Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
23 สิงหาคม 2557
 
All Blogs
 

O ลำไผ่แห่งใจสยาม .. O








เพลง .. ลาวสองคอน-ขิมสปา



๒๕๑๙ ..
คืนมืดฟ้าหม่นจันทร์หล่นร่วง
ดาวช่วงเกลื่อนฟ้าลับลาหาย
ลมแผ่วพลิ้วตอบอยู่รอบราย
เมื่อสายตา, พลบ-บรรสบกัน
สงัดงันเงียบกลางเยียบเย็น
แฝงเร้นซ่อนไว้-ความไหวหวั่น
หัวใจอื้ออึงเสียงดึงดัน
มุ่งมั่นสู่หมายที่ปลายทาง
ครั่นครืนฟ้าฝนน้ำหล่นเม็ด
ราวเพชรโรยฝ่าขอบฟ้าสาง
เมื่ออกใจล้วนเสียงครวญคราง
ทุกย่างจึงขมเกินข่มลง
กลางก้าวย่างเหยียบที่เงียบงัน
แรงฝันฮึกเหิมก็เสริมส่ง
โชนออกเชื่อมเส้นจนเป็นวง
จำนงแน่นหนักร่วมผลักดัน
ยกก้าวย่างเล็ดลอดเม็ดฝน
หยดควงร่วงหล่น..อยู่บนฝัน
ไหวเหวี่ยงลมเร้าผ่านเถาวัลย์
แล้วกลิ้งหยดสั่น..ไหลหลั่นลง
เรี่ยวแรงหดหายที่ปลายทาง
ป่ากว้างยางยูง..ยอดสูงส่ง
หัวใจผ่อนวางที่กลางดง
ปลดปลงคับแค้น..ฝากแผ่นดิน
ความคิดสุมสั่งในครั้งนั้น
มุ่งมั่นหนักแน่นดุจแผ่นหิน
หมายพลิกแผ่นฟ้า..ครอบธานินทร์
ทั้งสิ้นมีบทกำหนดตอน

.




๒๕๒๓ ..
ดวงไฟเมืองกรุงงามรุ่งเรื้อง
ติดเบื้องบนเสามาเก่าก่อน
จากวันลำบากต้องจากจร
ยังสะท้อนให้เห็นอยู่เช่นเดิม
ถนนหนทางเคยย่างเหยียบ
คงเงียบงามแปลกเช่นแรกเริ่ม
ตึกใหญ่เรื้องแสง..มีแต่งเติม
ช่วยเพิ่มความวิจิตรให้ติดตา
อะไรเล่าที่เปลี่ยนแปลง
สี..แสง..ผู้คน..เสียงบ่นบ้า ?
ยังเหมือนครั้งตอนเมื่อก่อนลา
สู่ฟ้าฝั่งใหม่กลางไพรวัลย์
ที่ที่ฟ้าบนไร้หม่นเมฆ
ไร้ทิพเอกเขนกคอยเสกฝัน
มีทางขีดขึงให้ดึงดัน
ล่มโลกเทวัญให้อันตรธาน
เส้นทางมีบทกำหนดไว้
ก้าวให้ตรงจุดเร่งรุดผ่าน
ซ้ายขวาขึ้นลงกลางดงดาน
สืบสานความคิดด้วยคิดเดียว
บ้าง .. เมฆหม่นทึมลอยครึ้มต่ำ
ลมร่ำฟ้าฟาดสียงกราดเกรี้ยว
ฝุ่นฝนวนเต้นจนเป็นเกลียว
เปล่าเปลี่ยวรายรอบให้กอบกิน
บ้าง .. แดดแผดเผาจนเมาแดด
อยู่แวดล้อมแซมล้วนแหลมหิน
เหงื่อย้อยร่วงหยดลงรดดิน
อวลกลิ่นดินต่ำให้จำรส
บ้าง .. ปืนกระสุนลอยหนุนเนื่อง
ปลดเปลื้องบทเรียน .. ต้องเปลี่ยนบท
เลือดเนื้อแลกกันให้รันทด
ซื่อคดร่วงรินถมดินแดน
ยามผ่านความคิดก็ผิดแผก
ความแปลกตอกปักจนหนักแน่น
ทางเที่ยวเลี้ยวบทเข้าทดแทน
วกกลับแห่แหน .. จนแน่นเมือง !


