ขนมบัวลอย หลากสี หลายรส


ตระเตรียมอยากทำขนมบัวลอยมาพักใหญ่แล้ว  แต่เนื่องด้วยเงื่อนไขที่ต้องทำงานให้เสร็จก่อน เลยทำให้โครงการบัวลอย (เจ้าเพื่อนยาก..) กลายเป็นโครงการพันปีไป

เราเตรียมเผือก มันเทศ และฟักทองเอาไว้หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าวันหยุดที่ตั้งใจว่าจะทำ แต่พอเลื่อนออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ มันเทศกับฟักทอง ก็ต้องจัดการแปรรูปวัตถุดิบพวกนั้นไปก่อน โดยการจับไปนึ่ง แล้วบด เก็บเข้าช่องแข็งอันแน่นขนัดของเราไปก่อน  แต่ถึงกระนั้น เผือกหัวแรก ก็ยังด่วนน้อยใจ ชิงลาตายไปก่อน  เราเลยต้องซื้อเผือกหัวใหม่มาเข้าพวก ได้หัวใหญ่กว่าเดิม แต่หน้าตาและโหงวเฮ้งดูแล้วค่อนข้างจะอายุยืนโข  เลยเย็นใจไปหน่อย  

ซื้อข้าวโพดหวานมาด้วยสองฝัก อยากจะทำบัวลอยแบบที่มีเครื่องหลาย ๆ อย่าง ด้วยความตะกละ กินชามเดียวได้ครบทุกสิ่งที่ต้องการ

โครงการนี้ ตั้งต้นมาจากบ้านหลังนี้ ที่เจ้าของเป็นสาวสวยแสนขยัน มากด้วยฝีมือกับน้ำใจดี แวะไปชมอาหาร ขนมต่าง ๆ ได้นะคะ  โครงร่างมาจากบัวลอยฟักทองที่บ้านคุณโอ เนินน้ำ ค่ะ

ขอขอบคุณคุณโอ มา ณ ที่นี้ค่ะ  สำหรับสูตร วิธีทำ และการรีวิวที่ทำให้เรารู้สึกว่า ทำอะไร ๆ ก็ไม่ยากเลย (สำหรับบ้านเนินน้ำ)

ส่วนอีกสาวที่ทำการบ้านส่งคุณโอไปแล้ว แต่ดัดแปลงเป็นบัวลอยเผือกใส่มะพร้าวอ่อ่น น่ากินสุด ๆ  ตามไปดูได้ที บ้านน้องหนึ่ง AdrenalineRush

ส่วนผสม ตอนแรกเราคิดจะทำตามคุณครูโอเป๊ะ แต่พอวันที่จะทำ มาค้น ๆ ดูในตู้เก็บสมบัติ  พบว่าไม่มีแป้งมัน เจอแต่แป้งเท้ายายม่อมจำนวน 3 ถุง 

เลยจะใช้แป้งเท้ายายม่อมแทน แต่เราหาเรื่องเวียนหัวใส่ตัวเอง เลยพยายามแปลงสูตรจากปริมาณ เป็นน้ำหนัก  ลองตักแป้งข้าวเหนียวมาชั่งดู พบว่านน.ต่อถ้วยตวงเท่ากับ 110 กรัม  พอไปชั่งแป้งเท้ายายม่อม หนึ่งถ้วยเท่ากับ 145 กรัม   โอว์ มายก๊อด แล้วอิทีนี้ฉานจะไปต่อยางงาย.. เพราะสูตรเขาใช้หนึ่งต่อหนึ่ง แป้งข้าวเหนียวครึ่งถ้วย ต่อแป้งมันครึ่งถ้วย  ..

แล้วแป้งมันมันก็คงจะเบากว่าแป้งเท้ายายม่อมแน่นอน. 

