1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30
O กรรมเก่า มีจริงหรือ ? O
. คิดว่า .. คนส่วนใหญ่ "ไม่รู้"หรอกว่า กรรมเก่ามีจริงหรือไม่ ? แต่ .. "เชื่อ" ว่ามี มาดูความหมายที่ถูกต้องกันก่อน .................................................กรรม - การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตาย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม) การกระทำที่ดีเรียกว่า กรรมดี ที่ชั่ว เรียกว่า กรรมชั่ว จาก .. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ .................................................. เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ มีผลต่อชีวิตประจำวันของคนเราอย่างไร ? หรือ เรื่องนี้มันสำคัญแค่ไหน กับความสุข ความทุกข์ในชีวิตของคนเรา ? รวมทั้ง กรรมในอดีตชาติของเราเองนั้น .. เราจะสามารถรู้ได้อย่างไร ? มาลองมองผ่านมุมมองเชิงการปกครองดู .. ที่ในสังคมหนึ่งๆ ย่อมมีทั้งคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก ไม่มีความพร้อมแม้กระทั่งสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิต คือ ปัจจัยสี่ด้วยซ้ำไป .. ในขณะที่คนอีกจำนวนหนึ่ง สุขสบาย ปานเทวดาบนสรวงสวรรค์ มีล้นเหลือ (พวกที่มีเกิน ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ทั้งหลาย) .. เหล่านี้เป็นเพราะสาเหตุใด ? การที่พยายามชักจูงให้คิดไปถึงช่วงเวลาในอดีตที่ไม่มีใครรู้ .. ไม่มีใครพิสูจน์ได้ คือ อดีตชาติ ว่าทำดี ทำชั่ว มาต่างกัน จึงส่งผลมาถึงชาติปัจจุบันที่ทำให้คนมีความแตกต่างกัน .. พูดง่ายๆว่า .. พวกที่สุขสบายอยู่ในชีวิตตอนนี้ทั้งหลายนั้น เป็นเพราะทำบุญไว้มาก ทำสิ่งดีๆไว้มากในชาติที่แล้ว ผลบุญจึงส่งมาให้ได้รับความสุขสบายในชาตินี้ .. ใครอยากสุขสบายแบบที่เห็นอยู่นั้นในชาติหน้าต่อไปก็ให้เร่งสะสมบุญ เร่งทำความดีไว้ให้มากๆ ชาติหน้าก็จะได้รับผลดีแบบนั้นแน่นอน หากคนส่วนมากเชื่อและทำตามดังว่าจริงแล้ว สังคมย่อมสงบสุข จริงไหม ? เพียงแต่ว่าแนวคิดเชิงรัฐศาสตร์ เพื่อปกครองคนผ่านการครอบงำด้วย อุดมการณ์ทางการเมือง .. หรือ อุดมคติเชิงศีลธรรมของชีวิตที่ควรเป็น .. หรือหลักศรัทธาในวัตรปฏิบัติที่ผ่านมาทางศาสนาก็ดี ทั้งหลายทั้งปวงนั้น .. หากเราลองยกวางลงเสียก่อน ในอุบายวิธีเชิงปกครองสังคมเหล่านั้น .. แล้วมาพิจารณา ความจริงแท้ กับ ความเชื่อเช่นนั้น ว่าจะสอดคล้อง สอดรับกัน หรือ ไปกันไม่ได้เลย .. อาจจะสามารถทำความสว่างแก่จิตใจตัวเองได้ไม่น้อย กรรมเก่า .. ส่งผลมา จึงได้ผลที่ต่างกันไป ใช่ไหม คนส่วนมากเชื่อกันเช่นนี้ ? แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไร ว่า กรรมเก่าของเรา นั้น เคยทำสิ่งใดไว้บ้าง ? คนทั้ง 100 % - ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีทางรู้ได้ ไม่มียกเว้นแม้แต่คนเดียว นี่ ยังไม่พูดถึงพระสงฆ์ ทั้งหลายนะ เมื่อไม่สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง .. ก็ต้องเชื่อคนอื่น หรือเชื่อตำราที่อ่านผ่านมา จริงไหม ? ทีนี้มองต่อไปที่ .. คนอื่น .. ที่เราเชื่อนั้น คือใคร ? คนคนนั้นต้องมีคุณวิเศษเยี่ยงไร จึงสามารถมากกว่าเราท่านทั้งหลาย ถึงกับสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมาของผู้อื่นได้ ? หรือ คนคนนั้น มีวิชชา 3 ? หรือ คนคนนั้นมี อภิญญา 6 ? เรามาลองดูคุณสมบัติของ ทั้งสองชื่อที่กล่าวมาดู วิชชา 3 คืออะไร
