1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30
O The Innocence of Holy Words ! ! ? ? O
. ........................ศาสนายูดาห์ หรือศาสนายิว (อังกฤษ: Judaism) . เกิดก่อนคริสต์ศาสนาที่ดินแดนปาเลสไตน์ในประเทศอิสราเอล เป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ มีพระเจ้าองค์เดียวกับศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม คือพระยาห์เวห์หรืออัลลอฮ์ มีศาสดาคือโมเสส และมีพระคัมภีร์ทางศาสนาคือพระคัมภีร์โตราห์ อันเป็นพระคัมภีร์ 5 เล่มแรกในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม อันเป็นพระคัมภีร์ที่ชาวยิวใช้เป็นหลักในการยึดเหนี่ยวจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนไว้ ซึ่งรวบรวมบทพระบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่โมเสสซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะคนแรกของชาวยิวและชาวคริสต์ ได้แก่ .. - คัมภีร์ปฐมกาล - อพยพ - กันดารวิถี - เลวีนิติ - และเฉลยธรรมบัญญัติ และมีคัมภีร์ทางศาสนาที่เป็นอธิกธรรมไว้ตอบข้อสงสัยในศาสนาคือ คัมภีร์ทาลมุด อันเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทนิพนธ์ของบรรดารับไบ ธรรมาจารย์ชาวยิวในยุคหลังจากการถูกขับไล่ออกจากแผ่นดินอิสราเอลไปอยู่ในทวีปยุโรปแล้วของชาวยิวในหลังคริสต์ศักราช 73 ซึ่งได้แต่งไว้เพื่ออธิบายข้อพระคัมภีร์โตราห์ และบอกหลักการปฏิบัติตนของชาวยิวในต่างแดน รวมถึงชี้แจงข้อสงสัยต่างๆในกรณีอื่นๆ อีกด้วย โดยหลักการแล้ว ศาสนายูดาห์ เป็นศาสนาที่ไม่มีหลักการแห่งการเผยแผ่ศาสนา เนื่องจากหลักการแห่งข้อเชื่อและศรัทธานั้น ผูกติดอยู่กับการเป็นชาวยิวหรือชนชาติอิสราเอล ดังนั้น จึงเป็นศาสนาเฉพาะของชนชาติยิวเท่านั้นที่จะนับถือได้ เนื่องจากมีข้อผูกมัดในเรื่องของ พันธสัญญานิรันดร์ โดยการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศหรือการเข้าสุหนัต นั่นเองรายละเอียดบางตอนของศาสนายูดาห์ . พระเจ้าของศาสนายูดาห์นั้นทรงมีพระนามเรียกว่า "พระยาห์เวห์" ศาสดาพยากรณ์คนแรก(หรือ ผู้เผยพระวจนะ)ของศาสนานี้คือโมเสส ซึ่งโมเสสนั้นเป็นคนรับบัญญัติ 10 ประการจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ลงมาบอกแก่ชนชาวอิสราเอลทั้งหมดในครั้งเมื่ออพยพมาจากอียิปต์ จากวิกิพีเดีย ........................ ปีนี้ คศ. 2012 แปลว่า ยูดาห์ ซึ่งมีมาก่อนคริสต์ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 2,500-3,000 ปีเป็นอย่างน้อย .. มาดูถิ่นกำเนิดกัน ยิว คือ อิสราเอล ISRAEL ที่วงรอบชื่อด้วยสี่เหลี่ยมสีแดงนั่นแหละ .. และ เม็กกะ ในวงรอบอีกชื่อใต้ลงมาคือเมืองสำคัญของอิสลาม ที่มี "หินดำ-รูปเคารพของศาสนาอิสลาม" ตั้งอยู่. ส่วนรูปนี้ .. เยรูซาเลม เมืองสำคัญอยู่ในอาณาจักรโบราณชื่อ ยูดาห์ และ อีกชื่อเหนือไปหน่อยคือ ดามัสกัส เมืองหลวงซีเรียยุคปัจจุบัน. ข้อสังเกตุทางภูมิศาสตร์ และ สิ่งเคารพสูงสุดทางจิตวิญญาณ 1. พื้นที่กำเนิดของศาสนา ยูดาย คริสต์ อิสลาม อยู่ในบริเวณที่ใกล้กันมาก 2. นับถือพระเจ้าองค์เดียว .. หลักคิดเดียวกัน 3. พระเจ้าของทั้ง 3 ศาสนา เป็นองค์เดียวกัน โดยยูดายกับคริสต์เรียกชื่อเดียวกันเลยคือ ยะโฮวาห์ แต่อิสลามเรียก อัลเลาะห์ ข้อสังเกตุทางวิถีปฏิบัติ 1. ยิวขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย 2. ยิวไม่กินหมู ซึ่งวิถีปฏิบัติทั้ง 2 ข้อนี้คริสต์ไม่รับ แต่อิสลามรับไปทั้ง 2 ข้อ ! สิ่งที่ยิวประพฤติ ปฏิบัติ นั้นมีมาก่อนเยซู เกิดเป็นพันๆปี .. แล้วจะไม่เป็นที่รับรู้กันของผู้คนในท้องถิ่นแถวนั้นอยู่ดอกหรือว่า .. นั่นเป็นวัตรปฏิบัติของพวกยิว ? ลองนึกถึงสิ่งใกล้ตัวเปรียบเทียบดู .. ในเมืองไทยมีคนจีน .. และ บ้านคนจีนมีศาลเล็กๆทาสีแดงตั้งที่พื้นบ้าน .. ใช่ไหมว่า บ้านคนไทยไม่มีสิ่งนี้ .. และบ้านคนจีนแทบทุกบ้านมี .. เราเห็นเรารับรู้ มาทั้งชีวิตที่มีบ้านเพื่อนหรือมีบ้านใกล้บ้านเขามีไว้ทำพิธีของเขา .. ก็ทำนองเดียวกันกับวิถีปฏิบัติของยิว ! ที่กระจัดกระจายอยู่ในดินแดนเดียวกันนั้นกับพวกอาหรับ .. ทำสิ่งใด เชื่อสิ่งใด ก็เป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วมานับนาน .. ไม่ใช่เรื่องใหม่ ขณะที่ เยซู มีชีวิตอยู่ก่อน มูฮัมหมัด ประมาณ 500 ปี .. ต่อไปนี้คือข้อสันณิษฐานของคนที่ไม่เชื่อความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ .ประเด็นบนโลกมนุษย์ เชื่อหรือว่า อัลกุรอ่าน เป็นโองการสวรรค์จริง ? คนไม่รู้หนังสือ เขียน อ่านไม่เป็น อย่างมูฮัมหมัด จะเอา"อะไร" ทำให้เกิดเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาในแผ่นจดจารึก ? ลองทำใจกลางๆ ดู ยังไม่ต้องมีอคติทางใดทางหนึ่งกับข้อสันณิษฐานนี้ .. แล้วลองคิดดูว่า .. การที่คนไม่รู้หนังสือ เขียนอ่านไม่เป็น คนหนึ่ง"อ้างว่า" ได้รับโองการจากสวรรค์ จากพระเจ้าที่เลือกคนคนนั้นให้เป็นผู้ "ส่งผ่านเจตจำนง" สู่โลกมนุษย์ จนกลายเป็นลายลักษณ์อักษรที่เป็นภาษาอาหรับชั้นสูง ? (เปรียบได้กับการที่คนไทยสักคนที่เป็นชาวไร่ชาวนา .. เขียนอ่านแทบไม่ได้ แล้ววันดีคืนดี มาบอกว่า เขียนมหาภารตะยุทธด้วยฉันท์หลากหลายรูปแบบจนจบได้ .. คุณจะเชื่อไหม ?) กับ การที่มีชาวอาหรับที่มีการศึกษาระดับสูง แอบจดจาร หลักการของศาสนายูดาย ที่รับรู้จากคำบอกเล่าต่างกรรมต่างวาระกัน ซึ่งขัดกับความเชื่อเดิมของคนยุคนั้นแล้วซ่อนกลัวคนเห็นจะเป็นโทษภัยแก่ตน จึงซ่อนไว้ในถ้ำ .. จน มูฮัมหมัด ไปพบเข้าโดยบังเอิญ . อย่างไหน มีความเป็นไปได้มากกว่า ? ที่มาของการจดจารึกบันทึกทั้งหลายบนโลกนี้ย่อมต้องมาจากการค่อยๆ สะสมแนวคิด ค่อยๆจด ค่อยบันทึก ค่อยๆแก้ไข แบบยูดาย และฮินดู เท่านั้น .. ที่มีความเป็นไปได้ ส่วนการแอบอ้าง "สภาวะธรรมในอุดมคติ เป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นแบบปาฏิหารย์" ย่อมไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย ! .. ประเด็นของพระเจ้า ประเด็นนี้ยิ่งแล้วใหญ่ .. บนโลกนี้มีคนอยู่ทั่วทุกแห่งหน ทุกทวีป .. หากพระเจ้ามีจริงและให้กำเนิดสรรพสิ่งรวมทั้งชีวิตมนุษย์จริง .. เหตุไฉนจึงเลือกแต่คนในบริเวณเล็กๆในตะวันออกกลางตรงนั้น เป็นผู้สืบทอดเจตจำนงเท่านั้น ? ทั้งโมเสส ของยูดาห์ ทั้งเยซู ของคริสต์ ทั้งมูฮัมหมัด ของอิสลาม ทั้ง 3 คน สามารถพูดได้ว่ามีชีวิตอยู่ในบริเวณภูมิภาคเดียวกันทั้งสิ้น ! แล้ว อเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย .. ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาล มีผู้คนมากมาย ที่สามารถทำให้"เจตจำนง"ใดๆเผยแผ่ออกไปจนแพร่หลายได้มากมายกว่าเสียอีก เหตุใดพระเจ้าจึงไม่เลือกที่บุคคลที่จะส่งผ่านเจตจำนงบ้าง ? เพราะมันไม่จริง ไม่มีพระเจ้าที่ไหนทั้งสิ้น เป็นเพียงความเชื่อตามๆกันมาของคนโบราณ .. ที่เคยอาศัยในบริเวณใกล้เคียงกัน .. จึงพยายามสืบทอดต่อกันมา .. และ คนชอบบคิดบางคนต่อเติมเสริมแต่งจนแตกต่างกันในรายละเอียดเท่านั้นเอง .. แล้วพยายามประกาศตัวแยกเป็น "ผู้ส่งผ่านเจตจำนงคนใหม่ที่ถูกเลือก" เรื่องศักดิ์สิทธิ์ แบบ ปาฏิหารย์ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตาใครทั้งสิ้น .. จนแม้ปัจจุบันนี้ ! ท้าให้เลยว่า .. ทุกคนที่มาอ่านอยู่นี้ .. ไม่เคยเห็นเรื่องปาฏิหารย์ตรงหน้าต่อสายตาตัวเองแม้แต่คนเดียว .. ฟันธง ! หากพระเจ้ามีจริง .. ควรต้องฉลาดกว่านี้ ด้วยวิธีการใดเล่าที่"เจตจำนงของพระเจ้า"จะแพร่หลาย ขจรขจาย ไปทั่วโลก ได้อย่างรวดเร็ว มีพลัง และเป็นที่ยอมรับ .. ก็ด้วยการผ่าน แสนยานุภาพ ทั้งทางทหารและทางภาษา ! สมัยก่อนคือ อังกฤษ ผู้ล่าอาณานิคมไปทั่วโลก ตั้งแต่อเมริกาเหนือ .. มาแอฟริกา .. ตะวันออกกลางแทบทั้งหมด .. อินเดีย .. จนถึงจีน .. แล้วลงไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ .. ยุทธศาสตร์เรือปืนนั้น