Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
9 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
O บวชประเพณี .. คือ บัวใต้วารี .. อยากเบ่งบาน ! .. O

.


จาก..พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ..


........................................................................................


ภิกษุ ท. !
เรานั้นโดยสมัยอื่นอีก ยังหนุ่มเทียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยความหนุ่มที่กำลังเจริญ ยังอยู่ในปฐมวัย, เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่, เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว


บาลี ปาสราสิสูตร โอปัมมวรรค มู.ม. ๑๒/๓๑๖/๓๑๖.
ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่อาศรมของรัมมกพราหมณ์ ใกล้เมืองสาวัตถี

........................................................................................


ยุคพุทธกาล .. ยุคสมัยที่ยังไม่มีเรื่องประเพณีสืบทอดแบบหลับหูหลับตา และไม่มีนัยะที่เป็นสาระอย่างเช่นปัจจุบัน .. จิตใจของความรู้สึกที่ต้องการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์นั้น เกิดขึ้นเอง จากการมองโลกสภาพรอบตัว
ที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่อง เกี่ยวข้องกับการที่ชายต้องมีอายุครบ 21 ปี แม้แต่กระผีกริ้นเดียว !

ความเสื่อมทรามของหลักสัทธรรม กลับเกิดจาก"จิตใจที่ถูกตีกรอบให้ทำตามประเพณีนิยมสืบทอด - ที่ไม่ใช่ความต้องการของตัวเองเลย" ทั้งสิ้น !

ด้วยคติสืบทอดแบบงมงายที่ไม่เคยมองถึงวัตถุประสงค์หลักของการบวชเรียน .. กลับนำพาวิถีแห่งฆราวาสเข้าไปสวมทับ วิถีแห่งบรรพชิต กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่างห่างไกลจากคำว่า ".. ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว .." อย่างที่สามารถพูดได้ว่า - หาภาพนั้นไม่เจอ !


ในยุคสมัยที่การศึกษาเกิดขึ้นที่วัด .. นั่นคือก่อนยุคสมัยที่โรงเรียนประถม มัธยม อุดมศึกษา อย่างในปัจจุบันจะเกิดมีขึ้น .. การศึกษาที่ทำให้คนเป็นปัญญาชนนั้นเกิดขึ้นในวัด และ เกิดแต่เพศชายเป็นส่วนใหญ่เกือบทั้ง 100%

นิทานแทรกแฝงคติธรรมเรื่องต่างๆนั้น .. ย่อมได้มาจากการศึกษาหลักธรรมที่เป็นเกร็ดปลีกย่อย อันมิใช่สาระแห่งธรรมหลัก รวมทั้งเป็นความยากที่จะสืบเสาะค้นคว้าแก่นธรรมจากพระไตรปิฎกฉบับบาลีกันโดยตรง

คัมภีร์อรรถกถาที่เขียนขึ้นโดยภิกษุ หรือ ผู้รู้ เพื่อใช้อธิบายหลักธรรมในพระไตรปิฎกอีกต่อหนึ่งจึงเกิดขึ้น เป็นต้นว่า คัมภีร์วิสุทธิมรรค การบรรยายหลักธรรมจึงย่อมเป็นไปตามความเข้าใจของผู้เขียนเองเป็นส่วนใหญ่ ที่อาจมีทั้งส่วนที่เข้าใจถูกและเข้าใจผิดทั้งสองส่วน .. ซึ่งหากเอาแต่อ่านกันแบบไม่ใคร่ครวญแล้ว ก็จะเชื่อตามๆกันไปและหลงผิดเอาได้ง่ายๆ (มิจฉาทิฏฐิ)

ลำดับขั้นตอนของการบวชเรียนจึงควรเป็นว่า ..
คนผู้นั้นสนใจในหลักสัทธรรม ..
แล้วขวนขวายหาตำรับตำรามาอ่าน .. ทำความเข้าใจ ..
จนจิตใจที่เข้าใจเรื่องราวแวดล้อมรอบตัวนั้นรุนแรงในความเห็นที่ว่า .. "ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสว่าง; ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว, โดยง่าย นั้นไม่ได้. ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยเรือน เถิด" ..

แล้วไปบอกพ่อแม่ขอบวช ..
แล้วพ่อแม่ค่อยรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ (ภาวะสวรรค์) และอนุญาต ..
แล้วค่อยไปที่วัดที่ต้องการ ขอให้พระที่มีคุณสมบัติพร้อมบวชให้ ..


ควรเป็นเช่นนี้ ใช่ไหม ?


ขบวนแห่แหนนาคพร้อมเสียงกลอง ฆ้อง ฉับ ฉิ่ง .. ไม่สมควรมีในภาวะแห่งการ ".. ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว .."


หรือมิใช่ ?



ด้วยสายตาและความคิดที่กอปรด้วยเหตุผล .. ที่ย่อมไม่มืดบอด จึงย่อมเห็นได้ชัดเจนว่า วิถีแห่งการออกบวชของพระพุทธองค์ กับการสืบทอดในปัจจุบันนั้น หาได้มีความสอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย .. แถมส่วนใหญ่กลับเลยเถิดไปถึงการดู วัน ดูเวลา ฤกษ์ผานาที อันเป็นเรื่องของพราหมณ์ไปโน่น !