..ญาณ3 ได้แก่ วิชชา3 คำว่า ญาณ ในความหมายเฉพาะ หมายถึง พระปรีชาหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า ความรู้แจ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียกเต็มว่า โพธิญาณ หรือ สัมมาสัมโพธิญาณ มี 3 อย่าง หรือที่เรียกว่าวิชชา3 คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ - ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ คือ ระลึกชาติได้ จุตูปปาญาณ - ความรู้ในจุติและอุบัติของสัตว์โลกได้ เรียกว่า ทิพพจักขุญาณ หรือ ทิพยจักษุญาณ บ้าง อาสวักขยญาณ - ความรู้ในการกำจัดอาสวกิเลสให้สิ้นไป จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ................................. ต้องเข้าใจเรื่องราวทางศาสนาอย่างหนึ่งว่า .. ข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกทั้งสิ้นนั้น เกิดจากการกระทำสังคายนาคำสอนหลังพุทธปรินิพพานแล้ว .. ไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธองค์โดยตรง แต่มีพระสงฆ์ท่องจำกันเอาไว้แล้วมาถ่ายทอดกันต่อ แล้วบันทึกลงเป็นลายลักษณ์อักษรอีกทีหนึ่ง .. อย่างพระอานนท์ เป็นต้น ที่จะกล่าวคำที่พระพุทธองค์เคยตรัสต่อท่านให้ที่ประชุมสงฆ์ฟัง และจดบันทึกลงไว้เป็นหลักฐาน จากข้อความที่ยกมา จะเห็นได้ว่า วิชชา ทั้ง 3 นั้น เป็นโพธิญาณที่พระพุทธองค์หยั่งรู้ได้ เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว เท่านั้น แล้วคนคนนั้นที่พูดให้เราเชื่อเรื่องอดีตกรรมของเรา จะถึงขั้นตรัสรู้เชียว หรือ ? นี้ประการที่ 1 . . อภิญญา 6 คืออะไร ? .........................................อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน อภิญญาในคำวัดหมายถึงคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มี 6 อย่าง คือ 1.อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้ 2.ทิพพโสต มีหูทิพย์ 3.เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ 4.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ 5.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ 6.อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป อภิญญา 5 ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาณ) ข้อ 6 มีเฉพาะในพระอริยบุคคล ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ............................................ 