|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
O ชาติก่อน .. ชาตินี้ .. ชาติหน้า .. ? ? O
.
ชาติก่อน .. ชาตินี้ .. ชาติหน้า
เกิดมาในสังคมไทย .. คงได้ยินคำที่จั่วหัวมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ..
จริงไหม ?
ไม่ยกเว้นแม้แต่ในสมาคมของผู้จบปริญญาตรี โท เอก แบบทางโลก .. !
และร้อยทั้งร้อย ไม่รู้หรอกว่ามันมีจริงไหม ไอ้ชาติก่อนกับชาติหน้าน่ะ .. รู้แต่ชาตินี้ที่ยืนหายใจอยู่นี่เท่านั้น
ดังนั้น .. มันจึงเป็นเรื่องของความเชื่อตามๆกันมาเพียงอย่างเดียว .. ไม่มีอย่างอื่น !
คำถามก็มีว่า ..
ทำไมจึงเชื่อกันแบบนี้ ?
เรื่องราวจำนวนมาก ในโลกนี้ หากไม่เห็นกับตาแล้วมีคนมาบอกมาพูดให้ฟัง .. คนในยุคปัจจุบันที่คิดว่าอยู่ในสังคมโลกที่เจริญแล้ว ยังไม่ยอมเชื่อกันง่ายๆ .. แต่เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า .. ดูเหมือนจะเชื่อกันแทบทั้งนั้น และแทบทุกศาสนา !
แปลกดีไหม ?
ต้องพูดว่า .. ในบริบทของความเชื่อนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ !
ทุกอย่างเป็นไปได้ .. ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว !
และนี่คือ การคิดไปเอง การปรุงแต่งไปเองของจินตนาการส่วนตัวของแต่ละคน .. และบริบทนี้คำพระท่านใช้คำว่า "สังขาร" (โง่ๆ) . . แล้ว สาเหตุ ที่ที่มาของความเชื่อคือสิ่งไหน ?
ชาติก่อน .. ชาตินี้ .. ชาติหน้า .. ทั้ง 3 คำ มีความแตกต่างในมิติไหนบ้าง ? ตอบได้ว่า ..
1. เรื่องของช่วงเวลา 2. เรื่องของรูปกายภายนอก 3. เรื่องของสถานภาพทางสังคม
และทั้ง 3 คำ มีความเหมือนกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในมิติไหนบ้าง ? ตอบได้ว่า ..
1. ความเป็น"ตัวตนเดิมเดียว" 2. วัฏฏะวงรอบเดิม ทีนี้เมื่อถามต่อว่า ทั้ง 3 คำ สืบทอดภาวะถึงกันได้ด้วยอะไร ? ตอบได้ว่า ..
1. วิญญาณ 2. วิบากกรรม
อย่างไร ? ตอบได้ว่า ..
วิบากกรรมคือผลจากการกระทำด้วยเจตนาแห่งจิตวิญญาณ ย่อมตรึงติดกับจิตวิญญาณนั้นไปตลอด ไม่ว่าร่างกายจะแตกดับแล้วอุบัติใหม่อย่างไร ทั้ง 2 สิ่งนี้ถูกระบุแน่นอนแล้วว่าจักอยู่ด้วยกันชั่วฟ้าดินดับ .. หรือจนกว่ากรรมบทที่เป็นสัมมาทิฏฐิจะทำลายกรรมบทเดิมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิลงได้โดยสิ้นเชิง ..
เช่นนั้นแล้ววัฏฏะจักถูกหักลง .. หยุดลงได้ .. และเช่นนั้นแล้วคือการที่จิตวิญญาณนั้นๆจักสามารถก้าวผ่านไปสู่ความหลุดพ้นได้
วิญญาณ .. จึงเป็นตัวสืบทอดภาวะระหว่างช่วงต่างของกาลเวลาของตัวตนหนึ่งๆ .. วิญญาณ หรือ มนัส ตัวนี้จึงไม่มีวันแตกดับทำลาย เปลี่ยนไปแต่รูปขันธ์เท่านั้น .. วิญญาณ หรือ ดวงมนัส นี้จึงถือว่า เที่ยงแท้ เป็นตัวอัตตา !
และนี่คือแก่นแกนจาก อุปนิษัท ของพราหมณ์
และความคิดนี้เกิดจากการปรุงแต่งขึ้นเองล้วนๆ ! เพราะมันสามารถใช้รับรองแนวคิดของ ชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า ได้อย่างลงตัวกลมกลืน !
และสิ่งนี้ เชื่อกันฝังหัวคนในชมพูทวีป มาก่อนยุคพุทธกาลนานหนักนาแล้ว !
แต่สิ่งนี้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ออกแสวงหาโมกขธรรม ท่านกลับมองเป็นเรื่องเหลวไหล ที่ไม่อาจนำพาจิตวิญญาณไปสู่หลุดพ้นจากกองทุกข์ หรือ ถอนอาสวะออก ได้ !