ทั้งๆที่ตอน เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงควบม้ากัณฑกะออกจากวังพร้อมด้วยนายฉันนะ องครักษ์คู่ใจนั้น .. เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าชายแห่งกรุงกบิลพัสดุท่านจะดู ฤกษ์ยามตอนออกเดินทาง – จริงไหม ?


ดังนั้น .. จิตใจที่ไม่ได้มีความเข้าใจสาระแห่งการบวชเรียน จึงไม่อาจเข้าใจได้ว่า จะอดอาหารเย็นกันไปทำไมให้ทรมาน .. จึงทั้งมาม่า ทั้งขนมเปี๊ยะ ย่อมเก็บงำไว้เสาะใส่ท้อง "ชายผู้โกนหัวห่มเหลืองตามประเพณีนิยม" นี้อย่างเห็นกันเป็นเรื่องธรรมดา !


โดยหาได้เข้าใจแม้สักน้อยไม่ .. ว่า อาหารมื้อเย็น นั้นเป็นส่วนเกินของความต้องการของร่างกาย .. เป็นการสะสมเอาพลังงานส่วนที่เหลือกักเก็บเอาไว้ ในรูปไขมัน และเป็นตัวก่อให้เกิดความกำหนัดในกามในยามค่ำคืน


จึงเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อการฝึกจิต .. รบกวน และ ทำลายสมาธิของจิต !

หากแค่เรื่องพื้นฐาน ง่ายๆ ยังไม่อาจเอาชนะได้ .. บวชไปก็เท่านั้น !


ยังไม่ต้องไปพูดถึง .. การศึกษาหลักธรรมชั้นสูงอันเป็นเรื่องไกลตัวเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ


ความเข้าใจผิด .. ย่อมก่อให้เกิดรูปแบบพิธีกรรมสืบทอดที่ผิดๆ และไม่ได้ประโยชน์อะไรแก่ใครทั้งสิ้น เป็นรูปแบบที่สิ้นเปลืองทั้งเวลา และค่าใช้จ่าย ที่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆเกิดขึ้นเลย

เป็นความสูญเปล่า ทางเศรษฐกิจ ..
เป็นความว่างเปล่า ทางจิตวิญญาณตื่นรู้ รับรู้ธรรมที่แท้จริง ..
เป็นความมืดบอด งมงาย ที่สืบเนื่องมา ของรูปแบบพิธีกรรมในสังคม อย่างที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ..


หากว่า .. สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างผลดีให้เกิดขึ้นได้จริง ..
สังคมนี้ควรได้รับผลดี มีแต่ความดีงามมากขึ้นทุกที –

แต่ที่เห็นกลับไม่ใช่ !


ความชั่วร้ายเลวทรามกลับแทรกตัวอยู่ในทุกอณูของสังคม ตั้งแต่ชนชั้นสูง-ชนชั้นปกครอง ที่มีเบื้องหลังโสมม ฉาบเคลือบอยู่ด้วย อาการภาพพจน์ .. โวหารภาพพจน์ .. แย่งชิงอำนาจและสถานภาพกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

จนถึงระดับรากหญ้าที่เกลือกกลั้วไปในทุกประเด็นเลวชาติ ทั้งที่มีโทษถึงประหารชีวิต ไม่ว่าจะยาเสพติด ฆาตกรรม โจรกรรม ข่มขืน-ฆ่า !


บวชประเพณี .. ก็ย่อมเกลือกกลั้วด้วยเรื่องประเพณี พิธีกรรม ต่างๆ อันไม่ต่างจากฆราวาสสักเท่าไร .. คือยังเกี่ยวข้องกับโลกอยู่เหมือนเดิม .. คุณธรรมในจิตจึงไม่สามารถยกขึ้นให้เหนือโลกได้ ..


พฤติแห่งผู้ละเรือนเยี่ยงนี้ .. จึงยังไม่คู่ควรต่อการเคารพกราบไหว้จากชนผู้มีปัญญา
พฤติแห่งผู้ละเรือนเยี่ยงนี้ .. จึงย่อมสูญเปล่าในด้านเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน
พฤติแห่งผู้ละเรือนเยี่ยงนี้ .. จึงเป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมในหลักธรรมจนฟั่นเฝือ สูญสิ้นไปในที่สุด

และจิต ที่สนับสนุนพฤติแบบนั้น ย่อมมีส่วนร่วมในการทำลายหลักสัทธรรมโดยตรง อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ !


จิตที่ไม่เคยเบื่อหน่ายต่อโลกแวดล้อม จะเกลือกกลั้วอยู่ด้วย ความสงัด สงบ อย่างไรได้ !


เราก็คงได้แต่ยืนดู "ปฏิมากรรม .. จากมิจฉาภาวะ" ต่างๆ .. ที่เบื้องหน้า .. อย่างจนปัญญา


เท่านั้นเอง !






Create Date : 09 พฤษภาคม 2555
Last Update : 19 มกราคม 2556 13:04:12 น. 1 comments
Counter : 2152 Pageviews.

 
.. จิตใจของความรู้สึกที่ต้องการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์นั้น เกิดขึ้นเอง จากการมองโลกสภาพรอบตัว

.
.

จิตที่ไม่เคยเบื่อหน่ายต่อโลกแวดล้อม จะเกลือกกลั้วอยู่ด้วย ความสงัด สงบ อย่างไรได้ ! ..

.

_/|\\_


โดย: เจ IP: 124.121.227.138 วันที่: 9 พฤษภาคม 2555 เวลา:21:30:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.