5 ข้อแรก เป็นโลกียญาณ โลกิยะ - โลกียสุข - ความสุขอย่างโลกีย์หรือตามวิสัยแบบโลกๆ, ยังประกอบด้วยอาสวะคือ กิเลสหมักหมมเช่น กามสุข-ทางกาม, มนุษย์สุข-มนุษย์, ทิพยสุข-เทวดา,พรหม, ทางโลก, เนื่องในโลก, เรื่องของชาวโลก, ยังอยู่ในภพสาม, ยังเป็นกามาวจร รูปาวจร หรืออรูปาวจร ญาณ - ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากําหนดรู้หรือความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรม(ธรรมชาติ) หรือก็คือ ปัญญาที่เข้าใจอย่างถูกต้องแจ่มแจ้งแท้จริง ตามธรรมหรือธรรมชาติ โลกียญาณ จึงแปลว่า ความรู้ที่ยังกอปรด้วยอาสวะกิเลส ความรู้ที่ยังเนื่องอยู่ในโลก ดังนั้น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ที่ทำให้ระลึกชาติได้จึงเป็น โลกียญาณด้วย ! ใครได้ญาณนี้จึงไม่อาจนับว่าเป็นพระอริยะบุคคล ! พระอริยะบุคคลนั้น ท่านนับเนื่องเอาเฉพาะผู้ที่ได้ อาสวักขยญาณ คือ ผู้ที่รู้การทำอาสวะให้สิ้นไปเท่านั้น ! ................................................. ในขณะที่ วิชชา 8 มี1. วิปัสสนาญาณ (ญาณในวิปัสสนา, ญาณที่เป็นวิปัสสนา คือปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขารคือนามรูปโดยไตรลักษณ์ มีต่างกันออกไปเป็นชั้นๆ ต่อเนื่องกัน insight-knowledge) 2. มโนมยิทธิ (ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ, ฤทธิ์ทางใจ คือ นิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้ ดุจชักไส้จากหญ้าปล้อง ชักดาบจากฝัก หรือชักงูออกจากคราบ mind-made magical power) 3. อิทธิวิธา หรือ อิทธิวิธิ (แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ supernormal powers) 4. ทิพพโสต (หูทิพย์ divine ear) 5. เจโตปริยญาณ (ความรู้ที่กำหนดใจผู้อื่นได้ penetration of the minds of others) 6. ปุพเพนิวาสานุสสติ (ระลึกชาติได้ remembrance of former existences) 7. ทิพพจักษุ (ตาทิพย์ divine eye) 8. อาสวักขยญาณ (ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ knowledge of the exhaustion of mental intoxicants) ข้อที่ 2 โดยมากจัดเข้าในข้อที่ 3 ด้วย ข้อที่ 3 ถึง 8 (6 ข้อท้าย) ตรงกับอภิญญา 6 พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) .............................................................. ข้อ 2 คือ มโนมยิทธิ จัดอยู่ในข้อ 3 คือ อิทธิวิธี และอิทธิวิธี คือ โลกียญาณ คือ ความรู้ที่ยังกอปรด้วยอาสวะกิเลส ความรู้ที่ยังเนื่องอยู่ในโลก ดังนั้นคุณสมบัติของผู้ฝึก มโนมยิทธิ จึงเป็น ผู้ยังประกอบด้วยอาสวะคือ กิเลสหมักหมม อยู่ ! จะเห็นได้ว่า วิชชา 3 นั้น คือ ข้อ 4, 5, 6 ในอภิญญา 6 และคือข้อ 6, 7, 8 ในวิชชา 8 แต่นับเนื่องเป็นอริยะภาวะเพียงประการเดียวคือ อาสวักขยญาณ - ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ เท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึง ว่า การบันทึกถึงคุณสมบัติทั้งปวงที่กล่าวถึงข้างบนนั้น มีนัยสอดรับกับ ไตรลักษณ์ หรือไม่เพียงใด เอาแค่เพียง ความหมาย เราก็สามารถแยก .. คุณวิเศษ .. ที่มีในตนได้แล้วอย่างน้อยว่า ความเป็นพระอรหันต์ที่จะเข้าสู่ภาวะนิพพานได้ต้องผ่านคุณสมบัติประการเดียวนี้ก่อนเท่านั้น คือ อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ . . . ทีนี้มาพิจารณาเรื่องหลักการใหญ่แห่งความเป็นพุทธกันดู บุพเพนิวาสานุสสติญาณ - ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ คือ ระลึกชาติได้ชาติ .. คำคำนี้มีความหมายเยี่ยงไร แค่ไหน เป็นไปตามที่เราๆเข้าใจกันอยู่หรือไม่ .. นี่คือ คำถาม ? มาลองพิจารณากันให้ละเอียด ถี่ถ้วนดูสักหน่อยเป็นไร .. โดยที่ยังไม่ต้องมีคติโน้มเอียงไปทางไหนทั้งสิ้น !ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท ชาติ แปลว่า การเกิด, ชนิด, พวก, เหล่า ดังเช่น การเกิดเป็นตัวตนจากท้องแม่ที่มีพ่อเป็นเหตุปัจจัยร่วม, การเกิดของสิ่งต่างๆ, การเกิดแต่เหตุปัจจัยคือสังขารต่างๆ, การเกิดของเหล่ากองทุกข์ ส่วนความหมายในทางโลก หมายถึง ปวงชนแห่งประเทศเดียวกัน, จึงมีความหมายได้หลายหลาก ขึ้นกับจุดประสงค์หรือสาระนั่นเอง ชาติ ในความหมายของภาษาธรรม มีความหมายถึง การเกิดขึ้นของสังขารต่างๆทั้งปวง อันคือสิ่งต่างๆที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันจึงเกิดหรือชาติขึ้นมา จึงครอบคลุมทั้งฝ่ายรูปธรรมเช่นตัวตน ชีวิต และฝ่ายนามธรรมเช่น จิต เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ. เมื่อกล่าวโดยโลกุตระหรือภาษาธรรมแล้ว ชาติ จึงหมายถึง การเกิดขึ้นของสังขารทั้งปวง (สังขาร ที่หมายถึง สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ดังเช่น สังขารหรือสังขตธรรมในพระไตรลักษณ์ จึงไม่ใช่มีความหมายถึงแต่กายสังขารหรือชีวิตแต่อย่างเดียวเท่านั้น) ดังนั้น ชาติ ในวงจรปฏิจจสมุปบาทก็แปลว่า การเกิด, การเกิดขึ้น เช่นกัน ที่หมายถึงเกิดมาแต่มีเหตุมาเป็นปัจจัยกัน แต่มีความหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีกว่า หมายถึง การเกิดขึ้นของกองทุกข์หรือความทุกข์ แต่เป็นความทุกข์ชนิดที่ประกอบหรือถูกครอบงำด้วยอุปาทาน (อุปาทานทุกข์) [รวมทั้งสุขทางโลกหรือโลกียสุขอันเป็นทุกข์โดยละเอียดอย่างหนึ่ง] จึงมีความหมายที่เฉพาะตัวของมันเอง ดังนั้นจงพิจารณาโดยแยบคาย อย่าให้มีความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา)หรือมีความยึดมั่นอย่างผิดๆ(มิจฉาทิฏฐิ)จนเป็นทิฏฐุปาทาน อันเป็นดังที่พระองค์ท่านตรัสไว้ว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น" ในอวิชชาสูตร, ดังนั้นความหมายของคำว่าชาติ ที่หมายรู้หมายตีความหรือพาลไปเข้าใจกันโดยทั่วๆไปโดยไม่รู้ตัวว่าหมายถึง การเกิดเป็นตัวตนหรือการเกิดแต่ครรภ์มารดา หรือการเกิดในภพชาติหน้า,ชาติโน้น แต่ฝ่ายเดียวจนเสียการ, แม้ในพระไตรปิฏก ก็มีการกล่าวถึงชาติหรือการเกิดไว้หลายนัยด้วยกัน ดังเช่น ชาติ ที่หมายถึงการเกิดขึ้นของทุกข์หรือปฏิจจสมุปบาทก็มี ชาติ ที่หมายถึงเกิดขึ้นของธรรมหรือจิตหรือขันธ์ต่างๆในชาติธรรมสูตรก็มี ชาติ ที่หมายถึง การเกิดของแต่ละองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทและอาหาร ๔ ก็มี ชาติ ที่หมายถึง การเกิดแต่ครรภ์มารดาเป็นตัวตนหรือชีวิตในมหาตัณหาสังขยสูตรก็มี ชาติ ที่หมายถึง การเกิดแห่งวิญญาณในมหาตัณหาสังขยสูตรก็มี ชาติ ที่หมายถึง การเกิดของปวงสัตว์ในสติปัฏฐาน ๔ ก็มี ชาติ ในทุกขอริยสัจก็มี ฯลฯ ส่วน ชาติในปฏิจจสมุปบาท นั้น จึงมีหมายถึงการเกิดขึ้นของกองทุกข์ ความทุกข์ที่หมายนี้ หมายถึง การเกิดของอุปาทานทุกข์เท่านั้น จึงมิได้หมายถึงทุกขเวทนาอันเป็นไปตามสภาวธรรมเป็นธรรมดา