|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
O ตรรกะวิภาษ .. O
. . .
ครั้งหนึ่งในการบรรยายธรรมหัวข้อ "หลักปฏิบัติเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท"โดยท่านพุทธทาสภิกขุ .. (สมัยที่บรรยายนั้น ราวๆปี 2513-2514 บันทึกเสียงโดยใช้แถบเสียงซึ่งมีเสียงรบกวนมาก .. เดี๋ยวนี้มีเผยแผ่ใน YouTube โดยผู้ทำได้ลบเสียงรบกวนออกหมด นับว่าดีเยี่ยม) . ในตอนที่ 4 ท่านได้วิพากย์ ผู้แต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรค คือพระพุทธโฆษาจารย์ ภิกษุชาวอินเดียที่บวชแล้วจาริกไปอยู่ในศรีลังกา ประมาณ พศ.1000 . ประเด็นที่วิพากย์คือ "วิญญาณ" ในขณะที่พุทธะสอนเรื่อง วิญญาณ 6 อันเป็นปัจจยาการ คือไม่มีภาวะถาวรอะไร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นครั้งคราวที่ อาตนะภายใน (อวัยวะบนร่างกายคือ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง .. รวมทั้งจิตใจ) กระทบสัมผัสกับ "คู่ของมัน" . จากสายปฏิจจสมุปบาทสายเกิด .. อวิชชา > สังขาร > "วิญญาณ" > นามรูป > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา > อุปาทาน > ภพ > ชาติ > ชรา มรณะโศกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส . ตา กระทบ รูป .. นี่คือคู่ของมัน ตา คงไม่กระทบกับ เสียง ไปได้ . . . ก่อนนาทีที่จะ กระทบ .. ตรงนี้เข้าใจยากมาก คิดตามลำดับข้อธรรมแล้ว น่าจะได้ประมาณนี้ (ไม่ได้บอกว่า ถูกต้อง - แต่เป็นการว่าตามสติปัญญาของคนเขียนเอง)
ภาวะตามธรรมชาติที่ติดตัวมานั้น .. มีตัวตนที่ยืนนั่งหายใจอยู่ ตัวตนนี้ไม่เข้าใจโลกรอบตัวได้ดีพอ มืดบอดในความนึกคิด ตัวตนนี้จึงมีคุณสมบัติบางประการครอบงำ เราเรียกมันว่า"อวิชชา"
อวิชชาตัวนี้คอยผลักดันเปลี่ยนแปรสภาพภาวะมืดบอดไปเป็น ลักษณะความสามารถในการปรุงแต่งเรื่องราว เราเรียกมันว่า"สังขาร" รอคอยปรุงแต่งภาวะทางอารมณ์ตอบสนอง .. ยืนโรงรออยู่
(เป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของ ความมืดบอด ที่จะต้องปรุงแต่ง ความนึกคิดเสมอไป .. แบบเดียวกับวัตถุสิ่งของที่ต้องหล่นจากที่สูง เพราะแรงโน้มถ่วงดึงลากลงมา เสมอไป)
รออยู่ในภาวะที่เรียกว่า ภาวะพร้อมรับรู้ ภาวะพร้อมกระทบสัมผัส เราเรียกมันว่า "วิญญาณ" มี 6 ทาง
เนื่องจาก ภาวะพร้อมรู้ ภาวะพร้อมสัมผัสนี้ จำต้องอาศัยตั้งอยู่บน รูปนาม มันถึงจะทำงานได้ วิญญาณ จึงต้องตั้งบน รูปนามเสมอไป วิญญาณจึงเนื่องอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า "นามรูป"
นามรูปนี้เอง เป็นโดยนาม เท่านั้นทั้ง นาม โดยนาม รูป ก็โดยนาม แต่ตั้งภาวะขึ้นบนรูป ที่เป็นรูปขันธ์ คือ ร่างกายที่เป็นๆ
ตรงนี้ งง แน่นอน ว่า "รูปโดยนาม" เป็นอย่างไรฟะ ? อธิบายอย่างนี้ว่า ...