นี่แหละ เทคนิคของการทำขนมไทย ที่ใครอย่าคิดว่ามันง่าย ๆ ดูไม่ซับซ้อน แต่ที่จริงมันมีอะไรซ่อนอยู่มากนะ ต้องมีมากกว่าความแม่นยำในการชั่งตวงวัด จับเวลา แต่อาศัยทั้งความชำนาญ ความเข้าใจในวัตถุดิบที่ตัวเองมี เพราะหลาย ๆ อย่างในส่วนผสมขนมไทย จะไม่ใช่มาจากกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรม แต่มาจากที่ต่าง ๆ กัน เผือกเหมือนกัน แต่เผือกแก่ เผือกอ่อนก็จะมีความชื้นและความเหนียวไม่เท่ากัน  ฟักทอง มันเทศ แล้วแต่จะได้มาทั้งนั้น

การมั่วของเรา เริ่มต้นด้วยประการฉะนี้

ส่วนผสมคร่าว ๆ 

- เผือกหอม เลือกที่แก่ ๆ จะได้หอม ๆ เนื้อแน่นกินอร่อย เราใช้เผือกบด 2 ถ้วย  

- มันเทศ นึ่งสุกแล้วบดละเอียด  2 ถ้วย

- ฟักทอง ทำเหมือนเผือกและมันเทศอ่ะแหละ 1 ถ้วย

- แป้งข้าวเหนียว กับแป้งเท้ายายม่อม ในสัดส่วนอย่างละเท่า ๆ กัน รวมกันแล้วให้ได้ปริมาณใกล้เคียงกับส่วนของเผือก มันเทศ ฟักทองบด ที่จะเพิ่มเข้าไป

- น้ำเปล่า เริ่มต้นที่ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะต่อแป้งสองชนิดรวมกัน 1 ถ้วย หรือดูตามความชื้นของส่วนผสมที่ได้ด้วยค่ะ

- น้ำตาลทราย เราใช้น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี

- กะทิ  เราใช้กะทิกล่องค่ะ 

- ดอกเกลือ

- ข้าวโพดหวาน 2 ฝัก  

วิธีทำ

- เราเริ่มต้นด้วยการผสมแป้งข้าวเหนียวกับแป้งเท้า ฯ ก่อน คน ๆ ให้เข้ากัน แล้วค่อยแบ่งออกมาตามปริมาณของเผือก มัน และฟักทองที่เตรียมไว้

- ข้าวโพดหวาน ฝานด้วยมีดคม ๆ ใช้แต่เมล็ดข้าวโพดค่ะ  พักไว้ในตู้เย็นก่อน

- เผือกส่วนที่เหลือจากการนึ่ง นำมาหั่นเป็นเต๋าเล็ก ๆ พักไว้

- ในชามแต่ละใบที่แบ่งแป้งออกมาตามสัดส่วนของส่วนผสม ใส่เผือก มันเทศ และฟักทองบดลงไป  

- เราเติมสีม่วง (Violet) ลงไปในว่าที่บัวลอยเผือกของเรา แต่มันออกมาน้ำเงิน..มากกก เลยหยดสีชมพู (Rose Pink)  ลงไปผสมอีกนิด ตามด้วยน้ำทีละช้อนโต๊ะ ค่อย ๆ นวดให้เข้ากัน ดูจนส่วนผสมเข้ากัน และมีความเหนียว แต่ไม่ติดมือเหนอะหนะ  สำหรับเผือกของเราแก่จัดมาก ทำให้ต้องเติมน้ำมากกว่าสูตรอีกพอสมควร  

- ทำอย่างเดียวกันกับส่วนผสมอีกสองชนิด มันเทศ และฟักทองไม่ได้เติมสีอะไรค่ะ

ดูแล้วเราเห็นว่า ส่วนบัวลอยมันเทศจะเยอะสุด เลยแบ่งมาครึ่งหนึ่ง กะว่าจะผสมน้ำใบเตยทำเป็นสีเขียวใบเตย  แต่ฝนเผอิญตกกระหน่ำ ไม่สามารถฝ่าฝนออกไปตัดใบเตยได้ เลยกล้อมแกล้มหยดสีเขียวใบไม้ลงไปหน่อยนึง  

สำหรับมันเทศ ใช้น้ำตามสูตรได้ใกล้เคียง อาจจะเป็นเพราะมันเทศมีความเหนียวอยู่ในตัวเยอะอยู่แล้ว 

แต่สำหรับฟักทอง เนื่องจากเราเก็บในช่องแข็งและเอาออกมาตั้งไว้ให้ละลาย เลยค่อนข้างน้ำเยอะ บัวลอยฟักทองสีทองอร่ามของเราเลยค่อนข้างจะเปียก

