|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
O จากคำข้าว ถึง ภพชาติใหม่ .. ? O
จากอริยสัจจ์จากพระโอษฐ์
.................................................
ภิกษุ ท.! ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา .. ..ในอาหารคือคำข้าวก็ดี ..ในอาหารคือผัสสะก็ดี ..ในอาหารคือมโนสัญเจตนาก็ดี ..ในอาหารคือวิญญาณก็ดี แล้วไซร้,
..วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในสิ่งนั้นๆ. ..วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มีในที่นั้น; ..การก้าวลงแห่งนามรูปไม่มีในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มีในที่นั้น ; ..ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มีในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น ; ..การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด, ชาติชราและมรณะต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น ; ..ชาติชราและมรณะต่อไป ไม่มีในที่ใด , ..
ภิกษุ ท .! เราเรียก "ที่"นั้นว่าเป็น "ที่ไม่โศก ไม่มีธุลี และไม่มีความคับแค้น" ดังนี้.
...................................
เมื่อพิจารณาข้อความที่เป็นพุทธวจนะให้ดีแล้ว เราสามารถเห็นได้ว่า .. "ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา .." นี่เป็นเงื่อนไขเบื้องต้น "ในอาหารคือคำข้าวก็ดี " นี่เป็นข้อความต่อมา ซึ่งทุกคนพบเห็นได้เองในชีวิตประจำวัน วันละ 3 เวลา คือ เวลาทานข้าว .. พุทธวจนะบทนี้ไม่ได้พูดถึงอะไรที่ใหญ่โต ลึกลับซับซ้อนแต่อย่างใด ..
ธรรมะแบบที่ชาวบ้านสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก ไม่มีเรื่องหลักการที่ต้องเป็นนักธรรมถึงจะเข้าใจได้เลย ไม่มีเรื่องภาษาสูงๆ ศัพท์แสงยากๆ ให้ต้องตีความกันลึกลับซับซ้อนแต่อย่างใด
"วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในสิ่งนั้นๆ.." ถ้าไม่มีความอยากในแต่ละคำข้าว .. วิญญาณก็ตั้งภาวะขึ้นไม่ได้ .. วิญญาณนี้คือตัวรู้ ..
ย่อมไม่ใช่ วิญญาณล่องลอยหลังตายเข้าโลง แม้แต่น้อย
ทีนี้เมื่อ .. "วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มีในที่นั้น"
วิญญาณคือตัวรู้ เป็นนามธรรม ไร้รูปให้มองเห็น วิญญาณตัวนี้เกิดจากคำข้าว จึงเป็น ชิวหาวิญญาณ คือเกิดจากลิ้นสัมผัสรส .. นี่ยิ่งไม่เกี่ยวกับวิญญาณล่องลอยหลอกหลอนคนเขลาเลย
นามรูปคืออะไร ?
(นามรูป - นามธรรมและรูปธรรม; นามธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยใจ ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ;
รูปธรรม หมายถึงสิ่งที่มีรูป สิ่งที่เป็นรูป ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด)
"การก้าวลงแห่งนามรูป" .. หมายถึงอะไร ? ก้าวลงที่ไหน ?
นี่คือคำถาม สำหรับเหล่าปัญญาชนได้ ใคร่ครวญ ขบคิดตาม
คนที่กำลังเคี้ยวข้าวในปาก .. จะมีรูปอื่นใดนอกจากร่างกายที่รู้สึก อร่อย อิ่ม หิว อีกเล่า นามรูป จึงต้องหมายถึง ภาวะนามธรรมทั้ง 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้น และเป็นภาวะนามธรรมที่ควบคุม กำกับ รูปธรรม คือร่างกายนี้เท่านั้น
นามรูป จึงเหลือความหมายเพียง ภาวะทางจิต ขณะกระทำการใดๆ (ในที่นี้คือเคี้ยวข้าวแต่ละคำ) .. ทางกายจะเริ่มต้นด้วยความหิว แล้ว รสชาติสัมผัสลิ้นต่างๆ จนอิ่ม
ทางใจ ย่อมเป็น ความรับรู้ในรส วิญญาณ ความรู้สึกพอใจในรส ความไม่พอใจในรส คือ เวทนา ความจำได้ในรส คือ สัญญา ความอยากได้รสชาติแบบอื่นๆ สังขาร
เมื่อ ภาวะนามธรรม อยู่ภายใต้การกำกับ ควบคุมของ สติสัมปะชัญญะ ทุกขณะแล้ว นั่นคือการไม่มีเงื่อนไขเบื้องต้น
ทำให้ .. "การก้าวลงแห่งนามรูปไม่มีในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มีในที่นั้น"
เมื่อ .. สังขาร คือ อำนาจแห่งการปรุงแต่งในจิตของคนคนหนึ่ง
ทำให้ "ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มีในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น"
เมื่อ .. ภพ - โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์, ภาวะชีวิตของสัตว์ มี ๓ คือ ๑.กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ ๒.รูปภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาณ ๓.อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาณ
จากคำข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่ .. จนมาถึง ภพ คือ แดนเกิด ตกลงแล้ว อะไรจะมาเกิด ขณะคนคนหนึ่งกำลังเคี้ยวคำข้าว ? คนยังไม่ตาย แล้ว ภพใหม่ มาเกี่ยวอะไรด้วย ?
นี่แสดงชัดเจนถึงภาวะทางจิต อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง .. ว่า
ภาวะเกิดใหม่ เป็นภาวะทางอารมณ์เพียงอย่างเดียว .. คือภาวะอันเนื่องมาจาก เวทนา ทั้งสิ้น .. ไม่เกี่ยวกับการตายเข้าโลง การเกิดจากท้องแม่แต่อย่างใด
เถรวาท .. ติดหล่มการเรียนรู้พุทธธรรมมาตั้งแต่ สมณะทูตสายที่ 8 คือ พระโสณะ นำเอาไตรปิฎกจากการสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ประมาณ พศ.300 มาใช้ ที่ควรศึกษาเรียนรู้ลงไปที่หลักพุทธธรรมโดยตรง ..แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
กลับไปเรียนรู้แนวทางการตีความตาม คัมภีร์วิสุทธิมรรค ที่เขียนโดยพระพุทธโฆษาจารย์ ราว พศ. 1500 และพระร่วงนำมาเผยแพร่ต่อผ่าน ไตรภูมิกถา ..
การเกิดจากท้องแม่ การตายเข้าโลง วิญญาณล่องลอย วิบากกรรมข้ามภพข้ามชาติ
จึงแนบแน่นจิตวิญญาณเถรวาท จนแกะไม่สิ้น ดิ้นไม่หลุด .. ทั้งๆที่พุทธธรรม หาได้ต้องการสอนสิ่งที่ .. .. รู้ด้วยตนเองไม่ได้ เป็นปัญหา อจินไตย .. มีจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ .. ไม่สามารถใช้หลักปัญญาพิจารณาใคร่ครวญได้เลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อภิธรรม" ที่พูดในสิ่งที่หรูหรา ลึกล้ำ พิสดารพันลึก ที่ต้องใช้จินตนาการดั้นด้นไปถ่ายเดียว ด้วยแล้ว .. ไม่มีประโยชน์แก่การฝึกจิตเอาเสียเลย
จาก คำข้าว จนถึง ภพชาติใหม่ .. ไม่มีการตายเข้าโลง รวมทั้ง หญิงท้องแก่จะคลอดลูก มาคั่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว
จริงไหม ?
Create Date : 17 พฤษภาคม 2558 |
Last Update : 17 พฤษภาคม 2558 18:43:34 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1707 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|