จึงมิได้หมายครอบคลุมไปในสารพัดทุกข์ทั้งหลายที่อาจเป็นไปตามสภาวธรรมหรือธรรมชาติก็มี คือ ทุกขอริยสัจ อันมี ความเกิด ความเจ็บ ความแก่ ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ความปรารถนาในสิ่งใดแล้วไม่ได้ในสิ่งนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสภาวธรรมหรือเป็นจริงเช่นนี้เอง คือยังคงต้องเกิดทุกขเวทนาจากธรรมเหล่านั้นขึ้นเป็นธรรมดา ในทุกหมู่เหล่าแม้แต่ในองค์พระอริยเจ้าท่าน ................................................... คงพอประมาณได้แล้วว่า ความเข้าใจของตนเอง ถูกต้องเพียงไร ? ขอยกพระสูตรมาให้ดูอีกสักตัวอย่าง ..ชาติธรรมวรรคที่ ๔ ชาติธรรมสูตร [๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมีความเกิดเป็นธรรมดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งทั้งปวงที่มีความเกิดเป็นธรรมดาคืออะไรเล่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส(ผัสสะ) มีความเกิด(ของจิตหนึ่งขึ้น จึงเกิดเวทนาหนึ่งขึ้น)เป็นธรรมดา กล่าวคือเกิดแต่เหตุปัจจัยดังนี้ ตา+รูป->จักษุวิญญาณ->จักษุผัสสะ->...เวทนาหนึ่งก็มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา .. หู+เสียง->โสตวิญญาณ->โสตผัสสะ->...เวทนาหนึ่งก็มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ฯลฯ แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ก็มีความเกิด (เวทนาดังกล่าวขึ้น) เป็นธรรมดา ฯลฯ. ตา+รูป->จักษุวิญญาณ->จักษุผัสสะ->...เวทนา มีความเกิดเป็นสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้างเป็นธรรมดา ..ฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส(ผัสสะ) มีความเกิด(ของจิตหนึ่งขึ้น จนเกิดเวทนาขึ้น)เป็นธรรมดา ใจ+ธรรมมารมณ์เช่นคิด->มโนวิญญาณ->มโนผัสสะ->...จิตหนึ่งก็มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส(ข้างต้น)เป็นปัจจัย ก็มีความเกิด(เวทนาขึ้น)เป็นธรรมดา ใจ+คิด->มโนวิญญาณ->มโนผัสสะ->เวทนามีความเกิดเป็นสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้างเป็นธรรมดา-> ...ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย(นิพพิทา) ทั้งในจักษุ ทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ ทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้ ฯ ......................... แม้จะมีหลากหลายความหมาย .. แต่ การบันทึกข้อความนี้ย่อมต้องหมายถึง ชาติ ที่หมายถึง การเกิดแต่ครรภ์มารดาเป็นตัวตนหรือชีวิต เท่านั้น เพราะเป็นการบันทึกข้อความแบบ สัสสตทิฏฐิ คือมีความสืบเนื่องของ ดวงจิตวิญญาณ แบบล่องลอยออกจากร่างที่ตายแล้ว แล้วไปสืบทอดภาวะใหม่ในร่างใหม่ และยังนับเนื่องเป็นดวงจิตวิญญาณเดิม สัสสตทิฏฐิ - ความเห็นว่าเที่ยง คือความเห็นว่า อัตตาและโลก เป็นสิ่งเที่ยงแท้ยั่งยืน คงอยู่ตลอดไป เช่น เห็นว่าคนและสัตว์ตายไปแล้ว ร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนดวงชีพหรือเจตภูตหรือมนัสเป็นธรรมชาติไม่สูญ ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนึ่ง; ตรงข้ามกับ อุจเฉททิฏฐิ . . .