เหยียบย่ำไปทั่วโลก ที่ที่มีหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายภาษา หลากหลายศาสนา สมัยนี้คือ สหรัฐอเมริกา ในโลกนี้ ภาษาที่คนพูดมากที่สุด ในแง่พื้นที่ที่กระจายครอบคลุมมากที่สุดคือ อังกฤษ และสเปน ส่วนภาษาจีน และ อินเดีย นั้นกระจุกตัวอยู่แต่ในดินแดนเดียวเท่านั้น และชนชาติที่ต่างกัน ใช้คนละภาษา เวลาพูดคุยต้องใช้ภาษากลางคืออังกฤษแทบจะ 100% นั่นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง .. ในเมื่อสร้างสรรพสิ่งมาแล้ว ไยถึงบังคับควบคุมไม่ได้ ? ปล่อยให้ศรัทธาเดียวกัน คือ พวกที่นับถือเหมือนกันรบราฆ่าฟันกันมายาวนาน ? คริสเตียน รบกับ มุสลิม ในสงครามครูเสด ร่วม 200 ปี ! มุสลิม รบกับ ยิว ในสงครามตะวันออกกลาง จนบัดนี้ยังฮึ่มๆกันอยู่ คริสเตียน รังเกียจ ยิวในยุโรป จนถึงกับฆ่าล้างผลาญกันวอดวายช่วง WW2 ที่กล่าวมา ล้วนพวกนับถือพระเจ้าองค์เดียวกันทั้งสิ้น ! ภาวะธรรมสมบูรณ์แบบนั้น มีจริงหรือ ? ในเมื่อบนท้องฟ้า ไม่มีสวรรค์ใดๆ มีแต่อวกาศ ดวงดาว ฝุ่นผงอวกาศ ลอยกันอยู่จนนับจำนวนไม่ถ้วน และใต้ดิน ไม่มีนรกใดๆ มีแต่หินหลอมเหลวที่ยังคงร้อนระอุ และปะทุผ่านปล่องภูเขาไฟเป็นระยะ แล้ว สวรรค์ นรก นั้นคือสิ่งใดกันแน่ในพวกคัมภีร์ที่อ้างกันว่าศักดิ์สิทธิ์พวกนั้น ? บอกให้ก็ได้ ว่าเป็นเพียงสภาวะธรรม .. เป็นเพียงธรรมาธิษฐาน .. เป็นเพียง "ภาวะ" ที่นิยามคุณสมบัติและความหมายขึ้นมากันเองของคนเรา และพระเจ้าของทั้ง 3 ศาสนาที่กล่าวมา ก็ทำนองเดียวกัน .. เป็นเพียงบุคคลาธิษฐาน คือ ภาพบุคคลในอุดมคติ เท่านั้นเอง เป็นภาวะของสิ่งดีงามสูงสุดที่ตั้งไว้เป็นอุดมคติของชีวิตที่จะต้องไปให้ถึง หรือ เข้าสู่สภาวะนั้นให้ได้ของคนเรา ในเมื่อ พระเจ้าสร้างทุกสิ่ง แล้วไยการเผยแผ่ศาสนาของพระเจ้าจึงต้องมีการ"ทำลายล้างสิ่งที่พระเจ้าสร้าง"ควบคู่ไปด้วย ! เป็นความขัดแย้งใช่ไหม ? ดูกรณีนี้ดูสิ .. มันน่าหัวร่อ 55 ............................ เมื่อเดินทางมาริมทะเลแดง กองทัพอียิปต์ก็ติดตามอิสราเอลมา เพื่อตามอิสราเอลกลับไปเป็นทาสดังเดิม ครั้งนี้ พระเจ้าทรงให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้นเหนือน้ำ ทำให้ทะเลแดงแหวกออก เป็นทางเดินให้อิสราเอลเดินข้ามไป แต่เมื่อกองทัพอียิปต์จะข้ามตาม ทะเลก็กลับคืนดังเดิม และท่วมกองทัพอียิปต์ตายไปเสียสิ้น ที่มา .. วิกิพีเดีย ............................ พระเจ้าบ้าอะไร ช่วยฝ่ายหนึ่ง ทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ! เหมือนในบ้าน เมื่อลูกทะเลาะกัน .. มีหรือที่พ่อแม่จะช่วยคนหนึ่งแล้วฆ่าอีกคนหนึ่ง ? .. ในเมื่อทุกคนก็เป็นลูกที่อุ้มท้องมาทั้งนั้น ในเมื่อมนุษย์ทุกคน พระเจ้าสร้างขึ้นมา แล้วทำไมถึงพิสวาดิบ้าบอแต่ยิว ? แสดงว่า อียิปต์ ไม่ได้สร้างมาสิ ? มันเป็นแนวคิดที่เพ้อเจ้อ ไร้สาระที่สุด .. มันเชื่อกันได้ไงมาเป็นพันๆปี ? เฮ้อ ! จึงต้อง คิดแก้ตัวไว้ให้พร้อมรับการโต้แย้ง ! พระเจ้าสร้าง .. แต่ปล่อยให้ดำเนินวิถีชีวิตกันเองโดยอิสระ .. แล้วจะมาคิดบัญชีทีหลัง ในวัน พิพากษา ! ผูกเรื่องราวแบบละคอนช่อง3 ช่อง7 ไม่มีผิด ! 55 นึกหรือว่า คนอย่าง ไอนสไตน์ หรือ ฮอล์คคิง .. จะเชื่อเรื่องแบบนี้ ? อยู่ที่จะพูดหรือไม่เท่านั้นเอง คนที่มีความเข้าใจเหตุและผลของความมีอยู่ ความเป็นไป ของสภาพธรรมแวดล้อมรอบตัว จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดี ว่า .. มีไว้ครอบหัวคนรุ่นก่อนวิทยาศาสตร์ ให้อยู่ในร่องในรอยให้ปกครองง่าย หลักศรัทธา นั้นเหมาะกับคนไร้การศึกษาทางโลก .. หรือ พวกที่ไม่ต้องการเหตุผล ไว้หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณตนเองมากนัก ดังนั้น กลุ่มคนภายใต้หลักศรัทธานี้ .. ยากที่จะคิดค้นวิทยาการใดๆขึ้นมาได้ เพราะประดิษฐกรรมของมนุษย์เราต้องการ การคิดค้นเชิงเหตุผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป .. ทีละขั้นทีละตอน อันลงกันได้กับทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นแล จากเครื่องบินลำแรกของพี่น้องตระกูลไรท์ จนกลายเป็น .. SR 71 Blackbird .. ที่บินเร็วกว่าเสียง SR-71 มีนามเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการว่า Blackbird ตามตัวเครื่องที่เป็นสีดำทั้งตัว ถูกสร้างโดยบริษัท Lockheed ทำการบินทดสอบครั้งแรกในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1962 ในทะเลทรายเนวาดา สมรรถนะ ผู้สร้าง : บริษัท Lockheed Aircraft Service บทบาท : เจ็ทตรวจการณ์ทางยุทธศาสตร์ 2 ที่นั่งเรียงกัน เครื่องยนต์ : เทอร์โบเจ็ท Pratt & Whitney JT 11 D 20 B 2 ท่อ ให้แรงขับ 14,740 ก.ก. ความยาวปีก : 16.95 เมตร ความยาว(หัวถึงสันดาปท้าย) : 32.74 เมตร ความสูง : 5.64 เมตร น้ำหนักตัวเปล่า : 27 ตัน น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด : 77 ตัน ความเร็วสูงสุด : 3.2 มัค+ พิสัยทำการ : 4,800 กิโลเมตร เพดานบินสูงสุด : 30,488 เมตร(ประมาณ 8 หมื่น ฟุต) ระยะเวลาปฏิบัติการ : 2 ชั่วโมง อาวุธ : ไม่ติดอาวุธ SR-71 รับใช้กองทัพสหรัฐและองค์กรนาซ่า ในภารกิจบินตรวจการณ์เหนือน่านฟ้าสหภาพโซเวียต เพื่อทำหน้าที่แทนเครื่องบินตรวจการณ์แบบ U-2 