-  แบ่งเผือกที่หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าออกมาหน่อยนึง เอามาซอยให้เล็กลงอีก เราจะทำบัวลอยมันเทศไส้เผือกค่ะ   น่าสนุกมาก ๆ 

- เริ่มลงมือปั้นบัวลอย โดยโรยแป้งนวลลงในถาด แล้วแบ่งมาปั้นทีละสี  เราเริ่มจากบัวลอยเผือกก่อน  

- ปั้นไปปั้นมา นานมาก ๆ เพราะเราปั้นลูกเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย อยากให้เป็นบัวลอยจิ๋ว ๆ เพราะจะได้ดูน่ารัก กินได้ครบทุกสีในชามเดียว  อีกอย่างแป้งบัวลอยเผือกเราค่อนข้างแห้งมาก ๆ คนบดเผือกก็บดไม่เนียน ทำให้คอยแตกออกจากกัน  จึงเกิดไอเดียบรรเจิด ที่ภาษาชาวบ้านเขาคงเรียกว่า " ขี้เกียจ" น่ะแหละ  จะทำบัวลอยรูปสี่เหลี่ยมลูกเต๋าไง..

- จับแป้งมาปั้นเป็นเส้นกลมยาวก่อน แล้วใช้ไม้คลึงแป้งเล็ก ๆ คลึงให้เป็นแผ่นแบน แล้วใช้มีดคม ๆ ที่จุ่มลงในแป้งนวล ตัดเป็นเส้นยาว แล้วค่อยซอยเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ  แบบนี้ทำได้แต่กับแป้งบัวลอยเผือกของเรา  คาดว่าแป้งบัวลอยมันเทศ และฟักทองคงจะเอามาทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะมันคงจะติดถาดแน่นอน

- เตรียมทำบัวลอยไส้เผือก ใช้แป้งบัวลอยมันเทศที่ผสมสีเขียว (ติ๊ต่างว่าเป็นใบเตย) มาแบ่งเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วแผ่ออกห่อเผือกที่หั่นเอาไว้ คลึงกลม 

- อันนี้เป็นบัวลอยมันเทศ ไม่ได้ผสมสี

- บัวลอยฟักทอง สีทองอร่ามมาก 

งานนี้ เรียกว่างานช้าง เพราะดูจากปริมาณสัดส่วนของที่เราใช้แล้ว น่าจะทำเลี้ยงเด็กในโรงเรียนอนุบาลได้ทั้งโรงเรียนเลย อาจจะแถมชั้นประถมหนึ่งถึงสามได้อีก 

นั่งประดิษฐ์เล่นอยู่เป็นวัน ยังใช้แป้งที่ผสมไว้ไปไม่ถึงอย่างละครึ่งเลย แหะ ๆ 

บัวลอยสีเหลี่ยมของเรา

เพิ่งค้นพบ ว่าบัวลอยนี่เป็นขนมที่ขึ้นกล้อง ตอนยังเป็นแป้งดิบค่ะ แต่พอสุกแล้วถ่ายรูปยากมากเลยค่ะ

เราจะทำบัวลอยใส่เผือกหั่นเล็ก ๆ แบบนี้ด้วย  ยังกับว่าปริมาณแป้งที่ทำเอาไว้จะไม่พองั้นแหละ  ..

จะใส่ข้าวโพดหวานด้วยน้า..

แต่ไม่ต้องตกใจ  เราไม่ได้ทำบัวลอยจากแป้งทั้งหมดนั่นหรอกค่ะ  แบ่งมาทำประมาณอย่างละไม่ถึงครึ่ง ยังใช้เวลาเป็นวัน ขืนทำหมดสงสัยต้องพักร้อนอยู่กับบ้านสักอาทิตย์แน่ ๆ 

ในที่สุด ก็ได้เวลาต้มบัวลอยแล้ว  เนื่องจากเราใช้เผือกดิบ และข้าวโพดดิบ จึงคิดอ่านจะทำแบบที่แม่ค้าทำขาย คือเขา(หรือเธอ) จะต้มบัวลอยให้สุก แล้วตักไปใส่ไว้ในน้ำกะทิจาง ๆ ที่ปรุงรสหวานไว้เรียบร้อย  พอจะเสิร์ฟถึงตักหัวกะทิราดอีกทีนึง  

