tu-22M, Tu-160 เป็นต้น
Tu-160 Blackjack. Russian Air Force
เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด
เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดหรือ Fighter-Bomber ก็เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องบินทิ้งระเบิดหรือเครื่องบินโจมตี โดยเครื่องบินสามารถปฏิบัติภารกิจทิ้งระเบิดขนาดกลางหรือหนักและสามารถทำการรบทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของเครื่องบินประเภทนี้ในอดีตคือ F-105 หรือในปัจจุบันคือ Su-30, Tornado เป็นต้น
เครื่องบินเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ
เครื่อง Tanker มีหน้าที่หลัก ๆ ก็คือเติมเชื่อเพลิงให้กับอากาศยานอื่น ๆ ทางอากาศเพื่อความอ่อนตัวในการรบ เพราะอากาศยานเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องกลับมาลงสนามบินเพื่อเติมเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการเดินทางไกลต่อเนื่องอีกด้วย
ตัวอย่างของเครื่องบินประเภทนี้คือ KC-10, KC-135, Il-78 เป็นต้น
Drogue และ Boom
ระบบการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ระบบตามลักษณะของอุปกรณ์ที่ใช้เติมคือ
1. Boom ระบบการเติมแบบนี้จะมีท่อยาว ๆ ยื่นออกมาจากบ. Tanker และจะฉีดเชื้อเพลิงเข้าไปในท่อรับด้านหลังเครื่องที่เรียกว่า Receptacle โดยจะมีเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่ด้านหนังเครื่อง Tanke คอยควบคุมการเข้าออกของเครื่องบินที่จะรับการเติมน้ำมัน การจ่ายน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งระบบนี้เป็นมาตราฐานหลักของกองทัพอากาศสหรัฐ
ข้อดีของระบบนี้คือสามารถถ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่อากาศยานเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วคือประมาณ 1000 แกลลอนต่อนาทีในเครื่อง KC-135 นอกจากความเร็วแล้ว ประโยฃน์อีกอย่างนึงก็คือเครื่องบินไม่จำเป็นต้องบินเข้าใกล้และรักษาระดับและความเร็วให้เท่ากันเป็นเวลานาน ทำให้มีความปลอดภัย แต่ข้อเสียคือระบบมีราคาแพงมากและสามารถเติมเฃื้อเพลิงให้กับอากาศยานได้ทีละลำเท่านั้น
KC-135 Refueling F-15
2. Drogue ระบบนี้จะใช้สายท่อส่งเชื้อเพลิงยื่นออกมาจากปีกของบ. Tanker โดยปลายสายจะสังเกตุได้ง่าย ๆ ก็คือจะมีลักษณะคล้าย ๆ ตระกร้า โดยอากาศยานที่เข้ารับการเติมเชื้อเพลิงนั้นจะต้องใช้ท่อรับเชื้อเพลิงหรือ Probe ติดเข้ากับตัว Drogue ระบบนี้มีข้อดีก็คือสามารถเติมได้ครั้งและหลายลำ (สูงสุดที่เคยเห็นคือ 4 ลำ) และเป็นระบบที่ติดตั้งง่าย โดยสามารถเปลี่ยนเครื่องบินลำเลียงธรรมดาอย่าง C-130 ให้กลายเป็น KC-130 ได้
Il-78 Refueling Mirage-2000; Inidan AF
เครื่องบินขนส่ง
เครื่องบินขนส่งมีภารกิจหลักคือขนส่งสิ่งของและยุทธปัจจัยต่าง ๆ ไปสู่ที่หมาย รวมถึงสามารถใช้ขนอากาศยาน พลร่ม ปืนใหญ่ ฯลฯ ได้ด้วย
เครื่องบินประเภทนี้ที่รู้จักกันดีคือ C-130, C-5, C-17, An-72, An-124, Il-76 เป็นต้น
An-124