ซึ่งล้าสมัย โดยได้รับการพัฒนาต่อจากเครื่องบินทดสอบ 2 รูปแบบคือ A-12 และ YF-12A เจ้า SR-71 เป็นเครื่องบินที่ได้ชื่อว่าบินได้เร็วที่สุดในโลก เพราะมันสามารถบินขึ้นไปเกือบจะถึงอวกาศและบินด้วยความเร็วสูงกว่า 3.2 เท่าความเร็วเสียง เพื่อบินผ่านน่านฟ้าโซเวียตได้อย่างเนียนๆ ความเร็วเสียง = 346 เมตร/วินาที = 1,245 กม/ชม 3.2 มัค = 3,986 กม/ชม = 4,000 กม/ชม อาจจะนึกไม่ออกตามประสาคนไทยที่ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก .. 55 จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไป สนามบินฮีตโธรว์กรุงลอนดอนของอังกฤษ มีระยะทาง = 9,578 กม. ซึ่งเครื่องบินพาณิชย์ทั่วไปบินประมาณ 12-13 ชม. ระยะทางขนาดนี้ คือ 2 เท่าของพิสัยการบิน .. 4,800 x 2 = 9,600 กม แปลว่าต้องลงเติมน้ำมัน 1 ครั้งระหว่างทางเป็นอย่างน้อย ดังนั้น เจ้า SR-71 จะใช้เวลาบินประมาณ ไม่เกิน 3 ชม. ! หากออกจากสุวรรณภูมิ 6.00 โมงเช้า จะไปถึงลอนดอนไม่เกิน 9.00 ! .. คือไปทาน มื้อเช้าที่อังกฤษได้เลย . . . ไม่ว่า เครื่องบิน .. รถยนต์ .. ระเบิด (จากปะทัดจนเป็นระเบิดนิวเคลียร์) .. ล้วนค่อยๆเกิดจากพัฒนาการรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างต่อเนื่องของมนุษย์ ทั้งสิ้น เครื่องบินในภาพข้างบน ไมได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์สร้างเครื่องบินให้บินได้ .. ทฤษฎีวิวัฒนาการ .. จึงสอดรับกับความเป็นจริงที่เรามองเห็นกับสายตาตัวเอง โดยไม่ต้องเชื่อใคร ! หากเป็นพวกเชื่อพระเจ้า .. ก็ต้องเสกวาบขึ้นมาเลยตั้งแต่ครั้งแรกแบบ คัมภีร์อัลกุรอ่านไง .. 55 แต่เพราะมันไม่จริง .. ไม่มีเรื่องเช่นนั้น มันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ของคนเขลา เท่านั้นที่เอาแต่ "เชื่อ" เพราะขี้เกียจคิดหาเหตุผลในเรื่องต่างๆ .. ก็เลยคิดเอา"พระเจ้า" มา เสก สร้าง มันไปทุกอย่าง ก็จบ - ง่ายดี .. 555 พี่น้องตระกูลไรต์ เริ่มการบินครั้งแรกในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903 แล้ว สารพัด aero engineer คิดต่อมาอีกหลายสิบปี จน Lockheed Aircraft Service สร้างเจ้า SR71 แล้วทำการบินทดสอบครั้งแรกในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1962 ในทะเลทรายเนวาดา 1903 ถึง 1962 คือ 59 ปี ทุกเรื่อง .. รวมทั้ง คัมภีร์ทางศาสนาทั้งหลาย .. ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน The Innocence of Holy World ! .. The Innocence of Holy Words !VIDEO
Create Date : 25 กันยายน 2555
Last Update : 11 มกราคม 2563 21:43:00 น.