เราเลยผสมกะทิ กับน้ำเปล่า ในสัดส่วนหนึ่งต่อสาม  ตั้งไฟให้เดือด พร้อมกับใบเตยซึ่งในที่สุด ก็ได้มา  เนื่องจากทำตั้งแต่ฝนตกหนักจนฝนหยุดไปนาน      แล้วใส่เผือกลงต้ม ตามด้วยข้าวโพดฝาน พอเผือกสุกนิ่มดีก็เติมน้ำตาล เกลือนิดหน่อย ชิมรสให้ถูกใจ ถ้ายังต้มบัวลอยไม่เสร็จตอนนี้ ก็ให้ปิดไฟพักไว้ก่อน

- ตั้งกระทะทองเหลืองใบเก่ง ใส่น้ำลงไปพร้อมกับใบเตยที่ได้มาในที่สุด  (ทำตั้งแต่ฝนตกจนฝนหยุดเลยค่ะ) 

- พอน้ำเดือดจัด ใส่บัวลอยลงไปต้ม เราเริ่มด้วยบัวลอยไส้เผือกก่อน เพราะคิดว่าคงใช้เวลานาน กว่าเผือกข้างในจะสุก  แต่จริงแล้วก็ไม่นาน เพราะเผือกชิ้นจิ๋วมาก ๆ  การที่บัวลอยลอยขึ้นมาแล้ว บางทีก็ไม่ได้แปลว่ามันจะสุกถึงข้างในนะคะ  เพราะเคยเจอที่งานแต่งงานหลานสาว ไปว่าร้านที่นัยว่ามีชื่อเสียงมาทำให้ที่บ้าน ปรากฏว่าเกิดอาการหน้าแตก เพราะบัวลอยไม่สุก ..แหงะ

- บัวลอยมันเทศ ใส่สีเขียวใบไม้ ไส้เผือก  ส่งลงไปก่อนตอนที่น้ำเดือดจัด มันจะจมลงไปนอนอยู่ก้นกะทะ  ใช้ทัพพีวน ๆ นิดหน่อยเผื่อจะติดก้นกะทะ

-  บัวลอยที่เริ่มสุกแล้วจะลอยขึ้นมา แต่เนื่องจากเราใช้เผือกดิบเป็นไส้ เลยทิ้งไว้นานหน่อย

-  ปล่อยให้ลอยสักพักค่อยตักขึ้นนะคะ

-  บัวลอยฟักทอง สีสดมาก ๆ ค่ะ

-  บัวลอยเผือก พอลงน้ำแล้วสีม่วงออกสดมากเลย  ชอบ ๆ

-  ใส่บัวลอยที่สุกแล้วลงในน้ำเย็น พอหายร้อนจัดแล้วสงขึ้นด้วยกระชอน  ต้องคอยเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ นะคะ  เห็นไส้เผือกข้างในบ้างไหมเนี่ย อิอิ

-  นี่ อันนี้ติ๊ต่างว่าเป็นใบเตย เขียวปลอมมาก ๆ ค่า

- บัวลอยฟักทอง แอบมีสีม่วงปะปนมาหนึ่งคู่  เป็นแบบสี่เหลี่ยมซะด้วย  น่ารักดี

- พอบัวลอยสุกทั้งหมด และหายร้อนจัด และสะเด็ดน้ำแล้ว ตักใส่ในหม้อกะทิที่เดือดแล้วค่ะ

-  ตั้งไฟอีกรอบให้เดือดใหม่ ตอนนี้ต้องคนเบา ๆ มือ เพราะบัวลอยฟักทองของเรานิ่มมาก ๆ เพราะคงจะเหลวไปนิดนึง

-  ตักขึ้นมาดูซะหน่อย

บัวลอย 5+1 นับได้ครบไหมคะตอนแรกตั้งใจจะแยกกะทิเอาไว้ราดหน้าขนมตอนจะเสิร์ฟ  แต่ดูแล้วไม่มีที่เก็บหม้อหัวกะทิที่แยกไว้ต่างหากแน่ ๆ  เลยจับรวมกันไปเลยตอนท้ายก่อนยกขึ้น  ให้เดือดอีกรอบแล้วพอ

ทำเสร็จตอนกลางคืน ดึกแล้ว แสงดูไม่ดีเลย  แต่อยากชิม แล้วเลยถ่ายรูปมาดู ไม่สวยเลยเนอะ

ทำออกมาได้หม้อใหญ่มาก คงจะต้องกินบัวลอยเป็นของหวานไปอีกเป็นอาทิตย์ชัวร์..