รูปลักษณ์หนึ่งๆ ที่รอ ดวงตา สบสัมผัส .. คือตัวจักขุวิญญาณที่สวมทับลงบนตาเนื้อ .. รอกระทบสัมผัสกับ ความหมายบนรูป ดังนั้น รูปลักษณ์นั้นๆ จำต้องถูกแปรรูป (to be transformed) ภาวะเป็น นาม เสียก่อน
แปรรูปอย่างไร ? แปรรูป เป็น "ความหมาย หรือ คุณค่า" ที่ภาวะมืดบอดกำหนดขึ้นมาสวมทับ ลงบนรูปจริง - ความหมายหรือคุณค่า นี้คือนามที่ตั้งอยู่บนรูป
"จักษุวิญญาณ" นั้นจึงสัมผัส กับ "คุณค่า หรือ ความหมาย" บนรูปนั้น จักษุวิญญาณ ไม่ได้สัมผัสรูปลักษณ์โดยตรง ที่สัมผัสรูปลักษณ์โดยตรงคือ ดวงตา ภายใต้แสงสะท้อนรูปนั้นมากระทบ
คู่ ภายนอก-ภายใน คือ รูปลักษณ์-ดวงตา
ทั้ง 2 อย่างนี้เรียก สฬายตนะ เป็นภาวะที่ "รอพร้อมอยู่" ทั้งสิ้น ตั้งแต่อวิชชา จน สฬายตนะ เพียงแต่มีคุณสมบัติตามที่มี ที่เป็น อยู่ตามคุณสมบัติของภาวะ มืดบอด
เมื่อ"ดวงตาโดยนาม" กับ "รูปลักษณ์โดยนาม" ที่เราเรียกรวมกันว่า "สฬายตนะ" เกิดการกระทบกัน เราเรียกว่า "ผัสสะ" . รูป กับ ตา พอกระทบกัน สฬายตนะช่องทางนี้คือ"จักษุวิญญาณ" กับ "รูปลักษณ์" ก็สัมผัส เป็นสัมผัสที่มืดบอด ก็เกิดความรู้สึกในรสของอารมณ์ เราเรียก "เวทนา" . . . สังเกตให้ดีว่า อายตนะ ซ้อน อายตนะ ตัวแรก บนรูปขันธ์ที่มีมาแต่กำเนิด คือ ตาเนื้อ ตัวหลัง บนภาวะปรุงแต่งของสังขาร คือ วิญญาณ 6 คือ ตาโดยนาม . . ท่านพุทธโฆษาจารย์ .. กลับอธิบายไปอีกแบบ โดย เพิ่ม หรือ แทรก "ปฏิสนธิวิญญาณ" ขึ้นมาตรงนี้เอง ตรงที่เรียกว่า ตาโดยนาม กลายเป็นว่า ตาโดยรูป เกิดซ้ำซ้อนขึ้นมา และน่าหัวร่อที่กลายเป็น ตาของตัวอ่อน ในท้องมารดา ! . คือเมื่อตา สบ รูป .. อัตภาพนั้นๆควรมีปฏิกิริยาหลังจากนั้น ทางใดทางหนึ่ง และทางอารมณ์เท่านั้น .. . เพราะเป็นแค่การมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น . เป็นไปไม่ได้ ที่จะข้ามไปเกิดเป็นวิญญาณของอีก อัตภาพหนึ่ง คือ ตัวอ่อนในครรภ์มารดา .. . พลันที่ ตาเนื้อ กระทบ รูป พุทธโฆษาจารย์ อธิบายว่า เกิด ปฏิสนธิวิญญาณ เพื่อเกิดเป็น นามรูปในอีกภพ .. คือการเกิดจากท้องแม่ ที่ตรงนี้ .. . พอเข้าใจได้ว่า .. การปฏิสนธิของตัวอ่อนในครรภ์มารดา เกิดขึ้นได้เมื่อ อสุจิของฝ่ายบิดา ผสมกับ ไข่ของฝ่ายมารดา .. . เมื่อเอาภาวะ ปฏิสนธิวิญญาณ มาวางตรงที่ การปฏิสนธิในครรภ์มารดา .. ตรงนี้ย่อมนับเป็นจุดเริ่มแรกของ ชาติปัจจุบัน . ดังนั้น อวิชชา กับ สังขาร จึงต้องอยู่ในอดีตชาติ เสมอไป ไม่ใช่ติดต่อสืบเนื่องรวดเดียวแบบที่ใน พุทธะวจนะ กล่าวไว้ . อวิชชา > สังขาร > วิญญาณ > นามรูป > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา > อุปาทาน > ภพ > ชาติ > ชรา มรณะโศกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส . เกิดตรง "นามรูป" ครั้ง ที่ 1 เกิดตรง "ชาติ" ครั้งที่ 2 . จึงเกิดแนวคิด คร่อมภพคร่อมชาติ อดีตชาติ - อวิชชา สังขาร ปัจจุบันชาติ - วิญญาณ .. จนถึง .. ภพ อนาคตชาติ .. ชาติ ชรา มรณะ ฯ . กลายเป็นวงจรที่ไม่อาจตัดบั่นได้ด้วยตัวเอง เพราะ เหตุ กับ ผล ถูกวางไว้คนละชาติกัน . จึงต้องมี "วิบากกรรม" เรื่องที่มาจากอดีตที่รู้ไม่ได้ด้วยตัวเอง .. และใครก็บอกไม่ได้ด้วย .. (เป็น 1 ใน 4 เรื่องที่พุทธะท่านบอกไม่ให้ไปคิด อยู่ อจินไตยสูตร) มารองรับการตีความคร่อมภพชาติแบบนี้ .. . . การวิพากย์ลักษณะนี้มีมากในพุทธสายวัชรยานของธิเบต ฝรั่งตะวันตกจึงถูกจริตมากกว่าทางเถรวาทแบบไทย . ตรรกะวิภาษ จึงเป็นวัตร ปฏิบัติ ของพระธิเบตในระหว่างการศึกษาเล่าเรียน เพื่อให้เข้าใจ . ตรรกะวิภาษ จึงไม่ใช่การ หมิ่นประมาท มีแต่วัฒนธรรมที่เชิดชูการกระทำตรรกะวิภาษ เท่านั้น เหตุและผลจึงจะงอกเงยได้ .. . . ในทางการเมือง หากใครสักคนกระทำ วิภาษวิธี ระบอบการปกครองที่สืบทอดมาแต่ก่อนเก่าแบบนี้บ้าง . อะไรจะเกิดขึ้น ? . . .
Create Date : 16 ตุลาคม 2560 |
|
0 comments |
Last Update : 24 เมษายน 2562 19:22:48 น. |
Counter : 1643 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|