๒๕๔๔ ..
รอยหยักในสมองล้วนร่องลึก
สำนึกแห่งขบถยอมปลดเปลื้อง
แตกขั้วเปลี่ยนข้องกันนองเนือง
ฟุ้งเฟื้องยศถาปัญญาชน
เห็นฝูงนกพิราบกำซาบศักดิ์
ร่อนพักเปลี่ยนที่ปรับสีขน
อีกาบินคละเคล้าปะปน
อึกทึกสาละวนอยู่บนแดน
ทั้งแกล้วทั้งทุนเข้าหนุนเนื่อง
ครบเครื่องร่วมสร้างร่วมวางแผน
สุดทางภพชาติผู้ขาดแคลน
เนื่องแน่นภาพพจน์ทุกบทตอน
เผยชาติพร้องชื่อกันลือลั่น
ภาพวันถูกประทุษเริ่มหลุดร่อน
ชุดขาวเผยหน้ากลางนาคร
สืบสอนความคำ .. ร่วมบำบวง
แขวนคอฟาดศพมันจบแล้ว
ผ่องแผ้วงดงาม-สนามหลวง
19, 35 ฤๅว่า-ลวง ?
มันทวงถามย้ำอยู่ทำไม ?
ไม้พลองเคยชูขึ้นสู้ปืน
หยัดยืนอ้างสิทธิ์ ยังผิดได้
วันนั้นบทกรรมจึงอำไพ
ตรึงภาพอยู่ในหัวใจชน
วันนี้แตกข้องเป็นสองด้าน
ดักดาน, ก้าวหน้า-โกลาหล
รองตีนรองตูดพร่ำพูดปรน-
เปรอสอพลอ-คน .. กันอลเวง
ดักดาน, ก้าวหน้า แย่งปราศรัย
เลศนัยเคลือบคำกันคร่ำเคร่ง
บอกบทกดกรามจนคร้ามเกรง
เสียงเปล่งคำสวยร่วมอวย .. พร้อม !


๒๕๔๙ ..
ดวงวันค่อยเรื้องที่เบื้องหน้า
นกกาขานรับเสียงขับกล่อม
ยามหน้าก้มต่ำด้วยจำยอม
หัวค้อม-คำความเฝ้าตามรับ
ลมโชยผ่านริ้ว..ไม้พลิ้วแผ่ว
ผ่านแล้วผ่านซ้ำเป็นลำดับ
รื่นลมโรยร่ำคอยสำทับ
การขยับขับข่มสังคมไทย
ดวงวันยอแสง..แต้มแต่งโลก
โบยโบกไม้พรรณ..พาสั่นไหว
ย่ำเหยียบปวดร้าว..ทุกก้าวไป
ดวงใจอับจน..สิ้นหนทาง
ดวงวันเรื่อเรื้องที่เบื้องหน้า
เหมือนว่ามืดอยู่ไม่รู้สร่าง
ที่มองเห็นอยู่ไม่รู้วาง
คือตุ้มถ่วงขวาง..ที่ทางเดิน
เห่เอย..เห่ห่ม..แทนลมรื่น-
ลมปากตามตื่น..บอกตื้นเขิน
ความคิดบรรเจิด..ฟังเพลิดเพลิน
จำเริญท่วงท่า..ปัญญาชน
เห่เอย..เห่กล่อม..พรั่งพร้อมบท
ภาพพจน์แลกกัน..นับพันหน
ทุกครั้งเร้ารัว..ก็ตัวตน-
วกวนเวียนอยู่..ไม่รู้วาง
หลุมลึกมืดมิด..ความคิดอ่าน
เดินผ่านลำบาก .. กับขวากขวาง
แสงใดเรื่อรองทอดส่องทาง
มืดสว่างมองดูย่อมรู้เอง
ดวงวันลอยต่ำลงค้ำครอบ
เป็นกรอบกุมสภาพงามปลาบเปล่ง
มืดมัวแห่งฝนจึงอลเวง
รุดเร่งร้อนร่ำ .. เข้าทำลาย !