ขันธ์ ขันธ์ - กอง, พวก, หมวด, หมู่, ลำตัว; หมวดหนึ่ง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดที่แบ่งออกเป็นห้ากอง คือ - รูปขันธ์ กองรูป, - เวทนาขันธ์ กองเวทนา, - สัญญาขันธ์ กองสัญญา, - สังขารขันธ์ กองสังขาร, - วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ เรียกรวมว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ ๕) รูป - ในขันธ์๕ หมายถึง ส่วนร่างกายตัวตน, ในอายตนะหมายถึง "ภาพ หรือรูป "ที่เห็น ซึ่งในบางครั้งใช้ครอบคลุมถึง "สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลาย" คือรูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, ความคิด(ธรรมารมณ์)ทั้ง๖, คือใช้แทนอายตนภายนอกทั้งหมด บุพเพนิวาสานุสสติญาณ - ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ คือ ระลึกชาติได้ แปลว่า ความรู้นี้ทำให้สามารถ .. รู้ .. เห็น .. ร่างกายตัวตนที่เกิดในอดีตชาติหรือ กาลเวลาที่พ้นผ่านมาแล้ว ของตนเองได้ แต่จะรู้ ของคนอื่นได้ด้วยรึเปล่า ? - นี่คือคำถามอีกข้อ ข้อนี้ ลองยกประโยชน์ให้ว่า สามารถรู้ของคนอื่นได้ด้วยไปก่อน (พลางๆ) ! ดังนั้น การที่เราจะรู้ว่าในอดีตได้ทำอะไรไว้บ้าง หรือการรู้ถึงกรรมเก่าในชาติที่แล้วได้นั้น แปลว่าผู้นั้นต้องได้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก่อน - จริงไหม ? - นี้ ประการที่ 2 แล้วใคร .. คือผู้ที่สามารถบอกได้ว่า ภาวะอย่างไหนในจิตคนคนหนึ่ง คือการได้ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ? อะไร .. จะเป็นตัวบ่งชี้ ? นี่เป็นคำถาม ธรรมดามาก เมื่อเราเปรียบเทียบกับการศึกษาทางโลกที่ ผู้ที่สอบผ่านระดับใดระดับหนึ่ง ก็ด้วยการตอบคำถามที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เรียนรู้ ได้ถูกต้อง เกินครึ่ง .. จริงไหม ? แค่ รู้เกินครึ่ง ของสิ่งที่เรียนก็สามารถบอกได้ว่า จบ ป6 .. จบ ม 6 .. หรือ จบปริญญาตรี คือ คะแนนเกิน 50% แต่ในเรื่องของการฝึกจิต ใครสามารถบอก ? ตัวเองบอกตัวเองได้ไหม ? หรือ ใครสักคน ที่เราเชื่อว่าบอกได้ จะเป็นผู้บอก ? เห็นไหม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กับการแค่จะรู้ว่าการฝึกฝนของเราแต่ละคนนั้น สำเร็จหรือยัง ยังไม่ต้องพูดถึงว่า การฝึกที่ว่านั้น ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ถูกต้องหรือเปล่า .. หากพระพุทธองค์ระบุว่าพระองค์ใช้ อาณาปาณสติ .. แล้วเรากลับมาฝึกเพ่งกสิณ .. เราจะเอาอะไรมาเป็นตัวเปรียบเทียบ ? รวมทั้ง คนที่เราเชื่อ ว่าบอกเราได้นั้น เราจะรู้ถึงคุณวิเศษของเขาได้อย่างไร? .. ในเมื่อเราเองยังไม่อาจรู้ได้แม้แต่ตัวเอง ? ช่องทางเดียว คือ ความเชื่อ .. และเป็นความเชื่อแบบหลับหูหลับตาเสียด้วย .. ไม่มีอย่างอื่น ! และหากเป็นเช่นนั้นแล้ว เจตนารมย์ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้กับชนชาวกาลามะ (กาลามสูตร) ก็จะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ !ประเด็นของกระทู้นี้มีว่า .. คุณวิเศษ ในตน (หากแม้ว่า อาจมีอยู่จริงก็ตาม) .. ย่อมไม่สามารถบอกออกไปให้ผู้ที่ไม่มีคุณวิเศษนั้นๆรู้ได้ เข้าใจได้ ! และด้วยเหตุนี้ท่านถึงห้ามไว้ ไม่ให้ อวดอุตริมนุสสธรรม เพราะมันหมิ่นเหม่ต่อการหลอกลวง "ลาโง่" ทั้งหลายที่น่าสงสารเหล่านั้น ! เมื่อเรื่องชาติก่อน เป็นเรื่องที่รู้เองไม่ได้ .. การกระทำต่างๆในชาติก่อน (กรรมเก่า) ของคนคนหนึ่ง ก็ย่อมไม่อาจรู้ได้เช่นเดียวกัน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า กรรมเก่า ส่งผลมาให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ? มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ .. มันเป็นเพียงความเชื่อ เท่านั้น ทีนี้เมื่อมาจับประเด็นผ่านมุมมองของศาสนา .. จุดประสงค์ของพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงประกาศเผยแผ่ออกสอนสัตว์ทั้งหลาย .. ควรเป็นไปเพื่อดับทุกข์ในจิตในกาลปัจจุบัน หรือ ทุกข์ในจิตของรูปกายในกาลอดีตที่คนเกือบทั้ง 100% รู้เองไม่ได้ ? .. ธรรมอันใดที่คนทั่วไปรู้ด้วยตัวเองไม่ได้ .. พระพุทธองค์จะสอนหรือไม่ ? .. เพราะเหตุว่า พระพุทธองค์ทรงสอนว่า .. อย่าเพิ่งปักใจเชื่อตั้ง 10 อย่างในกาลามสูตร ? .. เพราะเหตุว่าธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนจะไม่มีทางขัดแย้งกันเลย ! ลองพิจารณากันดู การวนเวียนรอบวัฏฏะสงสาร เกิดดับชาติแล้วชาติเล่า อย่างที่เป็นความสืบเนื่องจากจิตวิญญาณเดิมเดียวของบุคคลหนึ่งๆนั้น .. จึงเป็นภาวะการณ์ที่สอดรับกับเรื่อง กรรมเก่า วิบากกรรม ได้เป็นอย่างดี และเป็นแนวคิดที่แพร่หลายอยู่แล้วในพุทธกาล .. อันเป็นแนวคิดของพราหมณ์ คือ มีการแบ่งเป็น - ช่วง หรือ ไตรภาวะ มี .. ชาติปัจจุบันเป็นตัวตนที่รับรู้สภาพธรรมที่เป็นอยู่ มี .. ชาติอดีต เป็นฐานความคิดให้กับการขับเคลื่อนจินตนาการ ที่ต้องการ มี .. ชาติอนาคต เป็นอุดมคติ ให้จิตวิญญาณ (หรือ มนัส นั่นแหละ) มุ่งหวังที่จะไปให้ถึง ที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง และหากว่าแนวคิดนี้ ที่เราเรียกว่า สัสตทิฏฐิ ถูกต้อง แล้วพระพุทธองค์จะต้องออกแสวงหาโมกขธรรมอีกทำไม ? ที่เรารู้ได้แน่นอนก็คือว่า .. หากวันนี้ตั้งใจเรียน .. พรุ่งนี้ต้องมีความรู้ไว้สำหรับผ่านการทดสอบแน่นอน หากวันนี้ตั้งใจทำงาน ขยันหาเงิน .. พรุ่งนี้ย่อมต้องมีเงินไว้ซื้อหาปัจจัย 4 ยังชีพแน่นอน สำหรับเมื่อวานนี้ จะเป็นอย่างไรก็ตาม มันได้ผ่านพ้นไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะย้อนกลับไปคิด เพราะเราแก้ไขไม่ได้ .. ที่เราทำได้ก็ตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้ไปข้างหน้าเท่านั้นเอง .. อันนี้แน่นอนเด็ดขาด ! เรื่องของเมื่อวานนี้ .. เมื่อใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ มาจับ .. มีอะไรเหลือไว้บ้าง รูปถ่าย - หากได้ถ่ายรูปไว้ เสียงพูด - หากได้อัดเสียงไว้ รอยเท้า - หากได้ย่ำดินทรายเอาไว้ ตัวหนังสือ - หากได้ขีดเขียนเอาไว้ ข้าวปลาอาหาร - หากได้ปรุงเก็บเอาไว้ . . ความทรงจำในเรื่องราว (สัญญา) ได้สักกี่อย่าง - หากนึกคิดขึ้นมาในเรื่องของเมื่อวาน ได้สักกี่อย่าง - หากนึกคิดขึ้นมาในเรื่องของเมื่อเดือนหนึ่งที่ผ่านมา ได้สักกี่อย่าง - หากนึกคิดขึ้นมาในเรื่องของเมื่อปีหนึ่งที่ผ่านมา ได้สักกี่อย่าง - หากนึกคิดขึ้นมาในเรื่องของเมื่อ 