เครื่องบินลาดตระเวน
เครื่องบินประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ติดอาวุธป้องกันตัว โดยเครื่องจะทำภารกิจลาดตระเวนหาข่าวเป็นหลัก
เครื่องที่เรารู้จักกันดีก็คือ SR-71 และ U-2 นั้นเอง
SR-71 BlackBird
เครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิค
มีหน้าที่ทำสงครามอิเล็กทรอนิค ซึ่งก็คือการเฝ้าฝังทางอิเล็กทรอนิก การก่อกวนสัญญาณ (Jamming) หรือการตอบโต้การก่อกวนสัญญาณ (ECM) เครื่องบินชนิดนี้ส่วนใหญ่มีราคาแพงมาก และมีความซับซ้อนสูง
ตัวอย่างก็เช่น E-3, EA-6B, EA-18G เป็นต้น
EA-18G Glower
เครื่องบินฝึก
เครื่องบินฝึกมีหน้าที่ฝึกศิษย์การบินเพื่อไปทำการบินกับเครื่องบินแบบต่าง ๆ โดยแบ่งได้คร่าว ๆดังนี้
1. เครื่องบินฝึกขั้นต้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นเครื่องบินฝึกใบพัดที่ไม่ซับซ้อน เพื่อฝึกให้กับผู้ที่ไม่เคยบินมาก่อน ตัวอย่างเช่นเครื่อง PC-7 หรือ T-6 เป็นต้น
PC-7 Korean AF
2. เครื่องบินฝึกขั้นปลาย เป็นเครื่องบินที่ใช้ฝึกศิษย์การบินที่จบจากการฝึกขั้นต้นมาแล้ว เครื่องบินแบบนี้จะมีความซับซ้อนมากขึ้น หลาย ๆ รุ่นเลียนแบบห้องนักบินและระบบต่าง ๆ มาจากเครื่องบินรบจริง ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับศิษย์การบิน ส่วนใหญ่แล้วเครื่องบินประเภทนี้สามารถปรับเปลี่ยนภารกจิไปทำภารกิจโจมตีเบาได้ด้วย
ตัวอย่างของเครื่องบินแบบนี้เช่น PC-9, PC-21, Super Tucano เป็นต้น
PC-21
3. เครื่องบินฝึกนักบินขับไล่ หรือ Lead-In Fighter Trainer เป็นเครื่องบินไอพ่นที่ใช้ฝึกศิษย์การบินที่จะไปบินกับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นต่าง ๆ เครื่องบินเหล่านี้ทำภารกิจได้ทั้งฝึกและโจมตี ดังนั้นเราจะเห็นเครื่องบินรุ่นนี้ในหลากหลายภารกิจ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Hawk, MB339, L-15 เป็นต้น
MB339 Italian AF
Multi Role และ Swing Role
เครื่องบินในสมัยก่อนนั้นทำภารกิจได้เพียงอย่างเดียว แต่พอโลกเปลี่ยนไป ทำให้บางภารกจิเครื่องบินที่ทำได้ภารกิจเดียวไม่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายและภัยคุกความได้ เครื่องบินรุ่นต่อมาจึงมีคุณสมบัติ Multi Role คือสามารถทำภารกิจได้หลากหลายทั้งขับไล่ โจมตี ลาดตระเวน กดดันระบบป้องกันภายทางอากาศของข้าศึก และล่าสุด เครื่องบินสมัยใหม่ยังต้อมีคุณสมบัติ Swing Role นั้นคือเครื่องบินสามารถปรับเปลี่ยนภารกิจได้ในระหว่างปฏิบัติการกิจหนึ่ง ๆ นั้นก็คือเครื่องอาจจะเปลี่ยนจากภารกิจจมตีสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินมาเป็นภารกิรขับไล่ทั้ง ๆ ที่ยังบินอยู่ในภารกิจเดิม
เครื่องบินที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ก็เช่น Eurofighter Typhoon, JAS-39 Gripen, F-22, Rafale เป็นต้น
Create Date : 17 ธันวาคม 2549 |
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2550 13:36:32 น. |
|
10 comments
|
Counter : 15953 Pageviews. |
 |
|
|