4 comments
Counter : 9093 Pageviews.
โดย: บุษบามินตรา IP: 87.173.14.195 วันที่: 13 ตุลาคม 2555 เวลา:14:08:09 น.
โดย: สดายุ... วันที่: 13 ตุลาคม 2555 เวลา:20:09:58 น.
โดย: บุษบามินตรา IP: 87.173.14.195 วันที่: 13 ตุลาคม 2555 เวลา:22:19:21 น.
โดย: สดายุ... วันที่: 14 ตุลาคม 2555 เวลา:7:14:24 น.
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [? ]
O ใช่แน่หรือ ? .. O O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ? ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว- แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์ เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์ ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
สดายุ...
ในการค้นหา"ความคิดเกี่ยวกับศาสนา" และ"การหาต้นกำเนิดของศาสนาที่เก่าที่สุดและสำคัญที่สุดของมนุษยชาติ"นั้น
มองซิเออ อบราฮัม อองเคอทีล ดูเพอรองส์ (Abraham Anquetil-Duperrons : 1731 -1805 ) ชาวฝรั่งเศสผู้เชี่ยวชาญภาษาตะวันออก ได้เดินทางไปทางตะวันออกของอินเดีย ในปี1755เป็นเวลา7ปี เพื่อศึกษาคัมภีร์ใน ภาษาอเวสต้า(Avesta =อิหร่านเก่า)และได้คำแปลเป็นภาษาเปอร์เซีย กลับมาด้วย
ซึ่งนักวิชาการสมัยนั้นยังไม่ยอมรับว่าเป็น"ของแท้" ...
จนนักภาษาศาสตร์ชาวสวีเดน ราสมุส คริสเตียน รัสค์(Rasmus Christian Rask:1787 - 1832 )ได้เขียนหนังสือ"เกี่ยวกับความเก่าแก่และแท้จริงของภาษาอเวสต้า"พิมพ์ในปี1826( Über das Alter und die Echtheit der Zendsprache (1826)
จึงเป็นที่ยอมรับในสังคม..ว่า "ศาสนาที่เก่าแก่และเป็นต้นกำเนิดศาสนาของมนุษยชาติ"คือ...
ศาสนาโซโรอาสทริอานิส(Zoroastrianism)ซึ่งมีคำสอนเป็นภาษาเปอร์เซีย
และกรีกได้รับต่อ...มาใช้ในภาษากรีกทันที
และขยายออกมาทางตะวันออก(ทางเอเซีย)
ทั้งนักปรัชญาฝรั่งเศสเช่น วอลแตร์ (Voltaire :1694-1778) และ นักปรัชญาชาวเยอรมัน นีซเชอร์ (Nietzsche:1844 -1900) เมื่อพูดถึง"ความเชื่อทางศาสนา" ก็จะรับว่าความเชื่อเหล่านี้มาจากศาสนาโซโรอาสทริอานิส(Zoroastrianism)
นักโบราณคดีพบว่า ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ดินแดนอัสเซอร์ไบชาน
(Aserbaidschan )คือ "จุดหมายในการเดินทางของโลกตะวันตกและโลกตะวันออก"ซึ่งกลุ่มชนต่างต่างจากอินเดีย และพวกอิหร่านเหนือสมัยที่ยังเร่ร่อน(East Iran Nomade)มาเจอและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน
ในระหว่างศตวรรษที่ 2และศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล..ซาราทุสทรา(Zarathustra) คือพระ(Zaotar ) ผู้สอนศาสนา โซโรอาสทริอานิส(Zoroastrianism) ซึ่งต่อมาก็คือศาสนาของชาวอิหร่านทั้ง เมเดส(Medes)และแพซิส(Persis)
คำว่า"ซาราทุสทรา"(Zarathustra) แปลว่า "ผู้เป็นเจ้าของอูฐสีทอง"
ศาสนา โซโรอาสทริอานิส(Zoroastrianism)นับถือพระเจ้าองค์เดียว(monotheistisch)ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างความดี และความไม่ดี (Gut und Böse) ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นเสมือน ลูกแฝด...