แล้วพระองค์ก็หลุดออกนอกกรอบ แห่งอัตตาเที่ยงแท้นี้ได้ในที่สุดหลังจากวิเคราะห์วิจัย ใคร่ครวญ ทดสอบทดลองมาตลอด 6 ปี .. แห่งการแสวงหาหนทาง
ว่า .. ความเชื่อรกรุงรังหาเหตุผลไม่ได้นี้เองที่เป็นกรอบกักอิสรภาพของจิตวิญญาณให้ไปไหนไม่รอด จากเพียงแค่ความคิดปรุงแต่งของใครสักคนเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ที่ส่งผลทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อตามๆกันมา จนถึงปัจจุบันนี้ !
เหตุเพราะแนวคิดนี้ ลงกันได้กับ ลักษณะพื้นฐานของ"จิตที่มืดบอด"อันเป็นธรรมชาติฝ่ายเด่น ฝ่ายเกิดง่าย ฝ่ายมีมาก ของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ .. ที่ไม่ต้อง"ฝืน" เราสามารถเรียกรวมๆได้ว่า "ฝ่ายศรัทธาจริต" ก็คงได้ !
ทีนี้ลองมาดู "วิญญาณแบบที่พระพุทธองค์กล่าวถึง" ดูบ้าง
เรื่องภิกษุสาติ เกวัฏฏะบุตร
ภิกษุทั้งหลาย นำเรื่องความเห็นผิดเกี่ยวกับวิญญาณของภิกษุสาติ ผู้เป็นบุตรชาวประมง ทูลกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ตรัสให้เรียกภิกษุสาติมาแล้ว ตรัสถาม ว่า
สัจจัง กิระ เต สาติ เอวะรูปัง ปาปะกัง ทิฏฐิคะตัง อุปปันนัง ตะถาหัง ภะคะวะตา ธัมมัง เทสิตัง อาชานามิ ยะถา ตะเทวิทัง วิญญาณัง สันธาวะติ สังสะระติ อนัญญันติ, สาติ ! จริงหรือ ตามที่ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเกิดขึ้นแล้ว อย่างนี้ ว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคแสดงแล้ว ว่า วิญญาณนี้นี่แหละ ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป หาใช่สิ่งอื่นไม่,
เอวัง พฺยา โข อหัง ภันเต ภะคะวะตา ธัมมัง เทสิตัง อาชานามิ ยะถา ตะเทวิทัง วิญญาณัง สันธาวะติ สังสะระติ อนัญญันติ, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วเช่นนี้ ว่า วิญญาณนี้นี่แหละ ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป หาใช่สิ่งอื่นไม่,
กะตะมันตัง สาติ วิญญาณันติ, สาติ ! วิญญาณ เป็นอย่างไร ?,
ยฺวายัง ภันเต วะโท วะเทยโย ตัตระ ตัตระ กัลญาณปาปะกานัง กัมมานัง วิปากัง ปฏิสังเวเทตีติ,, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! นั่นคือสภาพที่เป็นผู้พูด ผู้รู้สึก ซึ่งเสวยวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วทั้งหลาย ในภพนั้นๆ,
กัสสะ นุ โข นามะ ตฺวัง โมฆะปุริสะ มะยา เอวัง ธัมมัง เทสิตัง อาชานาสิ, โมฆะบุรุษ ! เธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ เมื่อแสดงแล้วแก่ใครเล่า ?
นะนุ มะยา โมฆะปุริสะ อเนกะปริยาเยนะ ปะฏิจจะสมุปปันนัง วิญญาณ วุตตัง อัญญัตระ ปัจจะยา นัตถิ วิญญาณัสสะ สัมภะโวติ, โมฆะบุรุษ ! เรากล่าวว่า วิญญาณเป็นปฏิจจสมุปปันนะธรรม คือวิญญาณเป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น โดยปริยายเป็นอันมาก, ถ้าเว้นจากปัจจัยแล้ว ความเกิดแห่งวิญญาณ มิได้มี มิใช่หรือ,
อะถะ จะ ปะนะ ตฺวัง โมฆะปุริสะ อัตตะนา ทุคคะหิเตนะ อเมหะ เจวะ อัพภาจิกขะสิ อัตตานัญจะ ขนสิ พหุญจะ อปุญญัง ปะสะวะสิ, โมฆะบุรุษ ! เมื่อเป็นอย่างนั้น เธอชื่อว่า ย่อมกล่าวตู่เราด้วยถ้อยคำที่ตนเองถือเอาผิดด้วย ย่อมขุดตนเองด้วย ย่อมประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย,
ตัญหิ เต โมฆะปุริสะ ภะวิสสะติ ทีฆรัตตัง อหิตายะ ทุกขายาติ, โมฆะบุรุษ ! ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เธอตลอดกาลนาน ดังนี้.
แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลาย ว่า พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ภิกษุสาติ เกวัฏฏะบุตรนี้ ยังพอจะนับว่าเป็นพระเป็นสงฆ์ในธรรมวินัยนี้ได้บ้างไหม ?
ภิกษุทั้งหลายตอบว่า จะเป็นได้อย่างไร พระเจ้าข้า ! หามิได้เลย พระเจ้าข้า !
เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลตอบแล้วอย่างนี้ ภิกษุสาติก็นิ่ง เงียบเสียง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณ
สาติ ! เธอจักปรากฏด้วยทิฏฐิอันลามกนั้น ของตนเองแล เราจักสอบถามภิกษุทั้งหลายในที่นี้
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่เราแสดงแล้ว เหมือนกับที่ภิกษุสาติกล่าวตู่เรา ขุดตนเอง และจะประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมาก เพราะทิฏฐิที่ตนถือเอาผิดหรือ
ข้อนี้มีไม่ได้เลย พระเจ้าข้า เพราะวิญญาณอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายโดยปริยายเป็นอันมาก ว่า ปราศจากปัจจัยแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ มิได้มี.
ดีละ ! ดีละ ! เธอทั้งหลายรู้ทั่วถึงธรรมตามที่เราแสดงแล้ว...ฯ...แต่ภิกษุสาติ บุตรชาวประมงนี้ กล่าวตู่เรา ขุดตนเอง และประสบกับสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือเอาผิด ความเห็นอย่างนั้น ของบุรุษนั้น จะเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ และเป็นไปเพื่อความทุกข์ตลอดกาลนาน.
ภิกษุทั้งหลาย ไฟที่ปรากฏขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยใดๆ ก็นับว่าไฟตามปัจจัยนั้นๆ .. ไฟที่ปรากฏขึ้นเพราะอาศัยไม้ ก็นับว่า ไฟปรากฏจากไม้ ไฟที่ปรากฏขึ้นเพราะอาศัยป่า ก็นับว่า ไฟปรากฏขึ้นจากป่า ไฟที่ปรากฏขึ้นเพราะอาศัยหญ้า ก็นับว่า ไฟปรากฏขึ้นจากหญ้า ไฟที่ปรากฏขึ้นเพราะอาศัยมูลโค ก็นับว่า ไฟปรากฏขึ้นจากมูลโค ไฟที่ปรากฏขึ้นเพราะอาศัยแกลบ ก็นับว่า ไฟปรากฏขึ้นจากแกลบ ไฟที่ปรากฏขึ้นเพราะอาศัยหยากเยื่อ ก็นับว่า ไฟปรากฏขึ้นจากหยากเยื่อ แม้ฉันใด,
วิญญาณ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน วิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยใดๆ ก็นับว่าวิญญาณตามปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยตาและรูปเป็นอารมณ์ ก็นับว่าจักขุวิญญาณคือวิญญาณทางตา
วิญญาณที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยหูและเสียงเป็นอารมณ์ ก็นับว่า โสตะวิญญาณคือวิญญาณทางหู
วิญญาณที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยหจมูกและกลิ่นเป็นอารมณ์ ก็นับว่า ฆานะวิญญาณคือวิญญาณทางจมูก
วิญญาณที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยลิ้นและรสเป็นอารมณ์ ก็นับว่า ชิวหาวิญญาณคือวิญญาณทางลิ้น
วิญญาณที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยกายและสัมผัสเป็นอารมณ์ ก็นับว่า กายะวิญญาณคือวิญญาณทางกาย
วิญญาณที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์เป็นอารมณ์ ก็นับว่า มโนวิญญาณคือวิญญาณทางใจ.
ที่มา .. มู. ม. ๑๒ / ๔๗๕ - / ๔๔๒ -. อริย. ๑๐๐๖. //www.rakangdham.com/page7.html
........................................
ข้อความข้างบนนี้ชัดเจนมากว่า .. วิญญาณ แบบที่พระพุทธองค์สอนนั้นเป็นแบบ ปัจจยาการ เท่านั้น .. ไม่มีวิญญาณเที่ยงแท้ถาวร เกิดดับ เวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร ข้ามภพข้ามชาติ แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ทั้งสงฆ์ ทั้งฆราวาส ที่ไม่ได้พูดตามคำพระพุทธองค์ ย่อมถือเป็น "โมฆะบุรุษ" ทั้งสิ้น ! ..
และกับเหล่าโมฆะบุรุษ แล้ว ย่อมไม่คู่ควรต่อการกราบไหว้แต่อย่างใด ..
เพราะอะไร
ชาวพุทธ ที่ไหน จะไปกราบไหว้อิหม่ามของศาสนาอิสลาม หรือ บาทหลวงของศาสนาคริสต์ รวมทั้งพราหมณ์ของฮินดู
จริงไหม ?