เป็นขนมหวานหลังอาหารเช้าวันอาทิตย์ซะด้วย ขอบอก..

เป็นขนมที่สวยดีนะคะ  เราทำไม่หวานมาก  กินแล้วจะได้รสชาดหลากหลายของตัวบัวลอยเอง เนื้อเผือก และสัมผัสเนื้อข้าวโพดด้วย  อร่อยค่ะ

ขนมไทย ไม่ยาก แต่ไม่ง่ายเท่าไหร่(สำหรับเรา)  แต่ที่แน่ ๆ คือใช้เวลานานมาก.ก  กไม่นับตอนเตรียมเผือกนึ่ง มันบด ฯลฯ  เริ่มตั้งแต่ทำส่วนผสมจนปั้นเสร็จเท่าที่เห็น เราเริ่มทำเย็นวันศุกร์  ปั้นได้สีม่วงสีเดียวจนดึก มีแมวมาเรียกให้ไปนอน  มานั่งทำหน้าง่วงมาก ๆๆๆๆ อยู่ใกล้ ๆ  เลยต้องเก็บเข้าตู้เย็น แล้วอีกวันค่อยเอาออกมาทำต่อ  พักให้แป้งหายเย็น อยู่ในอุณหภูมิห้องก่อนนะคะ   

เลยรู้ว่า ไม่ต้องปั้นหมดก็ได้  ทำแค่ไม่ถึงครึ่งก็เยอะมากแล้ว  

วันไหนคิดถึงอยากกินค่อยเอาออกมาปั้นใหม่   ..

พักนี้มีงานเยอะ และรีบ  รวมทั้งเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามาในชีวิต  เข้ามาทดสอบเราเป็นระยะ ๆ   การได้นั่งปั้นขนมเล่น คิดวางโครงการ ขั้นตอน และหน้าตาขนมที่จะสำเร็จออกมาในจินตนาการของเรา  เป็นการใช้สมองในการคิดเรื่องอื่นบ้าง  

ถ้ามีเรื่องอะไรมากเกินไป  การจมอยู่กับเรื่องเดิมไม่ทำให้คิดอะไรออกมาอย่างชัดเจนได้  นอกจากว่าจะหยุดมันไว้สักพัก  ไปหาสมาธิจากการทำอะไรอย่างอื่นโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องเก่า   เราพบว่า อยู่ดี ๆ เราก็คิดออกมาได้เอง ว่ามันควรจะเป็นอย่างไร และเรื่องราวที่แท้มันคืออะไร  เหมือนการมองสิ่งของที่อยู่ใกล้ตา ใกล้ตัวเกินไป บางครั้งเราก็ไม่สามารถจะมองได้อย่างชัดเจน  เพราะมีตัวตนของเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ต้องถอยออกมา แล้วมองจากมุมของคนอื่น  ทำให้เราเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น แต่จะยอมรับได้ หรือทำใจได้หรือไม่นั้น  ขึ้นอยู่กับว่า เรายอมรับความจริงที่เห็นได้หรือไม่ ถ้ายอมรับได้ พบว่ามันคืออะไร  ก็เท่ากับว่า เราพบทางออกของเรื่องนั้นไปได้แล้วเกินครึ่ง

แถมใช้เวลาแบบนี้ ยังต่อโครงการไปจนทำเลี้ยงเด็กทั้งโรงเรียนอนุบาลได้ด้วยนะ ..  ถ้าทำหมดนั่นน่ะ

ขอให้มีความสุขกับการมองชีวิตของตัวเอง ยอมรับ และ มองทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากให้เป็น หรืออยากเห็นทุก ๆ วันนะคะ

ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่แวะมาใช้เวลาด้วยกัน ณ ที่ตรงนี้เสมอค่ะ 

Create Date : 09 ตุลาคม 2555
Last Update : 23 ตุลาคม 2555 15:14:23 น.		108 comments
Counter : 11498 Pageviews.
Share Tweet