๒๕๕๗ ..
เมื่อเผยรูปเผยร่างขึ้นกลางศพ
ร่วมสมทบ .. บำบวงแสงช่วงฉาย
คือคลี่-วงขดหางของบางชาย
ค่อยค่อยคลายปอกตน .. ให้ชนรู้
ตำราว่า-รู้เขา-รู้เรานั้น
เมื่อโรมรันรบเขา ย่อมเอาอยู่
หากล้วงไส้ฝ่ายเราให้เขาดู
เปรียบ-ทัพหมูทัพหมา .. ยามราวี
ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ .. เฝ้าเบน-เลี่ยง
แว่วพร้อมเสียงโห่ฮา .. เสริมราศี-
ให้เชื่องเชื่อกล่อมเห่ .. บนเวที
เท็จถ่อยเถื่อนอับปรีย์ .. เสริมลีลา
โอ .. นี่หรือผู้นำ .. จะนำชน-
เข้าร่วมป่นศัตรูอย่างผู้กล้า
ภาพกลับเหมือนชั้นทาสรองอาชญา
รอการเหลือบขยิบตา .. จึงกล้าเดิน
หรือย่างก้าวเหยียบย่ำ .. ในต่ำใต้
นั้น-มีไว้แตะตื่นพวกตื้นเขิน-
คอยแผดเสียงโก่งคอ .. ฟังพอเพลิน
ปรุงถ้อยคำงกเงิ่น .. หยอกเอินคน
มีคำไว้สำราก .. ผ่านปากร้อง
ให้กึกก้องสั่นรัวอยู่ทั่วถนน
มีส้นตีนปีนป่าย .. เพื่อร่ายกล-
ทำทีท่าดิ้นรนให้ทนดู
หลังปากเป่า-นกหวีดก็-กรีดเสียง
ค่อยเรื่อยเรียงคำฟ้องผ่านช่องหู
แววตาซึ้ง .. มึน-เมา, นกเขาคู-
วาบขึ้นอยู่พร้อมพรั่งขึ้นบังตา
หลังระฆังกังวานเสียงหวานแว่ว
เสียงเจื้อยแจ้วหอนอยู่ .. ของหมู่หมา
ก็แซ่เสียงเสียดหู .. ไม่รู้ลา
ตราบจนราตรีกาล .. คลี่ม่านคอย
อุดมการณ์เพื่อชน .. ผู้ทนทุกข์
เอาไว้ปลุกปลอบ, ข่ม .. ทุกปมด้อย
ให้เชื่องเชื่อ .. ก้าว, ทำ-ซ้ำซ้ำรอย
ร่วมปลดปล่อยอาสัตย์ขึ้นบัตรพลี
โอ – แว่วนั่นโคลงสี่ของศรีปราชญ์
ใช้เท้าวาดถ้อยวรรค .. เป็นสักขี
สืบทอดนัยฝ่ากาล .. นับนานปี
จวบบัดนี้เริ่มดังอีกครั้งครา
เหมือนกันที่ .. ครั้งนั้น .. ถูกกลั่นแกล้ง
ครั้งนี้แจ้งด้วยฤทธิ์ .. แรงอิจฉา
เมื่ออาฆาตวาบแล้ว .. ผ่านแววตา
ย่อมรู้ว่า .. สั่นรัว .. ที่หัวใจ
ต่างกันที่ .. ครั้งนั้น .. ถูกบั่นคอ
ครั้งนี้การเกิดก่อ .. ย่อมรอได้
เริ่มเปลี่ยนผ่านส่งรับกันฉับไว
รอว่าสายน้ำไหล .. ยากไหลย้อน
.
.
ช่วงระยะเปลี่ยนผ่านย่อมผ่านไป
ร้อนแห่งไฟดวงนั้นย่อมอันตรธาน !