"ภิกษุสาติ เกวัฏฏะบุตรนี้ ยังพอจะนับว่าเป็นพระเป็นสงฆ์ในธรรมวินัยนี้ได้บ้างไหม ?"
หลักคิดแบบฮินดู ที่ฝังหัวสงฆ์ไทยจำนวนมากมาย .. สงฆ์เหล่านั้นจะยังนับเป็นสงฆ์อยู่หรือไม่ ?
หากว่าไม่
แปลว่าไม่ใช่สงฆ์
แปลว่าไม่คู่ควรการกราบไหว้ !
. . .
เมื่อมีทิฏฐิที่ตั้งไว้ผิด เยี่ยงภิกษุ สาติ เกวัฏฏะบุตร นี้แล้ว .. ผู้ที่พระพุทธองค์ถึงกับตรัสเรียว่า "โมฆะบุรุษ" - บุรุษผู้เสียเวลาเปล่า ..
จิตนั้นๆก็ย่อม .. "จักเป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เธอตลอดกาลนาน"
ดังนั้นคำพูดประเภทที่มักเนื่องกับความหมายของ "การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงรอบแห่งวัฏฏะสงสาร" ย่อมแสดงถึงภูมิปัญญาในการไตร่ตรองข้อธรรมว่า อ่อนด้อยเพียงใด และ ขาดเหตุผลเพียงใด ..
และนั่น .. ไม่ใช่พุทธเลย
คำพูดในลักษณะแสดงถึงความเป็น "สัสสตทิฏฐิ" จึงย่อมไม่ใช่แนวทางแห่งพุทธธรรม ..
สัสสตทิฏฐิ .. คำนี้แปลว่าอย่างไร ?
สัสสตทิฏฐิ - ความเห็นว่าเที่ยง คือความเห็นว่า อัตตาและโลก เป็นสิ่งเที่ยงแท้ยั่งยืน คงอยู่ตลอดไป เช่น เห็นว่าคนและสัตว์ตายไปแล้ว ร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนดวงชีพหรือเจตภูตหรือมนัสเป็นธรรมชาติไม่สูญ ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนึ่ง; ตรงข้ามกับ อุจเฉททิฏฐิ
ดังนั้น .. หากธรรมะชัยโย พูดว่าทำบุญกับอาตมา หรือ วัดธรรมกาย มากๆนะจ๊ะ .. ชาติหน้าจะได้สุขสบายด้วยทรัพย์สมบัติ บริวาร พร้อมทั้งเกียรติยศยิ่งนัก แล้วล่ะก็ ..
พึงรู้ไว้ว่า คำพูดเช่นนั้น คือคำพูดที่มีนัยะเป็น สัสสตทิฏฐิ หรือนัยะเช่นเดียวกับคำของภิกษุ สาติ เกวัฏฏะบุตร ในยุคพุทธกาลนั่นแล ..
ดังนั้น .. ผู้พูดเยี่ยงนั้นย่อมได้ชื่อว่า กล่าวตู่คำของพระพุทธองค์ ดังพุทธวจนะที่ว่า ..
"โมฆะบุรุษ ! เมื่อเป็นอย่างนั้น เธอชื่อว่า ย่อมกล่าวตู่เราด้วยถ้อยคำที่ตนเองถือเอาผิดด้วย ย่อมขุดตนเองด้วย ย่อมประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย"
โมฆ-, โมฆะ [โมคะ-] ว. เปล่า, ว่าง; ไม่มีประโยชน์, ไม่มีผล, เช่น สัญญาเป็นโมฆะ; (กฎ) เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับหรือผูกพันตามกฎหมาย. (ป., ส.).
แปลว่า คนพูดคือ .. โมฆะบุรุษ !
ต่อให้บวชเป็นพระยาวนานจนตายคาผ้าเหลือง .. หากยังมีทิฏฐิที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ อยู่อย่างนั้น ก็ย่อม .. เสียเวลาเปล่า .. สูญเวลาเปล่า .. สมองกลวงเปล่า !
โลกจึงว่างจากพระอรหันต์ มานับพันๆปี เพราะเนื้อร้ายจาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค นั่นเอง !
Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2556 5:52:09 น. |
|
6 comments
|
Counter : 2614 Pageviews. |
|
|
|
โดย: วลีลักษณา วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:22:38:42 น. |
|
|
|
โดย: สดายุ... วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:14:44:03 น. |
|
|
|
โดย: วลีลักษณา วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:15:08:20 น. |
|
|
|
โดย: สดายุ... วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:16:36:54 น. |
|
|
|
โดย: มาย IP: 124.120.121.97 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:21:11:57 น. |
|
|
|
โดย: สดายุ... วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:7:18:36 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|
ขอบคุณนะคะ