|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
O บวชประเพณี .. คือ บัวใต้วารี .. อยากเบ่งบาน ! .. O
.
จาก..พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ..
........................................................................................
ภิกษุ ท. ! เรานั้นโดยสมัยอื่นอีก ยังหนุ่มเทียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยความหนุ่มที่กำลังเจริญ ยังอยู่ในปฐมวัย, เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่, เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว
บาลี ปาสราสิสูตร โอปัมมวรรค มู.ม. ๑๒/๓๑๖/๓๑๖. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่อาศรมของรัมมกพราหมณ์ ใกล้เมืองสาวัตถี
........................................................................................
ยุคพุทธกาล .. ยุคสมัยที่ยังไม่มีเรื่องประเพณีสืบทอดแบบหลับหูหลับตา และไม่มีนัยะที่เป็นสาระอย่างเช่นปัจจุบัน .. จิตใจของความรู้สึกที่ต้องการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์นั้น เกิดขึ้นเอง จากการมองโลกสภาพรอบตัว ที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่อง เกี่ยวข้องกับการที่ชายต้องมีอายุครบ 21 ปี แม้แต่กระผีกริ้นเดียว !
ความเสื่อมทรามของหลักสัทธรรม กลับเกิดจาก"จิตใจที่ถูกตีกรอบให้ทำตามประเพณีนิยมสืบทอด - ที่ไม่ใช่ความต้องการของตัวเองเลย" ทั้งสิ้น !
ด้วยคติสืบทอดแบบงมงายที่ไม่เคยมองถึงวัตถุประสงค์หลักของการบวชเรียน .. กลับนำพาวิถีแห่งฆราวาสเข้าไปสวมทับ วิถีแห่งบรรพชิต กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่างห่างไกลจากคำว่า ".. ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว .." อย่างที่สามารถพูดได้ว่า - หาภาพนั้นไม่เจอ !
ในยุคสมัยที่การศึกษาเกิดขึ้นที่วัด .. นั่นคือก่อนยุคสมัยที่โรงเรียนประถม มัธยม อุดมศึกษา อย่างในปัจจุบันจะเกิดมีขึ้น .. การศึกษาที่ทำให้คนเป็นปัญญาชนนั้นเกิดขึ้นในวัด และ เกิดแต่เพศชายเป็นส่วนใหญ่เกือบทั้ง 100%
นิทานแทรกแฝงคติธรรมเรื่องต่างๆนั้น .. ย่อมได้มาจากการศึกษาหลักธรรมที่เป็นเกร็ดปลีกย่อย อันมิใช่สาระแห่งธรรมหลัก รวมทั้งเป็นความยากที่จะสืบเสาะค้นคว้าแก่นธรรมจากพระไตรปิฎกฉบับบาลีกันโดยตรง
คัมภีร์อรรถกถาที่เขียนขึ้นโดยภิกษุ หรือ ผู้รู้ เพื่อใช้อธิบายหลักธรรมในพระไตรปิฎกอีกต่อหนึ่งจึงเกิดขึ้น เป็นต้นว่า คัมภีร์วิสุทธิมรรค การบรรยายหลักธรรมจึงย่อมเป็นไปตามความเข้าใจของผู้เขียนเองเป็นส่วนใหญ่ ที่อาจมีทั้งส่วนที่เข้าใจถูกและเข้าใจผิดทั้งสองส่วน .. ซึ่งหากเอาแต่อ่านกันแบบไม่ใคร่ครวญแล้ว ก็จะเชื่อตามๆกันไปและหลงผิดเอาได้ง่ายๆ (มิจฉาทิฏฐิ)
ลำดับขั้นตอนของการบวชเรียนจึงควรเป็นว่า .. คนผู้นั้นสนใจในหลักสัทธรรม .. แล้วขวนขวายหาตำรับตำรามาอ่าน .. ทำความเข้าใจ .. จนจิตใจที่เข้าใจเรื่องราวแวดล้อมรอบตัวนั้นรุนแรงในความเห็นที่ว่า .. "ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสว่าง; ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว, โดยง่าย นั้นไม่ได้. ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยเรือน เถิด" ..
แล้วไปบอกพ่อแม่ขอบวช .. แล้วพ่อแม่ค่อยรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ (ภาวะสวรรค์) และอนุญาต .. แล้วค่อยไปที่วัดที่ต้องการ ขอให้พระที่มีคุณสมบัติพร้อมบวชให้ ..
ควรเป็นเช่นนี้ ใช่ไหม ?
ขบวนแห่แหนนาคพร้อมเสียงกลอง ฆ้อง ฉับ ฉิ่ง .. ไม่สมควรมีในภาวะแห่งการ ".. ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว .."
หรือมิใช่ ?
ด้วยสายตาและความคิดที่กอปรด้วยเหตุผล .. ที่ย่อมไม่มืดบอด จึงย่อมเห็นได้ชัดเจนว่า วิถีแห่งการออกบวชของพระพุทธองค์ กับการสืบทอดในปัจจุบันนั้น หาได้มีความสอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย .. แถมส่วนใหญ่กลับเลยเถิดไปถึงการดู วัน ดูเวลา ฤกษ์ผานาที อันเป็นเรื่องของพราหมณ์ไปโน่น !