เมื่อความดี ชนะความไม่ดีได้ เมื่อนั้นคนก็จะเข้าถึง"หนทางแห่งสัจจะ" (der Weg der Wahrhaftigkeit )
คนทุกคนมีโอกาสที่จะเลือกได้เอง ด้วยว่าคนทุกคนเป็นสัตว์โลก(Lebewesen)ผู้มีสัญชาตญาน(Instinkten)ในการตัดสินผิดถูกได้ด้วยตนเอง เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่"รู้จักผิดชอบชั่วดี"(vernünftiges Wesen)
คำว่า"รู้จักผิดชอบชั่วดี" (vernünft) จะเป็นคำที่นักปราชญ์ในสมัยต่อมานำมาใช้...
เช่น อีมานูเอล คั้น(Immanuel Kant :1724 -1804)นักปรัญาชาวเยอรมัน ผู้เป็นต้นคิดเรื่อง" Aufklärung" (การหาคำตอบให้ตนเอง) ซึ่งเป็นการปลดตนเองจากความหลงเชื่อในศาสนา
ยุคนี้จึงเป็นยุคที่เรียกว่า "ยุคตาสว่าง"(Enlightenment) เป็นช่วงเริ่มต้นยุควิทยาศาสตร์(Science period)
แกนหลักของศาสนามี 3 ข้อ คือ
คิดดี (gute Gedanken)
คำพูดดี (gute Worte)
กระทำดี(gute Taten)
ไม่แปลออกจากภาษาเยอรมันนะคะ เพราะภาษาอังกฤษจะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป
พิธีทางศาสนาของซาราทุสทรา(Zarathustra) จะไม่มีการทำพิธีบูชายันต์ เช่นที่ปฎิบัติกันเป็นปกติในสมัยนั้น การที่มีการจุดไฟบนแท่นบูชา ก็เพื่อต่อต้านวัฒนธรรมของพระโรมัน (Mithras-Priester )
Mithras เป็นเทพที่โรมันรับมาจากชาวอิหร่าน มีต้นกำเนิดเดียวกันแต่ในความหมายที่ตรงข้ามกัน...
ฉะนั้นการที่ศาสนา โซโรอาสทริอานิส(Zoroastrianism)เสนอ"สองด้าน"ในทุกสิ่ง..ให้คนคิดเอง..
จึงมิได้หมายความว่า ไม่มี"พระเจ้า"และ "บูชาไฟ."..เช่นที่ ..ผู้ไม่เข้าใจ"ปรัชญา"(Metaphysic)เข้ัาใจ..
หากสังเกตุให้ดี จะเห็นว่า กฎบัตรสหประชาชาติในปี2011ที่ร่างเสริม จะมีเรื่อง สิทธิมนุษยชน และ เสรีภาพในความเป็นคน.".ย้อนกลับไปในสมัยศตวรรษที่20ก่อนคริสตกาล"..จากเริ่มต้นมนุษยชาติ..
เพราะ กฎ ศาสนา โซโรอาสทริอานิส(Zoroastrianism)เป็น" กฎหมายโดยธรรมชาติ"(Natural law) !!
จุดเริ่มต้นแห่ง"ความเป็นมนุษย์"....