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2557
3 comments
Last Update : 26 มิถุนายน 2561 19:20:00 น.
Counter : 2004 Pageviews.

 

สดายุ..

"เราเรียกเราร้องหมายปองหัวใจคุณอยู่...
ทั้งทั้งที่รู้ ได้เพียงหดหู่โหยหา...
เป็นไปไม่ได้แต่หัวใจปรารถนา..
รู้ทั้งรู้ แต่ยังศรัทธา..
ให้เจ้าหัวใจ..

ทั้งวิญญาน ความรักซื้อขายไม่ได้..
แต่ก็ให้ เจ้าไว้ด้วยเสน่หา..
น้อยเพียงนี้ ไม่ตอบแทนก็ได้กานดา.."

เพลงไพเราะมาก..สาวไหนได้ฟัง คงคลั่งตามไปด้วย..นะ...
ใครรึ จะไม่"ตอบแทน" สิ่งเล็กเล็กน้อยน้อย เพียงนี้... !

ฟังเพลง จนลืม อ่านกลอนไปเลย...




 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 23 สิงหาคม 2557 15:12:47 น.  

 

มินตรา ..

เพลงนี้ กับอีก 3 เพลงของวงด่านเกวียนเอาลงไว้ใน เพลงไทย นานแล้ว เป็นงานชุดแรกๆของวงนี้ รวมทั้งเพลงฝันสีใด ที่ผมชอบท่วงทำนอง ..

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sdayoo&month=31-10-2013&group=183&gblog=10

เป็นเพลงเพื่อชีวิตยุคที่กระแสกำลังเฟื่องฟู แนวสะท้อนสังคม ..การบันทึกเสียงอาจจะยังไม่ดีนัก เหมาะที่จะเอามาร้องบันทึกใหม่โดยวงรุ่นใหม่ๆ

 

โดย: สดายุ... 24 สิงหาคม 2557 5:41:16 น.  

 

สดายุ..

ไปอ่านประวัติ ของ " สีเผือก คนด่านเกวียน "
นักร้องนำของวงคนด่านเกวียน มาแล้ว..
ทราบว่าเรียน ช่างกลเกษตร..
เนื้อเพลง กับ ความในเนื้อกลอน นี่ เกี่ยวพันกันยังไงนะ..
หรือว่าเธอ ไม่ตอบรับ เลยหนีเข้าป่า ซะดื้อดื้องั้นเลย..

ภาพป่าที่สดายุนำมาลงนั้น เป็น "ป่าปลูก"( Sustainable forestry)
ในเยอรมัน จะมีคนมีอาชีพปลูกไม้ ขาย..
ป่าจึงเป็นภาพเช่นที่สดายุเห็น

บิดาของการปลูกป่า เป็นชาวเยอรมัน ชื่อ Heinrich Cotta ( 1763 - 1844 )
ส่วนบิดาของป่าเขตร้อน( father of tropical forestry ) Sir Dietrich Brandis ( 1824 – 1907) ก็เป็นชาวเยอรมันที่ไปทำงานให้the British Imperial Forestry Service in colonial India.

พวก วนศาสตร์ จะทราบ เพราะ โรงเรียนป่าไม้ทั่วโลก รวมทั้งอเมริกา คานาดา ใช้แหล่งความรู้ จากเยอรมัน

ภาษาเยอรมันจะมีสองคำ คือ
Wald (ป่าตามธรรมชาติ) รัฐเป็นเจ้าของ &
Forst (ป่าปลูก)ซึ่งประชาชนคนธรรมดาเป็นเจ้าของป่านี้ได้..
บังเอิญ รู้จักกับตระกูลที่ทำป่าไม้แถบBlack Forest ของเยอรมัน...เลยรับเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย กับเค้าไปด้วย..


 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 24 สิงหาคม 2557 20:56:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.