ทั้งๆที่ตอน เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงควบม้ากัณฑกะออกจากวังพร้อมด้วยนายฉันนะ องครักษ์คู่ใจนั้น .. เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าชายแห่งกรุงกบิลพัสดุท่านจะดู ฤกษ์ยามตอนออกเดินทาง จริงไหม ?
ดังนั้น .. จิตใจที่ไม่ได้มีความเข้าใจสาระแห่งการบวชเรียน จึงไม่อาจเข้าใจได้ว่า จะอดอาหารเย็นกันไปทำไมให้ทรมาน .. จึงทั้งมาม่า ทั้งขนมเปี๊ยะ ย่อมเก็บงำไว้เสาะใส่ท้อง "ชายผู้โกนหัวห่มเหลืองตามประเพณีนิยม" นี้อย่างเห็นกันเป็นเรื่องธรรมดา !
โดยหาได้เข้าใจแม้สักน้อยไม่ .. ว่า อาหารมื้อเย็น นั้นเป็นส่วนเกินของความต้องการของร่างกาย .. เป็นการสะสมเอาพลังงานส่วนที่เหลือกักเก็บเอาไว้ ในรูปไขมัน และเป็นตัวก่อให้เกิดความกำหนัดในกามในยามค่ำคืน
จึงเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อการฝึกจิต .. รบกวน และ ทำลายสมาธิของจิต !
หากแค่เรื่องพื้นฐาน ง่ายๆ ยังไม่อาจเอาชนะได้ .. บวชไปก็เท่านั้น !
ยังไม่ต้องไปพูดถึง .. การศึกษาหลักธรรมชั้นสูงอันเป็นเรื่องไกลตัวเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ
ความเข้าใจผิด .. ย่อมก่อให้เกิดรูปแบบพิธีกรรมสืบทอดที่ผิดๆ และไม่ได้ประโยชน์อะไรแก่ใครทั้งสิ้น เป็นรูปแบบที่สิ้นเปลืองทั้งเวลา และค่าใช้จ่าย ที่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆเกิดขึ้นเลย
เป็นความสูญเปล่า ทางเศรษฐกิจ .. เป็นความว่างเปล่า ทางจิตวิญญาณตื่นรู้ รับรู้ธรรมที่แท้จริง .. เป็นความมืดบอด งมงาย ที่สืบเนื่องมา ของรูปแบบพิธีกรรมในสังคม อย่างที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ..
หากว่า .. สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างผลดีให้เกิดขึ้นได้จริง .. สังคมนี้ควรได้รับผลดี มีแต่ความดีงามมากขึ้นทุกที
แต่ที่เห็นกลับไม่ใช่ !
ความชั่วร้ายเลวทรามกลับแทรกตัวอยู่ในทุกอณูของสังคม ตั้งแต่ชนชั้นสูง-ชนชั้นปกครอง ที่มีเบื้องหลังโสมม ฉาบเคลือบอยู่ด้วย อาการภาพพจน์ .. โวหารภาพพจน์ .. แย่งชิงอำนาจและสถานภาพกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนถึงระดับรากหญ้าที่เกลือกกลั้วไปในทุกประเด็นเลวชาติ ทั้งที่มีโทษถึงประหารชีวิต ไม่ว่าจะยาเสพติด ฆาตกรรม โจรกรรม ข่มขืน-ฆ่า !
บวชประเพณี .. ก็ย่อมเกลือกกลั้วด้วยเรื่องประเพณี พิธีกรรม ต่างๆ อันไม่ต่างจากฆราวาสสักเท่าไร .. คือยังเกี่ยวข้องกับโลกอยู่เหมือนเดิม .. คุณธรรมในจิตจึงไม่สามารถยกขึ้นให้เหนือโลกได้ ..
พฤติแห่งผู้ละเรือนเยี่ยงนี้ .. จึงยังไม่คู่ควรต่อการเคารพกราบไหว้จากชนผู้มีปัญญา พฤติแห่งผู้ละเรือนเยี่ยงนี้ .. จึงย่อมสูญเปล่าในด้านเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน พฤติแห่งผู้ละเรือนเยี่ยงนี้ .. จึงเป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมในหลักธรรมจนฟั่นเฝือ สูญสิ้นไปในที่สุด
และจิต ที่สนับสนุนพฤติแบบนั้น ย่อมมีส่วนร่วมในการทำลายหลักสัทธรรมโดยตรง อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ !
จิตที่ไม่เคยเบื่อหน่ายต่อโลกแวดล้อม จะเกลือกกลั้วอยู่ด้วย ความสงัด สงบ อย่างไรได้ !
เราก็คงได้แต่ยืนดู "ปฏิมากรรม .. จากมิจฉาภาวะ" ต่างๆ .. ที่เบื้องหน้า .. อย่างจนปัญญา
เท่านั้นเอง !
Create Date : 09 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 19 มกราคม 2556 13:04:12 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2152 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เจ IP: 124.121.227.138 วันที่: 9 พฤษภาคม 2555 เวลา:21:30:02 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|
.
.
จิตที่ไม่เคยเบื่อหน่ายต่อโลกแวดล้อม จะเกลือกกลั้วอยู่ด้วย ความสงัด สงบ อย่างไรได้ ! ..
.
_/|\\_