10ปี ที่ผ่านมา ได้สักกี่อย่าง - หากนึกคิดขึ้นมาในเรื่องของเมื่อ 20ปี ที่ผ่านมา ได้สักกี่อย่าง - หากนึกคิดขึ้นมาในเรื่องของเมื่อ 50ปี ที่ผ่านมา กรรมเก่า .. เป็นสิ่งที่บุคคลทั่วไปรู้ไม่ได้ เพราะแม้แต่ภายในชาติเดียวกัน ยังจำได้ไม่หมดเมื่อทอดเวลาเนิ่นนานออกไป .. คือค่อยๆลืมไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่อยู่ภายในช่วงเวลาของรูปขันธ์เดิมเดียวด้วยซ้ำไป แล้วเรื่องของเมื่อ ชาติที่แล้ว จะรู้ได้อย่างไร ? ในเมื่อการรับรู้ระหว่างช่วงชีวิตทั้งสอง มีการแตกดับแห่งรูปขันธ์มาคั่นกลาง ? คือ อายตนะที่จะรับรู้ถูกทำลาย ญาณที่จะเป็นของวิเศษพาข้ามภาวะปกติไปรับรู้ก็ไม่มี ในคนแทบทั้ง 100% ดังนั้น .. .. กรรมเก่า มีจริง ส่งผลจริงมายังเราในชาติปัจจุบัน หรือไม่ - เรารู้ไม่ได้ .. คนที่บอกเราอย่างนั้นอย่างนี้ .. เราก็รู้ไม่ได้ว่าที่เขาบอกจริงหรือเท็จ .. วิบากกรรมจากอดีตชาติ จึงเป็นเรื่องที่ .. ไม่ควรคิด .. เพราะอยู่เหนือวิสัยที่จะได้คำตอบ เป็นปัญหา อจินไตย คนผู้ฉลาด ย่อมไม่วนเวียนในประเด็นที่ไม่มีคำตอบ สู้เอาเวลามาควบคุมสติ เมื่อมีการสัมผัสกันกับปัจจัยรอบตัว น่าจะดีกว่า ...................... ช่างบังเอิญแท้ ..ที่ความคิดไปพ้องกับสิ่งที่ระบุไว้ใน อจินตสูตร .. อจินไตย ๔ - มีพุทธพจน์แสดงไว้ดังนี้ใน อจินตสูตร ความว่า " ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย .. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน๑ วิบากแห่งกรรม๑ ความคิดเรื่องโลก๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายอจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ " หลักเหตุผล นี่ใช้ได้ .. ไม่จำกัดกาลเวลาจริงๆ
Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 2 มิถุนายน 2562 18:07:19 น.
9 comments
Counter : 2304 Pageviews.
โดย: เจ IP: 27.55.8.172 วันที่: 4 เมษายน 2555 เวลา:21:51:22 น.
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.158.74 วันที่: 6 เมษายน 2555 เวลา:14:29:20 น.
โดย: สดายุ... วันที่: 6 เมษายน 2555 เวลา:20:23:38 น.
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.160.191 วันที่: 7 เมษายน 2555 เวลา:5:59:30 น.
โดย: สดายุ... วันที่: 7 เมษายน 2555 เวลา:7:45:34 น.
โดย: สดายุ... วันที่: 7 เมษายน 2555 เวลา:8:08:44 น.
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.136.94 วันที่: 7 เมษายน 2555 เวลา:11:01:59 น.
โดย: สดายุ... วันที่: 7 เมษายน 2555 เวลา:13:03:16 น.
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.161.189 วันที่: 7 เมษายน 2555 เวลา:20:05:05 น.
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [? ]
O ใช่แน่หรือ ? .. O O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ? ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว- แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์ เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์ ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?